รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
20 เมษายน 2024, 11:34:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: 1 [2] 3
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง  (อ่าน 78183 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
02 มกราคม 2013, 10:03:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #20 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 10:03:PM »
ชุมชนชุมชน

ยามข้าวรวงพรากทุ่งทิ้งนา
(ทิ้งซากซังซับน้ำตาปลอบชาวดิน)

ข้าวทิ้งซังเกลื่อนซากเรี่ยรายทุ่ง
เหลืองเมล็ดตวงถุงมาตากเหลือง
ทิ้งซังเศร้าซบทุ่งอยู่นองเนือง
ข้าวน้ำปรังเกลื่อนเหลือง ณ ลานดิน

เหลืองข้าวพูนลานตากละลานตา
คือดอกเหงื่อ, ฝันชีวาใครเฝ้าถวิล
คือดอกดินชุบแพรกวิถีใน-อยู่-กิน
คือดอกงานปั้นฝุ่นชินของชาวนา

เมล็ดข้าวรวงพรากนาไกลทุ่งถิ่น
เพลินโบยบินล่องไกล-สุดหนหา
เหนื่อยไหมข้าววเนจรไกลสุดตา
ในแรมไกล, กี่ถิ่นนครา-กี่ฟ้าดาว

“...ข้าวเปลือกเอย, ขอสักกอบคืนนาทุ่ง
ข้าวเปลือกจ๋า, ขอสักกระบุงคืนยุ้งเปล่า
ข้าวเปลือกเอ๋ย, ขอสักกำสืบพันธุ์ข้าว
ข้าวเปลือกเจ้าขา, ขอชาวนาแค่สักหุง...”

กี่หยดเหงื่อกี่ยกงานกี่ผาลไถ
กี่ย่ำวารกี่ย่ำไถงหลายย่ำพรุ่ง
กี่เม็ดเงินกี่เม็ดปุ๋ยเม็ดดินปรุง
กี่น้ำฝนกี่น้ำทุ่งแปรข้าวรวง

“...คือชาวนาชนสามัญชั้นชาวบ้าน
คือเนื้องานเสลาสลักคืนวันล่วง      
คือข้าวเปลือกรอสี-ข้าวสารตวง
คือเม็ดรวงข้าวสุกหอมในมื้อรอ...”

เมล็ดข้าวไกลนา, อย่าลืมสาบทุ่ง
อย่าลืมถิ่น, ดินน้ำเคยปรุงรวงช่อ
อีกนกเพลงแมลงไพรกล่อมคลอ
อีกเหงื่องาน, มิทดถ้อของชาวนา

นาทุ่งยามแล้วเกี่ยวทิ้งซังเกลื่อน
นาคงเหงานับวันเดือนใจห่วงหา
ทุ่งคงเศร้า, ซากซังข้าวซับน้ำตา
ข้าวเหลิงเพลินเมืองฟ้าลืมนาดิน

ยามข้าวรวงพรากทุ่งทิ้งนา
ทิ้งซากซังซับน้ำตาปลอบชาวดินฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
4 มิ.ย. 55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มกราคม 2013, 10:09:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #21 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 10:09:PM »
ชุมชนชุมชน

โวหารแห่งปรองดองในแปลกแปร่ง
(วาระตะแบงชำเราสภาในหื่นเหียน)

ในต่างขั้วต่างคิดในทิศมุ่ง
ในต่างวาดเฉดรวีรุ้งในต่างสีฝัน
ในต่างรั้นหมุดหมายในต่างกัน
ในต่างคอกต่างคั่นในต่างพวก

จึงต่างกั้นกรอบคิดในต่างรั้ว
จึงต่างครอกต่างขรัวสีเสื้อหมวก
จึงต่างไผ่ ต่างกอ, สีสุก-รวก
จึงต่างพรรคต่างพวกลั่นดาลสลัก

โวหารแห่งปรองดองในระหองคิด
ในระแหงวิปริต, ชักตื้นติดลึกยึกยัก
ในระแวงจริตยากสนิทสมานสมัคร
ในระแวดชนักปลิดขั้วต่างคอกค่าย

อหังการชั้นเขื่องเปลืองพวกข่ม
เพื่อนกูมากลากขย่มขืนกฎหมาย
พวกกูเยอะพรรคกูใหญ่เกินจะอาย
ถูกผิดไฉนดีหรือร้ายไม่นำพา

วาระตะแบงชำเราสภาในห่ามหื่น
แสร้งเนียนลื่นขยับวาระไม่ชักช้า
หุนหันเร่งรวบวาระกระชับเวลา
ปล้นขืนสภาวาระตะแบงด้านทุรัง

จะตลบตะแลงวาระใดใคร่ชำระ
จะใคร่ดอง-ดัน, วาระใจเจ้าครอกสั่ง
จะฟอกผิด-ถูก, วาระใครใคร่ระวัง
จะฉ้อหลัง, หน้าไหว้หลอก-ใคร่ฟังความ

ในสังคมบ่มปริร้าวแปลกต่างขั้ว
ในต่างคิดต่างตัว, ใช่เยาะหยาม
ในต่างพรรคต่างพวก, ใช่ก่นประณาม
รั้นปรองดองในนิยาม-คลางระแวง

วิหารแห่งปรองดองในพรางทิศ
โมหะจริตตะบี้ตะบันในขวากแพร่ง
โวหารแห่งปรองดองในแปร่งแคลง
วาระตะแบงชำเราสภาในหื่นเหียน

โวหารแห่งปรองดองในแปลกแปร่ง
วาระตะแบงชำเราสภาในหื่นเหียนฯ

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
3 มิ.ย. 55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มกราคม 2013, 10:14:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #22 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 10:14:PM »
ชุมชนชุมชน

ชะตากรรมมะเขือริมคูคอนกรีต
(ยามพืชครัวขยับรุกชั้นห้างค้า)

-๑-

โอ้อนิจจาเจ้ามะเขือริมคูทาง
ใบปรุดวงด่างเรื้อรอยราไหม้
เพลี้ยแมลงทึ้งรุมก้านยอดใบ
อีกดอกแดดแผดไฟคลอกเผา

ลูกสวยพอเหมาะเคียงสำรับ
น้ำพริกเผาเขียมกับในมื้อข้าว
อีกเขียวหวานไก่ในรสมือเก่า
อิ่มตื้อ-แต่มื้อเช้าบ่ายจรดค่ำ

มาบัดนี้ก้านใบไหม้ราเฉาร่วง
ใจคนหวงปริ่มวายในท้อพร่ำ
ประหงมแต่อ่อน, เทียวรดน้ำ
กล่อมเกลี้ยงบำเรอใจผูกพัน

เฝ้าถนอมถนิมสร้อยแต่อ้อน
ก่อนตักบาตรเช้าพะเน้าหวั่น
ดุจมารดรอาทรบุตรในครรภ์
โอ้บุญปลูกนั้นป่วยใบไหม้รา

-๒-

พริกกะเพราผักบุ้งตะไคร้พืชครัว
กะทกรกบัวบกมะระตำลึงยี่หร่า
ผลิสะพรั่งร่วมคูทางกิ่งใบแยงฟ้า
อีกฟักทองมือคว้าขึ้นค้างกระถิน

-๓-

ในผิดที่ผิดทางแต่ปางปลูก
ในทิศเมืองขย้ำรุกแต่ฐานถิ่น
สวนพืชครัวจำปลูกแคบคูดิน
คั่นคูน้ำคู่ทางคอนกรีตขนาน

คือทุ่งนาทุ่งข้าวครั้งเก่าก่อน
คือทางเกวียนวกย้อนลัดย่าน
คือรูปรอยสืบเล่าจำเนียรกาล
คือตำนานทุ่งถิ่นก่อนเมืองมา

-๔-

โอ้มะเขือข้างคูจึงแปร่งแปลก
ในผิดที่ผิดทางค่าแพรกหญ้า
ในวุ่นวายของเมืองมิสร่างซา
ใบก้านไหม้เชื้อรา, เรื้อร้างสุข

มะเขือ, ไม้เมืองในเปลืองเปล่า
ไม้เทียมพลาสติกเข้าเบียนรุก
วิถีเมืองเปลืองใจไม้จริงปลูก
สวนพืชครัวขยับรุกชั้นห้างค้า

อนิจจาโอ้เจ้ามะเขือริมข้างคู
สู้ฟูมฟักชุบชูต้นกิ่งใบดกหนา
ในม่านเมืองสับสนผู้คนรถรา
กิ่งใบล้าปลิดโปรยโรยร่วงดิน

-๕-

อนิจจามะเขือริมคูคอนกรีต
ใบไหม้ราปลิดโปรยร่วงดินฯ

สนอง เสาทอง
5 มิ.ย. 55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มกราคม 2013, 10:18:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #23 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 10:18:PM »
ชุมชนชุมชน

นิยามประชาธิปไตย
(ถูกขังตายในคุกคำ)

ประชา-อธิปไตย
ค่าความหมายไม่สับสน
ทูนค่า-ปัจเจกชน
ใช่จำนนขุนอำนาจ

ศรีศักดิ์-ตราพลเมือง
อันโขเขื่องใช่ตราทาส
สิทธิ์เสียง-ตราค่าชัด
หนึ่งตราบัตรเต็มตราสิทธิ์

ทุรชน-ชั้นอุบาทว์
จ้องผูกขาดหมายผูกคิด
ฉ้อราษฎร์-ซื้อถูกผิด
มิจฉาจริตอามิสย้ำ

ตีตรา-มารยาไสย
ปมกฎหมายแก้เพรื่อพร่ำ
ค้าความ-ขังคอกคำ
หนนิยามเอื้อทางตน

เล่นแร่-แปรธาตุคำ
ย้อนยอกล้ำคว่ำเหตุผล
ยักย้าย-วกว่ายวน
อ่างขุ่นข้นกลภาษา

เสรีชน-จึงหม่นไหม้
และหล่นสลายข้อปุจฉา
คับข้อง-วิสัชนา
กลคำค่าขังนิยาม

ปัจเจก-ศรีศักดิ์ชน
ตะพายสนโซ่ตรวนล่าม
คุกคำ-จำกัดความ
บ่าแบกหามแหนแห่ไหว้

อธิปไตย-ของประชา
จึงแคบค่าขึงความหมาย
นิยาม-ประชาธิปไตย
ถูกขังตายในคุกคำ

นิยามประชาธิปไตย
ถูกขังตายในคุกคำฯ
      
สนอง เสาทอง
กรุงเทพฯ
22ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มกราคม 2013, 10:23:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #24 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 10:23:PM »
ชุมชนชุมชน

ริมขอบคืนย่ำรุ่งต่อขอบพรุ่งวันใหม่
(ในปรายฝนคลี่สยายม่านใยวสันต์)

นวลโสมทอใยเย็นใกล้แย้มรุ่ง
ใยหมอกเมฆสลัวฟายฟุ้งยวงฟ้า
ใยคืนวสันต์คลี่ห่มปวงดาริกา
เพ็ญลำโสมใกล้อำลาใยราตรี

เจื้อยแจ้วไก่โก่งขานแจ้งวารย่ำ
ระงมงำกะปูดกาเหว่าขานอึงมี่
เขาชวาอีกกวักทุ่งขานขับมโหรี
นาฬิกาชีวีขานปลุกฤดี-ตื่นชีวา

แสงแรกสูรย์แย้มร่ายม่านเช้าใหม่
นวลโสมลำสุดท้ายลาม่านโค้งฟ้า
เรื่อเรืองอรุณถักทอม่านพร่างนภา
โสมแสงอำลา, สุรีย์สายคลี่ม่านขึง

ลำสูรย์สายต่อโสมแสงริมแย้มรุ่ง
ลำโสมรุ้งบอกลา-ย้ำแจ้งจะมาถึง
ลำสุรีย์ทอขอบเช้าเรื่อราง-ร่ายรึง
ลำหมอกสยายตราตรึงในจารจำ

ริมไรรุ่งชื่นละเมียดไหมหมอกเช้า
จึงจิบดื่มพราวหมอกละเลียดฉ่ำ
ละไมหมอกอ้อยสร้อยอิ่ง-ร่ายรำ
แสงแรกเริงระบำล้อหมอกละมุน

ใยรวงสางอาบชื่นรวงโสมเช้า
ในเรื่อรวงเจือเคล้ารวงแรกสูรย์
อีกรวงใสน้ำค้างพร่างรวงอรุณ
ไล้รวงเช้ารุ่ง-กรุ่นใยรวงสวรรค์

ริมขอบโสมสูรย์ต่อแสงร่ายย่ำรุ่ง
ริมขอบคืนค่ำต่อขอบพรุ่งเช้าผัน
ริมขอบทุ่มยามต่อโมงวันแสนสั้น
ริมขอบฝันต่อขอบจริง-ชั่ววูบไหว

ใยสูรย์แจ้งพลันยะเยียบในฝนฉ่ำ
โปรยร่ำไรใยหมอกม่านร่วงสลาย
ปรกแสงแรกทะมึนฟ้าใยมืดกราย
ในปรายฝนคลี่สยายม่านใยวสันต์

ริมขอบคืนย่ำรุ่งต่อขอบพรุ่งวันใหม่
ในปรายฝนคลี่สยายม่านใยวสันต์ฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
8 มิ.ย. 55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มกราคม 2013, 10:28:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #25 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 10:28:PM »
ชุมชนชุมชน

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
(ขอผวยไหมขึงฟ้าดักฝนหล่นฉ่ำดิน)

พวยแดดไอพริบระยับในเดือนฝน
ทุ่งนาถิ่นแล้งหม่นอย่างเศร้าเศร้า
ข้าวหญ้าแซมเซียวซีดอยู่เหงาเหงา
แดดแล้งเผานาแล้งน้ำอย่างแล้งร้าย

ฝนทิ้งช่วงแปลบช้ำเจ็บชาวนา
ฝนแรกแต่พฤษภา, พลันทิ้งหาย
นาหว่านแล้งรอฝนพรำมาฉ่ำปราย
เข้ากรกฎาฝนไถลมิกรายเยือน

แล้งร้อนเหลือแล้งร้ายอีสานถิ่น
แห้งกรังดินฝนสายมิป้ายเปื้อน
ทะมึนเมฆกี่ฝนเมฆตั้งเค้าเกลื่อน
แล้วคลาเคลื่อนลับไกลไปสุดฟ้า

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
ขอผ้าผวยทอแพรวไหมสักผืนผ้า
ขึงราวฟ้ากั้นเมฆฝนบนราวเมฆา
ดักรวงฝนร่วงรวงฟ้าอาบรวงดิน

เมฆฝนเช้าปั้นเมฆเค้าแล้วล่องหน
แล้งดินป่นก่นร่ำไห้แทบวายดิ้น
ห้องนาหม่นเก้อฝนรอล้นชาชิน
น้ำเหือดสิ้นดินร่ำไห้ข้าวซึมเซียว

นาทรายดินบ่มร้อนไอแดดสาย
ระยิบร่ายระยับปรายวิบวับเกรี้ยว
ควายเหล็กนิ่งท้อแรงหนทางเทียว
ในปลักเปลี่ยวเงียบเงียบแช่ลมแล้ง

พวยไอแดดดิ้นระยับในเดือนฝน
ระแหงนาระแหงคนยิ้มแห้งแห้ง
ข้าวซมเซียวปื้นน้ำตารื้นแดงแดง
คนซูบโซสิ้นเรี่ยวแรงร้อนแล้งคร่า

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
ขอสักผวยแพรไหมผ้าขึงราวฟ้า
คลี่กางกั้นผันเมฆฝนหล่นร่วงมา
ชุ่มทุ่งดินฉ่ำห้องนาข้าวหญ้ารอ

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
ขอผวยไหมขึงฟ้าดักฝนหล่นฉ่ำดินฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
๑๖ กรกฎาคม ๕๕

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มกราคม 2013, 11:55:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #26 เมื่อ: 02 มกราคม 2013, 11:55:PM »
ชุมชนชุมชน

สุนทรภู่ครูกลอนสุนทรกวี
(สุนทรศรีสุนทรศักดิ์รุ้งอักษรา)

รัตนกวีศรีรัตนโกสินทร์
รัตนศิลปินรัตนวลีร่ายฟ้อน
รัตนะสดับรัตนะรับขับรุ้งกลอน
รัตนะรองรัตนะส่งวรรคสมัย

คือสุนทรภู่ครูกลอนสุนทรศรี
สุนทรกวีสุนทรศักดิ์อักษรไสว
สุนทรคำสุนทรสัมผัสนอก-ใน
สุนทรสระอาอีไอสุนทรความ

เทือกเถากอชั้นเชื้องำปริศนา
ผู้ดีสาแหรก, ไพร่ค่าชั้นแบกหาม
เชิงคำกรองชั้นหงส์รำแพนงาม
ใช่เชื้อต่ำชั้นทรามเชิงฉันท์กลอน

กับชีวิตแรมรอนระเหินระหก
ดั่งวิหคระเห็จเร่, ระเหร่อน
สุขทุกข์อิ่มอด, รันทดวเนจร
คือชะตาครูกลอนสุนทรกวี

"...ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร..."
มิยั้งหยุด, เถลไฉ-บ่ายเลี่ยงลี้
ในเห่ขับกาพย์กานท์กลั่นวจี
อุทิศพลีกรองจารบรรณศิลป์

"...ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง..."
เห็นคันโพงโยงสายกระหายลิ้น
ในเมามายเช้าสายค่ำเมรัยริน
ยังมิสู้เมาคำหมิ่นคนปลิ้นลวง

"...แล้วสอนว่าอย่าวางใจมนุษย์..."
คดเลี้ยวสุดหยั่งคะเนในรู้ล่วง
ดีร้ายไฉนขดลึกเร้นบึ้งทรวง
บาศก์บ่วงเล่ห์โลกียชนฉลกิเลส

คือคมคำครูกลอนสุนทรภู่
เสมอสมัยอยู่ข้ามวารม่านเพศ
คือค่าครูเรียนชีวิตธาตุแท้-เท็จ
พราวก่องเก็จคำสอนสุนทรกวี

คือสุนทรภู่ครูกลอนสุนทรกวี
สุนทรศรีสุนทรศักดิ์รุ้งอักษรา         

สนอง  เสาทอง
อินทามระ 10
26 มิ.ย. 55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ชลนา ทิชากร, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 มีนาคม 2013, 01:15:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #27 เมื่อ: 02 มีนาคม 2013, 01:15:PM »
ชุมชนชุมชน

ลิขิตฟ้า
(ชะตาทัณฑ์)

ลิขิตชะตาโลก
ว่ายทุกข์โศกล้นวิปริต
อสูรมาร-ตนร้ายฤทธิ์
ฤาสาปสิทธิ์ชนร้างสุข

กฎเกณฑ์ชะตากล
ทุกทัณฑ์ท้นทศทิศทุกข์
ทมิฬมืด-ทะมึนยุค
กระหน่ำรุกเฆี่ยนโบยตี

ทุรยุคบ่าล้นหลาก
อสุภซากพูนปฐพี
ทิ้งถมสังเวยพลี
อเวจี-บนใจดิน

กรรมกงชนสร้างทำ
ชักพานำทุกข์มาสิ้น
พฤกษ์พงทำลายภิณฑ์
ใจแม่ดิน-ร้าวฤดี

นรชาติชะตาทัณฑ์
วายุมหันต์อุทกนที
ทุรชนสิ้นหนลี้
กรานเซ่นพลีกระแสธาร

ลิขิตชะตาโลก
ใช่สวรรค์นรกดลบันดาล
ล้วนชนใจหยาบกร้าน
ธรรมชาติผลาญทัณฑ์ย้อนคืนฯ


สนอง เสาทอง
1 ตุลาคม 2554
ดอนเมือง
ในวันที่มหาอุทกภัยรุกเข้าสู่เมืองหลวง

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พยัญเสมอ, รพีกาญจน์, ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, panthong.kh, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
03 มีนาคม 2013, 02:37:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #28 เมื่อ: 03 มีนาคม 2013, 02:37:PM »
ชุมชนชุมชน

กรานกายซบ ณ ใจดิน
(ภูมิถิ่นบ้านนาเรา)

หอมลานดินไคลทุ่งย่านทางถิ่น
ยังคุ้นกลิ่นมิจางสาบเหงื่อบ้าน
ยังเก็บจำหลังคาระเบียงชาน
ฝากระดานกระไดและครัวเตา

ในเพ-ลาย้อนเยือนมาย้อนเห็น
ยังอยู่เช่นนานมาครั้งก่อนเก่า
เฒ่าชะแรแปล้ชรายักแย่เนา
หนุ่มสาวนิราศเมืองหวังเรืองไร

หอมใจดินสาบกลิ่นของนาทุ่ง
หอมผ้าถุงซิ่นไหมแม่ทอใส่
หอมกลิ่นน้ำพริกป่านั้นบ้านใคร
หอมน้ำใจน้ำพริกไพรพูนจานมา

สวรรค์บ้านทุ่ง...ยังสวรรค์
ปลุกภวังค์โตรกอดีต, ฝังโหยหา
รั้วตำลึงเถาเลื้อยคุ้นชินตา
ภาพอดีตฝังเวลา, ผุดห้วงคำนึง

หอมกลิ่นสนุ่นคุ้งตมคลองท้ายบ้าน
เคยจับปลาแหประหารมาตากผึ่ง
ภาพคืนวันเก่าเก่ายังจารตรึง
แจ่มชัด-มโนขึงฝุ่นสีแรระบาย

หอมใจดินเหงื่อทุ่งไคลละหาน
กลิ่นสาบบ้านโชยผะผ่าวร่ายร่าย
ไสววิถีบ้านบ้านงามมิคลาย
กรานกายซบ ณ ใจดินถิ่นบ้านเราฯ


สนอง เสาทอง
สนามชัยเขต
ฉะเชิงเทรา
มกราคม 54

*** "สนุ่น" หรือ "ขี้สนุ่น" เป็นคำเรียกของคนแปดริ้ว (ฉะเชิงเทรา) ใช้เรียกพวกเศษวัชชพืช เศษหญ้า, รากหญ้า ที่เน่าจมอยู่ใต้น้ำรวมกับดินเลนในคลอง, หนองและบึง ซึ่งจะต่างจากขี้เลนที่มีดินเลนอย่างเดียว

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ♥ กานต์ฑิตา ♥, ชลนา ทิชากร, รพีกาญจน์, panthong.kh, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
06 มีนาคม 2013, 12:42:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #29 เมื่อ: 06 มีนาคม 2013, 12:42:PM »
ชุมชนชุมชน

หอมไอดินกลิ่นทุ่ง
(ยามฝนแรกมาเยือน)

หอมไอดินกลิ่นทุ่ง
ฝนโปรยปรุงโหยดิน, ปลุกตื่นฟื้น
เขียวแพรกหญ้าคละเคล้าแซมยืน
ดอกดินดื่น, พรมห้องนา

ดอกแดดบานอ่อนอ่อน
ลมทุ่งแผ่วออดอ้อน, อ้อยอิ่งช้า
ปุยเมฆคลื่นเลื่อนล่องครองนภา
แต้มรวงฟ้า, ห่มรวงดิน

ยามฝนแรกโปรยปราย
ปลุกใจนาทรายดิน, ฟื้นแล้งถิ่น
ละหานนาอุ้มฉ่ำฟื้นรวงใยชีวิน
ทั่วทุ่งดิน, เริงระบำ

รื่นรมย์หรีดหริ่งไพร
วิหคร่ายคีตกานท์, คลอสูงต่ำ
สำเริงสำราญสำเนียงทุ่งลำนำ
เช้าเจียนค่ำ, รอนอัสดง

หอมไอดินกลิ่นทุ่ง
รวีวาดเฉดมณีรุ้ง, งามแกมหงส์
แพรกหญ้าเถาเลื้อยพลิ้วไหววง
สรรพชีวิตคง, ว่อนว่ายรำฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
26 เมษายน 55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Shumbala, รพีกาญจน์, panthong.kh, Thammada, ชลนา ทิชากร, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
08 มีนาคม 2013, 07:39:AM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #30 เมื่อ: 08 มีนาคม 2013, 07:39:AM »
ชุมชนชุมชน

สร่างแจ้งแท้ใจแล้วเจ้า
(ตัวกู-เพื่อกู-ของกู)

สร่างแจ้งแท้ใจแล้วเจ้า      ร้อนรักแผดเผา
กิเลสพันห่มอัตตา
ว้าวุ่นใจตนเจียนบ้า         กำสรดชะตา
สังเวชสังวาสใจตน
บอดใบ้มืดหลงกามกล      บังตาบังหน
บังใจห่มรั้นเนารั้ง
มาดหมายปองเชยชื่นปราง      ใดใดกั้นขวาง
จะห้ำจะหักรานดิน
เทใจภักดียุพิน         ทุ่มหมดถ้วนสิ้น
สี่ห้องมิเหลือเผื่อใด
ให้หมดมิทดทอนไว้         เซ่นพลีใจกาย
หลงรูปหลงรสยินดี
วาดหวังเสกสมฉิมพลี      อิ่มอาบเอมปรีดิ์
รูปรสกลิ่นเสียงยวนเย้า
เกลือกหล่มกามามัวเมา      มิบั่นผ่อนเพลา
เมาจิตมอมกายเปือกตม
กามาโลกีย์เผารม         ใฝ่ต่ำโสมม
ตัวกู-เพื่อกู-ของกู
ผมเผ้าจรดเท้าตราตรู      ทุกถ้วนอณู
หนังเนื้อ-หัวใจ-กูครอง
ใดใดในเธอจับจอง         กูเป็นเจ้าของ
ใครใดอย่าหมายแย่งนวล
ใจจึงอาบโศกกำสรวล      หึงหุนปั่นป่วน
ทาสท้าวรูปรสโลกีย์
สังเวยสังวาสราคี         มิตรองถ้วนถี่
ใครดีใครร้ายมิยล
พิษหึงเผาใจเผาตน         โหมร้ายเผาลน
เผาศักดิ์เผาศรีดนู
มิเชื่อวางใจพธู         หวาดบั่นปันชู้
ฤทธีผีหึงเข้าสิง
ใช่ใดไหนเลยแท้จริง         อัตตาเนาอิง
ตัวกู-ของกู-เมามัวฯ

สนอง เสาทอง
สร่างแจ้งแท้ใจแล้วเจ้า, อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ, กรุงเทพฯ, วิภาษา, 2554, pp100-102

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : จารุทัส, Shumbala, รพีกาญจน์, panthong.kh, Thammada, รัตนาวดี, พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 มีนาคม 2013, 02:37:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #31 เมื่อ: 09 มีนาคม 2013, 02:37:PM »
ชุมชนชุมชน

ตาลหว้ายืนหงอยคอยฝน
(ดั่งข้าคอยคนรักข่มกล้ำฝืน)

ระแหงทุ่งแห้งดาลเรื้อร้างฝน
ดินสีหม่น, ดอกแดดแผดร้ายไล้
แล้งร้อนเหลือทุ่งดินทุกนาใด
ร้อนแล้งร้ายร้างฝนประโลมดิน

ร่มหว้าใบหยัดขืนขึงร่มใหญ่
สกุณาอุ่นอาศัยรวงรังถิ่น
พวงระย้า ลูกฝาดหวาน, อร่อยชิน
อิ่มแล้วผิน ว่อนว่ายฟ้า, ร่ายรำ

ตาลเดี่ยวยืนต้นเคียงหว้าใกล้
แผ่ปีกใบคู่หว้างามเนิ่นฉนำ
ท้าแดดลมแยงฟ้าเสียดต้นลำ
ทุ่งนาดินชุบค้ำเลี้ยงหว้าตาล

ลมฝนเอยเลี่ยงหลบ ณ หนไหน
หมางเฉยไยมิโปรยรวงสายผ่าน
ตาลหว้าใหญ่ซึมหงอยด้วยคอยนาน
ทุ่งเปลี่ยวมาน, รอฝนพร่าง-ฉ่ำชื้น

ตาลต้นคู่หว้าใหญ่ยืนคอยฝน
ดังข้าคอยคนรักข่มกลั้นฝืน
ป่วยเหน็บเหงาร้าวรานทุกวันคืน
ใจสะอื้น ชะเง้อคอย, ม่านแล้งลม

รักข้าเอยเช่นตาลหว้า, คอยฝน
จ่อมลึกภวังค์ เหงาหม่น-วิโยคห่ม
เหลียวหาแลหายใจโศกซม
เฝ้ากล้ำกลืน ฝืนข่ม, สะอื้นฤดีฯ

สนอง เสาทอง
แสลงพัน, สุรินทร์
12 พฤษภาคม 54

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Thammada, รพีกาญจน์, Shumbala, พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
17 เมษายน 2013, 08:59:AM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #32 เมื่อ: 17 เมษายน 2013, 08:59:AM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
   ๑.

หมาป่ากับหัวกะโหลกมนุษย์

๑.
   หมาป่าเร้นเถื่อนถ้ำ      ไพรวนา
เทียวล่าเนื้อปูปลา         อิ่มมื้อ
เพียงมนุษย์แกว่นฤทธา         เจ้ากริ่ง กลัวนา
ฉลเล่ห์ปัญญายื้อ         แล่เนื้อเถือหนังฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง หมาใหญ่ อยู่ไพรเถื่อน      ไม่แชเชือน เที่ยวล่า สรรพสัตว์
หนูกระรอก กระต่าย ปรี่เข้ากัด         มังสาเนื้อ เขี้ยวฟัด ลิ้มโอชา
   หมาป่านั้น กลัวมนุษย์ สุดเล่ห์ร้าย      ศาสตราวุธ เทียวไล่ อำมหิตฆ่า
แล่เถือเนื้อ ถลกหนัง ไร้เมตตา            สุนัขป่า จึงเลี่ยง หลบไกลคน
   มาวันหนึ่ง หิวโซ ออกล่าเหยื่อ         ลำบากเหลือ อาหาร ช่างขัดสน
จึงเลาะเลี้ยว ละเมาะ ใกล้บ้านคน         ในตำบล อันตน ไม่คุ้นชิน
   เจอกะโหลก มนุษย์ เขรอะดินพื้น      ให้ตระหนก หวาดตื่น ใจส่ำดิ้น
ด้วยฤทธา เล่ห์มนุษย์ เคยยลยิน         ใจเจ้าถวิล เภทภัย อาจกรายเยือน
   จึงด้อมด้อม ย่องวน อยู่หลายเที่ยว      ทั้งแลหน้า หลังเหลียว ระแวงเถื่อน
กะโหลกนั้น ตั้งนิ่ง ไม่ติงเตือน            ก้าวขยับเคลื่อน เข้าใกล้ นาสิกดม
   เมื่อมั่นใจ กะโหลก นั้นตายแน่         ไร้ฤทธี ตอแย โอหังข่ม
จึงใช้เท้า เขี่ยเล่น สนานอารมณ์            แสนสุขสม กระหยิ่ม พลางรำพัน
   เจ้ามนุษย์เอ๋ย เคยใหญ่ เทียวไล่ล่า      ทั้งผองข้า สรรพสัตว์ ทั่วไพรสัณฑ์
ด้วยปัญญา ปราดเปรื่อง เล่ห์อนันต์         ในสักวัน แน่แท้ เจ้าวายวาง
   ยามสิ้นชีพ แน่นิ่ง กองจมพื้น         ไหนศาสตรา พร้าปืน เคยอวดอ้าง
ไหนปัญญา เล่ห์คิด กลอำพราง         ในสุดท้าย เสื่อมร้าง ฤทธิ์ร้ายเอยฯ

๓.
   คตินิทาน นี้สอน ท่านสอนว่า
ยามไร้บุญ วาสนา อำนาจหน
ก็ไร้สิ้น คนเกรง ใครกลัวตน
อย่าเป็นคน ยึดหลง อำนาจเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ยามเมื่อหมดบุญอำนาจวาสนา คนที่เคยเกรงกลัวเราก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป”


สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
1 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Shumbala, Thammada, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร, D

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
17 เมษายน 2013, 09:52:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #33 เมื่อ: 17 เมษายน 2013, 09:52:PM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
   ๒.

ต้นไม้กับคนตัดไม้

๑.
   อันพฤกษ์ไพรใหญ่ยั้ง      ดงแดน
คุณค่าประโยชน์แสน         เร่งรู้
ตระหนักตื่นสงวนแหน         ไม้ป่า ชนเฮย
ผินิ่งเฉยพลิกกู้            ก่อร้ายวิกฤตโลกฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง ครอบครัว คนตัดไม้      ปลูกเรือนบ้าน อาศัย ชายเถื่อนถิ่น
พ่อแม่ลูก ขันแข็ง เรื่องทำกิน            งานอาจินต์ ตัดไม้ ขายเลี้ยงตน
   มาวันหนึ่ง ได้พบ ต้นไม้ใหญ่         ต่างวุ่นวาย ปรึกษา หารือหน
ตัดต้นนี้ แปรขาย ไม่อับจน            คงได้เงิน มากล้น ราคางาม
   ครั้นตกลง ปลงใจ ดูยามฤกษ์         ขวานจามเบิก โคนใหญ่ เข้ามิดด้าม
ไม่นานช้า ล้มตึง สนั่นคาม            ใหญ่เกินแบก คอนหาม ต้องตัดทอน
   เลือกกิ่งเหมาะ ทำลิ่ม ทิ่มแยกไม้      เพื่อจะได้ แบ่งทอน หลายหลายท่อน
ต่างแยงงัด แยกไม้ ไม่เกี่ยงงอน         ไม้ใหญ่ครวญ ทอดถอน ชะตากรรม
   อนิจจา อกเอ๋ย อนาถนัก         ถูกขวานจาม หน่วงหนัก อยู่หลายซ้ำ
ไม่เจ็บเท่า กิ่งตน เข้าทิ่มตำ            ระกำใจ ชอกช้ำ เนื้อตนเอย... ”

๓.
   คตินิทาน เรื่องสอน ท่านสอนว่า
เจ็บอะไร เกินกว่า คนชิดใกล้
ที่ทั้งรัก ไว้เนื้อ และเชื่อใจ
กลับทำร้าย ตัวเรา ปวดร้าวเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“เจ็บอะไรไม่เท่าโดนคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจทำร้าย”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
2 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : เนิน จำราย, รพีกาญจน์, Shumbala, Thammada, พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร, D

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
18 เมษายน 2013, 03:30:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #34 เมื่อ: 18 เมษายน 2013, 03:30:PM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
   ๓.
คนชั่วไม่มีที่อยู่

๑.
   อันโฉดชนชั่วช้า      เกเร
เช้าค่ำสำมะเล         ไป่สิ้น
ใจทมิฬหยาบฉลเล่ห์         ร้ายยิ่ง
จินต์เร่าระวิงดิ้น         เรื่องร้อนลำพองพาลฯ

๓.
   กาลครั้งหนึ่ง คนพาล สันดานหยาบ      คึกคะนอง จ้วงจาบ ไม่รู้สิ้น
ลำพองจิต เราะร้าย อยู่อาจิณ            ใครยลยิน ระอา ไม่ผินมอง
   มาวันหนึ่ง ฤทธิ์พาล พลั้งมือฆ่า           ถึงเขาม้วย มรณา สยดสยอง
ไม่อนาทร ว่าใคร น้ำตานอง            กระหยิ่มย่อง ไม่ใช่ เรื่องกงการ
   ฝ่ายผู้ตาย เลือดเชื้อ และเครือญาติ       ผูกอาฆาต เคืองขุ่น คิดประหาร
ฆ่าตกตาย ตามกัน ลั่นสาบาน         แล้วยกพวก หมดบ้าน ตามกันมา
   เจ้าคนพาล รู้ข่าว เขาหมายหัว      เกิดนึกกลัว หนีเตลิด เร้นราวป่า
ด้วยเกเร ญาติมิตร ไม่นำพา            ช่วยอีกฝ่าย ตามหา หมายคร่ากุม
   หนีซ่อนป่า อนิจจา นักเลงโต         เจอะสิงโต ตกใจ ปีนไพรพุ่ม
เลือกต้นเหมาะ ใบดก หมายหลบมุม          เจอะงูใหญ่ เงียบซุ่ม พันกิ่งรอ
   เจ้าคนพาล ลานลน ขนหัวลุก         ฉุกละหุก เภทภัย ทุกทิศจ่อ
โดดลงน้ำ ทันใด ข้างไผ่กอ             ปะจระเข้ ขม้ำพ่อ ม้วยชีพเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันคนพาล หยาบช้า สันดานชั่ว
ไร้ญาติมิตร ใครเมิน ไม่พันพัว
แม้แผ่นดิน ซุกหัว ไม่มีเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนชั่วไม่มีแม้แต่แผ่นดินจะอยู่ ไม่ว่า ณ ที่แห่งใด”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
3 เมษายน 2556   

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ไพร พนาวัลย์, Thammada, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, Shumbala, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
19 เมษายน 2013, 08:50:AM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #35 เมื่อ: 19 เมษายน 2013, 08:50:AM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
   ๔.
สุนัขจิ้งจอกกับหมูป่า

๑.
   จิ้งจอกเหลี่ยมเล่ห์ร้าย         มากมี
สัตว์ใหญ่น้อยหน่ายหนี         ไป่ข้อง
มวลมิตรต่างเลี่ยงลี้            คร้ามยิ่ง
ใครห่างทิ้งเพื่อนพ้อง            กริ่งได้ภัยตนฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง จิ้งจอก อยู่พนากว้าง      เยาะเยื้องย่าง ตรวจตรา ถิ่นอาศัย
เลาะดุ่มเดิน เรื่อยร่ำ ราวชัฏไพร         ถึงดงไม้ หมูป่า ย่านลำเนา
   เห็นหมูป่า ลับเขี้ยว อยู่โคนไม้         จึงถามไถ่ ปราศรัย เอินหยอกเย้า
สหายหมูจ๋า ลับเขี้ยว มิผ่อนเพลา         มีภัยร้าย ใดเล่า โปรดพาที
   ทั้งพรานไพร หมาล่า ไม่มีเห็น         ข้าเทียวท่อง เช้าเย็น ทั่วถิ่นที่
แล้วเจ้าลับ คมเขี้ยว ไปไยมี            เลิกเสียที เถิดสหาย อย่าร่ำไร
   หมูป่าฟัง พลางแจ้ง แถลงเหตุ         อันภัยเภท หมาพราน หามีไม่
ลับคมเขี้ยว เผื่อใช้ ในทันใด            รอมีภัย ค่อยลับ ไม่ทันเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ สอนท่านว่า
ทุกเวลา เตรียมตน ให้พร้อมพรั่ง
อย่าประมาท ดูดาย ไม่ระวัง
อาจพลาดพลั้ง เคราะห์ร้าย ถึงตายเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ เพราะเราไม่อาจจะรู้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
4 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, Shumbala, ชลนา ทิชากร, ไร้นวล^^, ไพร พนาวัลย์, Thammada

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
19 เมษายน 2013, 08:41:PM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #36 เมื่อ: 19 เมษายน 2013, 08:41:PM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
   ๕.
แมงมุมกับนกกระจอก

๑.
   แมงมุมตัวกระจ้อย           ใยบาง
ตาข่ายชักดักกาง                เหยื่อน้อย
คิดเหิมล่าสกุณบ้าง              สัตว์ใหญ่
ขาดเยิ่นใยวิ่นห้อย             บ่สู้แรงวิหคฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง แมงมุม ตัวกระจ้อย          ชักใยบาง ดักคอย แมลงหนอน
เห็นกระจอก นกน้อย กิ่งคบคอน              เทียวจิกกิน ไหน่หนอน อาหารตน
   จึงวางแผน ดักนก กระจอกนั้น             ด้วยโมหัน มโนจิต อกุศล
คิดชักใย ตาข่าย ขึงแยบยล                    หวังเล่ห์กล กำจัด วิหคศัตรู
   จึงชักใย เหนียวหนา แผ่กว้างใหญ่        แต่หัวค่ำ ดึกไคล ล่วงเช้าตรู่
ครั้นเสร็จสิ้น เงียบนิ่ง เฝ้าซุ่มดู              นึกกระหยิ่ม ปองอยู่ เนื้อสกุณา
   ครั้นใกล้สาง กระจอก ก็ออกบิน              ถึงย่านถิ่น แมงมุม ชักใยหนา
ชนตาข่าย เต็มแรง ทะลุมา                     ไม่นำพา ใยจ้อย อันเปราะเบา
   เจ้าแมงมุม รำพึง โอ้อกหนอ                ใจเหี่ยวห่อ ฝืนยิ้ม อยู่เศร้าเศร้า
นึกทบทวน ตรองตน ในเรื่องราว             อันตัวเรา คิดการ ใหญ่เกินตน
   จึงแมงมุม ค่ำเช้า เฝ้าใยชัก                  แต่พอดัก หนอนไหน่ ไม่สับสน
ทำแต่พอ แรงตัว ไม่ลำบน                      เลิกดิ้นรน สิ่งหมาย ไกลเอื้อมเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ชนพึงอย่า ปรารถนา ในสรรพสิ่ง
ไกลเกินตัว เกินตน ทำได้จริง
อย่าประวิง เลือกสิ่ง ทำได้เอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“อย่าทำอะไร เกินตัว และเลือกทำในงานที่เราถนัดจะเป็นผลดีที่สุด”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
5 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ชลนา ทิชากร, ไร้นวล^^, รพีกาญจน์, ...เป็ดน้ำ..., พี.พูนสุข, ไพร พนาวัลย์, รัตนาวดี, Thammada, Shumbala

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
20 เมษายน 2013, 11:35:AM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #37 เมื่อ: 20 เมษายน 2013, 11:35:AM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
   ๖.
ไก่ชนกับนกกระทา

๑.
   อันไก่ชนเผ่าเชื้อ            พงศ์พาล
ย่อมเชี่ยวช่ำสันดาน       ต่อสู้
ฤารู้หลบบ่ร่าน               ท้าไก่ เพื่อนนา
เฉกเช่นโฉดชนรู้              ก่อร้ายอาจินต์ฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง มีชาย ไก่ชนเลี้ยง       ด้วยชอบเสี่ยง บ้าพนัน อยู่นิจสิน
เข้าบ่อนไก่ เดิมพัน อยู่อาจินต์           ไม่ยลยิน กลัวบาป เวรกรรมใด
   มาวันหนึ่ง จับได้ กระทานก           นำวิหค เลี้ยงดู เข้าฝูงไก่
กินอาหาร หลับนอน อยู่เนาใน           ประหนึ่งไก่ ตัวหนึ่ง ร่วมวงศ์วาน
   อนิจจา กระทา ใช่ไก่เชื้อ             ในกินอยู่ ทุกเมื่อ น่าสงสาร      
ด้วยนิสัย มิใช่ ไก่ชนพาล                ทุกเมื่อวาน ถูกกลุ้ม รุมรังแก
   ด้วยไก่ชน ทระนง ว่าทรงศักดิ์        รังเกียจนัก กระทา เจ้าขี้แพ้
ถูกแกล้งจิก กระทา ไม่ตอแย            อนาถแท้ เจียมตน ข่มน้ำตา
   มาวันหนึ่ง ฝูงไก่ เกิดปากเสียง       ต่างทุ่มเถียง แบ่งฝ่าย ไม่ชักช้า
ต่างพวกพ้อง จิกตี กันเนื่องมา          เจ้ากระทา ถอนใจ ปลงรำพึง
   โอ้ไก่ชน ชั้นพาล สันดานหยาบ   แต่พวกพ้อง จ้วงจาบ ทะเลาะขึ้ง
เข้าจิกตี พัลวัน อยู่ตังตึง                  จึงรู้ซึ้ง สันดาน โจรพาลเอยฯ   

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันหมู่พาล โจรา สันดานหยาบ
ไร้สัจจะ เมตตา ไม่เกรงบาป
แม้พวกพ้อง จ้วงจาบ ไม่เว้นเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ไม่มีความเมตตา และสัจจะใดๆ ในหมู่โจร”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
6 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Shumbala, รพีกาญจน์, จารุทัส, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
05 พฤษภาคม 2013, 09:00:AM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #38 เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2013, 09:00:AM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
๗.
นกกระทากับนักฝึกเหยี่ยว

๑.
   อันกระทาเผ่าเชื้อ           นกดิน
บ่คล่องปีกวาดบิน                เรี่ยพื้น
ทรยศเหล่าปักษิน               พ้องเพื่อน
คิดแต่รอดต่ำตื้น                ห่อนพ้นม้วยไฉนฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง บุรุษ นักฝึกเหยี่ยว         ด้อมด้อมเทียว ตาข่าย ดักวิหค
เขาโชคดี จับได้ อยู่หลายนก                 และครึ้มอก หนึ่งนั้น นกกระทา
   อันกระทา นกวงศ์ เนื้อนุ่มลิ้น             ใครต่างยิน อร่อยเลิศ เนื้อปักษา
เขาคิดหนัก กับข้าว จ้าวกระทา               จะแกงป่า ผัดเผ็ด ก็เด็ดนัก
   เจ้ากระทา ร้องขอ ปล่อยชีวิต           ฟังข้านิด ท่านขา อย่าห้ำหัก
ใช้ข้าเป็น เหยื่อล่อ เช่นกับดัก                  แค่สักพัก กระทา มาติดกับ
   เมื่อนั้นท่าน มากมาย ฝูงวิหค              กระทายก พวกมา คณานับ
เชื่อข้าเถิด อย่าเพ่อ ฆ่าม้วยดับ                โปรดระงับ โทษา ถึงวางวาย
   นักฝึกเหยี่ยว ครุ่นคิด ก่อนเอื้อนเอ่ย    กระทาเอ๋ย อย่าเลย เจ้าช่างร้าย
แม้เผ่าเชื้อ ทรยศ ช่างกระไร                   ให้ข้าเชื่อ วางใจ อย่าหมายเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ สอนท่านว่า
ผู้ทรยศ วงศา มวลญาติมิตร
ใครจักเชื่อ สนิทใจ ร่วมน้ำจิต
ใครคบหา ชีวิต ต้องเสื่อมเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้ที่ทรยศแม้แต่กับญาติมิตรของตนเองได้ ย่อมไม่สมควรคบหาอย่างยิ่ง”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
7 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, จารุทัส, Thammada, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
06 พฤษภาคม 2013, 08:38:AM
choy
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 145
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 314



« ตอบ #39 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2013, 08:38:AM »
ชุมชนชุมชน

นิทานอีสปคำกรอง
๘.
หมาป่ากับฝูงแกะ

๑.
   อันหมาป่าเล่ห์ร้าย         อุบายกล
มโนจริตมุ่งฉ้อฉล               ชั่วช้า
แยบยลหมื่นเหตุหน              หลอกท่าน
คูเหลี่ยมใช้แกว่นกล้า        ยิ่งล้ำใครเสมอฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง หมาป่า ผู้เชื่องช้า        ด้วยแพ้วัย แปล้ชรา ขืนสังขาร
ไล่จับเหยื่อ เงื้อง่า ไม่ว่องชาญ             จึงคิดการ แยบยล กลอุบาย
   มาวันหนึ่ง ฆ่าแกะ หลงฝูงเสร็จ        คิดกลเม็ด จับเหยื่อ อย่างง่ายง่าย
จึงถลกหนัง ควักกิน ไส้เนื้อใน             ส่วนหัวหนัง เก็บไว้ ใช้ปลอมตน
   จึงวางแผน ปลอมตัว เข้าฝูงแกะ       เพื่อหวังฆ่า หนึ่งแกะ หนึ่งคืนหน
ไม่ต้องล่า เปล่าเหนื่อย ได้ลำบน       ไม่ขัดสน อาหาร อีกต่อไป
   ครั้นปลงใจ ใช้แผน เล่ห์ล้ำลึก          คลุมหนังแกะ คักคึก เข้ากลุ่มได้
กระหยิ่มย่อง แอบยิ้ม อยู่ในใจ             เทียวดุ่มดุ่ม เตร่ไป พรางปะปน
   ครั้นตกเย็น คนเลี้ยง ต้อนกลับคอก   ไม่แวกวอก เกาะฝูง ในทางหน
จนเข้าคอก สำเร็จ แผนการตน            สุขใจล้น หมายิ้ม ตากริ่มวาว
   ค่ำวันนั้น คนเลี้ยง อยากกินแกะ       ภริยาแนะ หนังนั้น ตัดเสื้อหนาว
คนเลี้ยงจึง เปิดคอก เลือกสุ่มเอา        แกะปลอมเศร้า ถูกเขา สุ่มเลือกตัว
   อนิจจา หมาป่า ชะตาขาด              คราวถึงฆาต เคราะห์หนัก ถูกตัดหัว
กงกรรมใด ใครก่อ ย้อนเข้าตัว           หมาคิดชั่ว ย่อมได้ ชั่วตอบเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ สอนท่านว่า
คนคิดชั่ว นั่นหนา ย่อมทำชั่ว
ทำสิ่งใด ย่อมคืน กลับย้อนตัว
ใครคิดชั่ว ทำชั่ว ได้ชั่วเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนที่คิดชั่ว และทำชั่ว ย่อมจะได้สิ่งชั่วนั้นตอบแทน”


สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
8 เมษายน 2556

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, สุวรรณ, Shumbala, ชลนา ทิชากร, อริญชย์, ยามพระอาทิตย์อัสดง, รัตนาวดี, พี.พูนสุข, เนิน จำราย, บ้านกลอนไทย

ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s