กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
21 กันยายน 2024, 06:58:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10
 1 
 เมื่อ: 15 กันยายน 2024, 11:35:AM 
เริ่มโดย โซ...เซอะเซอ - กระทู้ล่าสุด โดย โซ...เซอะเซอ


...แต่ปางก่อน...





คือคำเคียง เรียงราย ผกายมาส
ผจงวาท หยาดเยิ้ม เติมแต่งสี
หยิบคว้าเอา ลึกห้วง ดวงฤดี
มาทอคลี่ กล่อมขวัญ บรรยาย

เมื่อแรกเริ่ม เดิมที มีเพียงหนึ่ง
เปลี่ยวใจจึง ฝันนับ ขยับขยาย
ก่อนเป็นสอง มองเมียง ด้วยเอียงอาย
แอบระบาย ความนัย คราใกล้ชิด

เหมือนเคยพบ สบสร้าง แต่ปางก่อน
ดุจละคร ย้อนยุค ซุกซอนจิต
ส่งชีวัน หันเห เนรมิต
ให้ต้องตา ตรึงติด แนบชิดเชื้อ

สางอักษร เธอสรรค์ แล้วฝันว่า
พานพบหน้า ตราตรู มิรู้เบื่อ
ปากโอภาปราศรัย ใจจุนเจือ
อุ่นอกเอื้อ อาทร อ่อนตระกอง

ทอดคำเขียน เวียนแปล แลกระหวัด
คล้ายสัมผัส ความคิด พินิจข้อง
เหมือนรู้จักมักคุ้น บุญประคอง
รักร่วมครอง เคียงวาสน์ พิลาสเคย

หากชาติภพ มีจริง ทุกสิ่งที่-
วาดฝันนี้ จงปรากฎ เช่นพจน์เผย
ขอเพียงมี เธออยู่ เป็นคู่เชย
มิราเลย แม้นชีวิต...ต้องปลิดปลง






…ทั้งรูป เสียง กลิ่นล้วน ชวนสัมผัส
โลมมนัสอาลัย ด้วยใหลหลง
ทุกถ้อยคำ จำเพาะ พิเราะบรรจง
จำนรรจ์ส่งผสานสื่อ ผายมือมา-

ชวนเกี่ยวก้อยร้อยรัก สมัครสมาน
ซ้องสืบสานซาบซึ้ง ประหนึ่งภาษา-
เปรียบโซ่ทอง ประคองชิด จิตวิญญาณ์
ให้ตรึงตรา เต็มตื้น รื่นรตี

โอ้แม่เอย…
เหมือนห่อนเคย ร่วมทุกข์ร่วมสุขพี่
แม้ล่วงกาลนานนับ ทับทวี
ใจดวงนี้ ยังแจ่มชัด กระหวัดรู้

ตราบคุ้นเคย เอ่ยอ้างแต่ปางก่อน
ร่วมกินนอน บ่มรัก พำนักสู่
จวบพบพาน พึงพิศ ชื่นชิดชู
เพี้ยงพรั่งพรู ผ่านพจน์ บทกวี






Soul Searcher
Inspired to write 15/9/2024



 2 
 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2024, 12:37:PM 
เริ่มโดย webmaster - กระทู้ล่าสุด โดย @free
     ทดสอบ

      https://youtu.be/8hB9WPa_FDA?si=f-Xu0Tfxt-rfopv2

     https://youtu.be/n4wR69GXmrQ?si=VYulzQQIQZ5tH3MD


 3 
 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2024, 06:50:PM 
เริ่มโดย โซ...เซอะเซอ - กระทู้ล่าสุด โดย โซ...เซอะเซอ


…ดาว…

“…เนื่องจากตอนนี้ ฉันรู้สึก จิตใจมันอ่อนไหว
อยากจะรู้ว่าเขาเป็นยังไง จากคำพูดวันนี้

เพราะฉันเพิ่งบอกรักไป
และเขา ก็รับฟังทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ
เหมือนความฝัน แต่ฉันเองก็ไม่อาจแน่ใจ
พรุ่งนี้ เรื่องของเราจะสุข หรือแสนเศร้า
จึงวอนขอดาวให้ช่วยบอกที…”








...เฝ้ามองดู หมู่ดาว พร่างพราวระยิบ
ฝากกระซิบกระซาบถาม ความสงสัย
ว่าแม้กาล นานนับเนื่องกัปไกล
เธอยังเก็บ หัวใจรักของฉันไว้…อยู่ไหมเออ







โซ…เซอะเซอ
17 สิงหาคม 2567




 4 
 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2024, 04:34:PM 
เริ่มโดย Dildeewana - กระทู้ล่าสุด โดย Dildeewana
.














ขอบคุณ​ ย​ู​ทูป​ กูเกิ้ล​

 5 
 เมื่อ: 15 สิงหาคม 2024, 01:39:AM 
เริ่มโดย นานะ - กระทู้ล่าสุด โดย นานะ

ยามเมื่อฝนโปรยสาย
พร่างพรายเสมือนเข็มเหล็กทิ่มแทงผิว
เสียงลมหวีดหวิว
หัวใจสั่นพลิ้ว ราวใบไม้ปลิดปลิวร่วงดิน

ความมืดโอบล้อมรอบกายฉัน
จินตนาการถึงขอบฟ้าขลิบทองสีอำพันที่ห่วงถวิล
ตราบที่ยังย่ำเท้าอยู่บนเส้นทางคุ้นชิน
ข่าวคราวของคุณยังได้ยิน เ ส ม อ ม า

เขียนถึง ‘ ค น ที่ จ า ก ฉั น ไ ป ใ น ปี 2 0 1 6 ’
ดาวและเดือนเคลื่อนสู่ฟ้าตะวันตก ณ เบื้องหน้า
ลมโชย โ ป ร ย น้ำ ค้ า ง เ ปื้ อ น ต า
โลกใบเล็กของฉันกังวานด้วยเสียงระฆังลา นิ จ นิ รั น ด ร์
'ผู้ซี่งมิอาจปีนข้ามกำแพงแห่งความพลัดพราก
ย่อมแหลกสลายในซากปรักหักพังแห่งฝัน
ผู้ซึ่งถือสัจจะเป็นที่ตั้ง ย่อมถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งความผูกพัน
ปรารถนาเพียงแค่หนึ่งวัน จ า เ ม ส์ วู'.





จาเมส์ วู (Jamais Vu)
อาการตรงข้ามของเดจา วู
คืออาการที่เราหลงลืมสิ่งต่างๆที่คุ้นเคยไปชั่วขณะ



 6 
 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 06:21:PM 
เริ่มโดย โซ...เซอะเซอ - กระทู้ล่าสุด โดย โซ...เซอะเซอ


มาวันแม่ วันนี้ อีกปีผ่าน
เหมือนเพียงแค่วันวาน มินานล่วง
มัวหมกมุ่นวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวง
จนลืมห่วงคะนึง ซึ่งสำคัญ

ทุกวันนี้ร่างกายแม่โรยรา
แต่ดวงตายังประกายเฉิดฉายมั่น
สติคงดำรงอยู่ หยั่งรู้ทัน
สม่ำเสมอในทุกวัน บากบั่นงาน

เฝ้าตระเตรียมเช้าตรู่ อยู่มิขาด
พร้อมใส่บาตร กิจวัตรจัดงานบ้าน
ออกกำลัง พักผ่อนหนอ พอประมาณ
ไม่ต้องการเจ็บป่วยเพิ่ม เสริมภาระ

มองวิถีชีวิตกิจกรรม
แม่กระทำเป็นตัวอย่างกระจ่างกระจะ
สิ่งซ้ำซ้ำสม่ำเสมอมิเผลอละ
คือวัฏฏะ ภาคเรียนรู้ วิญญูชน

จวบสูญสิ้นลมปราณ มลาญลับ
จวบดายดับนิวรณ์ ถอนมืดหม่น
จวบบรรลุนิพพาน เท่านานทน
หน้าที่ตน คือกิจซึ่ง พึงกระทำ



โซ…เซอะเซอ
12 สิงหาคม 2567



 7 
 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 08:09:AM 
เริ่มโดย kapheetam - กระทู้ล่าสุด โดย kapheetam
เมื่อนั้น…
พระอุปคุต พุทธวงศ์ ทรงเดชะ
คลายตบะ กลับร่าง อร่ามใส
เป็นภิกษุ ผุดผ่อง มองจ้องไป
ท้าวมารใหญ่ ให้ตกใจ ใคร่ไกลลา
พระคุณเจ้า ย่างเท้า เข้าไปใกล้
พร้อมมาลัย ไหม้ช้ำ ดำคร่ำคร่า
พันอสุภ สุนัขเน่า เคล้ามาลา
เหม็นหนักหนา น่าขย้อน หนอนชอนไช
พอถึงคล้อง ล้อมซุก ทุคันธชาติ
แสนอุบาทว์ อุจาดคอ ผูกศอไว้
พร้อมประกาศ คาดโทษ อุโฆษไป
แม้นผู้ใด ไพร่พรหม ยมเทวัญ
ก็มิอาจ กระชากดึง ทึ้งออกได้
หมดทางคลาย สลายฤทธิ์ ประสิทธิ์มั่น
ปล่อยคาไว้ ให้ประจาน เนิ่นนานวัน
เพื่อฝึกกลั้น ระวังจิต ไม่คิดพาล
แล้วเอ่ยปาก ตวาดคำ ลั่นตะเพิด
มารเตลิด เปิดอ้าว ไม่กล่าวขาน
แสนอับอาย ขายหน้า สิ้นท่าพาล
เหาะลนลาน ซมซานไป ไร้ที่พิง

เมื่อนั้น มารผยอง อ้อนวอนไหว้
เทพมากมาย ช่วยคลายมนต์ ลุกลนวิ่ง
บากหน้าขอ ง้อกราบ ฟุบทาบดิน
ไร้ศักดิ์สิ้น ผินไหน ใครก็เมิน
จำฝืนทน ตรงหา ท้าวมหาราช
ผู้เก่งกาจ มากล้น คนสรรเสริญ
ให้ช่วยดึง ทึ้งบาศ อุจาดเหลือเกิน
สิ้นขวยเขิน สะเทิ้นอาย ขายหน้าทน
สี่เทวัญ ชั้นฟ้า หน้าละห้อย
อ้างฤทธิ์ด้อย ต่ำต้อยนัก ศักดิ์ไม่สม
ไร้สามารถ มิอาจคลาย สลายมนต์
ขอพระองค์ ตรงยัง ท่านอมรินทร์
มารผิดหวัง ร่ำลา เหินฟ้าจาก
น้ำตาอาบ ตากหน้ามา หามหินทร์
แต่พอพบ ประสบศักร กลับได้ยิน
ท้าวสุรินทร์ ก็สิ้นกล จนปัญญา
จึงขึ้นหา เจ้ายามา ราชาเทพ
ถูกปฏิเสธ เจ็บซ้ำ พลันหนีหน้า
แวะดุสิต ผิดหวังอีก หลีกอำลา
ถึงนิมมา ปรนิม สิ้นถิ่นพรหม
ทั่วเทวัญ ชั้นฟ้า เทวาสถิต
หาคลายฤทธิ์ ประสิทธิ์กล้า วาจาสงฆ์
มารท้อแท้ แพ้พ่าย เหนื่อยหน่ายปลง
จึงเหาะลง ตรงหา ครูบาพลัน

บัดนั้น พญามาร ผู้พาลผิด
ก้มหน้าชิด ติดเข่า เศร้าโศกศัลย์
สิ้นพยศ หมดลาย คลายดุดัน
เซื่องซึมนั่ง ยังหน้า มหามุนี
เฝ้าออดอ้อน วอนคำ พร่ำขอโทษ
ว่าอย่าโกรธ งดโทษทัณฑ์ ท่านฤาษี
ได้กุศล ผลบุญเพิ่ม เสริมบารมี
ขอจงคลี่ คลายบาศ ให้ขาดไป
อรหันต์ ฟังมาร พานหัวร่อ
บอกตนพอ ไม่ขอบุญ ใครทูนให้
มีแต่ท่าน ซิหน้าหมอง บุญพร่องไป
ลุกขึ้นได้ อย่าช้าไว ไสหัวเดิน
แล้วกระชาก ลากดึง กึ่งบังคับ
มารผงะ ศีรษะหงาย กายงกเงิ่น
พระคุณเจ้า ก้าวยาว สาวเท้าเดิน
ราพณ์สิ้นเขิน เดินคอตก สงบไป
ถึงเขาชัน องค์ท่าน ฉับพลันขยาย
เครื่องพันกาย คลายประคต พันทบใส่
รัดเอวมาร บันดาลอ้อม ล้อมรอบไป
โอบไศล ตรึงไว้ ให้ทรมาน
แล้วสำทับ กำชับซ้ำ ย้ำกรอกหู
ท่านจงอยู่ คู่ผา อย่ายุ่มย่าม
สงบนิ่ง หยุดดิ้นรน จนครบกาล
ครั้นงานผ่าน ตามกำหนด ถึงปลดคลาย
จบวาจา ครูบา ก็ลากลับ
เข้าห้องหลับ สงัดทุกข์ สุขเหลือหลาย
ฝ่ายท้าวมาร อกลาญยอก นั่งทอดกาย
ตรอมหมองไหม้ ให้คำนึง ถึงวิมาน

เมื่อนั้น วสวัตตี ให้มีจิต
หวนนึกคิด ทิพสมบัติ อัครฐาน
ชั้นปรนิม ถิ่นอาศัย วิไลงาม
ล้วนโอฬาร ตระการตา น่าภิรมย์
ไร้เหลือบยุง บุ้งริ้น กัดกินเนื้อ
บ่ร้อนเหลือ เหงื่อไคล ไหลหมักหมม
ผิวไม่ด้าน กร้านแตก เพราะแดดลม
อิ่มสุขสม ไม่ทนหิว ท้องกิ่วครวญ
ทุกทิวา ราตรี มีแต่สุข
ปราศเรื่องทุกข์ สนุกไป ในแดนสรวง
รสรูปเสียง จำเรียงเพราะ เสนาะทรวง
ต่างเย้ายวน ชวนเพลิน เจริญใจ
มาบัดนี้ นี่กระไร ไฉนเล่า
แขวนหมาเน่า นั่งเฝ้าผา น่าสงสัย
ต้องยืนร้อน นอนหนาว รวดร้าวใจ
ทำอย่างไร ใครช่วยปลด ประคตคลาย

บัดนั้น พญามาร ร้าวรานจิต
ย้อนนึกคิด ภาพติดตา พาใจหาย
ครั้งพุทธองค์ ทรงสอน ผองเวไนย
ไม่ใจร้าย ละม้ายศิษย์ ผิดลงทัณฑ์
เคยกำแหง แผลงฤทธิ์ คิดโอ้อวด
เคยผนวก พวกพาล รุกรานท่าน
เคยจาบจ้วง ล่วงวาจา น่าชิงชัง
เคยเกือบพลั้ง ผิดฆ่า บ้างมงาย
พระไม่เคย เอ่ยคำ ให้ช้ำจิต
ไม่ตำหนิ ติโกรธ โจษเสียหาย
ไม่สัมผัส จับต้อง ให้หมองกาย
ทรงอภัย ให้ทุกครั้ง ซ้ำเมตตา
แต่ครูบา บ้าฤทธิ์ ผิดสมณะ
ไม่ปล่อยปละ ละเว้น เห็นแก่หน้า
ทั้งกรรโชก โขกสับ จับตรึงตรา
ทั้งดุด่า ว่าซ้ำ ให้ช้ำใจ
มารกำสรวล ครวญคร่ำ พร่ำแต่กล่าว
ถึงเรื่องราว คราวหลัง รำพันไห้
จนปีเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลล่วงไป
ความแค้นใจ ก็มลาย หายหมดพลัน

ได้วันครบ กำหนดกาล ตามสัจจะ
องค์เถระ มีนัดมาร พลางผลุนผลัน
ออกสำนัก ลัดพง ตรงไปยัง
ผาคุมขัง กำบังแอบ แนบตามอง
เห็นมารกล้า หน้าเศร้า ดูเหงาจิต
นั่งครุ่นคิด พินิจทัณฑ์ กรรมสนอง
เฝ้าคำนึง ถึงบุญใหญ่ เคยใฝ่ปอง
เป็นหนสอง พร้อมเอ่ยคำ ร่ำรำพัน
ผิเบื้องหน้า บุญข้ามี ราศีส่ง
ขอเหมือนองค์ ทรงพิสุทธิ์ ผุดผ่องขันธ์
มีเมตตา นำพาสัตว์ สลัดกรรม
ไม่หุนหัน ดุดันโกรธ ลงโทษใคร
อรหันต์ ฟังความ มารปรารภ
เผยปรากฏ ปลดบาศ ขาดหลุดหาย
แล้วออดอ้อน วอนง้อ ขออภัย
ที่ทำไป หวังให้ไท้ ไร้จิตพาล
เพื่อประโยชน์ จึงโปรดองค์ ทรงดำริ
ปราบทิฐิ ลิดจิตหน่าย คลายสงสาร
จนเอ่ยปาก ปรารถนา หานิพพาน
ใช่รอนราญ หยามองค์ ทรงตรองดู
บัดนี้ทรง ตรงเที่ยง ไม่เบี่ยงผัน
จิตมีธรรม ค้ำใจ ไม่อดสู
ถือสำเร็จ เสร็จความ ตามคำครู
ที่ทรงรู้ คู่กรรม อุปถัมภ์มา
นับแต่นี้ เห็นที ต้องลี้จาก
จำใจพราก ยากพบ ประสบหา
ก่อนจากกัน ขอมารท่าน นั้นเมตตา
คลายกังขา คามี ที่ในใจ
ขอพระองค์ ทรงสำแดง แปลงรูปร่าง
ทั่วสรรพางค์ งามเด่น เป็นไฉน
ดุจวิสุทธิ์ พุทธวงศ์ องค์จอมไตร
ให้ราษฎร์ไท้ ได้เห็น เป็นบุญตา
เนื่องมีท่าน เท่านั้น ที่ทันกราบ
องค์จอมปราชญ์ ผู้ประกาศ ศาสนา
ให้สมใจ หมายมาด อาตมา
ก่อนจากลา ลับไป ใจอาวรณ์
ท้าวมารา ยินวาจา ครูบากล่าว
น้ำตาพราว ร้าวรวดใน ใจทอดถอน
นึกอดีต บีบฤทัย ให้อาวรณ์
อกสะท้อน ตรองภาพ ศาสดา

เมื่อนั้น พญามาร ผู้ผ่านผิด
สิ้นทิฐิ ตรองตริคำ พลันตอบว่า
ผิเกล้าแสร้ง แปลงกาย คล้ายศาสดา
ขอครูบา อย่ากราบ ให้บาปกรรม
อรหันต์ ฟังมาร พลางตอบรับ
แล้วรีบกลับ นคเรศ เข้าเขตขัณฑ์
ป่าวประกาศ ไท้ราษฎร์รู้ มาดูกัน
ชนพร้อมพรั่ง โจษจันก้อง ร้องดีใจ
มหาชน ล้นหลาม ตามเนืองหนุน
มาชุมนุม ณ ทุ่งหญ้า ชายป่าใหญ่
ทั้งกษัตริย์ สมณชี มีมากมาย
เสนาไพร่ ใกล้ไกล หลั่งไหลมา
ได้เวลา จอมฟ้า เทวาใหญ่
พลันแปลงกาย ย้ายองค์ จากพงป่า
ด้วยรูปโฉม พระโคดม ทรงลีลา
เปล่งมหา ปุริสลักษณ์ ประทับใจ
พระฉัพพรรณ รังสี มีโอภาส
งามพิลาส วาบจิต พิสมัย
โศภิตตระการ ยามมอง ผ่องอำไพ
เกินหาไหน ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์
เบื้องซ้ายขวา โมคคัลลา สารีบุตร
ถัดภิกษุ ผุดผ่อง เรืองรองศีล
เหลืองอร่าม ย่างตาม ช่างงามจริง
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งชน องค์ศาสดา
อุปคุต ภิกษุเจ้า เหล่าบริษัท
พอประจักษ์ พักตร์เด่น เห็นเต็มหน้า
โลมชาติ ผงาดตั้ง ทั้งกายา
น้อมบูชา วันทากราบ บาทยุคล

บัดนั้น…
วสวัตตี มีใจ ให้พลุ่งพล่าน
รีบคืนร่าง บันดาลหาย คลายสับสน
กลับเป็นมาร พลางเอ่ยปาก อย่ากราบตน
เดี๋ยวบาปล้น พ้นสามารถ ยากแก้คลาย
พระคุณเจ้า กล่าวไข กระไรบาป
ผู้คนกราบ เอิบอาบจิต พิศสมหมาย
กลับเป็นบุญ หนุนท่าน นั้นมากมาย
ขออย่าได้ งมงายเขลา จงเข้าใจ
ท่านทนทุกข์ ขลุกอยู่ คู่ผานี้
กี่เดือนปี กี่ระทม กี่ตรมไหม้
ค่ำคืนหนาว เช้าร้อน ทอดถอนใจ
เหลือบริ้นไร ไต่ตอม ต้องยอมทน
หิวแสนหิว ไส้กิ่ว หน้านิ่วอด
ทุกข์รันทด อกใจ ไม่สุขสม
กลับเคี่ยวกรำ ทำให้ คลายตัวตน
จิตผ่านพ้น ปลงอาฆาต สิ้นบาปกรรม
บัดนี้ถึง ซึ่งครา อำลาจาก
ขออราธนาบุญ ผดุงท่าน
จงสิ้นทุกข์ สุขสราญ ชื่นบานธรรม
สมดั่งลั่น คำถึง ซึ่งพุทธภูมิ
จอมสวรรค์ ชั้นมาร พานก้มกราบ
แทบสองบาท ปราชญ์มุนี อารีหนุน
แล้วเหาะฟ้า ลาไป ใจอาดูร
กลับเบื้องสูง มุ่งยัง… ชั้นปรนิม
₀ O ₀

 8 
 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 08:08:AM 
เริ่มโดย kapheetam - กระทู้ล่าสุด โดย kapheetam
ผ่านทุ่งแฝก แพรกหญ้า คาขนัด
มาพบปะ กับดง วงศ์ไม้ใหญ่
มะค่าคูน พะยูงสัก มะพลับไทร
เต็งรักใหญ่ ไข่เน่า กันเกรารัง
กระโดนกร่าง ยางกว้าว ช้างน้าวฝาง
แดงแข้งกวาง จันทร์ตะโก โพธิ์มะสัง
ต่างสูงเสียด เบียดแข่ง แย่งแสงกัน
ดูแล้วพรั่น หวั่นใจ ให้พิกล
พอเลยพ้น ดงไม้ น้ำลายสอ
เห็นหว้ายอ ตะคร้อปรู พรูดอกผล
มะเฟืองใกล้ มะไฟหวาน มะปรางมะยม
ฝรั่งกลม ส้มสาลี่ มีมากมาย
พันธุ์มะม่วง นวลแตง งาแดงล่า
คำจำปา กาละแม แลไสว
คุมันแห้ว แก้วลืมคอน ทองทวาย
ทูลถวาย สายฝน ปนลูกกลม
ผลไหนงอม หอมหวาน ซาบซ่านจิต
ลิงค่างปลิด บิแบ่ง แย่งกันขรม
ผลไหนอ่อน ค่อนดิบ จิกไม่ลง
เขวี้ยงทับถม จมดิน ทิ้งมากมาย
หมู่นกกา ถลาร้อง ก้องไพรป่า
โฉบกินหว้า เสียงจ้าขรม สมใจหมาย
กวางเหลียวหลัง หันดู หมูเกือกทราย
เจ้าลายใกล้ กรายย่อง จ้องมองกวาง
หมีหมาป่าย ไต่คบ พบรวงผึ้ง
กระชากดึง ทึ้งกิน ชิมรสหวาน
มดแดงเขลา เฝ้าชะแง้ แลอยู่นาน
พลาดรสหวาน ฝันค้างคอย พลอยเสียดาย
ผ่านไม้ผล ดงใหญ่ ใคร่ทรุดเข่า
มองเห็นเขา ยาวยืด พืดเป็นสาย
ตระหง่านล้ำ ค้ำฟ้า สุราลัย
ทำไฉน ให้หนักใจ ไปทีเดียว
ถึงเขาขวาง แต่สองท่าน ไม่พรั่นหยุด
ต่างเร่งรุด บุกตะกาย ไต่ลดเลี้ยว
มือเหนี่ยวน้าว เท้าถีบยัน เข้ากันเชียว
เพียงประเดี๋ยว เดียวเผ่น ไม่เห็นเลย
พอหลุดผา เห็นเบื้องหน้า พาตระหนก
แสนวิตก อกใจ ใคร่เฉลย
ผืนทรายห้อม ล้อมปิด ทุกทิศเลย
ยากจักเอ่ย เผยปาก ลำบากทน

สองมหา ฝ่าฟัน ประจัญบุก
ผ่านทะลุ ทุกด่าน พลางสุขสม
ถึงสมุทร สุดไกล ไร้ผู้คน
จึงหยุดลง ปลงบริขาร สำราญใจ
นั่งชายหาด อาบลม ชมเกลียวคลื่น
ฟังเสียงครืน ชื่นจิต พิสมัย
ความลำบาก ตากตรำ ที่กรำกาย
ก็มลาย หายหลุด ช่างสุขจริง
พอกำลัง วังชา กลับมาหมด
จึงกำหนด จดใจ ในกสิณ
จ้องเขม็ง เพ่งไป ในวาริน
คลื่นม้วนกลิ้ง พลันนิ่งแยก แตกเป็นทาง
เกิดมรรคา แทรกผ่า มหาสมุทร
สองสงฆ์บุก รุดไป ไม่เกรงขาม
พอคล้อยผ่าน น้ำบรรจบ กลบหลังตาม
ถึงกึ่งกลาง ชลาลัย ให้ลานตา
เห็นสัต พิธรัตน์ ประดับปราสาท
งามพิลาส วาบวาว พราวแสงจ้า
ไพฑูรย์เพชร เกล็ดทับทิม กลิ้งกลอกตา
ทองประพาฬ มุกดาเงิน ชวนเพลินมอง
ซุ้มทวาร บานใหญ่ วิไลนัก
แกะสลัก ยักษ์ลิง สิงห์ไกรสร
เหมราช นาคกบิล กินนร
เทพอัปสร มกรม้า สัมพาที
โตพารณ พรหมพงศ์ ดุรงค์พยัคฆ์
วิรูปักษ์ ทักทอ นรสีห์
ติณสีหะ สดายุ ครุฑอินทรี
ต่างเปล่งสี มีประกาย ลวดลายบัน
ผ่านทวาร ถึงกลาง ปรางค์ปราสาท
ใจหายวาบ เห็นซากมี บนที่นั่ง
ผอมแห้งเหลือ เสื้อผ้าขาด ขัดตะหมาดภวังค์
พริ้มตานั่ง บัลลังก์ทอง ผ่องอำไพ
สองครูบา หันมา สบตาคิด
ก่อนจักปริ ปากเอ่ย ภิเปรยไข
ถึงโทษทัณฑ์ ท่านมุนี มีติดกาย
เนื่องมิได้ ใกล้หมู่ อยู่สามัคคี
อาวุโส ขาดอุโบสถกับสงฆ์
มาปลีกองค์ ปลงกาย คล้ายหน่ายหนี
เช้าจดค่ำ นั่งสบาย ใต้นที
ลืมหน้าที่ พี่น้อง ครรลองธรรม
จึงสงฆ์เห็น เป็นผิด ติดอาบัติ
ต้องโทษปรับ เข้าผลักมาร จ้องหยามหยัน
อย่าให้กวน ป่วนที่ พิธีกรรม
ขอองค์ท่าน รับคำ แล้วดั้นจร
อรหันต์ ลือลั่น สนั่นฤทธิ์
ฟังครูบา ตำหนิ จิตคลายถอน
ออกสมาธิ พิศมหา เพ่งตามอง
ไม่ยอกย้อน ยอมความ ตามกลับไป

ครั้นถึงวัน ลั่นฤกษ์ เปิดสโมสร
พสกนิกร พร้อมพรั่ง ต่างหลั่งไหล
รอเสด็จ นโรดม พระทรงชัย
ณ ลานใหญ่ ใกล้ปะรำ ทำพิธี
ได้เวลา ยาตรพล สถลมารค
อโศกราช อาจอง สมศักดิ์ศรี
ห้อมล้อมด้วย ทวยอำมาตย์ ปราชญ์มากมี
ดุจโกสีย์ เทวราช มากเดชา
ริ้วขบวน ส่วนหน้า กองม้าแกร่ง
แต่งชุดแดง แกมชมพู ดูสง่า
ถัดสังคีต ดุริยางค์ ย่างตามมา
งามเจิดจ้า ชุดผ้าขาว ก้าวบรรเลง
พลเดินเท้า พราวระยับ ช่างจับจิต
เกราะสัมฤทธิ์ สนิทกาย เลื่อมพรายเห็น
มือกุมดาบ พาดบ่า น่ายำเกรง
ตบเท้าเน้น เด่นสะท้าน กังวานไกล
ราชรถ โสฬสม้า ตามมาห่าง
เว้นช่องว่าง รถสมภาร อาจารย์ใหญ่
บริพาร นางกำนัล คันถัดไป
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
พอถึงหน้า พลับพลา รถม้าหยุด
นริศลุก ผุดลง ตรงเข้าหา
แท่งเจดีย์ ที่สลัก หลักธัมมา
จุดบูชา ประทีปเสร็จ เสด็จปะรำ
นั่งประธาน งามเด่น เห็นสง่า
ปวงประชา หน้าระรื่น ชื่นสุขสันต์
เปลวเทียนไข สยายแสง แรงแข่งกัน
เหมือนหนึ่งดัง ธรรมเรืองโรจน์ โชติตระการ

ณ เวลาเดียวกัน เบื้องชั้นฟ้า
เทพราชา มาราธิราช ปราศสุขศานต์   
ตั้งแต่พ่าย องค์บพิตร พิชิตมาร
ก็ฟุ้งซ่าน พล่านจิต คิดเอาคืน
ครั้นทราบกาล งานพิธี มีกำหนด
ธ ปรารภ สบถไป ใจครึกครื้น
ครั้งนี้แล จักขอแก้ แพ้กลับคืน
เปลี่ยนพลิกฟื้น คืนเห็น เป็นมีชัย
จึงวันงาน พานแผลง สำแดงเดช
ยังอาเพศ เสกลม ฮือโหมใส่
ฟ้ามืดมัว สลัวแสง แห่งเทียนชัย
มวลไม้ใหญ่ สะบัดไกว ไปตามลม
สายวิชชุ ปะทุแตก แลบพรึบพรับ
ตามสลับ กับฟ้าก้อง คะนองขรม
บัดเดี๋ยวเปรี้ยง เสียงฟาด วาบจ้าจน
ไท้ผู้คน อลหม่าน พลุ่งพล่านใจ

บัดนั้น…
พระอุปคุต ผุดผ่อง ผู้ต้องโทษ
มองฟ้าโกรธ พิโรธผ่า น่าสงสัย
จึงกำหนด จดจิต เพ่งพิศไป
เห็นมารใหญ่ ในนิมิต คิดก่อกวน
พระคุณเจ้า เฝ้ามาร พาลสับปลับ
ทรงตบะ เดชะยิ่ง ศีลครบถ้วน
พลันออกโอษฐ์ โจษแก้ ลมแปรปวน
ขอจงหวน ทวนกลับ หายดับไป
กาลบัดนั้น ฟ้ามืดดำ ฉับพลันขาว
พร่างสกาว วาวงาม อร่ามใส
แสงเทียนที่ หรี่คล้อย พลอยกลับกลาย
เปลี่ยนเป็นใหญ่ ประกายเปล่ง เด่นกว่าเดิม
มวลประชา เห็นลมบ้า ล้าสงบ
คลายวิตก อกใจ ให้ฮึกเหิม
ก้องไชโย โห่รับ กลับเหมือนเดิม
ต่างรื่นเริง เพลินงาน สำราญใจ
ท้าวพาลา หน้าฉงน พิกลแท้
ใครหนอแน่ แก้มนต์ ของตนได้
เห็นสงฆ์เจ้า เฝ้าประจัน พลันเข้าใจ
จึงโกรธใหญ่ ร้องท้าไป ได้เห็นกัน
บัดนั้น พญามาร พลุ่งพล่านจิต
บันดาลฤทธิ์ นิมิตกาย ให้กลายผัน
เป็นโคถึก คึกกระโดด โลดแล่นพลัน
ควบตะบัน ดุดันบ้า ฝ่าพิธี
องค์เถระ พรักพร้อม ไม่ยอมช้า
แปลงกายา ถลาติด ประชิดรี่
เป็นพยัคฆ์ สกัดขวาง ทางคาวี
โคบัดสี หันรีเบ้ เหทิศทาง
เจ้าเสือโคร่ง โฮ่งคำราม โจนตามติด
วััวตีนขวิด จิตสั่น พรั่นเกรงขาม
สะดุดพื้น ลื่นถลอก ออกนอกทาง
วิ่งตาลาน หางชี้ หนีห่างไกล
มารเคืองแค้น แปลงเห็น เป็นพญานาค
ส่ายผงาด วาบเพชร เกล็ดวาวใส
มีเจ็ดเศียร เวียนสลับ ฉกกลับไป
พยัคฆ์ใหญ่ ไวเหลือใจ กลายสุบรรณ
ครุฑสยาย คลายปีก หลีกเลี่ยงหลบ
นาคเวียนฉก ประกบตาม ไม่ห่างหลัง
กาศยป ผงกพลิก จิกศอพลัน
นาคาพลั้ง ถลำพลาด ถูกคาบไป
ห้อยนภา ถลาร้อง ท้องเกลียวบิด
ปากครุฑจิก ติดถึงโคน เลือดข้นไหล
หมดแรงดิ้น สิ้นแรงสู้ งูกลับกลาย
เป็นยักษ์ร้าย กายป่อง พองนัยน์ตา
ควงกระบอง ทองแดง กวัดแกว่งโผน
ก้องตะโกน โจนถึง ขมึงหน้า
ไม่เอ่ยคำ รำไหว้ ให้เสียเวลา
เพียงพริบตา ยักษากราด ฟาดระนาว
ท้าวเวนไตย ไถลหาย กลายยักษ์บ้าง
สูงตระหง่าน กร่างพอง ถึงสองเท่า
โถมเข้าหา ยักษามาร พลางฟาดเอา
ด้วยแท่งเสา ยาวใหญ่ ใส่กบาล
ยักษาเตี้ย เสียขวัญ ไม่ทันหนี
ถูกหวดตี ศีรษะลั่น สั่นทั้งร่าง
ทรุดทาบดิน สิ้นกำแหง แปลงกลับมาร
นั่งหน้าม้าน ทนหยามหลู่ อดสูใจ


 9 
 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 08:05:AM 
เริ่มโดย kapheetam - กระทู้ล่าสุด โดย kapheetam
วสวัตตีมาราธิราช (ภาคจบ)

กาลวันคร่า พร่าผลาญ ลาญทุกสิ่ง
กลบกลืนกิน สิ้นแม้ซาก ยากแก้ไข
ล้วนเกิดดับ กลับเปลี่ยน หมุนเวียนไป
พ้นวิสัย ใครจักฉุด ให้หยุดลง
พุทธกาล ล่วงคล้อย สองร้อยเศษ
หลากประเทศ เขตมัชฌิม สิ้นสุขสม
เกิดข้าวยาก หมากแพง แก่งแย่งสะดม
ซ้ำฟ้าฝน พิกลแกล้ง แล้งเหลือใจ
ผลหมาก รากไม้ ก็ตายสิ้น
ทรุดทาบดิน อิงพาด ยากฟื้นหาย
ภัยสงคราม ตามกระหน่ำ ระส่ำไป
มองทางไหน ให้อนาถ โลกขาดธรรม
ไฟกิเลส เฉกพาล เข้าผลาญจิต
เปลี่ยนความคิด พลิกใจ ให้กลายผัน
ความเมตตา อารี ที่มีกัน
พลันสะบั้น บั่นไป ไม่ไยดี
ญาติพี่น้อง ผองเพื่อน ก็เบือนจาก
ทิ้งรกราก เพราะยากทน ซมซานหนี
พ่อจูงบุตร ฉุดกันไป ในพงพี
ปู่อุ้มหลาน ตามติดรี่ ลี้หลบพลัน
กองทหาร พาลผยอง คะนองศึก
อึกทึก ครึกโครม โจนถลัน
พุ่งซัดแหลน แทงหอก หลอกล่อฟัน
ดาบพลิกผัน ตะบันฆ่า ไม่ปรานี
ห่าธนู พรูไป ไฟลุกร่า
ตกหลังคา หญ้าฟาง ร้างบ้านหนี
เสียงแตรฆ้อง กลองสนั่น สั่นธรณี
เสียงเกือกม้า บีฑาปรี่ ผงคลีคลุม
ไฟไหม้เรือน เคลื่อนลาม ฉางยุ้งข้าว
แสนปวดร้าว เศร้าใจ ดั่งไฟสุม
เห็นฝาบ้าน สะท้านแตก แหลกเป็นจุณ
เหมือนกระสุน พุ่งกลาง หว่างดวงใจ
หมู่วัวควาย ตะกายโผน กระโจนดะ
ส่ายเปะปะ สะบัดขวิด โลหิตไหล
ข้ามคอกได้ หงายกลิ้ง วิ่งอ้าวไป
พริบตาหาย ลับกายไกล ไฟลามเลีย
พวยเมฆควัน ดำขยาย หลายท้องทุ่ง
ดั่งขยุ้ม มือมาร พานใจเสีย
ผัวระทม ทนทุกข์หนัก พลัดพรากเมีย
ลูกสูญเสีย พ่อไป ไร้แม่พิง
ศพทับถม จมดิน ดับสิ้นอนาถ
บ้างไร้หัว ตัวขาด ปากบิดผิน
บ้างทะลัก ไส้ไหล หมาในกิน
บ้างนอนลิ้น ปลิ้นปาก อาบเปลวไฟ
เหล่าแร้งกา เริงร่า กระสากลิ่น
เกลือกกลิ้งดิน กินศพ หมกซุกไซ้
เจ้าคอแดง แรงมาก ลากไส้ไกล
กาดำไล่ ใคร่แบ่ง แย่งแร้งกิน
ทั่วแผ่นดิน สิ้นสุข ทุกข์ครอบหมด
แสนรันทด อกใจ ให้ถวิล
อดีตวัน ผันผ่าน ช่างสุขจริง
ฤาจักทิ้ง ทอดไป ไม่คลายคืน

อนิจจัง วันเวียน หมุนเปลี่ยนผัน
ความระกำ ช้ำทุกข์ สุดจักฝืน
ในที่สุด ก็ผลุบหาย ไม่กรายคืน
ความสดชื่น ฟื้นมา ผาสุกใจ
ผลหมาก รากไม้ ที่ตายดับ
ก็ขยับ กลับเกิด บรรเจิดใส
ฝนจากหยุด พลันผุดตก กลบแล้งไป
มองทางไหน ให้ระรื่น ชื่นชีวัน
มวลหมู่ไม้ รายแยก แตกกิ่งช่อ
ซุ้มพุ่มกอ ละออเด่น เปล่งสีสัน
สยายปริ ผลิบาน ประสานกัน
งามเฉิดฉัน ประชันแข่ง แกว่งลมไกว
เหล่าภมร หนอนไหม ที่ตายสิ้น
ก็กลับบิน ผินว่อน ร่อนซุกไซ้
ดูดน้ำหวาน สำราญเปรม เอมอิ่มใจ
กรีดเสียงใส ระเริงไพร ไปทั่วกัน
ฝูงวิหค นกน้อย เคยคล้อยจาก
หนีลำบาก จำพรากถิ่น บินเหหัน
ต่างคืนหวน ชวนกลับ ทับรวงรัง
เพลินสุขสันต์ กันถ้วนหน้า หาหนอนกิน
ฝ่ายแร้งกา หน้าสลด เริ่มอดอยาก
ต้องเหงาปาก ยากแค้น แสนถวิล
เคยอิ่มหนำ พลันอด ไร้ศพกิน
คงแดดิ้น สิ้นใจ ในไววัน

ณ แว่นแคว้น แดนมคธ พสกศานต์
สิ้นสงคราม คามเขต ดุจเสกสรรค์
ธรรมเรืองโรจน์ โชติตระการ บานเบ่งครัน
ทุกข์โศกศัลย์ พลันดับ สงัดไป
องค์ธรรมา โศกราช ผู้อาจศึก
ทรงตรองตรึก สำนึกผิด คิดแก้ไข
ที่เคยพลั้ง ผิดฆ่า บ้างมงาย
ชนมากหลาย ต้องมลาย วายชีวัน
เคยก่อบาป หาบกรรม ประดังผิด
เคยครุ่นคิด แต่จักฆ่า ให้อาสัญ
ก็ระงับ ดับคลาย หายไปพลัน
จิตสุขล้ำ เพราะได้ธรรม ชี้นำใจ
จอมราชา ทรงศรัทธา อุตสาหะ
ให้สลัก หลักเจดีย์ ศรีไสว
เป็นบทธรรม นำสุข ปลุกปลอบใจ
จารึกไว้ ในศิลา ค่าควรเมือง
เพื่อผองชน คนหลัง ไม่พลั้งผิด
มีสติ ดำริธรรม นำฟูเฟื่อง
รวมแปดหมื่น สี่พันหลัก ปักรอบเมือง
เปรียบเสมือน เครื่องเตือนใจ ให้ระวัง

ครั้นสำเร็จ เสร็จดี มีประกาศ
ให้ทวยราษฎร์ ทุกภาคส่วน ร่วมสังสรรค์
ทั่วถิ่นแคว้น แดนอโศก สมโภชกัน
เช้ายันค่ำ วันแลคืน เริงรื่นใจ
กำหนดกาล งานพิธี มีต่อเนื่อง
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันครบ จึงจบได้
ร่วมเถลิง เริงสราญ ชื่นบานใจ
ให้ลือลั่น สนั่นไกล ไปทั่วแดน
ทรงบัญชา เสนา มหาอำมาตย์
มวลนักปราชญ์ ปราดเปรื่อง กระเดื่องแคว้น
เข้าปรึกษา หายาม ตามแสดง
ติดแถลง แจ้งประกาศ ให้ทราบกัน
แม้ยามนอน มหิธร ยังตรองกิจ
ปลาบปลื้มจิต ดำริงาน พลางสรวลสันต์
คิดไปมา พาตระหนก อกสั่นพลัน
ให้คร้ามครั่น หวั่นใจ เกรงภัยมาร

จึงเสด็จ อาราม ถามพระสงฆ์
เรื่องกังวล ลนใจ ให้เกรงขาม
จักเป็นดั่ง ดังนิมิต พิศเห็นมาร
ฤาฟุ้งซ่าน พล่านจิต คิดไปเอง
องค์สงฆ์ใหญ่ ใฝ่ธรรม ฟังดำรัส
พริ้มตาหลับ จับยาม บันดาลเห็น
พญามาร พาลกล้า น่ากลัวเกรง
ลอยมาเด่น เป็นลางร้าย กล้ำกรายงาน
จึงเอื้อนตอบ บอกเอ่ย เฉลยไข
ถึงมารภัย ใจกล้า น่าเกรงขาม
เข้ากวนแน่ วุ่นวายแท้ แต่เริ่มงาน
ยากพ้นผ่าน ต่างต้องเห็น เป็นแน่นอน
แล้วจึงเล่า เรื่องราว เท้าความหลัง
ครั้งเมื่อยัง องค์ท่านครู อยู่สั่งสอน
โปรดเวไนย ให้สลัด ตัดทุกข์รอน
ขนรื้อถอน ผองกิเลส ให้เฉดไกล
มีคราวหนึ่ง ซึ่งพระองค์ ทรงปรารภ
ถึงพยศ ซ่อนกบดาน มารวิสัย
ภายหน้าจัก กลับมา แก้ปราชัย
ที่แพ้ไว้ เพราะใจคิด ผิดจากธรรม
เนื่องจากเหตุ กิเลสหนุน คุกรุ่นจิต
ปรุงแต่งคิด ดำริพาล พานหุนหัน
ยิ่งนานเนา โกรธเข้าแทรก จนแตกธรรม
ล่วงถลำ หันออก นอกทางไป
แลครั้งนั้น ท่านว่ามี มุนีพิสุทธิ์
นามอุปคุต ภิกษุเจ้า เข้าผลักไส
กำราบมาร พาลพ่าย ทั้งกายใจ
จนถึงได้ คลายผิด มุ่งชิดธรรม
องค์ภูมี ปรีดิ์เปรม เกษมสุข
ปลดเปลื้องทุกข์ หลุดหาย คลายโศกศัลย์
แต่สงสัย ในหลักแหล่ง แห่งอาจารย์
จึงตรัสถาม ถึงสงฆ์เลิศ ประเสริฐคุณ
ว่าครูบา ฤทธิ์กล้าพัก สำนักไหน
ทำอย่างไร ให้ท่านเชื่อ มาเกื้อหนุน
ขออาจารย์ ประทานตอบ บอกเอาบุญ
แม้นจักยุ่ง วุ่นหา จักฝ่าไป
องค์เถระ ศักดิ์สูง ประยูรสงฆ์
ก็อับจน พ้นสามารถ มิอาจไข
จึงบัญชา บรรดาศิษย์ ทั่วทิศไป
รีบรวมกลุ่ม ประชุมใหญ่ โดยไวพลัน

ลำดับนั้น ธรรมสภา มากหน้าสงฆ์
มีหลายองค์ ทรงถึง ซึ่งอรหันต์
ต่างเพ่งฌาณ ควานหา ให้พัลวัน
จนกระทั่ง พลันรู้ ท่านอยู่ใด
สังฆราช ครั้นทราบ ไม่ยากสั่ง
ให้สองท่าน ลือลั่นฤทธิ์ ลูกศิษย์ใหญ่
จัดจีวร จรพลัน ในทันใด
อย่าไถล เฉไฉออก นอกเส้นทาง
สองเถระ รับฟัง คำโอวาท
วันทากราบ ถอยจากไป ไม่ท้วงถาม
กลับห้องหับ จัดเสบียง เตรียมเดินทาง
บาตรบริขาร ย่ามขัน พลันยาตรา
กำหนดทิศ มุ่งคิดไป ไว้เป็นหลัก
ไม่เลี่ยงหัก ตัดตรง แม้นดงผา
อาคเนย์ ไม่เหออก นอกมรรคา
สองมหา ฝ่าเผชิญ ดำเนินไป

ผ่านตลาด แผงหาบร้าน ย่านการค้า
รายเสื้อผ้า  ปลาผัก  สัตว์น้อยใหญ่
หลากถ้วยโถ  โอชาม  วางคละไป
ผลไม้ ทะลายหมาก กลาดเกลื่อนดิน
เสียงพ่อค้า ร้องหา ลูกค้าเอะอะ
เสียงปี่กรับ ขับสำเนียง เพียงแลกสิน
เสียงเด็กร้อง คะนองโดด โลดโผนจริง
เสียงคนทิ้ง อายสิ้น วิ่งขอทาน
จนเลยล่วง ช่วงปลาย ท้ายถนน
เริ่มเห็นดง ไม้ใหญ่ แผ่ไพศาล
ให้ระรื่น ชื่นตา พาชื่นบาน
บ้านเริ่มห่าง กว้างไกล ไม่ใกล้กัน
พอเย็นย่ำ ค่ำพลบ จุดคบไต้
หยุดพักกาย ชายชัฎ พักธาตุขันธ์
เข้าสมาธิ ตริตรึก ฝึกฝนธรรม
เช้าผลุนผลัน ชวนกันปลุก บุกฝ่าไป


 10 
 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2024, 06:03:PM 
เริ่มโดย kapheetam - กระทู้ล่าสุด โดย kapheetam
พระทศพล ปลงกรรม ธรรมสังเวช
ถึงกิเลส เฉกพาล มารวิสัย
จึงเอื้อนโอษฐ์ โปรดถาม ถึงความนัย
เหตุไฉน หนอทำไม ไยกีดกัน
โพธิ์บัลลังก์ เรานั่ง ดั่งเห็นนี้
บังเกิดมี ด้วยกุศล ดลสร้างสรรค์
ของเราที่ สั่งสมมา คราปางบรรพ์
ไยมารท่าน นั้นจึงแสร้ง แกล้งเบือนไป
กุศลกรรม ที่เราทำ จำฝังจิต
เกินพ้นฤทธิ์ แห่งมาร หาญสงสัย
สี่อสง ไขยแสนกัป หากนับไป
ขออย่าได้ ใฝ่ภัย ใส่ตนเอง
มารหน้าแดง แค้นประดัง ฟังประกาศ
แสร้งเกรี้ยวกราด ปากกลบเกลื่อน  หน้าเจื่อนเห็น
สี่อสง ไขยเท่าใด ใครเล่าเกรง
ยกตัวเด่น เก่งปากคำ น่าชังจริง
อ้างบุญทาน ไหนพยาน ประทานบอก
จะขอสอบ ปากฟัง คำผิดศีล
หญิงหรือชาย ไปอยู่ไหน ใคร่รู้จริง
ไยจึงนิ่ง ทิ้งหาย ไม่กรายมา
เราซิมาก บุญนำ ไม่ทำกร่าง
เปี่ยมศีลทาน นานเนา เฝ้ารักษา
จนลือลั่น เจ้าสวรรค์ ชั้นกามา
มารทั่วหล้า มากหน้าเห็น เป็นพยาน
แท่นบัลลังก์ อันสูงค่า เบื้องหน้านี้
มิได้มี ที่ไว้ขลุก สนุกสนาน
จงรีบน้อม พร้อมคืนเรา เหล่าพวกมาร
ขืนดื้อด้าน จะประหาร ผลาญให้ตาย

พระทศพล ทรงญาณ ฟังมารอวด
ยกผนวก พวกพยาน พาลมากหลาย
จึงตอบถ้อย ร้อยความ ประทานไป
เรานี้ไม่ ได้มี สักขีพยาน
แต่ครั้งเรา เฝ้าทำทาน นานนับชาติ
มีประหลาด มากล้น จนคนขาน
คราเมื่อพระ เวสสันดร ยอมอกลาญ
องค์อินทร์หาญ ตามง้อ ขอมัทรี
ธ สุดช้ำ ลำเค็ญ เข็ญใจมาก
จำบริจาค บาทบริจา มารศรี
หวังเสริมสร้าง ถากถางทาง ทานบารมี
เพื่อจักหนี ลี้ผ่าน ข้ามภพภัย
แลครั้งนั้น อัศจรรย์ พลันบังเกิด
กุศลเลิศ ประเสริฐทาน บานเบ่งใส
ผืนแผ่นดิน สิ้นอดกลั้น ตื้นตันใจ
สะเทือนไหว สะท้านไกล ไปทั่วกัน
เหมือนจักแจ้ง สำแดงเป็น เช่นสักขี
ให้ภูมี คลายที่ มีโศกศัลย์
ธรณี ขานรับคุณ บุญอนันต์
จึงไหวสั่น ลั่นเจ็ดครั้ง ดังก้องไกล
มาบัดนี้ นั่งเหนือที่ โพธิอาสน์
อริราช เกรี้ยวกราดมอง จ้องผลักไส
พสุธา มาสงบ เหมือนหลบไป
เหตุไฉน ไม่เอื้อนตอบ บอกออกมา

สุนธรี วนิดา เพลานั้น
ได้ยินคำ พระดำรัส ตรัสเรียกหา
จึงเผยกาย คลายจากดิน ผินหน้ามา
กราบทูลว่า บุญรักษา ฝ่าพระองค์
ข้าพระบาท ทราบมานาน ทานบุญเลิศ
แสนประเสริฐ พระเลิศญาณ นานสะสม
ทักษิโณ ทกทุกหยด หยาดตกลง
เกศมวยผม ข้าพระองค์ สั่งสมมา
มากเพียงไหน เท่าใดนัก จักให้เห็น
ประจักษ์เป็น เช่นพยาน มารเรียกหา
ขอพระองค์ ทรงนั่งพัก ทัศนา
พลางผินพักตร์ กลับมา เบื้องหน้ามาร

บัดนั้น พระธรณี นารีรัตน์
รีบสะบัด จัดโมลี มีไพศาล
คลี่สยาย คลายออก รอบวงศ์มาร
รัดสมาน ผสานเค้น เป็นนที
เพลานั้น ให้บันดาล พล่านสับสน
เหล่ามารพล โกลาหล อึงอลหนี
เสียงสนั่น ลั่นแตก แยกปฐพี
ดุจเภรี ตีซ้ำ ย้ำทำนอง
ไหวสะเทือน กระเพื่อมฟ้า นภากาศ
อัสนีบาต ฟาดกลาง มารทั้งผอง
ธรณี เอียงรี่ทรุด ยุบเป็นคลอง
น้ำบ่าล้อม ไหลต้อนมาร ผลาญพร่าพลัน
ท่วมทะลัก พัดกระจาย มลายสิ้น
ตกแผ่นดิน หล่นกระสินธุ์ ดิ้นเหหัน
คลื่นทับโครม มารโจนหนี ลี้หลบกัน
ต่างรีหัน พรั่นผวา คิดลาไกล
บ้างโดดเลาะ เกาะไต่ ตะกายควั่ก
บ้างฉวยจับ ตะพักหยุด ยั้งหลุดไหล
บ้างร่วงหาย วายชนม์ จมน้ำไป
มารน้อยใหญ่ ต่างพล่านไป ทั่วไพรวัน
คลื่นใหญ่ซัด พัดพา ถลากลิ้ง
กลบกลืนกิน จมแดดิ้น สิ้นอาสัญ
หมู่ปลาร้าย ไล่คะนอง ซ้ำสองพลัน
เข้าฮุบหลัง ขย้ำขา น่าเสียวใจ
คชสาร คิริเมล์ ซวนเซซัด
ถูกคลื่นยักษ์ ทับทั้งยืน พลั้งลื่นไหล
ต้องเสียหลัก น้ำพัดฉุด หลุดลอยไป
ท้าวมารใหญ่ ให้ตกใจ ไหวโดดทัน
ธ สุดฝืน ยืนโต้คลื่น ครืนครืนซัด
เหลียวมองสรรพ พลมาร พลางโศกศัลย์
ต้องมลาย ล้มหาย ตายจากกัน
อย่างบ้าคลั่ง ด้วยบาปกรรม นำจากเรา

(จิตถอนคลาย)
บัดนั้น พญามาร ร้าวรานจิต
สำนึกคิด ผิดกระทำ กรรมแผดเผา
สร้างบาปใหญ่ ก่อแต่ภัย ใจมืดเมา
แล้วใครเล่า จักเฝ้าไป รับใช้เวร
กายเข้าทำ จากใจนำ ทำความผิด
หากย้อนคิด จิตโดดเดี่ยว ถูกเคี่ยวเข็ญ
ตกระกำ ลำบาก ในบาปเวร
กายหลีกเร้น บ่เห็นหาย เมื่อตายพลัน
โอ้ตัวเรา ช่างโง่เขลา เมากิเลส
เห็นวิเศษ เสพแต่กรรม นำโศกศัลย์
ที่ทรงฤทธิ์ มหิทธิเดช เหตุบุญทำ
แต่ใช่ว่า จักนิรันดร์ เหมือนดั่งใจ
สิ้นบุญพา ภพข้างหน้า ช่างน่าคิด
สั่งสมผิด ติดบาป ยากแก้ไข
สรวงสวรรค์ นั้นคงหาย อย่าหมายไป
นรกไซร้ ไม่ไกลแน่ แท้ตัวเรา
มาบัดนี้ ตาสว่าง กระจ่างแจ้ง
โกรธเคยแรง แค้นเคยลน จนมืดเขลา
เหมือนถูกพราก ลากไป ไกลจากเรา
สองเท้าก้าว เข้าฝั่ง นั่งบังคม

บัดนั้น พระทรงชัย ไตรโลกนาถ
ปราศจาก วิบากใด ให้สุขสม
เห็นท้าวมาร ร้าวรานเศร้า เฝ้าทุกข์ตรม
จึงเสริมส่ง ด้วยองค์ธรรม โน้มนำใจ
ว่าดูก่อน พญามาร ปล่อยวางผิด
จงอย่าติด เรื่องผ่าน พานหวั่นไหว
อดีตลับ ไม่กลับคืน อย่าฝืนใจ
เริ่มต้นใหม่ ใฝ่กระทำ แต่กรรมดี
ภพข้างหน้า อีกนานช้า กว่าจะถึง
มัวคำนึง ถึงไป ไยใช่ที่
เสียเวลา พาเขลา ไม่เข้าที
ควรฤาที่ มีแต่เศร้า เฝ้าทำลาย
จงอยู่กับ ปัจจุบัน น้อมนำจิต
หมั่นดำริ ตริธรรม ทำไฉน
จักละโลภ โกรธหลง ปลงจิตใจ
มรรคาไหน ศีลข้อใด ใช้นำพา
ทุกข์กำเนิด เกิดเพราะใจ ไม่เคยหยุด
นิรทุกข์ แค่หยุดใจ ไยเสาะหา
เหตุเช่นไร ให้ผลนั้น นั่นธรรมดา
หมดเหตุหนา จึงจักพา ผาสุกใจ
พญามาร ได้ฟังความ เบิกบานจิต
สิ้นทิฐิ ดำริธรรม พลันผ่องใส
บรรจงกราบ บาทองค์ พระทรงชัย
แล้วถอยหลัง เหาะกลับไป ใจเพริศธรรม

เพลานั้น ยังเบื้องหลัง สันบรรพต
เหล่าเทพหลบ มารภัย ใจโศกศัลย์
บ้างผุดลุก ผุดนั่ง หวั่นหวาดทัณฑ์
บ้างชะแง้ แลหลัง ระวังภัย
ใจหนึ่งอยาก ข้ามฟาก จากไปช่วย
แต่กลัวม้วย มรณา พาผลักไส
ใจหนึ่งคิด ถึงถูกผิด จิตป่วนไป
ทำไฉน ทุกข์เหลือใจ ไปทั่วกัน
ครั้นพอทราบ ชาติพาล มารยิ่งใหญ่
เหาะกลับไป ไม่สู้หน้า พาสุขสันต์
ต่างตะโกน โจนร้อง แซ่ซ้องประชัน
สาธุการ กันพร้อมพรั่ง ดังก้องไพร
ถกปรารภ โจษจัน ทั่วกันลั่น
อัศจรรย์ พระทรงธรรม เลิศล้ำไฉน
อนันต ชินราช ราพณ์พ่ายไกล
นามนี้ให้ ได้พลัน แต่นั้นมา
เหล่าปวงเทพ เทวา ต่างผาสุก
ปลดเปลื้องทุกข์ สุขฤทัย ไปทั่วหน้า
ต่างเพรียงพร้อม น้อมกราบ พระศาสดา
แล้วลับกาย หายหน้า ลากลับวัง
ได้เวลา สายัณห์ ตะวันตก
พระผ่านภพ หมดภัย ใจสุขสันต์
สงบเหลือ เหนืออาสน์ บาทบัลลังก์
แว่วสำเนียง เสียงจักจั่น ลั่นราวไพร
หมู่วิหค นกกา ลาบินกลับ
รวงรังรัก พักคอน นอนหลับใหล
เย็นระรื่น คืนค่ำ ดื่มด่ำใจ
เพลินลมไหว งามไม้ไกว..... ใต้แสงจันทร์
  

หน้า: [1] 2 3 4 5 ... 10

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s