พิมพ์หน้านี้ - รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => ห้องรวบรวมบทกลอน,บทกวีจากที่อื่น.. => ข้อความที่เริ่มโดย: choy ที่ 18 พฤศจิกายน 2012, 09:49:AM



หัวข้อ: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 18 พฤศจิกายน 2012, 09:49:AM
ไอแพดประถมหนึ่ง
ขึงเด็กตรึงไอทีสมัย

-๑-

เด็กไทยครั้งเก่าสมัย          ปู่ย่ายายป้องประหงม
กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงแม่นม                เพียรปลูกบ่มจริตนิสัย
ซื่อใสเขลาเดียงสา                   ดั่งขาวผ้างามขาวใส
รั้นบ้างข้างขัดใจ                          ดื้อสมวัยในอ่อนเยาว์
ขวบเกณฑ์เข้าอนุบาล               ครูค่อยปั้นประดอยเจ้า
คบเพื่อน-ได้กล่อมเกลา               เอาใจเขาใส่ใจตัว
ประถมเรียนกอไก่                     พยัญชนะไล่ท่องใส่หัว
อาขยานผันเสียงรัว                    ไล่รายตัวอ่านออกเสียง
ครูจับเขียนลายสือ                   ใครลายมือไม่คมเกลี้ยง
คัดซ้ำร้อยแถวเรียง                    งดมื้อเที่ยงกิ่วท้องไส้
หนังสือเล่มกระดาษ                 อ่านปรุขาดเก่าใจหาย
ทบทวนเนื้อความนัย                  จบแจ้งไขสรรพตำรา
อ่านออกคิดเขียนได้               ไม่เข้าใจขวนขวายหา
ครบเกณฑ์เจนวิชา                    ได้ปัญญาใช้เลี้ยงตน

-๒-

เด็กไทยรุ่นไอแพด                  แม่พ่อแชทโกลาหล
นมวัวเลี้ยงลูกคน                      จึงแปลกปนปลอมนิสัย
ทีวีออนไลน์สื่อ                        เข้าถอนรื้อไล่เดียงใส
ปั่นมอมข้างกร้าวร้าย                  ผลักเสือกไสปล้นวัยเยาว์
สามขวบปรีอนุบาล                  ครูแข่งปั้นยัดเยียดเจ้า
แม่พ่อแข่งปลุกเร้า                     แข่งคอร์สเป้าก้าวอินเตอร์
ครั้นวัยแข่งประถม                   ผู้ใหญ่บ่มแข่งเหิมเห่อ
ไอที-สมาร์ทโฟนเกร่อ                แข่งบำเรอเคร่งหาจัด
คัดไทยอย่างแกนแกน              คีย์บอร์ดแป้นพลิ้วสัมผัส
ทัชสกรีน-นิ้วป้ายปาด              ลายมือคัดคร่ำครึสมัย
กระดาษเล่มหนังสือ                เจ้าเบื่อรื้อเล็มความหมาย
เว็บไซต์-เกมออนไลน์             เจ้าฉับไวเข้าสืบค้น
เด็กไทย-ไอทีสมัย                แฝงเร้นกายปลีกห้องหน
โลกเสมือน-ฝังคิดคน                กลืนกลายตนปลักสมัยยุค
ปอหนึ่งรุ่นไอแพด                  มุ่นหมกแชทจ่อมคลีคลุก
โลกจริงไม่พันผูก                      โลกเสมือนรุกผลักเคลื่อนสมัย

-๓-

ไอแพดประถมหนึ่ง              ขึงเด็กตรึงไอทีสมัยฯ 




สนอง เสาทอง
3 สิงหาคม 2555
สุรินทร์



หัวข้อ: โชห่วยเจียนสิ้นร้าง สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 18 พฤศจิกายน 2012, 06:03:PM
โชห่วยเจียนสิ้นร้าง
บนแพร่งทางค้าปลีกสมัย

-๑-
โชห่วยค้าชำย่อย            ซุกลึกซอยตึกแถวเก่า
ซิ้ม-แป๊ะ, ตื่นก่อนเช้า            ง่วนจมเจ่าเตรียมเช้าขาย
ห้องร้านไกลปากทาง         ใกล้เจียนร้างน่าใจหาย
แป๊ะ-ซิ้ม, เจ็ดสิบปลาย            ขืนฝืนกายประสาแก
ปากซิ้มขั้นเราะร้าย         ด่าเถียงใครหงอคร้ามแพ้
แป๊ะฝืนขืนยักแย่               โปรยยิ้มแต้แกยิ้มเปลือง
สนุกซิ้มซ้ำซากเล่า         ใช่โม้เต้า-เฉาฉุยเขื่อง
สาวสมัยโรงผ้าเฟื่อง            ซิ้มลือเลื่องพ้งจักรทอ
แป๊ะนั้นครั้งหนุ่มแน่น         ว่องเซลส์แมนขายจานหม้อ
จักรยานถีบปั่นปร๋อ            เซ็งลี้ฮ้อตะลอนทั่ว
แม่สื่อ-เซ้าซี้แหย่            ชมแป๊ะแท้-ใช่ซี้ซั้ว
ตึ่งนั้งใช่ไกลตัว               ไม่เขลาชั่วนักเลงพนัน
ม่าเตี่ย-ขึงขังขัด            ซิ้มฮึดฮัดอย่างดื้อรั้น
แป๊ะ-ซิ้มได้แต่งงาน            เซ้งห้องร้านทำโชห่วย
ตาซิ้มปริ่มสุขเคล้า         ไม่เบื่อเล่าเรื่องตี๋หมวย
ลูกเต้า-สบายรวย            โชคบุญช่วยเป็นคุณหมอ
หมดห่วงลูกแต่งงาน         แยกเรือนบ้านแต่งหับหอ
เวียนกล่อมแม่กับพ่อ            บอกเถอะพอเลิกโชห่วย
สองหมอ-ไม่เข้าใจ         งานค้าขายได้ต้า-อ่วย
ใช่หวังทางร่ำรวย            เช่นจ้าวหวยบ้ารวยใหญ่

-๒-
โชห่วยค้าชำหน            ใช่รวยล้นคนค้าขาย
ซื้อมาและขายไป            เจียดกำไรออมต่อทุน
ซิ้ม-แป๊ะ, กินอยู่เขียม         ใช้อย่างเจียมปั่นเงินหมุน
เชื่อ-ซื้อ, คนเคยคุ้น            เทียวอุดหนุนข้องพูดคุย
ตาโชคแกขี้เมา            เก็บของเก่าถังขยะคุ้ย
มะเทิ่งเอะอะคุย               ถ่มขากถุยชวนตีท้า
อีสาวหม้ายยังสวย         ไม่เคอะขวยคะนองกล้า
ยายนวลขมังมนตรา            จริตท่วงท่าชั้นเจ้าทรง
ไอ้พจน์กอทอมอ            หุ่นม่อต้อกวาดฝุ่นผง
เชื่อเหล้า-บัญชีลง            ไม่เบี้ยวโกงสิ้นเดือนใช้
โก๋ชัยเงินหวยออก         เบ่งคับตรอกทำหน้าใหญ่
เต็มขวด-สดสดจ่าย            วินมอ-ไซค์ห้อมล้อมริน
ถังแตก-หน้าเซียวซีด         ไร้แรงฤทธิ์เปรี้ยวปากลิ้น
เป๊กน้อยหลบเหนียมกิน            มาดเขื่องสิ้นทิ้งเสือลาย
กี๋ติ๋มหน้าตาดี            สิ้นเดือนทีหลบลิบหาย
เทียวผลาญเงินละลาย            เหนียวหนี้ใช้-แสร้งไขสือ
ยิ้มเจื่อนปั้นเรื่องเศร้า         ตอแหลเล่าอ้อนเชื่อซื้อ
จ่ายพรุ่ง-เปียแชร์มือ            ตีหน้าตื๊อรั้นดื้อหยิบ
โชห่วย, คืนวันเก่า         ทุกข์สุขเคล้านานับสิบ
นินทาป้องกระซิบ            ปากยิบยิบป้ายสันสี

-๓-
ซิ้ม-แป๊ะ, โชห่วยร้าน         จึงผูกพัน-ย่านวิถี
คนซอยถ้อยพาที               ครั้งก่อนมี-ค้าปลีกห้าง
ค้าสมัยไร้พรมแดน         หมุนเพลาแกนทุนเฟืองคลั่ง
ทุนใหญ่บ่าโถมถั่ง             ทุนเล็กรั้งทางขัดสน
เสรี-ทุนข้ามชาติ            เปิดรุกฆาตปิดช่องหน
ทุนบ้านเข้าตาจน            พ่ายเกมกลค้าเสรี
ไทยเทศ-ค้าปลีกห้าง         ถือโอหังเข้าเบียนบี้
เซเว่น, ยี่สิบสี่-               ชั่วโมงมี, ขายขวบวัน
ห้างแอร์ฉ่ำยะเยียบ         กลค้าเฉียบโปรโมชั่น
ลดแจก-แข่งรางวัล            ทุกฟลอร์ชั้นปั่นราคา
บริการสะดวกซื้อ            เชิญเลือกรื้อหยิบฉวยคว้า
ไม่ซื้อใครไม่ว่า               เชิญแวะมาเพลินเที่ยวเล่น
โซนเด็กโซนผู้ใหญ่         โซนหญิงชายง่ายพบเห็น
โซนแบ่ง-ชัดกฎเกณฑ์            ทุกโซนเฟ้นเน้นของแบรนด์
พลาซ่าศูนย์อาหาร         ฟาสต์ฟู้ดร้านจอแจแน่น
เปลืองกินปลิ้นพุงแอ่น            หัวฉิวแล่น-แข่งนาฬิกา
เสรี-โลกทุนสมัย            คนซื้อย้ายขึ้นห้างค้า
ตราห้างประทับค่า            ตีป้ายตราสมัยนิยม
ค้าชำทุนบ้านบ้าน         จึงซูบซานไข้เหงาห่ม
ร่อแร่-เจียนสิ้นลม            พิษอาคมเสรีทุน

-๔-
โชห่วยค้ายิบย่อย         คนร่อหรอยเรื้อรกฝุ่น
ซิ้มเงียบนั่งผ้าชุน               แป๊ะแสร้งวุ่นไล่แมวหมา
เก้อคอยชะเง้อหาย         ผ่านโมงบ่ายขายเหว่ว้า
มากคนล้นไคลคลา            มุ่งห้างค้าวุ่นวายขรม
ปากซิ้มเคยเปราะปาก         เจี๋ยมเป่าสากปั้นหงิมก้ม
ผล็อยงีบม่อยจ่อมจม            ฝันแล้งลม-ห่มเลื่อนลอย
ยิ้มแป๊ะไม่เปลืองยิ้ม         ชะม้ายซิ้มปั้นขรึมหงอย
ท้อหวั่น, แสงวันคล้อย            กี่เปลืองคอยในเปลืองหวัง
ผู้คนเหิมค่าสมัย            เครดิตใช้เชื่อของห้าง
รูดปื้ด-พลาสติกบาง            หนี้รุงรังดั่งต้องสาป
จับจ่ายใช้ง่ายคล่อง         บัตรเดียว-ครอง, ของหามหาบ
ช้อปเพลินจนเยินยับ            เกินรายรับ, ดอก-ต้นผ่อน
วิถีคนรุ่นใหม่            ไลฟ์สไตล์ดิจิตอล
สื่อสมัยเสี้ยมพร่ำสอน            แบกทูนคอนวัตถุค่า
โชห่วยค้าชำร้าน            ฝืนสังขารขืนคร่ำคร่า
กร่อนผุกาลเวลา               ไม่เร็วช้าชำรุดสลาย
ซิ้ม-แป๊ะ, จ่อมเหงาหม่น         บ้างใครคนผ่านกรายใกล้
แห้งยิ้มในทักทาย            ละเหี่ยคล้ายไม่เหลือหวัง
โชห่วยบนแพร่งผ่าน         สะดวกร้าน-ค้าปลีกห้าง
ทุนใหญ่ล้อมกั้นขวาง            ใกล้หมดทางเจียนสิ้นลม

-๕-
โชห่วยเจียนสิ้นร้าง   บนแพร่งทางค้าปลีกสมัยฯ

สนอง เสาทอง
25 กรกฎาคม 2555
อินทามระ 10 กทม
.



หัวข้อ: แม่ที่เห็นเมื่อวันวาน สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 18 พฤศจิกายน 2012, 06:07:PM
แม่ที่เห็นเมื่อวันวาน
วันนี้ท่านเช่นอยู่เป็น


ตาแม่ของวันวาน
คือไฟงานคุฉานสู้
เกรี้ยวไฟโชติคบชู
ไฟตาคู่โชนไฟงาน
ตาแม่ของวันนี้
วอมแวมหรี่ไฟสังขาร
เชื้อไฟใช้เก่านาน
ใกล้เชื้อถ่านมอดฝุ่นเถ้า
มือแม่ของวันวาน
คือมืองานอันหาญห้าว
เนื้องานถ้วนหนักเบา
ไคลเหงื่อเคล้าปรุงเนื้อนา
มือแม่ของวันนี้
คือมือที่บอบเปลี้ยล้า
อ่อนโรยแปล้พ่ายชรา
เหน็บป่วยชาอยู่อาจิณ
บ่าแม่ของวันวาน
คือบ่างานอันแกร่งหิน
คอนแบกกรำด้านชิน
บ่าด้านสิ้นเกินด้านพอ
บ่าแม่ของวันนี้
คือบ่าที่ฝืนเหี่ยวห่อ
ขืนบ่าแบกตั้งคอ
บ่าแบกท้อเล็ดน้ำตา
เท้าแม่ของวันวาน
คือเท้างานอันกร้านกล้า
ดำ-เกี่ยว, เท้าแม่พา
ย่ำเนื้อนาหอมเนื้อข้าว
เท้าแม่ของวันนี้
คือเท้าที่คลอไม้เท้า
ย่องแย่งเหยาะเยื้องเบา
ยักแย่เท้าทุกก้าวย่อง

แม่ที่เห็นเมื่อวันวาน
วันนี้ท่านเช่นอยู่เป็นฯ

12 สิงหาคม 2555
สนอง  เสาทอง

[/font][/size][/color]


หัวข้อ: กุลีคำเจียมฝีมือ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 08:17:AM
กุลีคำเจียมฝีมือ

     ภักดีใจวิถีบรรณ               แรมรอนตามฝัน
กุลีคำ-เจียมฝีมือ
     แบกหัวใจดวงฝันดื้อ          เฝ้าเพียรฝึกปรือ
เทียวท่องเรือกสวนทุ่งคำ
     เนิ่นผ่านล่วงวารฉนำ         เรียงร้อยลำนำ
แบกคำปรุงความคำนอง
     มิใฝ่หวังชนแซ่สร้อง          มิหวังเรืองรอง
เพียรมุ่งประดอยความเรียง
     ใดยออวยยศชื่อเสียง         มิผายมองเมียง
ยินดียินร้ายใดใด
     เพียรปั้นเสกคำตามนัย       หมายมุ่งตามใฝ่
จารจดจารึกยุคกาล
     เรียงร้อยเรื่องราวถิ่นย่าน     บนหนรายผ่าน
สิ่งละอันพันละน้อย
     ประจงจับมาเรียงร้อย         เก็บนิดเก็บหน่อย
เบี้ยใต้ถุนร้านฝุ่นผง
     เก็บออมเรื่องราวพฤกษ์พง   ดอกดินดอกดง
เรียงถ้อยรำพึงรำพัน
     เก็บเดือนดาวพราวฟ้านั่น    ถักทอใยฝัน
สร้านชื่นระรื่นวิญญาณ์
     มิคิดหวงรุ้งเพ็ญฟ้า           อีกเดือนดารา
ฤาสูรย์เพื่อหมายหวังตน
     แจกปันให้ชนถ้วนยล         ร่ำดื่มเสพชนม์
สรรพสิ่งใต้ห้วงจักรวาล
     ใดดีใดงามเจือจาน           ใดรื่นผลิบาน
ปันทั่วเพื่อนทุกข์เพื่อนไท
     เปือกตมอาจมเราะร้าย        มิเอียงพรั่นไหว
เสพดื่มอาบร่ำให้หมอง
     ภักดีใจฝันร่ำร้อง              ฝันในครรลอง
กุลีใช้แรงอักษร
     ค่ำเช้าเสพดื่มกาพย์กลอน   แม้ยามหลับนอน
ยังฝันละเมอลำนำ
     เทียวจรนาสวนเคียวกำ      ผู้ใช้แรงคำ
หว่านดำเกี่ยวคำเลี้ยงตน
     มิหลงเห่อเหิมกมล           เจียมใจฝึกฝน
ทำกินบนถิ่นทุ่งคำฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


[/font][/size]


หัวข้อ: นกร้างคู่...ครวญเหงา สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 08:47:AM
นกร้างคู่...ครวญเหงา

นกน้อยมาร้างคู่
เกาะเจ่าอยู่เดียวเซื่องหงอย
ไร้คู่พร้องคลอขับร้อย
ใจละห้อยละเมอหาคู่ใจ

น้ำคำนกร้างคู่เว้าวอน
เอ่ยอ้อน...จิ๊บ...จิ๊บ...พร่ำไห้
'...ว่าเหงาจิต...ว่าเหงากาย...'
วิโยคใจระทมโศกท้อ

เสียงนกเศร้าเอื้อนเฉลย
จิ๊บ...จิ๊บ...อกเอ๋ยอนาถหนอ
ครวญเพ้อ, รำพันพ้อ
เหี่ยวห่อร้างคู่...คว้างฤทัย

น้ำคำนก...สะอื้นเครือ
'...คงเหงาเหลือ...คงเหงาร้าย...'
ไร้คู่แปงรังทอหญ้าใย
อุ่นอาศัย, ประสาอกนกน้อย

นกร้างคู่...ครวญเหงา
จิ๊บ...จิ๊บ...เนิบเบา...ค่อยค่อย
ไร้คู่ขับคลอขานสร้อย
น้อยอกน้อยใจชะตาตน

นกเอยคงเหงา...เปลี่ยวอก
ไร้คู่นกเคล้าพะนอร่วมหน
คงเหงาร้าย, ร้างคู่เคียงกมล
ในเหงาหม่นจมเจ่าอยู่ลำพังฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: ใจเอย...อย่ารั้นห่ม สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 09:48:AM
ใจเอย...อย่ารั้นห่ม

ใจเอยหากเหนื่อยนัก
เอนพิงพักให้เหนื่อยคลาย
ร้อนรุ่มร้ายร้อนใด
เก็บออมไว้อย่าโทสัน

ใดใดมิได้ดั่ง
ตั้งใจหวังต้องใจฝัน
อย่าดื้อ-อย่าดึงดัน
อย่าโมหันด้วยใจน้อย

ยอมรับในอ่อนไหว
ร้องไห้ได้-ใช่ท้อถอย
แค่เพียงนิ่มเนื้อกลอย
ทิ้งคนคอย-อาบไข้ซม

เมื่อรักมั่นฉะนี้
มีหรือที่จักติดหล่ม
มายา-น้อยอารมณ์
มาผูกปม-น้อยใจเรียม

ด้วยรักต้องข่มใน
ปลอบฤทัยให้ล้นเปี่ยม
แน่นหนักใจหมั่นเขียม
เตือนใจเจียมยอมอาบขม

ใจเอยอย่าน้อยใจ
ในใดใดมิต้องสม
อย่าดื้อ-เอารั้นห่ม
ยอมเสพตรมเซ่นรักพลีฯ



จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: ใจรำพึง...ยามฝนพรำ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:14:AM
ใจรำพึง...ยามฝนพรำ

เย็นฝนพร่าง...พราวเย็น
พราวพรูกระเซ็นพราวหน้า
แผ่วพริ้วลม แผ่วแผ่ว, โผยแผ่วพา
เย็นฝอยฟ้า, ฝนเย็น...ไอวสันต์

พรำฝน...คืนฝนพรำ
ใจคะนึงร่ำหาคนไกล, เพ็ญขวัญ
หวาดจริตวิกลพรั่น
หวั่นใครอื่นพะนอแนบ...แอบเคล้า

พร่างฝนเย็น...พราวพร่าง
เหงาลึกภวังค์พะวงเจ้า
ห่วงหวงแก้มไหมนวลนงเยาว์
ในเปลี่ยวเหงา...เคว้งลำพัง

หนาวฝนเย็น...เหน็บหนาว
หวงนักเจ้าละไมบาง, ยามไกลร้าง
นึกหวั่นมีใครอื่นแอบชื่นปราง
เสกใจนาง...คว้างไหว

พราวฝนพร่าง...พรำพราว
ใจคนไกลเคล้าเครือสะอื้นไห้
วอนวิรุณฝากคำถ้อยนำไป
กล่อมเจ้าใจ...อย่าร้ายบั่นรัก

แผ่วฝนพรำ...พรำแผ่วแผ่ว
ใจมิแผ่ว, รุ่มร้อนร้ายพะวงหนัก
ห่วงหวงคนไกลร้ายรวนนัก
รอนรักจืดจาง...ด้วยห่างกาย

รำพึงเพ้อ...พร่ำรำพึง
รำพันเว้าวอนย้ำคำนึง, ยามห่างหาย
เธอเอยอย่าผวนร้างกลายอื่นไป
วอนเก็บใจ, เพื่อฉัน...คนเดียวฯ

จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: นี่แหละรักเรา สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:44:AM
นี่แหละรักเรา

รักเอยเกิดแต่ใด
ใครตอบได้วานตอบที
แรกรักปักฤดี
แรกรักมีเริ่มหนไหน

เธอฉันต่างชายหญิง
มาต่างสิ่ง-มาต่างสาย
แผกต่างเลือดในกาย
ในต่างใจ-ต่างรักกัน

แรกพบคือเพื่อนพ้อง
ใจผูกคล้องร้อยเกี่ยวพัน
คือเพื่อนเรียนร่วมชั้น
ร่วมสุขฝันในอ่อนเยาว์

สุขเหลือร้ายเดียงใส
มิรู้ใด-ฉันหนุ่มสาว
รู้แต่-เธอเพื่อนเรา
แอบปลื้มเขา-ก็ปลื้มใจ

ด้วยวัยละอ่อนนัก
มีรู้รัก-เป็นฉันใด
พร้องหน้าว้าวุ่นใจ
เกลือกใครใคร-รู้นัยจริง

รักเอยเกิดแต่นี้
สามสิบปีเก็บแน่นนิ่ง
วันนี้-แจ้งทุกสิ่ง
ไม่ประวิงบอกรักกันฯ

จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: ใจดวงนี้...พลีรักภักดีเธอ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 11:06:AM
ใจดวงนี้...พลีรักภักดีเธอ

เก็บใจเพื่อรักเพื่อฝัน
ผนึกแน่นจำเนียรกาลจำหลัก
มิมักง่าย...ในค่ารัก
บูชาภักดีเซ่นพลีบำเรอ

รักเดียวคือเธอนั้นแท้มั่น
เก็บใจรักพะนอฝันมิหวั่นเก้อ
ทุกเมื่อวารฝันเพ้อ, พ่ายละเมอ
ทุกเสี้ยวห้วงฝัน, มีเธอ-ในคะนึงหา

ใจเธอเช่นฉันหรือใดเจ้า
คือรักแรก...สิเหน่หา
คือแรกรัก, ปักใจ ปักอุรา
เก็บรักใฝ่...ฝังตรึงตรา...ฝันอุ่นอิง

ครั้งวารแอบรักเธอเหน็บซุกใจ
เก็บซ่อนบึ้งบาดาลหฤทัย...แน่นนิ่ง
ไหวหวาดหวั่น, เธอไม่จริง
ไม่มีฉัน...ในสายตา

ในแอบรักเธอ...แอบสุขใจ
เพียงเห็นเธอเอมสุขใสเริงร่า
ก็สุขล้ำ ก็สุขเหลือ ก็สุขล้นอุรา
แค่ปรารถนา...เห็นเธอสุขฤดี

เมื่อรักเธอก็รัก...มิแปรอื่น
'...แม้มิได้ชื่น, สมรัก-ภพชาตินี้
ก็ยังรั้นในรักมิคลายภักดี...'
แท้ใจดวงนี้...พลีรักภักดีเธอฯ

จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 12:04:PM
อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ

อุ่นลมรักรำเพยกรุ่นอุ่นใจ
กรุ่นอุ่นไอแผ่วกรุ่นละมุนนัก
อุ่นใดใดมิเทียมกรุ่น...อุ่นลมรัก
รื่นร่ายกรุ่นห่มจำหลักหนุนอุ่นทรวง

อุ่นลมรักวูบผ่านอุ่นอิ่มอก
พัดคืนผวน...วกมาห่มหวง
ลมรักกรุ่นพัดหวนอุ่นฤดีดวง
รำเพยรื่นมาห่มหวงอุ่นดวงหฤทัย

อุ่นลมรักรื่นรื่นรำเพย
แผ่วแผ่วเผย...ผ่าวอุ่นวาบไหว
รื่นผ่าวแผ่วระบัดไล้อุ่นรวงใจ
ผ่าวละไม, แผ่วละมุน, ห่มอุ่นวิญญาณ์

อุ่นลมรักคืนฝนพรำ
อ้อยอิ่งเรื่อยร่ำ...เอื่อยเอื่อยช้า
หนาวฝอยฝนเย็น, หรือสู้อุ่นแท้รักรื่นชีวา
อุ่นอกอุ่นเอกา...อุ่นในห้วงฝันคำนึง

ใยอุ่นลมรักทอถักห่มอุ่นอิ่มใจ
อุ่นมิรู้วาย ณ บึ้งหทัย, สัมผัสถึง
ผ่าวอุ่นลมรักรำเพยแผ่ว, ละเมียดรึง
ละไมกรุ่น...ละมุนซึ้ง...อุ่นตรึงรัญจวญ

รื่นรื่นอุ่นลมรักพัดเผยแผ่วรำเพย
อุ่นไหนเลยสู้อุ่นลมรักพัดคืนผวน
อิ่มอุ่นอก อิ่มอุ่นใจเธอ มิร้ายรวน
อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: ยามอุ่นรัก...ห่มเอมใจ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 12:43:PM
ยามอุ่นรัก...ห่มเอมใจ

ยามอุ่นรัก...อุ่นห่มใจ
อุ่นใดเท่า, เทียบอุ่นรัก-หวามสร้าน
ใยแท้รักทอถักอุ่นละมุนดวงมาน
วาดวิมานฉิมพลี...แรฤดีสวรรค์ฟ้า

เมื่อดวงใจ...กอดกุมแท้รัก
เกี่ยวร้อยบ่วงจิตรัดรึงเงื่อนเสน่หา
สองแรงใจป่ายฝันรักเต็มศรัทธา
อุปสรรคนานา...มิอาจกั้น

ยามสองใจ...กรอมฝันรัก
อุ่นอิงพำนักจิบดื่มรักฝัน
ห่มอุ่นกอดใจกันและกัน
สุขมาพลัน...อาบซ่านใจ

เมื่อสองใจ...ปักป้ายรัก
เฝ้าฟูมฟักผลิช่องามสล้างไสว
จึงวาดช่อรุ้งฝันรักนั้น, งามสีแรระบาย
หวังแปงป้าย...สร้างฝันจริง

ยามดวงใจ...พูนฝันรัก
ต่างฝันเดียวกัน, ฝันออมรักยิ่ง
สองใจสองกายฝันหวังอุ่นอิง
เอนพักพิง...ในอ้อมฝันนั้น

เมื่ออุ่นรัก...ห่มเอมใจ
ใดใดในทุกสิ่งกล่อมหวาน
ใดใดในแท้รัก...งดงาม
โลกดุจวิมาน...สวรรค์ฟ้าฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: พันธะแห่งใจ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 01:35:PM
พันธะแห่งใจ

ความรัก "...คือสองใจผูกพัน
คือฉันเธอเกี่ยวร้อยฝัน, ผูกใจสองมั่นไว้
ศรัทธาแห่งรักคือ 'พันธะแห่งใจ'
เกิดแต่สองใจ...ฝันทอรุ้งไสวสวรรค์..."

ยามอุ่นอิงในห้วงฝันรัก
สลักจิตสลักใจสลักมั่น
ตรึงจิตตรึงใจตรึงดวงมาน
รัดรึงแน่นหนัก...มิคลาย

ยามอุ่นแท้รักในอ้อมใจฝัน
กอดอุ่นแท้รักนั้น...มิรู้หน่าย
มิยินดี, ยินร้ายใด
ปรารถนาเพียงเข้าใจ...ฉันเธอ

ไม่มีนิยามใดในความรัก
ใจสองเพียรฟูมฟักปลูกฝันเพ้อ
ยามแรมร้างต่างฝันละเมอ
มีฉันเธอ, เต็มห้วงฝันนั้น

ความรักคือความรัก
เมื่อได้รักก็คือรักศรัทธาฝัน
เกี่ยวใจสองร้อยคล้องผูกกัน
พร้องมั่นภักดี 'พันธะแห่งใจ'

อย่าถาม...เหตุผลแห่งรัก
แม้ใครประจักษ์...ย่อมรู้ได้
'...ความรักคือดอกผลแห่งศรัทธาสองใจ...'
คือ 'พันธะแห่งใจ' มั่นนิรันดร์ฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: ปณิธานรัก สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 01:58:PM
ปณิธานรัก

ปณิธานแห่งรักข้า
คือปรารถนาคนที่ใช่
รักแล้วรักนั้น, มิบั่นแปรไกล
จำนนคุกใจ...ในใครคนนั้น

เชื่อและศรัทธาในหัวใจ
รักใคร '...ซื่อตรงจำหลักใจฝัน
แน่นหนักเพียงอสงไขยกาล
มิร้ายรอนบั่นร้างสิเนหา...'

หากรักใครได้ผูกพัน
ทุ่มเทเพื่อรักฝันมิพรั่นสมัยค่า
ม่านมหานทีเถื่อนผาไพร, ระแหงเวลา
คิดเหิมแข่งกั้น, จะฝืนรั้น-ฝ่าข้ามไป

แบกแท้รัก, ป่ายเวิ้งธารวาร
มิท้อหวั่นประคองไต่
ซื่อในรอ ซื่อในรัก ซื่อในหทัย
รอใครที่ใช่ 'คนนั้น' เฉลยใจเผยคำ

เมื่อได้รัก, หัวใจรั้นดื้องายงม
'...หากไม่สม, ไม่ขอมีรักใดกรายกล้ำ
ยอมสังเวยพลีสิ้น, คุกใจเธอจองจำ
ให้ใจเฉาช้ำ, แห้งตาย-ไปกับกาย...'

นี่คือ 'ปณิธาน' รักหาญกล้า
จักภพนี้ ภพหน้า กัปกัลป์ไหน
จักรักเธอเสมอเพียง 'ทาสในเรือนใจ'
ตราบชีพวาย...รักเดียวนิรันดร์ฯ



จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: สองใจเอื้ออาทร สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 02:56:PM
สองใจเอื้ออาทร

ไฟรักมาสุมไฟ
เผาสุมใจคุสุมทรวง
รักเอยดั่งบาศก์บ่วง
มัดผูกห่วง-กลัดปมใจ

ก่อนเอยเคยสุขเหลือ
ออมชีพเกื้อในฝันใฝ่
แต่ตัวในเปลี่ยวดาย
ผ่อนเลี้ยงกายพอสุขตน

แต่นี้-ต่อแต่ไป
มีห่วงใจ-มีห่วงคน
มัดห่วง-พะวงหน
ใช่ดื้อด้น-ใช่ดื้อไป

ก้าวเดินไปข้างหน้า
ใครห่วงหา-ใครห่วงใย
ขาดเหลือในใดใด
ใครเติมให้-ใครแบ่งปัน

รักเอยเห็นเช่นนี้
สองใจพลีเพื่อใจฝัน
ร้ายใด-พร้องฝ่าฟัน
ถักทอฝันร่วมหนจร

ร้อนรุ่มร้อนร้ายใด
ไม่ร้อนร้าย-ในรายร้อน
สองใจ-เอื้ออาทร
ผ่อนร้ายร้อนให้ผ่อนคลายฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง
[/size]


หัวข้อ: ยามเธอไกล...ห่วงใย...คิดถึง สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 03:14:PM
ยามเธอไกล...ห่วงใย...คิดถึง

เธอจากไป...ใจห่วงถึง
เฝ้ารำพึงเหม่อชะแง้อยู่หลัง
ใจพะวงหา แต่ค่ำ, ขวบคืน-รุ่งราง
ซ่านฟุ้งไหว, เหงาคว้าง...ยามเธอร้างจร

ยังเก็บจำทุกความดี
คอยห่วงใยพัดวี, ใดทุกข์ ใดร้อน
ในใดใด ห่วงเหลือ...ห่วงอาทร
ยามไกลอรเพียรโทรย้ำใจห่วงถึง

ยามนี้แลหาชะเง้อหาย
เสื้อตัวสวยเธอซื้อให้เมื่อคราหนึ่ง
มองเสื้อตัวนั้น, ละเมอไหว-แรโศกคำนึง
เพ้อรำพึง...ฟ้องเดือนดารา

ใจห่วงหวงยามร้างจร
เคยอุ่นคำอ้อน, ถ้อยสรรหอมภาษา
จำซึ้งวันร่วมปลูกประดู่ไพรฟื้นใจนา
อุราสะทก ไหวสะท้อน ใจสะอื้นครวญ

โอ้แก้วตาดวงใจ
ยามร้างห่างไกลระกำสรวล
ทั้งที่ใจสองมิร้ายรวน
ออมรักหวง, มิพ่ายผวนแพ้ธารวาร

ยามเธอไกล ห่วงใย คิดถึง
ใจโศกคำนึง, ไหวสะท้าน
'...ทุรนทุราย...ทุกคืนทุกวัน...'
นับวันรอ, เธอย้อนคืนมาย้อนเยือนฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง
 


หัวข้อ: วอนลม (นำรักข้าห่มใจนาง...ห่มรักเรา) สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 04:09:PM
วอนลม
(นำรักข้าห่มใจนาง...ห่มรักเรา)

วอนลมนำฝันรักแรมจร
ไปห่มใจบังอรยามหลับใหล
ลมเจ้าเอ๋ยอย่าเบือนบิดเถลไฉ
ทางแสนไกล, เร่งไว...เว้าวาน

วอนดาริกาพรั่งฟ้าระยิบพราว
เป็นเพื่อนพระพายทุกหนผ่าน
วอนจันทร์ทอแสงงามนวลนาน
ปรายแสงถ้วนถิ่นย่านส่องนำจร

วอนพิรุณเยื้องหลบทางหน
อย่าเพ่อร้อนรน, ผัดผ่อน
พอพระพายเคลื่อนพ้นผ่าน, ค่อยย้อน
มาโปรยฝนฉ่ำพฤกษ์เถื่อน

วอนลมฝากคำรักสุดคะนึง
จำมั่นถึงทุกคำถ้อยข้าเอ่ยเอื้อน
ว่ารักตรึงจิตมิร้างเลือน
เฝ้ารำพัน, พ้อดาวเดือน...เหงาฤดี

วอนลมแจ้งในรัก...ศรัทธาใจ
บอกย้ำคนไกล...ข้าภักดีมิหน่ายหนี
มั่นในแท้รัก '...ยิ่งเดือนดาราคู่ราตรี
ยิ่งคู่สุรีย์อาทรวารทิวาทอใยสูรย์สาย...'

วอนลมเร่งรุดหนสัญจร
วอนเดือนดาวอย่าร้างรอนทอแสงฉาย
นำแท้รักไปคลี่ห่มใจอรอุ่นหลับสบาย
ให้รักข้า ห่มใจนาง ห่มรักเราฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง
 


หัวข้อ: ห่วงหวง...ปิ่มขาดใจ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 04:11:PM
ห่วงหวง...ปิ่มขาดใจ

จันทร์นวล...คืนเพ็ญ
ปรายแสงเย็นวาดเด่นนิศา
ดอกดาวพรายเปื้อนแก้มนภา
อวดแสงพริบพร่า วิบวาว...แข่งแข

เพ็ญคืนแรฟ้าแพรเพ็ญ
มิวายแหงนแขเด่นเหม่อชะแง้
เหงาร้าย, เหน็บลึกบึ้งรวงแด
เงาโศกพาด...ทาบหฤทัย

วอนจันทร์...แอร่มฟ้า
นำช่อรวงใจแห่งรักข้าไปให้
ส่งให้ถึงใจเธอ ณ แสนไกล
อย่าแสร้งเบือนไถลเร่งไคลคลา

จันทร์เจ้าเอ๋ย
อย่าเมินเฉยคำวอนข้า
เร่งรุดพลัน, อย่าเสียการ-เยิ่นเวลา
ก่อนเธอ...นิทราหลับใหล

วานจันทร์ฝากคำถ้อย
กระซิบค่อยค่อย...ใกล้ใกล้
'...ว่ารักยิ่งแผ่นดินแผ่นฟ้า, ยิ่งมหาชเลลัย
ยิ่งอสงไขยจักรวาล...'

วอนจันทร์เตือนย้ำคนไกล
มีใจดวงแท้รัก, รุ่มร้อนโศกศัลย์
'...กระวนกระวายเคียงจาบัลย์...'
ห่วงหวง ปิ่มอาสัญ ยามแรมไกลฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: เรียงถ้อย...รำพันรัก สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 04:56:PM

เรียงถ้อย...รำพันรัก

เรียงร้อยถ้อยคำรัก
รำพันเพ้อวอนพิไรพร่ำ
มิรู้หน่ายรินคำรักพราวคำ
วอนเว้าพรอดรำพันรัก-ขวบคืน

คั้นน้ำถ้อยบำเรอยวนใจ
กลั่นคำหอมพรมฤทัยฉ่ำรื่น
กรองคำซึ้งหวานพันหมื่น
เสกคำรักรวยรื่นประโลมเจ้า

เมื่อแจ้งถ้อยคำรัก...อิ่มใจ
พร่ำรินวจีป้ายโลมเล้า
ป้อนพูนคำรักหอมแต่ค่ำเจียนเช้า
ปรุงคำรักอุ่นประหงมใจเจ้า...ลืมนอน

รินคำหวานพราวพรู
สรรน้ำถ้อยรื่นหู...เอ่ยอ้อน
โปรยคำรักหอมจรุงรื่นฤทัยอร
เซิ้งฟ้อนคำรักรำร่ายประจง-คลี่ห่ม

ชื่นใดเล่าเท่าชื่นคำรักหอม
อิ่มสร้านใจกล่อมชื่นสุขสม
หอมด่ำลึกภวังค์, หวามอารมณ์
มอมฤทัยจ่อมจมบึ้งวิญญาณ์

จวนสูรย์รุ่ง...สว่างแจ้ง
มิแล้งไร้น้ำถ้อยสิเน่หา
มิเหือดแห้งคำหอมเกี้ยวพา
มิอยากเอ่ยคำอำลายามใกล้จร

เรียงถ้อย...รำพันรัก
พร่ำคำลาช้ำเศร้าตาผ่าวร้อน
ฝากย้ำคำครวญอาบซึ้งใจอร
จำร้างจร เจียนย่ำรุ่ง สางสูรย์แจ้งฯ


จากกวีนิพนธ์ อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ
ผู้แต่ง สนอง เสาทอง


หัวข้อ: สิบสองพฤศกมาศ (วิวาห์รำลึก) สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 08:18:PM
สิบสองพฤศกมาส
(วิวาห์รำลึก)

(๑)
ย่างเหมันต์นอนหนาวคราวปีก่อน
ใจรนร้อนเร้าเร่งเฝ้าเร่งรัด
กระทิงเปลี่ยวเหิมห่ามเต็มกำดัด
ไฟรักโหมกระโชกพัดดุกระชั้น

(๒)
ในเปลี่ยวดายร้างคู่อยู่เหงาคว้าง
ห่มเรื้อเศร้าอ้างว้างท้อและหวั่น
วันวิวาห์แม้ผันเลื่อนผัดข้ามวัน
สามสิบปีแห่งรักนั้นฝันลมแล้ง

(๓)
ในคืนเหงาหม่นมืดฝันเหว่ว้า
เห็นดวงหน้าของเธอเต็มฝันแกล้ง
รอยยิ้มนั้นผ่องพราวอาบเรื่อแดง
กี่กำแพงเคยกางกั้นก็พลันทลาย

(๔)
“แต่งงานกันไหม” ใจสารภาพ
คือคำถ้อยง่ายงามนักซื่อเดียงใส
คือคำจริงกลั่นจากบึ้งหฤทัย
สื่อแท้นัยอย่างดื้อรั้นเริ่มฝันเรา

(๕)
ย่างเมษาหัวใจพล่านรุ่มร้อน
สู้แรมรอนบุกฝ่าไปเค้นใจเจ้า
เธอมีใครเคียงครองร่วมฝันดาว
เชยชื่นคลอพะนอเคล้าคู่ฉิมพลี

(๕)
ศกวสันต์มิถุนาฝนพร่างพรำ
จ่อมชีวันข่มกลืนกล้ำทุกข์ล้นปรี่
กระวนกระวายทุกทิวาทบราตรี
หวั่นหวาดฤดีเคว้งเปล่าจมเถ้าฝัน

(๖)
เข้าตุลาปลายฝนต้นหนาววก
สะท้อนอกวูบไหวใจท้อพรั่น
“สมัชชา” หรือ  “ฉัน” เห็นดีกัน
คำเธอยืนยันคือสุดท้ายปลายทางเรา

(๗)
อานุภาพแห่งแท้รักเธอกล้ำขืน
กลืนน้ำตาหยัดยืนข่มฝืนก้าว
สู่อกฉันเติมฝันครั้งอ่อนเยาว์
จึงวิวาห์เพื่อมีเรามีกันและกัน

(๘)
วารดิถีสิบสองพฤศกมาส
พิงแสงดาวแรวาดวิมานฝัน
ในฝันนั้นมีเราสองร่วมยืนยัน
รำลึกวันสมวิวาห์เต็มฝันรักฯ

สนอง เสาทอง
12 พ.ย. 55
อินทามระ 10


หัวข้อ: ดอกเยื่อยางมลายวับสิ้น สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 09:58:PM
ดอกเยื่อยางมลายวับสิ้น
(ในวันดอกแดดดกดุโคตรวายุห่า)

ดอกแดดแดงบานดกดุแต่ยามเช้า
แผดงร้อนฟาดเผาแล้งดินป่นไหม้
แพรกหญ้าเถาเลื้อยเกรียมกรอบวาย
มิผ่อนเพลาดุแผดร้ายเมื่อสายเยือน

วายุร้อนกระโชกซัดกระชักซ้ำ
ยางต้นโค่นแผ่คว่ำกิ่งใบเรี่ยเกลื่อน
ขนำน้อยคะมำซบดินทุ่งไหวสะเทือน
น้ำลายขมเฝื่อน, น้ำตาเปื้อนรวงฤดี

ยางผลิระบัดเรียงขนัดสวยเมื่อวันก่อน
แบกทุนดอกร้อน, นาบ้าน-จำนองหนี้
หวังดอกเยื่อยางพูนหวังดอกฝันชีวี
ดอกมีดยังมิพลี, ดอกหนี้ชำแรกบาน

ดุ่มเดินเหม่อหม่นกลางทุ่งแดด
ให้มันแผดให้มันเผากายเกรียมกร้าน
ให้มันเลียให้มันลามคุสุมดวงมาลย์
ให้วิญญาณยับย่อยเถ้าฝอยจุณ

ลิขิตฟ้าชะตาใดใครขีดเส้น
สังเวยเข็ญสังเวชชะตาสังวาสธุลีฝุ่น
กงกรรมเวรชะตาใดในบาปบุญ
มิเกื้อหนุนพ้นหล่มทุกข์ทัณฑ์ชะตา

แหงนเบิ่งฟ้าถามฟ้าผีป่าแถน
ไฉนสาปดินแร้นแล้ง, เสกโคตรวายุห่า
สู้ตากร้อนปลีแดดไถงป่ายเข็มเวลา
เพียรแถกคว้าพออยู่กิน-หมิ่นค่ำเช้า

ดอกแดดบานหื่นดุร่านร้ายเหลือ
ดอกเหงื่อพราวผดดอกเกลือแสบเร่า
ดอกเยื่อยางมลายวับสิ้น, ไม่เหลือเงา
ดอกเบี้ยผลิบานเช้า, งามสาย-มิวายเย็น

ดอกเยื่อยางมลายสิ้นต้นกิ่งใบเรี่ยรกดิน
ดอกเบี้ยจำนองติดปีกโผบิน, ไปสิ้นทางฯ


สนอง  เสาทอง
23 พ.ค. 55
สุรินทร์


หัวข้อ: ยามข้าวรวงพรากทุ่งทิ้งนา สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:03:PM
ยามข้าวรวงพรากทุ่งทิ้งนา
(ทิ้งซากซังซับน้ำตาปลอบชาวดิน)

ข้าวทิ้งซังเกลื่อนซากเรี่ยรายทุ่ง
เหลืองเมล็ดตวงถุงมาตากเหลือง
ทิ้งซังเศร้าซบทุ่งอยู่นองเนือง
ข้าวน้ำปรังเกลื่อนเหลือง ณ ลานดิน

เหลืองข้าวพูนลานตากละลานตา
คือดอกเหงื่อ, ฝันชีวาใครเฝ้าถวิล
คือดอกดินชุบแพรกวิถีใน-อยู่-กิน
คือดอกงานปั้นฝุ่นชินของชาวนา

เมล็ดข้าวรวงพรากนาไกลทุ่งถิ่น
เพลินโบยบินล่องไกล-สุดหนหา
เหนื่อยไหมข้าววเนจรไกลสุดตา
ในแรมไกล, กี่ถิ่นนครา-กี่ฟ้าดาว

“...ข้าวเปลือกเอย, ขอสักกอบคืนนาทุ่ง
ข้าวเปลือกจ๋า, ขอสักกระบุงคืนยุ้งเปล่า
ข้าวเปลือกเอ๋ย, ขอสักกำสืบพันธุ์ข้าว
ข้าวเปลือกเจ้าขา, ขอชาวนาแค่สักหุง...”

กี่หยดเหงื่อกี่ยกงานกี่ผาลไถ
กี่ย่ำวารกี่ย่ำไถงหลายย่ำพรุ่ง
กี่เม็ดเงินกี่เม็ดปุ๋ยเม็ดดินปรุง
กี่น้ำฝนกี่น้ำทุ่งแปรข้าวรวง

“...คือชาวนาชนสามัญชั้นชาวบ้าน
คือเนื้องานเสลาสลักคืนวันล่วง      
คือข้าวเปลือกรอสี-ข้าวสารตวง
คือเม็ดรวงข้าวสุกหอมในมื้อรอ...”

เมล็ดข้าวไกลนา, อย่าลืมสาบทุ่ง
อย่าลืมถิ่น, ดินน้ำเคยปรุงรวงช่อ
อีกนกเพลงแมลงไพรกล่อมคลอ
อีกเหงื่องาน, มิทดถ้อของชาวนา

นาทุ่งยามแล้วเกี่ยวทิ้งซังเกลื่อน
นาคงเหงานับวันเดือนใจห่วงหา
ทุ่งคงเศร้า, ซากซังข้าวซับน้ำตา
ข้าวเหลิงเพลินเมืองฟ้าลืมนาดิน

ยามข้าวรวงพรากทุ่งทิ้งนา
ทิ้งซากซังซับน้ำตาปลอบชาวดินฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
4 มิ.ย. 55


หัวข้อ: โวหารแห่งปรองดองในแปลกแปร่ง สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:09:PM
โวหารแห่งปรองดองในแปลกแปร่ง
(วาระตะแบงชำเราสภาในหื่นเหียน)

ในต่างขั้วต่างคิดในทิศมุ่ง
ในต่างวาดเฉดรวีรุ้งในต่างสีฝัน
ในต่างรั้นหมุดหมายในต่างกัน
ในต่างคอกต่างคั่นในต่างพวก

จึงต่างกั้นกรอบคิดในต่างรั้ว
จึงต่างครอกต่างขรัวสีเสื้อหมวก
จึงต่างไผ่ ต่างกอ, สีสุก-รวก
จึงต่างพรรคต่างพวกลั่นดาลสลัก

โวหารแห่งปรองดองในระหองคิด
ในระแหงวิปริต, ชักตื้นติดลึกยึกยัก
ในระแวงจริตยากสนิทสมานสมัคร
ในระแวดชนักปลิดขั้วต่างคอกค่าย

อหังการชั้นเขื่องเปลืองพวกข่ม
เพื่อนกูมากลากขย่มขืนกฎหมาย
พวกกูเยอะพรรคกูใหญ่เกินจะอาย
ถูกผิดไฉนดีหรือร้ายไม่นำพา

วาระตะแบงชำเราสภาในห่ามหื่น
แสร้งเนียนลื่นขยับวาระไม่ชักช้า
หุนหันเร่งรวบวาระกระชับเวลา
ปล้นขืนสภาวาระตะแบงด้านทุรัง

จะตลบตะแลงวาระใดใคร่ชำระ
จะใคร่ดอง-ดัน, วาระใจเจ้าครอกสั่ง
จะฟอกผิด-ถูก, วาระใครใคร่ระวัง
จะฉ้อหลัง, หน้าไหว้หลอก-ใคร่ฟังความ

ในสังคมบ่มปริร้าวแปลกต่างขั้ว
ในต่างคิดต่างตัว, ใช่เยาะหยาม
ในต่างพรรคต่างพวก, ใช่ก่นประณาม
รั้นปรองดองในนิยาม-คลางระแวง

วิหารแห่งปรองดองในพรางทิศ
โมหะจริตตะบี้ตะบันในขวากแพร่ง
โวหารแห่งปรองดองในแปร่งแคลง
วาระตะแบงชำเราสภาในหื่นเหียน

โวหารแห่งปรองดองในแปลกแปร่ง
วาระตะแบงชำเราสภาในหื่นเหียนฯ

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
3 มิ.ย. 55


หัวข้อ: ชะตากรรมมะเขือริมคูคอนกรีต สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:14:PM
ชะตากรรมมะเขือริมคูคอนกรีต
(ยามพืชครัวขยับรุกชั้นห้างค้า)

-๑-

โอ้อนิจจาเจ้ามะเขือริมคูทาง
ใบปรุดวงด่างเรื้อรอยราไหม้
เพลี้ยแมลงทึ้งรุมก้านยอดใบ
อีกดอกแดดแผดไฟคลอกเผา

ลูกสวยพอเหมาะเคียงสำรับ
น้ำพริกเผาเขียมกับในมื้อข้าว
อีกเขียวหวานไก่ในรสมือเก่า
อิ่มตื้อ-แต่มื้อเช้าบ่ายจรดค่ำ

มาบัดนี้ก้านใบไหม้ราเฉาร่วง
ใจคนหวงปริ่มวายในท้อพร่ำ
ประหงมแต่อ่อน, เทียวรดน้ำ
กล่อมเกลี้ยงบำเรอใจผูกพัน

เฝ้าถนอมถนิมสร้อยแต่อ้อน
ก่อนตักบาตรเช้าพะเน้าหวั่น
ดุจมารดรอาทรบุตรในครรภ์
โอ้บุญปลูกนั้นป่วยใบไหม้รา

-๒-

พริกกะเพราผักบุ้งตะไคร้พืชครัว
กะทกรกบัวบกมะระตำลึงยี่หร่า
ผลิสะพรั่งร่วมคูทางกิ่งใบแยงฟ้า
อีกฟักทองมือคว้าขึ้นค้างกระถิน

-๓-

ในผิดที่ผิดทางแต่ปางปลูก
ในทิศเมืองขย้ำรุกแต่ฐานถิ่น
สวนพืชครัวจำปลูกแคบคูดิน
คั่นคูน้ำคู่ทางคอนกรีตขนาน

คือทุ่งนาทุ่งข้าวครั้งเก่าก่อน
คือทางเกวียนวกย้อนลัดย่าน
คือรูปรอยสืบเล่าจำเนียรกาล
คือตำนานทุ่งถิ่นก่อนเมืองมา

-๔-

โอ้มะเขือข้างคูจึงแปร่งแปลก
ในผิดที่ผิดทางค่าแพรกหญ้า
ในวุ่นวายของเมืองมิสร่างซา
ใบก้านไหม้เชื้อรา, เรื้อร้างสุข

มะเขือ, ไม้เมืองในเปลืองเปล่า
ไม้เทียมพลาสติกเข้าเบียนรุก
วิถีเมืองเปลืองใจไม้จริงปลูก
สวนพืชครัวขยับรุกชั้นห้างค้า

อนิจจาโอ้เจ้ามะเขือริมข้างคู
สู้ฟูมฟักชุบชูต้นกิ่งใบดกหนา
ในม่านเมืองสับสนผู้คนรถรา
กิ่งใบล้าปลิดโปรยโรยร่วงดิน

-๕-

อนิจจามะเขือริมคูคอนกรีต
ใบไหม้ราปลิดโปรยร่วงดินฯ

สนอง เสาทอง
5 มิ.ย. 55


หัวข้อ: นิยามประชาธิปไตย สนง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:18:PM
นิยามประชาธิปไตย
(ถูกขังตายในคุกคำ)

ประชา-อธิปไตย
ค่าความหมายไม่สับสน
ทูนค่า-ปัจเจกชน
ใช่จำนนขุนอำนาจ

ศรีศักดิ์-ตราพลเมือง
อันโขเขื่องใช่ตราทาส
สิทธิ์เสียง-ตราค่าชัด
หนึ่งตราบัตรเต็มตราสิทธิ์

ทุรชน-ชั้นอุบาทว์
จ้องผูกขาดหมายผูกคิด
ฉ้อราษฎร์-ซื้อถูกผิด
มิจฉาจริตอามิสย้ำ

ตีตรา-มารยาไสย
ปมกฎหมายแก้เพรื่อพร่ำ
ค้าความ-ขังคอกคำ
หนนิยามเอื้อทางตน

เล่นแร่-แปรธาตุคำ
ย้อนยอกล้ำคว่ำเหตุผล
ยักย้าย-วกว่ายวน
อ่างขุ่นข้นกลภาษา

เสรีชน-จึงหม่นไหม้
และหล่นสลายข้อปุจฉา
คับข้อง-วิสัชนา
กลคำค่าขังนิยาม

ปัจเจก-ศรีศักดิ์ชน
ตะพายสนโซ่ตรวนล่าม
คุกคำ-จำกัดความ
บ่าแบกหามแหนแห่ไหว้

อธิปไตย-ของประชา
จึงแคบค่าขึงความหมาย
นิยาม-ประชาธิปไตย
ถูกขังตายในคุกคำ

นิยามประชาธิปไตย
ถูกขังตายในคุกคำฯ
      
สนอง เสาทอง
กรุงเทพฯ
22ก.ค. 2555


หัวข้อ: ริมขอบคืนย่ำรุ่งต่อขอบพรุ่งวันใหม่ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:23:PM
ริมขอบคืนย่ำรุ่งต่อขอบพรุ่งวันใหม่
(ในปรายฝนคลี่สยายม่านใยวสันต์)

นวลโสมทอใยเย็นใกล้แย้มรุ่ง
ใยหมอกเมฆสลัวฟายฟุ้งยวงฟ้า
ใยคืนวสันต์คลี่ห่มปวงดาริกา
เพ็ญลำโสมใกล้อำลาใยราตรี

เจื้อยแจ้วไก่โก่งขานแจ้งวารย่ำ
ระงมงำกะปูดกาเหว่าขานอึงมี่
เขาชวาอีกกวักทุ่งขานขับมโหรี
นาฬิกาชีวีขานปลุกฤดี-ตื่นชีวา

แสงแรกสูรย์แย้มร่ายม่านเช้าใหม่
นวลโสมลำสุดท้ายลาม่านโค้งฟ้า
เรื่อเรืองอรุณถักทอม่านพร่างนภา
โสมแสงอำลา, สุรีย์สายคลี่ม่านขึง

ลำสูรย์สายต่อโสมแสงริมแย้มรุ่ง
ลำโสมรุ้งบอกลา-ย้ำแจ้งจะมาถึง
ลำสุรีย์ทอขอบเช้าเรื่อราง-ร่ายรึง
ลำหมอกสยายตราตรึงในจารจำ

ริมไรรุ่งชื่นละเมียดไหมหมอกเช้า
จึงจิบดื่มพราวหมอกละเลียดฉ่ำ
ละไมหมอกอ้อยสร้อยอิ่ง-ร่ายรำ
แสงแรกเริงระบำล้อหมอกละมุน

ใยรวงสางอาบชื่นรวงโสมเช้า
ในเรื่อรวงเจือเคล้ารวงแรกสูรย์
อีกรวงใสน้ำค้างพร่างรวงอรุณ
ไล้รวงเช้ารุ่ง-กรุ่นใยรวงสวรรค์

ริมขอบโสมสูรย์ต่อแสงร่ายย่ำรุ่ง
ริมขอบคืนค่ำต่อขอบพรุ่งเช้าผัน
ริมขอบทุ่มยามต่อโมงวันแสนสั้น
ริมขอบฝันต่อขอบจริง-ชั่ววูบไหว

ใยสูรย์แจ้งพลันยะเยียบในฝนฉ่ำ
โปรยร่ำไรใยหมอกม่านร่วงสลาย
ปรกแสงแรกทะมึนฟ้าใยมืดกราย
ในปรายฝนคลี่สยายม่านใยวสันต์

ริมขอบคืนย่ำรุ่งต่อขอบพรุ่งวันใหม่
ในปรายฝนคลี่สยายม่านใยวสันต์ฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
8 มิ.ย. 55


หัวข้อ: สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 10:28:PM
สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
(ขอผวยไหมขึงฟ้าดักฝนหล่นฉ่ำดิน)

พวยแดดไอพริบระยับในเดือนฝน
ทุ่งนาถิ่นแล้งหม่นอย่างเศร้าเศร้า
ข้าวหญ้าแซมเซียวซีดอยู่เหงาเหงา
แดดแล้งเผานาแล้งน้ำอย่างแล้งร้าย

ฝนทิ้งช่วงแปลบช้ำเจ็บชาวนา
ฝนแรกแต่พฤษภา, พลันทิ้งหาย
นาหว่านแล้งรอฝนพรำมาฉ่ำปราย
เข้ากรกฎาฝนไถลมิกรายเยือน

แล้งร้อนเหลือแล้งร้ายอีสานถิ่น
แห้งกรังดินฝนสายมิป้ายเปื้อน
ทะมึนเมฆกี่ฝนเมฆตั้งเค้าเกลื่อน
แล้วคลาเคลื่อนลับไกลไปสุดฟ้า

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
ขอผ้าผวยทอแพรวไหมสักผืนผ้า
ขึงราวฟ้ากั้นเมฆฝนบนราวเมฆา
ดักรวงฝนร่วงรวงฟ้าอาบรวงดิน

เมฆฝนเช้าปั้นเมฆเค้าแล้วล่องหน
แล้งดินป่นก่นร่ำไห้แทบวายดิ้น
ห้องนาหม่นเก้อฝนรอล้นชาชิน
น้ำเหือดสิ้นดินร่ำไห้ข้าวซึมเซียว

นาทรายดินบ่มร้อนไอแดดสาย
ระยิบร่ายระยับปรายวิบวับเกรี้ยว
ควายเหล็กนิ่งท้อแรงหนทางเทียว
ในปลักเปลี่ยวเงียบเงียบแช่ลมแล้ง

พวยไอแดดดิ้นระยับในเดือนฝน
ระแหงนาระแหงคนยิ้มแห้งแห้ง
ข้าวซมเซียวปื้นน้ำตารื้นแดงแดง
คนซูบโซสิ้นเรี่ยวแรงร้อนแล้งคร่า

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
ขอสักผวยแพรไหมผ้าขึงราวฟ้า
คลี่กางกั้นผันเมฆฝนหล่นร่วงมา
ชุ่มทุ่งดินฉ่ำห้องนาข้าวหญ้ารอ

สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ผ้าไหมสวย
ขอผวยไหมขึงฟ้าดักฝนหล่นฉ่ำดินฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
๑๖ กรกฎาคม ๕๕


หัวข้อ: สุนทรภู่ครูกลอนสุนทรกวี สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มกราคม 2013, 11:55:PM
สุนทรภู่ครูกลอนสุนทรกวี
(สุนทรศรีสุนทรศักดิ์รุ้งอักษรา)

รัตนกวีศรีรัตนโกสินทร์
รัตนศิลปินรัตนวลีร่ายฟ้อน
รัตนะสดับรัตนะรับขับรุ้งกลอน
รัตนะรองรัตนะส่งวรรคสมัย

คือสุนทรภู่ครูกลอนสุนทรศรี
สุนทรกวีสุนทรศักดิ์อักษรไสว
สุนทรคำสุนทรสัมผัสนอก-ใน
สุนทรสระอาอีไอสุนทรความ

เทือกเถากอชั้นเชื้องำปริศนา
ผู้ดีสาแหรก, ไพร่ค่าชั้นแบกหาม
เชิงคำกรองชั้นหงส์รำแพนงาม
ใช่เชื้อต่ำชั้นทรามเชิงฉันท์กลอน

กับชีวิตแรมรอนระเหินระหก
ดั่งวิหคระเห็จเร่, ระเหร่อน
สุขทุกข์อิ่มอด, รันทดวเนจร
คือชะตาครูกลอนสุนทรกวี

"...ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร..."
มิยั้งหยุด, เถลไฉ-บ่ายเลี่ยงลี้
ในเห่ขับกาพย์กานท์กลั่นวจี
อุทิศพลีกรองจารบรรณศิลป์

"...ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง..."
เห็นคันโพงโยงสายกระหายลิ้น
ในเมามายเช้าสายค่ำเมรัยริน
ยังมิสู้เมาคำหมิ่นคนปลิ้นลวง

"...แล้วสอนว่าอย่าวางใจมนุษย์..."
คดเลี้ยวสุดหยั่งคะเนในรู้ล่วง
ดีร้ายไฉนขดลึกเร้นบึ้งทรวง
บาศก์บ่วงเล่ห์โลกียชนฉลกิเลส

คือคมคำครูกลอนสุนทรภู่
เสมอสมัยอยู่ข้ามวารม่านเพศ
คือค่าครูเรียนชีวิตธาตุแท้-เท็จ
พราวก่องเก็จคำสอนสุนทรกวี

คือสุนทรภู่ครูกลอนสุนทรกวี
สุนทรศรีสุนทรศักดิ์รุ้งอักษรา         

สนอง  เสาทอง
อินทามระ 10
26 มิ.ย. 55


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 02 มีนาคม 2013, 01:15:PM
ลิขิตฟ้า
(ชะตาทัณฑ์)

ลิขิตชะตาโลก
ว่ายทุกข์โศกล้นวิปริต
อสูรมาร-ตนร้ายฤทธิ์
ฤาสาปสิทธิ์ชนร้างสุข

กฎเกณฑ์ชะตากล
ทุกทัณฑ์ท้นทศทิศทุกข์
ทมิฬมืด-ทะมึนยุค
กระหน่ำรุกเฆี่ยนโบยตี

ทุรยุคบ่าล้นหลาก
อสุภซากพูนปฐพี
ทิ้งถมสังเวยพลี
อเวจี-บนใจดิน

กรรมกงชนสร้างทำ
ชักพานำทุกข์มาสิ้น
พฤกษ์พงทำลายภิณฑ์
ใจแม่ดิน-ร้าวฤดี

นรชาติชะตาทัณฑ์
วายุมหันต์อุทกนที
ทุรชนสิ้นหนลี้
กรานเซ่นพลีกระแสธาร

ลิขิตชะตาโลก
ใช่สวรรค์นรกดลบันดาล
ล้วนชนใจหยาบกร้าน
ธรรมชาติผลาญทัณฑ์ย้อนคืนฯ


สนอง เสาทอง
1 ตุลาคม 2554
ดอนเมือง
ในวันที่มหาอุทกภัยรุกเข้าสู่เมืองหลวง



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 03 มีนาคม 2013, 02:37:PM
กรานกายซบ ณ ใจดิน
(ภูมิถิ่นบ้านนาเรา)

หอมลานดินไคลทุ่งย่านทางถิ่น
ยังคุ้นกลิ่นมิจางสาบเหงื่อบ้าน
ยังเก็บจำหลังคาระเบียงชาน
ฝากระดานกระไดและครัวเตา

ในเพ-ลาย้อนเยือนมาย้อนเห็น
ยังอยู่เช่นนานมาครั้งก่อนเก่า
เฒ่าชะแรแปล้ชรายักแย่เนา
หนุ่มสาวนิราศเมืองหวังเรืองไร

หอมใจดินสาบกลิ่นของนาทุ่ง
หอมผ้าถุงซิ่นไหมแม่ทอใส่
หอมกลิ่นน้ำพริกป่านั้นบ้านใคร
หอมน้ำใจน้ำพริกไพรพูนจานมา

สวรรค์บ้านทุ่ง...ยังสวรรค์
ปลุกภวังค์โตรกอดีต, ฝังโหยหา
รั้วตำลึงเถาเลื้อยคุ้นชินตา
ภาพอดีตฝังเวลา, ผุดห้วงคำนึง

หอมกลิ่นสนุ่นคุ้งตมคลองท้ายบ้าน
เคยจับปลาแหประหารมาตากผึ่ง
ภาพคืนวันเก่าเก่ายังจารตรึง
แจ่มชัด-มโนขึงฝุ่นสีแรระบาย

หอมใจดินเหงื่อทุ่งไคลละหาน
กลิ่นสาบบ้านโชยผะผ่าวร่ายร่าย
ไสววิถีบ้านบ้านงามมิคลาย
กรานกายซบ ณ ใจดินถิ่นบ้านเราฯ


สนอง เสาทอง
สนามชัยเขต
ฉะเชิงเทรา
มกราคม 54

*** "สนุ่น" หรือ "ขี้สนุ่น" เป็นคำเรียกของคนแปดริ้ว (ฉะเชิงเทรา) ใช้เรียกพวกเศษวัชชพืช เศษหญ้า, รากหญ้า ที่เน่าจมอยู่ใต้น้ำรวมกับดินเลนในคลอง, หนองและบึง ซึ่งจะต่างจากขี้เลนที่มีดินเลนอย่างเดียว



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 06 มีนาคม 2013, 12:42:PM
หอมไอดินกลิ่นทุ่ง
(ยามฝนแรกมาเยือน)

หอมไอดินกลิ่นทุ่ง
ฝนโปรยปรุงโหยดิน, ปลุกตื่นฟื้น
เขียวแพรกหญ้าคละเคล้าแซมยืน
ดอกดินดื่น, พรมห้องนา

ดอกแดดบานอ่อนอ่อน
ลมทุ่งแผ่วออดอ้อน, อ้อยอิ่งช้า
ปุยเมฆคลื่นเลื่อนล่องครองนภา
แต้มรวงฟ้า, ห่มรวงดิน

ยามฝนแรกโปรยปราย
ปลุกใจนาทรายดิน, ฟื้นแล้งถิ่น
ละหานนาอุ้มฉ่ำฟื้นรวงใยชีวิน
ทั่วทุ่งดิน, เริงระบำ

รื่นรมย์หรีดหริ่งไพร
วิหคร่ายคีตกานท์, คลอสูงต่ำ
สำเริงสำราญสำเนียงทุ่งลำนำ
เช้าเจียนค่ำ, รอนอัสดง

หอมไอดินกลิ่นทุ่ง
รวีวาดเฉดมณีรุ้ง, งามแกมหงส์
แพรกหญ้าเถาเลื้อยพลิ้วไหววง
สรรพชีวิตคง, ว่อนว่ายรำฯ

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
26 เมษายน 55



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 08 มีนาคม 2013, 07:39:AM
สร่างแจ้งแท้ใจแล้วเจ้า
(ตัวกู-เพื่อกู-ของกู)

สร่างแจ้งแท้ใจแล้วเจ้า      ร้อนรักแผดเผา
กิเลสพันห่มอัตตา
ว้าวุ่นใจตนเจียนบ้า         กำสรดชะตา
สังเวชสังวาสใจตน
บอดใบ้มืดหลงกามกล      บังตาบังหน
บังใจห่มรั้นเนารั้ง
มาดหมายปองเชยชื่นปราง      ใดใดกั้นขวาง
จะห้ำจะหักรานดิน
เทใจภักดียุพิน         ทุ่มหมดถ้วนสิ้น
สี่ห้องมิเหลือเผื่อใด
ให้หมดมิทดทอนไว้         เซ่นพลีใจกาย
หลงรูปหลงรสยินดี
วาดหวังเสกสมฉิมพลี      อิ่มอาบเอมปรีดิ์
รูปรสกลิ่นเสียงยวนเย้า
เกลือกหล่มกามามัวเมา      มิบั่นผ่อนเพลา
เมาจิตมอมกายเปือกตม
กามาโลกีย์เผารม         ใฝ่ต่ำโสมม
ตัวกู-เพื่อกู-ของกู
ผมเผ้าจรดเท้าตราตรู      ทุกถ้วนอณู
หนังเนื้อ-หัวใจ-กูครอง
ใดใดในเธอจับจอง         กูเป็นเจ้าของ
ใครใดอย่าหมายแย่งนวล
ใจจึงอาบโศกกำสรวล      หึงหุนปั่นป่วน
ทาสท้าวรูปรสโลกีย์
สังเวยสังวาสราคี         มิตรองถ้วนถี่
ใครดีใครร้ายมิยล
พิษหึงเผาใจเผาตน         โหมร้ายเผาลน
เผาศักดิ์เผาศรีดนู
มิเชื่อวางใจพธู         หวาดบั่นปันชู้
ฤทธีผีหึงเข้าสิง
ใช่ใดไหนเลยแท้จริง         อัตตาเนาอิง
ตัวกู-ของกู-เมามัวฯ

สนอง เสาทอง
สร่างแจ้งแท้ใจแล้วเจ้า, อุ่นลมรัก พัดคืนหวน มาอุ่นใจ, กรุงเทพฯ, วิภาษา, 2554, pp100-102



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 09 มีนาคม 2013, 02:37:PM
ตาลหว้ายืนหงอยคอยฝน
(ดั่งข้าคอยคนรักข่มกล้ำฝืน)

ระแหงทุ่งแห้งดาลเรื้อร้างฝน
ดินสีหม่น, ดอกแดดแผดร้ายไล้
แล้งร้อนเหลือทุ่งดินทุกนาใด
ร้อนแล้งร้ายร้างฝนประโลมดิน

ร่มหว้าใบหยัดขืนขึงร่มใหญ่
สกุณาอุ่นอาศัยรวงรังถิ่น
พวงระย้า ลูกฝาดหวาน, อร่อยชิน
อิ่มแล้วผิน ว่อนว่ายฟ้า, ร่ายรำ

ตาลเดี่ยวยืนต้นเคียงหว้าใกล้
แผ่ปีกใบคู่หว้างามเนิ่นฉนำ
ท้าแดดลมแยงฟ้าเสียดต้นลำ
ทุ่งนาดินชุบค้ำเลี้ยงหว้าตาล

ลมฝนเอยเลี่ยงหลบ ณ หนไหน
หมางเฉยไยมิโปรยรวงสายผ่าน
ตาลหว้าใหญ่ซึมหงอยด้วยคอยนาน
ทุ่งเปลี่ยวมาน, รอฝนพร่าง-ฉ่ำชื้น

ตาลต้นคู่หว้าใหญ่ยืนคอยฝน
ดังข้าคอยคนรักข่มกลั้นฝืน
ป่วยเหน็บเหงาร้าวรานทุกวันคืน
ใจสะอื้น ชะเง้อคอย, ม่านแล้งลม

รักข้าเอยเช่นตาลหว้า, คอยฝน
จ่อมลึกภวังค์ เหงาหม่น-วิโยคห่ม
เหลียวหาแลหายใจโศกซม
เฝ้ากล้ำกลืน ฝืนข่ม, สะอื้นฤดีฯ

สนอง เสาทอง
แสลงพัน, สุรินทร์
12 พฤษภาคม 54



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 17 เมษายน 2013, 08:59:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑.

หมาป่ากับหัวกะโหลกมนุษย์

๑.
   หมาป่าเร้นเถื่อนถ้ำ      ไพรวนา
เทียวล่าเนื้อปูปลา         อิ่มมื้อ
เพียงมนุษย์แกว่นฤทธา         เจ้ากริ่ง กลัวนา
ฉลเล่ห์ปัญญายื้อ         แล่เนื้อเถือหนังฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง หมาใหญ่ อยู่ไพรเถื่อน      ไม่แชเชือน เที่ยวล่า สรรพสัตว์
หนูกระรอก กระต่าย ปรี่เข้ากัด         มังสาเนื้อ เขี้ยวฟัด ลิ้มโอชา
   หมาป่านั้น กลัวมนุษย์ สุดเล่ห์ร้าย      ศาสตราวุธ เทียวไล่ อำมหิตฆ่า
แล่เถือเนื้อ ถลกหนัง ไร้เมตตา            สุนัขป่า จึงเลี่ยง หลบไกลคน
   มาวันหนึ่ง หิวโซ ออกล่าเหยื่อ         ลำบากเหลือ อาหาร ช่างขัดสน
จึงเลาะเลี้ยว ละเมาะ ใกล้บ้านคน         ในตำบล อันตน ไม่คุ้นชิน
   เจอกะโหลก มนุษย์ เขรอะดินพื้น      ให้ตระหนก หวาดตื่น ใจส่ำดิ้น
ด้วยฤทธา เล่ห์มนุษย์ เคยยลยิน         ใจเจ้าถวิล เภทภัย อาจกรายเยือน
   จึงด้อมด้อม ย่องวน อยู่หลายเที่ยว      ทั้งแลหน้า หลังเหลียว ระแวงเถื่อน
กะโหลกนั้น ตั้งนิ่ง ไม่ติงเตือน            ก้าวขยับเคลื่อน เข้าใกล้ นาสิกดม
   เมื่อมั่นใจ กะโหลก นั้นตายแน่         ไร้ฤทธี ตอแย โอหังข่ม
จึงใช้เท้า เขี่ยเล่น สนานอารมณ์            แสนสุขสม กระหยิ่ม พลางรำพัน
   เจ้ามนุษย์เอ๋ย เคยใหญ่ เทียวไล่ล่า      ทั้งผองข้า สรรพสัตว์ ทั่วไพรสัณฑ์
ด้วยปัญญา ปราดเปรื่อง เล่ห์อนันต์         ในสักวัน แน่แท้ เจ้าวายวาง
   ยามสิ้นชีพ แน่นิ่ง กองจมพื้น         ไหนศาสตรา พร้าปืน เคยอวดอ้าง
ไหนปัญญา เล่ห์คิด กลอำพราง         ในสุดท้าย เสื่อมร้าง ฤทธิ์ร้ายเอยฯ

๓.
   คตินิทาน นี้สอน ท่านสอนว่า
ยามไร้บุญ วาสนา อำนาจหน
ก็ไร้สิ้น คนเกรง ใครกลัวตน
อย่าเป็นคน ยึดหลง อำนาจเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ยามเมื่อหมดบุญอำนาจวาสนา คนที่เคยเกรงกลัวเราก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป”


สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
1 เมษายน 2556


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 17 เมษายน 2013, 09:52:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๒.

ต้นไม้กับคนตัดไม้

๑.
   อันพฤกษ์ไพรใหญ่ยั้ง      ดงแดน
คุณค่าประโยชน์แสน         เร่งรู้
ตระหนักตื่นสงวนแหน         ไม้ป่า ชนเฮย
ผินิ่งเฉยพลิกกู้            ก่อร้ายวิกฤตโลกฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง ครอบครัว คนตัดไม้      ปลูกเรือนบ้าน อาศัย ชายเถื่อนถิ่น
พ่อแม่ลูก ขันแข็ง เรื่องทำกิน            งานอาจินต์ ตัดไม้ ขายเลี้ยงตน
   มาวันหนึ่ง ได้พบ ต้นไม้ใหญ่         ต่างวุ่นวาย ปรึกษา หารือหน
ตัดต้นนี้ แปรขาย ไม่อับจน            คงได้เงิน มากล้น ราคางาม
   ครั้นตกลง ปลงใจ ดูยามฤกษ์         ขวานจามเบิก โคนใหญ่ เข้ามิดด้าม
ไม่นานช้า ล้มตึง สนั่นคาม            ใหญ่เกินแบก คอนหาม ต้องตัดทอน
   เลือกกิ่งเหมาะ ทำลิ่ม ทิ่มแยกไม้      เพื่อจะได้ แบ่งทอน หลายหลายท่อน
ต่างแยงงัด แยกไม้ ไม่เกี่ยงงอน         ไม้ใหญ่ครวญ ทอดถอน ชะตากรรม
   อนิจจา อกเอ๋ย อนาถนัก         ถูกขวานจาม หน่วงหนัก อยู่หลายซ้ำ
ไม่เจ็บเท่า กิ่งตน เข้าทิ่มตำ            ระกำใจ ชอกช้ำ เนื้อตนเอย... ”

๓.
   คตินิทาน เรื่องสอน ท่านสอนว่า
เจ็บอะไร เกินกว่า คนชิดใกล้
ที่ทั้งรัก ไว้เนื้อ และเชื่อใจ
กลับทำร้าย ตัวเรา ปวดร้าวเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“เจ็บอะไรไม่เท่าโดนคนที่ใกล้ชิดและไว้ใจทำร้าย”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
2 เมษายน 2556


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 18 เมษายน 2013, 03:30:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๓.
คนชั่วไม่มีที่อยู่

๑.
   อันโฉดชนชั่วช้า      เกเร
เช้าค่ำสำมะเล         ไป่สิ้น
ใจทมิฬหยาบฉลเล่ห์         ร้ายยิ่ง
จินต์เร่าระวิงดิ้น         เรื่องร้อนลำพองพาลฯ

๓.
   กาลครั้งหนึ่ง คนพาล สันดานหยาบ      คึกคะนอง จ้วงจาบ ไม่รู้สิ้น
ลำพองจิต เราะร้าย อยู่อาจิณ            ใครยลยิน ระอา ไม่ผินมอง
   มาวันหนึ่ง ฤทธิ์พาล พลั้งมือฆ่า           ถึงเขาม้วย มรณา สยดสยอง
ไม่อนาทร ว่าใคร น้ำตานอง            กระหยิ่มย่อง ไม่ใช่ เรื่องกงการ
   ฝ่ายผู้ตาย เลือดเชื้อ และเครือญาติ       ผูกอาฆาต เคืองขุ่น คิดประหาร
ฆ่าตกตาย ตามกัน ลั่นสาบาน         แล้วยกพวก หมดบ้าน ตามกันมา
   เจ้าคนพาล รู้ข่าว เขาหมายหัว      เกิดนึกกลัว หนีเตลิด เร้นราวป่า
ด้วยเกเร ญาติมิตร ไม่นำพา            ช่วยอีกฝ่าย ตามหา หมายคร่ากุม
   หนีซ่อนป่า อนิจจา นักเลงโต         เจอะสิงโต ตกใจ ปีนไพรพุ่ม
เลือกต้นเหมาะ ใบดก หมายหลบมุม          เจอะงูใหญ่ เงียบซุ่ม พันกิ่งรอ
   เจ้าคนพาล ลานลน ขนหัวลุก         ฉุกละหุก เภทภัย ทุกทิศจ่อ
โดดลงน้ำ ทันใด ข้างไผ่กอ             ปะจระเข้ ขม้ำพ่อ ม้วยชีพเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันคนพาล หยาบช้า สันดานชั่ว
ไร้ญาติมิตร ใครเมิน ไม่พันพัว
แม้แผ่นดิน ซุกหัว ไม่มีเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนชั่วไม่มีแม้แต่แผ่นดินจะอยู่ ไม่ว่า ณ ที่แห่งใด”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
3 เมษายน 2556   



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 19 เมษายน 2013, 08:50:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๔.
สุนัขจิ้งจอกกับหมูป่า

๑.
   จิ้งจอกเหลี่ยมเล่ห์ร้าย         มากมี
สัตว์ใหญ่น้อยหน่ายหนี         ไป่ข้อง
มวลมิตรต่างเลี่ยงลี้            คร้ามยิ่ง
ใครห่างทิ้งเพื่อนพ้อง            กริ่งได้ภัยตนฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง จิ้งจอก อยู่พนากว้าง      เยาะเยื้องย่าง ตรวจตรา ถิ่นอาศัย
เลาะดุ่มเดิน เรื่อยร่ำ ราวชัฏไพร         ถึงดงไม้ หมูป่า ย่านลำเนา
   เห็นหมูป่า ลับเขี้ยว อยู่โคนไม้         จึงถามไถ่ ปราศรัย เอินหยอกเย้า
สหายหมูจ๋า ลับเขี้ยว มิผ่อนเพลา         มีภัยร้าย ใดเล่า โปรดพาที
   ทั้งพรานไพร หมาล่า ไม่มีเห็น         ข้าเทียวท่อง เช้าเย็น ทั่วถิ่นที่
แล้วเจ้าลับ คมเขี้ยว ไปไยมี            เลิกเสียที เถิดสหาย อย่าร่ำไร
   หมูป่าฟัง พลางแจ้ง แถลงเหตุ         อันภัยเภท หมาพราน หามีไม่
ลับคมเขี้ยว เผื่อใช้ ในทันใด            รอมีภัย ค่อยลับ ไม่ทันเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ สอนท่านว่า
ทุกเวลา เตรียมตน ให้พร้อมพรั่ง
อย่าประมาท ดูดาย ไม่ระวัง
อาจพลาดพลั้ง เคราะห์ร้าย ถึงตายเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“จงเตรียมพร้อมไว้เสมอ เพราะเราไม่อาจจะรู้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะเกิดขึ้นเมื่อใด”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
4 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 19 เมษายน 2013, 08:41:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๕.
แมงมุมกับนกกระจอก

๑.
   แมงมุมตัวกระจ้อย           ใยบาง
ตาข่ายชักดักกาง                เหยื่อน้อย
คิดเหิมล่าสกุณบ้าง              สัตว์ใหญ่
ขาดเยิ่นใยวิ่นห้อย             บ่สู้แรงวิหคฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง แมงมุม ตัวกระจ้อย          ชักใยบาง ดักคอย แมลงหนอน
เห็นกระจอก นกน้อย กิ่งคบคอน              เทียวจิกกิน ไหน่หนอน อาหารตน
   จึงวางแผน ดักนก กระจอกนั้น             ด้วยโมหัน มโนจิต อกุศล
คิดชักใย ตาข่าย ขึงแยบยล                    หวังเล่ห์กล กำจัด วิหคศัตรู
   จึงชักใย เหนียวหนา แผ่กว้างใหญ่        แต่หัวค่ำ ดึกไคล ล่วงเช้าตรู่
ครั้นเสร็จสิ้น เงียบนิ่ง เฝ้าซุ่มดู              นึกกระหยิ่ม ปองอยู่ เนื้อสกุณา
   ครั้นใกล้สาง กระจอก ก็ออกบิน              ถึงย่านถิ่น แมงมุม ชักใยหนา
ชนตาข่าย เต็มแรง ทะลุมา                     ไม่นำพา ใยจ้อย อันเปราะเบา
   เจ้าแมงมุม รำพึง โอ้อกหนอ                ใจเหี่ยวห่อ ฝืนยิ้ม อยู่เศร้าเศร้า
นึกทบทวน ตรองตน ในเรื่องราว             อันตัวเรา คิดการ ใหญ่เกินตน
   จึงแมงมุม ค่ำเช้า เฝ้าใยชัก                  แต่พอดัก หนอนไหน่ ไม่สับสน
ทำแต่พอ แรงตัว ไม่ลำบน                      เลิกดิ้นรน สิ่งหมาย ไกลเอื้อมเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ชนพึงอย่า ปรารถนา ในสรรพสิ่ง
ไกลเกินตัว เกินตน ทำได้จริง
อย่าประวิง เลือกสิ่ง ทำได้เอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“อย่าทำอะไร เกินตัว และเลือกทำในงานที่เราถนัดจะเป็นผลดีที่สุด”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
5 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 20 เมษายน 2013, 11:35:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๖.
ไก่ชนกับนกกระทา

๑.
   อันไก่ชนเผ่าเชื้อ            พงศ์พาล
ย่อมเชี่ยวช่ำสันดาน       ต่อสู้
ฤารู้หลบบ่ร่าน               ท้าไก่ เพื่อนนา
เฉกเช่นโฉดชนรู้              ก่อร้ายอาจินต์ฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง มีชาย ไก่ชนเลี้ยง       ด้วยชอบเสี่ยง บ้าพนัน อยู่นิจสิน
เข้าบ่อนไก่ เดิมพัน อยู่อาจินต์           ไม่ยลยิน กลัวบาป เวรกรรมใด
   มาวันหนึ่ง จับได้ กระทานก           นำวิหค เลี้ยงดู เข้าฝูงไก่
กินอาหาร หลับนอน อยู่เนาใน           ประหนึ่งไก่ ตัวหนึ่ง ร่วมวงศ์วาน
   อนิจจา กระทา ใช่ไก่เชื้อ             ในกินอยู่ ทุกเมื่อ น่าสงสาร      
ด้วยนิสัย มิใช่ ไก่ชนพาล                ทุกเมื่อวาน ถูกกลุ้ม รุมรังแก
   ด้วยไก่ชน ทระนง ว่าทรงศักดิ์        รังเกียจนัก กระทา เจ้าขี้แพ้
ถูกแกล้งจิก กระทา ไม่ตอแย            อนาถแท้ เจียมตน ข่มน้ำตา
   มาวันหนึ่ง ฝูงไก่ เกิดปากเสียง       ต่างทุ่มเถียง แบ่งฝ่าย ไม่ชักช้า
ต่างพวกพ้อง จิกตี กันเนื่องมา          เจ้ากระทา ถอนใจ ปลงรำพึง
   โอ้ไก่ชน ชั้นพาล สันดานหยาบ   แต่พวกพ้อง จ้วงจาบ ทะเลาะขึ้ง
เข้าจิกตี พัลวัน อยู่ตังตึง                  จึงรู้ซึ้ง สันดาน โจรพาลเอยฯ   

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันหมู่พาล โจรา สันดานหยาบ
ไร้สัจจะ เมตตา ไม่เกรงบาป
แม้พวกพ้อง จ้วงจาบ ไม่เว้นเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ไม่มีความเมตตา และสัจจะใดๆ ในหมู่โจร”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
6 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 05 พฤษภาคม 2013, 09:00:AM
นิทานอีสปคำกรอง
๗.
นกกระทากับนักฝึกเหยี่ยว

๑.
   อันกระทาเผ่าเชื้อ           นกดิน
บ่คล่องปีกวาดบิน                เรี่ยพื้น
ทรยศเหล่าปักษิน               พ้องเพื่อน
คิดแต่รอดต่ำตื้น                ห่อนพ้นม้วยไฉนฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง บุรุษ นักฝึกเหยี่ยว         ด้อมด้อมเทียว ตาข่าย ดักวิหค
เขาโชคดี จับได้ อยู่หลายนก                 และครึ้มอก หนึ่งนั้น นกกระทา
   อันกระทา นกวงศ์ เนื้อนุ่มลิ้น             ใครต่างยิน อร่อยเลิศ เนื้อปักษา
เขาคิดหนัก กับข้าว จ้าวกระทา               จะแกงป่า ผัดเผ็ด ก็เด็ดนัก
   เจ้ากระทา ร้องขอ ปล่อยชีวิต           ฟังข้านิด ท่านขา อย่าห้ำหัก
ใช้ข้าเป็น เหยื่อล่อ เช่นกับดัก                  แค่สักพัก กระทา มาติดกับ
   เมื่อนั้นท่าน มากมาย ฝูงวิหค              กระทายก พวกมา คณานับ
เชื่อข้าเถิด อย่าเพ่อ ฆ่าม้วยดับ                โปรดระงับ โทษา ถึงวางวาย
   นักฝึกเหยี่ยว ครุ่นคิด ก่อนเอื้อนเอ่ย    กระทาเอ๋ย อย่าเลย เจ้าช่างร้าย
แม้เผ่าเชื้อ ทรยศ ช่างกระไร                   ให้ข้าเชื่อ วางใจ อย่าหมายเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ สอนท่านว่า
ผู้ทรยศ วงศา มวลญาติมิตร
ใครจักเชื่อ สนิทใจ ร่วมน้ำจิต
ใครคบหา ชีวิต ต้องเสื่อมเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้ที่ทรยศแม้แต่กับญาติมิตรของตนเองได้ ย่อมไม่สมควรคบหาอย่างยิ่ง”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
7 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 06 พฤษภาคม 2013, 08:38:AM
นิทานอีสปคำกรอง
๘.
หมาป่ากับฝูงแกะ

๑.
   อันหมาป่าเล่ห์ร้าย         อุบายกล
มโนจริตมุ่งฉ้อฉล               ชั่วช้า
แยบยลหมื่นเหตุหน              หลอกท่าน
คูเหลี่ยมใช้แกว่นกล้า        ยิ่งล้ำใครเสมอฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง หมาป่า ผู้เชื่องช้า        ด้วยแพ้วัย แปล้ชรา ขืนสังขาร
ไล่จับเหยื่อ เงื้อง่า ไม่ว่องชาญ             จึงคิดการ แยบยล กลอุบาย
   มาวันหนึ่ง ฆ่าแกะ หลงฝูงเสร็จ        คิดกลเม็ด จับเหยื่อ อย่างง่ายง่าย
จึงถลกหนัง ควักกิน ไส้เนื้อใน             ส่วนหัวหนัง เก็บไว้ ใช้ปลอมตน
   จึงวางแผน ปลอมตัว เข้าฝูงแกะ       เพื่อหวังฆ่า หนึ่งแกะ หนึ่งคืนหน
ไม่ต้องล่า เปล่าเหนื่อย ได้ลำบน       ไม่ขัดสน อาหาร อีกต่อไป
   ครั้นปลงใจ ใช้แผน เล่ห์ล้ำลึก          คลุมหนังแกะ คักคึก เข้ากลุ่มได้
กระหยิ่มย่อง แอบยิ้ม อยู่ในใจ             เทียวดุ่มดุ่ม เตร่ไป พรางปะปน
   ครั้นตกเย็น คนเลี้ยง ต้อนกลับคอก   ไม่แวกวอก เกาะฝูง ในทางหน
จนเข้าคอก สำเร็จ แผนการตน            สุขใจล้น หมายิ้ม ตากริ่มวาว
   ค่ำวันนั้น คนเลี้ยง อยากกินแกะ       ภริยาแนะ หนังนั้น ตัดเสื้อหนาว
คนเลี้ยงจึง เปิดคอก เลือกสุ่มเอา        แกะปลอมเศร้า ถูกเขา สุ่มเลือกตัว
   อนิจจา หมาป่า ชะตาขาด              คราวถึงฆาต เคราะห์หนัก ถูกตัดหัว
กงกรรมใด ใครก่อ ย้อนเข้าตัว           หมาคิดชั่ว ย่อมได้ ชั่วตอบเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ สอนท่านว่า
คนคิดชั่ว นั่นหนา ย่อมทำชั่ว
ทำสิ่งใด ย่อมคืน กลับย้อนตัว
ใครคิดชั่ว ทำชั่ว ได้ชั่วเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนที่คิดชั่ว และทำชั่ว ย่อมจะได้สิ่งชั่วนั้นตอบแทน”


สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
8 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 08:56:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๙.
จุดกำเนิดของทะเลทราย

๑.
   อันมนุษย์สุดหยั่งแท้         มโนจินต์
คดแต่ฉ้อนิจสิน                  ห่อนแก้
โลกีย์เกียรติกามกิน            ข้องดื่ม
ห่ามหื่นกิเลสแท้              อิ่มแปล้โลกีย์ฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง พระเจ้า ทรงสร้างโลก      ล้วนสวยงาม ธารโตรก พฤกษชาติ
เสกเถื่อนภู เดือนดาว ดารดาษ         น้ำไฟลม ดินธาตุ ได้พักพิง
   เมื่อสำเร็จ โลกสวย แสนน่าอยู่      จึงสร้างมนุษย์ คู่หนึ่ง ชายและหญิง
ทรงสำทับ ตรัสห้าม อย่าช่วงชิง         ทุกสรรพสิ่ง แบ่งปัน เอื้ออาทร
   ครั้นเผ่าพันธุ์ มนุษย์นั้น มากมายขึ้น      เริ่มขืนขัด ฝืนสิ้น คำท่านสอน
กิเลสโลภ โลกีย์ ระยำบอน            ทุกหย่อมหญ้า ร่านร้อน ทะเลบาป
   ในครั้งนั้น พระเจ้า ปวดร้าวนัก      จำท่านจัก ตักเตือน ด้วยคำสาป
ผิว่าใคร กำเริบ ผิดจ้วงจาบ                ต้องกำราบ ลงโทษ ให้เข็ดจำ
   คิดดังนั้น จึงเสด็จ มายังโลก         เพื่อล้างโศก บาปชั่ว อันซากซ้ำ
ป่าวประกาศ หากใคร สร้างบาปกรรม         หนึ่งบาปทำ หนึ่งทราย เม็ดร่วงดิน
   ครั้นเสร็จการ พระเจ้า ก็ทรงจาก      มนุษย์โดยมาก หยาบช้า อยู่นิจสิน
ไม่หวาดกลัว ทำบาป อยู่ชาชิน         หนึ่งเม็ดทราย มิถวิล ทำร้ายตน
   ครั้นจำเนียร ผ่านกาล ไปนานเนิ่น      เม็ดทรายนั้น ถมเทิน หลายแหล่งหน   
ทะเลทราย ก่อเกิด จากบาปชน         ดั่งได้ยล โลกล้น ทุ่งทรายเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
หากทำชั่ว บาปหนา เนิ่นนานเข้า
บาปชั่วนั้น ปรากฏ มิผ่อนเพลา
ยิ่งมากชั่ว เรื่องราว ยิ่งชัดเจนฯ   

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ทำชั่วมากๆ ยิ่งนานเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความชั่วชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
9 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 02:39:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๐.
นกกับมด

๑.
   อันความดีอย่าร้าง         เลิกทำ
อุตส่าห์เพียรมุ่งย้ำ            เนื่องสร้าง
กุศลจิตหนุนนำ                ตั้งมั่น ท่านนา
ผิเหนื่อยล้าปัดอ้าง          ชั่วแพร้วระบัดสมัยฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง คามเขต ถิ่นไพรสี      สัตว์ใหญ่น้อย ถ้อยที ถ้อยอาศัย
ทั่วป่าจึง อบอวล ล้วนน้ำใจ              ทุกชีวิน สดใส ไร้บีฑา
   มาวันหนึ่ง ทินกร สาดแสงอุ่น         ไร้เมฆเทา วิรุณ จะโถมถา
เจ้ามดน้อย ค่อยไต่ เลาะราวพนา      ใกล้หน้าหนาว เสาะหา อาหารตุน
   มดเทียวใกล้ ริมฝั่ง ทะเลสาบ         ดั่งต้องสาป ก้าวเร่ง อย่างหันหุน
อนิจจา กรรมเจ้า ไถลหัวซุน             ใจว้าวุ่น หล่นน้ำ น้ำตานอง
   ฝ่ายวิหค เหินฟ้า อยู่ใกล้ใกล้          เจ้าใจหาย เห็นมด ตะกายร้อง
คาบใบไม้ ทิ้งน้ำ แล้วเฝ้ามอง            มดเกาะใบ ไม้ว่อง จึงรอดตาย
   มาวันหนึ่ง ถึงคราว วิหคบ้าง          เพลินแต่สาง ร้องเพลง กระทั่งสาย
มีพรานปืน จ้องอยู่ ไม่รู้กาย              มดใจหาย คิดช่วย สกุณา
   เจ้ามดน้อย คิดได้ พลางรีบเร่ง      ไม่หวั่นเกรง ไต่ขึ้น พรานไพรขา
กัดทันใด พรานเจ็บ ร้องออกมา       ตื่นรู้ตัว สกุณา บินลับเอยฯ     

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ทำสิ่งใด มิช้า ได้เช่นนั้น
เช่นมดนก ทำดี มีให้กัน
ความดีนั้น ย้อนท่าน ตอบแทนเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ทำสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน”

สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
10 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 11 พฤษภาคม 2013, 09:24:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๑.
หมาในกับเจ้าป่า

๑.
   อันสิงโตแกว่นกล้า         ปกครอง
เหนือส่ำสัตว์เผ่าผอง         ใหญ่น้อย   
ใครยกย่องครรลอง           เจ้าป่า ชี้นำ
ถือแห่งคำสิงห์ถ้อย           ท่านชี้คดีความฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง เจ้าป่า สิงโตใหญ่      ผู้ปกครอง สรรพสัตว์ ถิ่นไพรกว้าง
เพียรค่ำเช้า ตระเวน ไม่เว้นวาง        อำนาจอ้าง เหนือใคร ในผู้นำ
   ในครานั้น ฝูงสัตว์ ทั่วไพรสัณฑ์      ต่างคร้ามพรั่น ท่านยิ่ง มิเกินก้ำ
ข้อพิพาท น้อยใหญ่ สิงโตคำ            พิพากษา น้อมนำ ไม่ดื้อดึง
   มาวันหนึ่ง เจ้าป่า เลือกผู้ช่วย        เพื่ออำนวย ปกครอง ให้ทั่วถึง
จึงเอ่ยเอื้อน หมาใน เจ้าจงพึง          ทำหน้าที่ อันซึ่ง ควรภาคภูมิ
   ฝ่ายหมาใน นับถือ และเลื่อมใส      ทั้งหวาดกลัว เจ้าไพร ผู้สุขุม
รับคำชวน ตำแหน่ง ช่วยควบคุม       หมาในทุ่ม หน้าที่ ไม่เกี่ยงงอน
   ครั้นนานเข้า หมาใน ก็หายหวาด    ในอำนาจ ศรีศักดิ์ เจ้าป่าใหญ่
จากเคยกลัว ค่อยกล้า ไม่เกรงใจ        ขืนคำสั่ง ร่ำไป อยู่เนืองนิตย์
   สรรพสัตว์ ทั้งหลาย เห็นเช่นนั้น     ต่างสงสัย งวยงัน อยู่ตระหงิด
จึงถามไถ่ ให้หาย คับข้องจิต            ไม่เบือนบิด หมาใน ไขความจริง
   “...สหายข้าเอ๋ย ตอนนี้ ที่ข้าเห็น     รู้เห็นเช่น หน้าฉาก ของท่านสิงห์
ผดุงคุณธรรม เลื่อมใส ใครพึ่งพิง     แต่ทุกสิ่ง กลอกกลิ้ง ไม่จริงเลย
   ด้วยหลังฉาก เจ้าป่า นิสัยท่าน      กมลสันดาน คดฉ้อ ไม่ผ่าเผย
ตัดสินใคร ทำผิด กระไรเลย            น่าหยันเย้ย ท่านทำ เยี่ยงนั้นเอง...”

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันผู้นำ ชั่วช้า คุณธรรมสิ้น
หาผู้ใด กริ่งเกรง ทั่วแผ่นดิน
ถูกหยันหมิ่น หยามเหยียด เดียดฉันท์เอยฯ 

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้นำที่ไร้คุณธรรม ก็จะขาดความนับถือยำเกรงจากผู้คน”

สนอง เสาทอง
อินทามระ
24 เมษายน 2556
 


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 01 มิถุนายน 2013, 11:26:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๒.
ห่านอยากเป็นหงส์


๑.
อันห่านดินต่ำหญ้า      วานวงศ์
เผยอหยิ่งเทียมเผ่าหงส์         มิ่งฟ้า
บ่เจียมเหล่าสกุณพงศ์      กำพืดห่าน
เหิมเห่อชูคอกล้า         เยี่ยงชั้นหงส์ไฉนฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง ห่านหงส์ ร่วมบึงใหญ่   เชื่อมคูคลอง ทอดไกล สู่แม่น้ำ   
ล้วนหากิน ฝูงตน ไม่ปนกัน            เพลินสุขสันต์ ประสา พงศ์สกุณ
   มาวันหนึ่ง กำดัด ห่านวัยใส      ขนขาวไร พราวสวย ผลิบานรุ่น
เจ้าภาคภูมิ ไซ้ขน แพรวละมุน         เทียววายวุ่น วนว่าย เลาะกว้างบึง
   ครั้นเถลไถล ว่ายไกล ย่านถิ่นหงส์      ให้งวยงง หงส์สง่า ดูน่าทึ่ง
เจ้าห่านเพิ่ง แรกพบ จ้องตะลึง          ชะโงกน้ำ รำพึง กับเงาตน
   ใต้เงาน้ำ ขนขาว ของเรานี้      ใช่หมองศรี ต่ำเชื้อ กว่าหงส์ขน
แต่นี้ไป ขอเปลี่ยน ในบัดดล         สกุณวงศ์หน หงส์ศักดิ์ อาภัสรา
   คิดดังนั้น ห่านน้อย กรีดกรายป้อ      คอชูเชิด ไม่ท้อ เคล็ดเมื่อยล้า
เหยาะเยื้องย่าง ลีลาศ หงส์ลีลา          ปั้นโสภา หงส์สง่า ลำบากครัน
   อนิจจา ห่านนั้น ยังเป็นห่าน      คืนวันผ่าน เมื่อยขบ วางท่าปั้น
ไม่มีใคร ว่าหงส์ ต่างยืนยัน            ห่านคือห่าน เชื้อพันธุ์ ต่ำหญ้าเอยฯ

๓.
คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันห่านดิน ต่ำค่า พงศานั้น
คิดเปลี่ยนตน เชื้อหงส์ ศักดิ์ผ่องพรรณ
แม้เพียรปั้น หงส์ท่า หาใช่เอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงตัวตนที่แท้จริงของตนได้”

สนอง เสาทอง
17 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 03 มิถุนายน 2013, 09:30:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๓.
ใครสำคัญกว่า


๑.
   มวลสรรพสัตว์โอ่อ้าง      อวดตน
ใครยิ่งสำคัญล้น            เด่นชั้น
ปั้นตนย่ำเขื่องข่ม            ถ้อยหมิ่น
อันค่าใครถ้วนนั้น            ท่านข้าสำคัญเสมอฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง ส่ำสัตว์ พงไพรทั่ว       ต่างใครตัว ยกตน เข้าข่มท่าน
ด้วยเหิมตน เหนือกว่า และสำคัญ         ใครอื่นนั้น ด้อยค่า ต่ำเตี้ยดิน
   มาวันหนึ่ง นกยูง และกระเรียน      จำนรรจา วกเวียน มุ่งข่มลิ้น
ใครสำคัญ สวยสง่า ผ่องโสภิณ         สองสกุณิน กล่าวอ้าง เข้าทางตัว   
   “...ดูก่อนสหาย กระเรียน ในตัวเจ้า   ขนสีขาว หม่นหม่น ช่างน่าหัว
จริตท่าที ไม่งาม ดูหมองมัว         ใช่ยวนยั่ว ข้านี้ พูดความจริง...”
   “...นกยูงขา ข้านี้ แม้สีสัน         ไม่เฉิดฉัน ลวดลาย เลอเลิศพริ้ง
เจ้ารำแพน กรีดกราย อยู่ระวิง         ต่ำเตี้ยยิ่ง นกดิน ช่างน่าอาย
   แล้วเยี่ยงนี้ อ้างตน สำคัญไฉน      ข้าบินไกล สูงเมฆ กว้างฟ้าใหญ่
เยี่ยงสกุณา อิสรา ครองนภาลัย         เจ้าต่ำไพร่ รำแพน เรี่ยดินเอย...ฯ”

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
หามีใคร เหนือกว่า ใครทุกเรื่อง
ต่างสำคัญ แผกมี งามประเทือง
อย่ายกตน วางเขื่อง ข่มท่านเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ไม่มีใครดีกว่าใครไปหมดทุกเรื่อง”

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
18 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 05 มิถุนายน 2013, 03:11:PM
เจ้าเอี้ยงแกลบ
(รังเสาไฟฟ้า)

นกเอยนกเอี้ยงแกลบ
เจ้าคู่แสบชวนตีท้า
กระจอกเอือมระอา
เสาไฟฟ้าแย่งทำรัง

เช้าค่ำไม่ปรองดอง
คู่เอี้ยงผยองทำโอหัง
ถนัดแต่ใช้กำลัง
กระจอกชังเอี้ยงนิสัย

นกเอยเจ้าแกลบเอี้ยง
ควายไม่เลี้ยงพร่ำพิไร
คลอคู่คอนสายไฟ
วางเขื่องใส่กระจอกเจ้า

นกเอี้ยงบ้านจัดสรร
ไร้ไม้พรรณให้คอนเจ่า
กระจอกรวงรังเก่า
เจ้ายึดเขาเอาต่อหน้า

หากินถังขยะคุ้ย
ควงคู่ลุยเพื่อนสกุณา
แย่งยื้อเศษข้าวปลา
เจ้าถิ่นหมากรรโชกเห่า

ไร่นาเคยมีมาก
เขาลำบากไถปลูกข้าว
ลูกหลานใครไม่เอา
หอบลูกเต้าเข้าโรงงาน

นาทุ่งจำนองหนี้
ผ่านหลายปีดอกเบี้ยบาน
ถูกยึดนาเปลี่ยนผ่าน
บ้านจัดสรรผุดดอกเห็ด

คนเอยประเสริฐมนุษย์
ใจเสื่อมทรุดอนาถอเนจ
ธรรมชาติผลาญสะเด็ด
กราบเจว็ดพระภูมิตึก

ทุ่งนาอวสาน
ถมปลูกบ้านกันคักคึก
ไม้โค่นไม่ตรองนึก
ใจเหิมฮึกเมาเงินตรา

นกเอยเจ้าแกลบเอี้ยง
ควายไม่เลี้ยงเจ้าอยู่ไฉน
ตึกปูนขึ้นเรียงราย
ยึดเสาไฟทำรังเอยฯ


สนอง เสาทอง
4 มิถุนายน 56


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 06 มิถุนายน 2013, 08:50:AM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๔.
เทียนไขคุยโว

๑.
   อันเทียนไขสว่างจ้อย         วูบวาย
ถ้อยหมิ่นแสงสูรย์ฉาย            แจ่มหล้า
ข่มแขเด่นดาวราย               รุ้งพร่าง
อวดโอ่อ้างปากท้า               ห่อนรู้ประมาณตนฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง เทียนไข อยู่ในบ้าน       ใครแวะผ่าน เยี่ยมพัก จุดสว่างจ้า
ครั้นนานล่วง เทียนใหญ่ ด้วยน้ำตา       ของเทียนหยด ลงมา ห่อแท่งเทียน
   จึงเทียนไข ร่างกาย นั้นโตใหญ่      ภาคภูมิใจ คุยโอ่ ไม่กระเมี้ยน
อันแสงข้า สว่างไสว ใช่นวลเนียน         เช่นอื่นเทียน แหร่มหรอย จ้อยน้อยนิด
   มาวันหนึ่ง มีแขก แวะมาเยี่ยม      เจ้าไม่เจียม อวดโอ่ อ้างแสงฤทธิ์
ชั้นสุรีย์ ดาวเดือน ใช่เบือนบิด         แสงกระจิด กระจ้อย กว่าข้านัก
   ขณะเทียนไข โวแขก ข่มเขื่องกร่าง      พลันลมผ่าน หน้าต่าง พัดกระชัก
วูบเดียวแสง เทียนดับ เหนือเชิงปัก      แขกผู้พัก เห็นพลาง นึกเวทนา
   “...เทียนไขเอ๋ย คุยโอ่ อวดแสงฤทธิ์    เหนืออาทิตย์ จันทร์ดวง พร่างเวหา
เพียงวูบลม พัดดับ ไร้ฤทธา         มิประมาณ รู้ค่า เจียมตนเอย...” ฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
จงรู้ค่า ตนนั้น ประมาณไหน
อย่าโอ่อ้าง ข่มท่าน และใครใคร
จงประมาณ ตนไว้ เนืองนิตย์เอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“จงรู้จักประมาณตัว”


สนอง เสาทอง
อินทามระ 10
21 เมษายน 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 07 มิถุนายน 2013, 01:23:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๕.
ลูกปูกับแม่ปู


๑.
   อันปูเปี้ยวเผ่าเชื้อ      นาทะเล
โย้ป่ายเย้ขาเก         เช่นนั้น
สอนปูบ่เดินเฉ         ให้เที่ยง ตรงฤา
ปูว่านวงศ์พืดชั้น         ไต่เบี้ยวเสมอสมัยฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง แม่ปู มีลูกอ่อน    ไม่อนาทร เลี้ยงลูก เฝ้าฟูมฟัก
เลาะริมเลน ชายหาด ถิ่นพำนัก      เฝ้ากล่อมเกลี้ยง ลูกรัก วัยน่าชัง
   เช้าวันหนึ่ง แม่ปู เดินนำหน้า   ฝูงลูกปู สาระพา เฮโลหลัง
แม่สังเกต ลูกไต่ โย้เย้จัง         จึงสอนสั่ง ลูกจ๋า เดินให้ตรง
   แม้แม่ปู ดุด่า สักเท่าไหร่      ลูกปูยัง ป่ายเฉ คล้ายเลือนหลง
แม่สำทับ กี่ครั้ง ไม่พะวง         ลูกปูคง เดินส่าย ไม่ตรงทาง
   หลายครั้งเข้า ลูกปู ชักหงุดหงิด   จึงสะกิด บอกแม่ ทำตัวอย่าง
เดินให้ตรง จักดู ไม่ตาวาง          อยู่ไม่ห่าง เดินตรง ตามแม่เอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ก่อนว่าใคร นั่นหนา คิดเสียบ้าง
ดูตัวเอง เตือนตน ให้ถูกทาง
เป็นเยี่ยงอย่าง กล่าวอ้าง สอนสั่งเอยฯ

 ๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ก่อนจะว่าผู้อื่นนั้น ให้ดูตัวเองเสียก่อน”



สนอง เสาทอง
สุรินทร์
1 พฤษภาคม 2556



หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 01 กรกฎาคม 2013, 05:33:PM
นิทานอีสปคำกรอง
   ๑๖.
ลูกแพะปากเก่ง

๑.
     ลูกแพะขลาดเก่งกล้า      ฝีปาก
ร้องด่าเย้ยถางถาก            แกว่งถ้อย
แต่ตนซ่อนบังฉาก            พ้นปลอด ภัยนา
หมาป่าบ่แต่งสร้อย            ต่อล้อทุ่มเถียงฯ

๒.
     กาลครั้งหนึ่ง ชาวนา ซื้อลูกแพะ      เดินเตาะแตะ เลี้ยงไว้ คอกใกล้บ้าน
หวังเติบโต แพะนม ได้เจือจาน         มื้ออาหาร อิ่มท้อง พอประทัง
     ในย่านนั้น หมาป่า จอมเจ้าเล่ห์      เทียววนเวียน เตร็ดเตร่ ไม่หย่อนยั้ง
ปองสัตว์เลี้ยง ของใคร ไม่ระวัง          คมเขี้ยวฝัง สาหัส อาจวายปราณ
     มาวันหนึ่ง ลูกแพะ เที่ยวซนซุก       ปีนป่ายสนุก หลังคา ชาวนาบ้าน
เห็นหมาป่า แวะวน ตนได้การ         จึงตะโกน ด่าพลัน ในทันใด
     เจ้าหมาป่า ใจบาป ช่างหยาบช้า      เจ้าหมาชั่ว ตัวข้า หาชอบไม่
เทียวเลาะบ้าน นายข้า ไม่วางใจ         จงออกไป ไม่งั้น ได้เห็นดี
     ลูกแพะน้อย ทำเก่ง ฝีปากกล้า      ตะโกนด่า ไม่หยุด คำบัดสี
ด้วยรู้แน่ หมาป่า ไม่ย่ำยี            เพราะอยู่ที่ ปลอดภัย บนหลังคา
     เจ้าหมาป่า มองแพะ พลันเอื้อนเอ่ย   เจ้าแพะเหวย ด่าเข้า เอาเถิดหนา
ตราบใดเจ้า ซ่อนตน บนหลังคา         ตีฝีปาก เก่งกล้า ตามสบายเอยฯ

๓.
     คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันคนขลาด แต่กล้า ฝีปากเก่ง
เพราะอยู่ที่ ปลอดภัย ไม่ยำเกรง
เบ่งอวดเก่ง กล้าดี เช่นนี้เอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนขลาดจะเก่งเฉพาะในที่ที่ตนปลอดภัย”

สนอง เสาทอง
สุรินทร์
2 พ.ค. 56


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 03 กรกฎาคม 2013, 10:16:AM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
๑๗.
แร้งกับหมาป่า

๑.
     หมาป่าเพียรแกร่วเฝ้า         ทองคำ
มโนพร่ำอวยค่าล้ำ                   สิ่งแก้ว
แหนเห่ออยู่เช้าค่ำ                   รั้นโง่
ผอมผ่ายโซบ่แคล้ว                 ชีพม้วยประโยชน์ไฉนฯ

๒.
     กาลครั้งหนึ่ง มีหมา เที่ยวจรจัด          แสนอัตคัด อาหาร ข้าวปลาเนื้อ
ด้วยไม่มี เจ้าของ คอยจุนเจือ                  อนาถเหลือ ผ่ายผอม เทียวแรมรอน
     มาวันหนึ่ง เจอกอง กระดูกมนุษย์       หมานั่งทรุด ดีใจ โห่เห่าหอน
ด้วยโชคดี พบศพ คนตายนอน                เจ้าหมาจร คุ้ยซาก อยู่วุ่นวาย
     ทันใดนั้น หมาเจอ ทองคำแท่ง           เปล่งวับแสง เข้าตา เจ้าใจหาย
ด้วยรู้ว่า ทองนั้น ค่ามากมาย                   มนุษย์ทั้งหลาย บูชา คุณค่าทอง
     เจ้าหมาจร นอนเฝ้า ทองคำนั้น           ผ่านคืนวัน แหนอยู่ ด้วยหวงของ
เฝ้าทองคำ ค่ำเช้า ไม่ไตร่ตรอง                ในที่สุด หมาต้อง อดโซตาย
     ฝ่ายเจ้าแร้ง เฝ้าดู อยู่ไม่ห่าง              เมื่อหมาตาย ปีกกาง ร่อนที่หมาย
จิกกินเนื้อ หมานั้น อิ่มสบาย                    แล้วครวญใคร่ รำพึง ถึงหมาจร
    โอ้อนิจจา ชะตา เจ้าหมาโง่                  ทนหิวโซ ถึงตาย เฝ้าทองก้อน
หวงในสิ่ง ไร้ค่า มิอนาทร                         จึงเดือดร้อน ม้วยมรณ์ ด้วยอดเอยฯ

๓.
     คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันคุณค่า สิ่งของ ต้องประสงค์
ประโยชน์สม แต่ใคร อาจเจาะจง
กับบางใคร ฝุ่นผง ไร้ค่าเอยฯ 

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ของบางอย่างก็มีประโยชน์เฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น”


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 04 กรกฎาคม 2013, 08:58:AM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
๑๘.
ความเศร้ากับความยินดี

๑.
     อันสุขทุกข์หม่นเศร้า         ระคน
โศกคู่ยินดีปน                         อยู่เคล้า
พึงชนอย่าแพ้กล                    พลั้งพ่าย อารมณ์นอ
สุขบ่สมทุกข์เหย้า                   ว่ายฟ้อนเวียนวนฯ

๒.
     กาลครั้งหนึ่ง มีชาว ประมงบ้าน        คร่ำเชิงชาญ หาปลา ออกเรือหมู่
ปลาทะเล น้อยใหญ่ ตามฤดู                  ลากอวนกู้ หากิน ชาวคนเล
     ในวันไหน ออกเร่ ระลอกคลื่น          ปลาดกดื่น ยินดี ต่างร้องเห่
หากวันใด เงียบเหงา ปลาทะเล               พาลโยเย เศร้าโศก อกทุกข์ตรม
     มาวันหนึ่ง ลงอวน ได้สักพัก            ตอนกู้ขึ้น หนักนัก ต่างสุขสม
คงได้ปลา มากมาย ชื่นอารมณ์                ปั้นหน้าเคร่ง ก้มกู้ อวนขึ้นเรือ
     ครั้นกู้เสร็จ อวนแผ่ ตาแลจ้อง          ต่างเศร้าหมอง เห็นปลา ปั้นหน้าเบื่อ
ด้วยอวนหนัก เพราะหิน ดินเลนเจือ         ปลาร้างเรือ ท้อแท้ กำลังใจ
     ท่านผู้เฒ่า ชาวเล เห็นเช่นนั้น          เอ่ยปลอบขวัญ ลูกเรือ เตือนสติให้
เจ้าคร่ำครวญ เศร้าโศก กันอยู่ไย              เรื่องโชคเคราะห์ ดีร้าย คู่กันเอยฯ

๓.
     คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
อันสุขทุกข์ ชะตา เคราะห์กรรมนั้น
เคล้าระคน ปะปน อยู่คู่กัน
มีทั้งทุกข์ สุขสันต์ คู่กันเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่กัน”


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 05 กรกฎาคม 2013, 05:11:PM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
     ๑๙.
อิฐกับครั่ง


๑.
     อันอิฐเผาแกร่งก้อน          ทานทน
ไฟเคร่งเผาร้อนข้น                 ผึ่งแห้ง
อันเนื้อครั่งไฟลน                   แหลกร่าง เหลวเฮย
อิฐครั่งเผยธาตุแจ้ง                 ต่างเนื้ออ่อนแข็งฯ

๒.
     กาลครั้งหนึ่ง อิฐครั่ง สองเพื่อนสหาย           ต่างอาศัย ถ้อยที ผูกน้ำมิตร
มักพูดคุย ปรับทุกข์ อยู่เนืองนิตย์                      ด้วยต้องจริต รักใคร่ ปลูกสัมพันธ์
     ปัญหาหนึ่ง เพื่อนครั่ง มักเปรยเสมอ            อิฐเพื่อนเกลอ ทนทาน มิแตกบั่น
ผิดครั่งข้า เจอแรง กระแทกพลัน                       เปราะเหลือนั่น ก็พลัน ยับแตกไป
     เรื่องแข็งทน ปัญหา ได้ทุ่มเถียง                   ยากหลีกเลี่ยง ทะเลาะ สองสหาย
ด้วยเจ้าครั่ง เพียรถาม มิรู้วาย                           อยากกายแข็ง ละม้าย อิฐเพื่อนเกลอ
     มาวันหนึ่ง เจ้าครั่ง ก็แจ้งจิต                       บอกเพื่อนอิฐ เธอแข็ง สม่ำเสมอ
ด้วยเผาไฟ ตากแดด ใช่ไหมเออ                        ฉะนี้เธอ จึงแกร่ง ทั่วแผ่นทน
     จึงครั่งนั้น เดินไป ที่เตาเผา                         มิสนใจ เรื่องราว และเหตุผล
กระโดดเข้า เตาเผา ในบัดดล                         ไฟเปลวลน ร้อนไหม้ ละลายเอยฯ

๓.
     คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ในบางสิ่ง คุณค่า ประโยชน์นั้น
เฉพาะบางใคร เจาะจง เป็นสำคัญ
หากฝืนพลัน อาจท่าน วอดวายเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“บางสิ่งเป็นประโยชน์กับผู้อื่น แต่อาจเป็นอันตรายกับเรา”


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 06 กรกฎาคม 2013, 08:48:AM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
     ๒๐.
ฝูงแกะกับหมาเลี้ยงแกะ


๑.
     อันงานหน้าที่นั้น         สำคัญ
ควรเร่งตั้งมโนมั่น               ถั่งสู้
ตรำเคร่งอย่ารู้บั่น               ทิ้งเลี่ยง
ผิท่านหลบเกี่ยงอู้               ห่อนรู้เสร็จไฉนฯ

๒.
     กาลครั้งหนึ่ง ฝูงแกะ กับหมาเฝ้า         ทุกค่ำเช้า หมาต้อน ตะล่อมเลี้ยง
จากคอกขัง ระวัง เจ้ามองเมียง                  แกะกินหญ้า ไม่เลี่ยง เคร่งตรวจตรา
     ด้วยศัตรู ฝูงแกะ มีมากยิ่ง                   ทั้งหมาใน จิ้งจอก เสือนักล่า
อีกงูเงี้ยว สารพัด มากเหลือคณา                ตลอดเวลา หมาเฝ้า เช้าจรดเย็น
     แกะหนึ่งคิด น้อยเนื้อ ต่ำใจยิ่ง            รำคาญจริง หมาเฝ้า แต่ขู่เข็ญ
ตะล่อมต้อน พวกเรา คล้ายจองเวร            มองไม่เห็น คุณค่า หมาเลี้ยงแกะ
     ตัวแกะนั้น คิดเพียง ประโยชน์เห็น        ตนลำเข็ญ ขนนม เนื้อชำแหละ
หมายามนั้น วิ่งวน แต่ข้องแวะ                   ไล่ต้อนแกะ น่าเบื่อ อยู่เมื่อวัน
     ซ้ำชาวนา ลำเอียง อคตินัก                 ให้แกะกิน หญ้าผัก ใยหยาบกร้าน
เทียบหมายาม เมนู เลิศพิสดาร                  ตักใส่จาน ข้าวเนื้อ อาหารดี
     คำแกะบ่น ลือลาม ไปทั่วฝูง               และชักจูง เพื่อนแกะ ให้เลี่ยงลี้
กิจการใด ชาวนา ล้วนมากมี                      ทุกหน้าที่ งดพลัน เถอะพวกเรา
     หมาเลี้ยงแกะ ได้ยิน ข่าวลือนั้น           จึงเอ่ยเอื้อน อย่ารั้น เลยพวกเจ้า
งานหน้าที่ ข้านั้น ไม่บันเบา                      ตั้งแต่เช้า เที่ยงบ่าย พลบอัสดง
     ต้องระแวด ภัยร้าย สุนัขป่า                  สัตว์นักล่า เนื้อเจ้า จ้องประสงค์
อีกคอยต้อน ให้เดิน เลี่ยงชัฏดง                  รวมเข้าฝูง อยู่คง ไม่หลงทาง
     ครั้นฝูงแกะ ได้ฟัง คำหมาเฝ้า             ในเรื่องราว หน้าที่ สิ้นทุกอย่าง
จึงเลิกคิด น้อยเนื้อ ปล่อยใจวาง                 ไม่อางขนาง หน้าที่ หมาเลี้ยงเอยฯ

๓.
     คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
งานหน้าที่ ของตน ต้องมุ่งมั่น
อย่าคอยแต่ จับผิด นินทากัน
งานเคร่งทำ ทุกวัน สุขสันต์เอยฯ

   
๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ทุกคนก็มีหน้าที่ จงทำหน้าที่ของตนเอง ดีกว่าเอาแต่คอยจับผิดผู้อื่น”

***อย่าเพิ่งเบื่อและรำคาญครับ เพื่อน พ้อง น้อง พี่ ลุง ป้า ป๋า และปู่ พอดีมีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งติดต่อมาว่าอยากตีพิมพ์ วรรณกรรมสำหรับเยาวชน ก็เลยเลือกหยิบนิทานอีสปมาเขียน ตอนเด็กๆ ชอบอ่านมาก แต่เป็นร้อยแก้ว เลยคิดจะทำเป็นร้อยกรองบ้าง ครบ 100 เรื่องเมื่อไรก็จะนั่งเกลาสำนวนต้นฉบับให้พร้อมสำหรับการตีพิมพ์ต่อไป***
 


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 07 กรกฎาคม 2013, 08:50:AM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
     ๒๑.
นกกระเรียนกับหมาจิ้งจอก


๑.
     อันน้ำจิตถั่งล้น           รื่นหทัย
รินฉ่ำชื่นหลั่งสาย              ไป่สิ้น
น้ำมิตรบ่เสื่อมคลาย            ยั้งอยู่
ผิเนื่องนิจปล้อนปลิ้น        เพื่อนพ้องลี้ไกลฯ

๒.
     กาลครั้งหนึ่ง ป่าใหญ่ มากสรรพสัตว์    ต่างถือสัตย์ ปรองดอง พึ่งอาศัย
แต่ใช่ว่า ทั้งหมด จะจริงใจ                          มีมากมาย หน้าไหว้ หลังหลอกจริต
     ในป่านั้น กระเรียน และจิ้งจอก             แม้เพื่อนกัน กลับกลอก อยู่เนืองนิตย์
อันน้ำใจ ใสจริง ล้วนเบือนบิด                    ต่างตนคิด คดฉ้อ เพทุบาย
     มาวันหนึ่ง จิ้งจอก เชิญกระเรียน           ไปเยี่ยมเยียน บ้านตน ช่วงคล้อยบ่าย
เลี้ยงข้าวปลา เต็มอิ่ม กินให้สบาย              กระเรียนสหาย รับเชิญ ด้วยยินดี
     ครั้นถึงบ้าน งานเลี้ยง จิ้งจอกจัด           ให้เคืองขัด จิ้งจอก มากเหลือที่
จานอาหาร แบนแบ แสร้งย่ำยี                    แล้วชวนชี้ กระเรียน ร่วมวงกิน
     อันกระเรียน ปากคอ นั้นยาวแสน          กินจานแบน ไม่ได้ ใครรู้สิ้น
เจ้าจิ้งจอก เล่ห์ร้าย ล้วนรู้ยิน                     จึงมิถวิล กินแทน จนหมดจาน
     แล้ววันหนึ่ง กระเรียน เอาคืนบ้าง         ชวนจิ้งจอก ย้อนทาง กินเลี้ยงบ้าน
เจ้าจิ้งจอก ครุ่นคิด อยู่ไม่นาน                    ตกปากขาน รับคำ ไม่ร่ำไร
     ครั้นจิ้งจอก ถึงบ้าน กระเรียนจัด           ให้เคืองขัด ภาชนะ อาหารใส่
ด้วยขวดคอ ยาวยื่น สูงมากไป                   ชอกช้ำใจ กระเรียน กินแทนเอยฯ

๓.
     คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ทำสิ่งใด มิช้า ได้เช่นนั้น
ทำใครอื่น อย่างไร เขาแก้พลัน
ทำเช่นนั้น ตอบท่าน เช่นกันเอยฯ

 ๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“เราปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร เขาก็ทำกับเราเช่นนั้น”


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 05 สิงหาคม 2013, 05:03:PM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
(โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน)
๒๒.
ความจนปัญญาของโลมา



๑.
        อันสิงโตใหญ่ค้ำ         พงพนา
ปองคู่เจ้าโลมา            ฉลาดล้ำ
สองสหายต่างมรคา            คล้องคู่ เพื่อนนา
หนึ่งอยู่ป่าอีกน้ำ            ช่วยเกื้อประโยชน์ไฉนฯ

๒.
        กาลครั้งหนึ่ง สิงโต เจ้าแห่งป่า      เขี้ยวเล็บคม สง่าศรี กล้าห้าวหาญ
ส่วนโลมา ถือดี ปัญญาชาญ         ทั่วชลธาร ปลาปู ต่างรู้จัก       
        มาวันหนึ่ง โลมา อาบแดดเล่น      สิงโตเห็น จึงปรี่ เข้าทายทัก
โลมาจ๋า สองเรา สมานสมัคร         ผูกสัมพันธ์ เพื่อนรัก ร่วมน้ำมิตร
        ด้วยข้านั้น เป็นใหญ่ เหนือไพรถิ่น    ชเลสินธุ์ เจ้าเลิศ เรืองไกรวิทย์
เถิดสองเรา คบหา อย่าเบือนบิด         ชั้นสหายสนิท ประโยชน์ นั้นมากมี
        ฝ่ายโลมา ฟังความ เห็นตามถ้อย      จึงเออออ เห็นคล้อย ไปตามที่
คำสิงโต เอื้อนเอ่ย เผยวจี             ต่างยินดี ผูกเกลอ ร่วมสาบาน
        ครั้นจำเนียร เนิ่นผ่าน ไม่นานนัก       เจ้าสิงโต เพื่อนรัก บุกถึงย่าน
คุ้งสาคร โลมา เริงสำราญ            ร้องไหว้วาน เกลอเอ๋ย ท่านฟังคำ
        ด้วยวัวเถื่อน เกเร พาลนิสัย      ดุเหลือร้าย กำแหง ล่วงรุกล้ำ
อาณาเขต ถิ่นข้า อยู่ประจำ                 จึงห้ำหั่น ประลอง แกร่งกำลัง
        สู้กันอยู่ หลายครา ไม่รู้ผล         ข้าจึงด้น มาหา ด้วยความหวัง
แม้ได้เจ้า อีกแรง อาจพอยัง         ล้มวัวป่า ฤทธิ์คลั่ง ถึงม้วยวาย
        โลมาฟัง เกลอแก้ว สิงโตป่า      พลางส่ายหน้า ตอบคำ สิงห์สหาย
อันข้าท่าน สาบาน ฉันเพื่อนตาย         เพื่อนได้ทุกข์ ต่างหมาย ช่วยเหลือกัน
        แต่ครั้งนี้ ฟังเหตุ อาเพศร้าย      ข้าลำบาก ย้ายย่าง รกไพรสัณฑ์
อันโลมา อาศัย ห้วงชลธาร            มิอาจหนุน เกื้อท่าน สู้วัวเอยฯ

๓.
        คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
สิงห์อยู่ป่า โลมา อาศัยน้ำ
ท่านฝืนกฎ ธรรมชาติ ต้องระกำ
หนึ่งอยู่น้ำ อีกหนึ่ง อยู่ป่าเอยฯ 

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“เราไม่สามารถฝืนธรรมชาติของเราได้”


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 08 สิงหาคม 2013, 08:35:AM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
(โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน)
๒๓.
นกยูงผู้จองหอง


๑.
        มยุระหยิ่งเชื้อ         ทะนง
ฟ้อนร่ายรำแพนองค์             อวดฟ้า
ผยองศักดิ์ค่ายูงพงศ์          ยศยิ่ง ท่านเฮย
เย้ยหมิ่นสกุณอื่นหญ้า          ต่ำต้อยธุลีดินฯ

๒.
   กาลครั้งหนึ่ง นกยูง ผู้จองหอง              ลำพองตน หยิ่งผยอง ชั้นหงส์ศักดิ์
เหยียดเพื่อนสกุณ ร่วมพงศ์ ต้อยต่ำนัก              ค่ำเช้ามัก กรีดกราย ร่ายรำแพน
   มาวันหนึ่ง นกยูง ผู้เลอสง่า                 วาดท่วงท่า ปั้นจริต งามเหลือแสน
เหนือลานดิน โดดเด่น กลางดงแดน              ฟ้อนรำแพน เริงร่าย อวดเพื่อนพงศ์
   ในครานั้น งูใหญ่ พันไม้กิ่ง                 อยู่ไม่ไกล แอบนิ่ง ใจประสงค์
เนื้อนกยูง มื้อนี้ เจ้าเจาะจง                    ค่อยเลื้อยลง คืบใกล้ มยุรา
   ไม่ไกลนั้น กระจิบ ตัวกระจ้อย              เห็นงูใหญ่ จ้องคอย คิดหมายฆ่า
จึงส่งเสียง เตือนไพร อยู่โกกา                 นกยูงเฉย หมิ่นว่า อิจฉาตน
   กระจิบน้อย วุ่นวาย เตือนหลายครั้ง           นกยูงยัง รำแพน อวดปีกขน
กระจิบเจ้า เร้าเสียง อยู่ลานลน                  แต่ไร้ผล งูฉก ยูงตายเอยฯ

๓.
   คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
มยุรา หยิ่งผยอง ลำพองศักดิ์
เฉกเช่นคน ทะนงตน อนาถนัก
สุดท้ายมัก สิ้นศักดิ์ หายนะเอยฯ
 

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความหยิ่งผยองเป็นเหตุแห่งความหายนะ”


หัวข้อ: Re: รวมบทประพันธ์ของ สนอง เสาทอง
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 10 สิงหาคม 2013, 08:08:AM
ศตอีสปนิทานคำกรอง
(โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน)
   ๒๔.
ไม่เหมือนกัน



๑.
        อันต่างชนต่างล้วน         ต่างกัน
แผกต่างฝีมือชั้น                     ต่างผู้
ต่างถนัดต่างขีดขั้น                 สามารถต่าง
จึงต่างฉลาดต่างรู้                  ต่างฟ้าต่างฝันฯ

๒.     
        กาลครั้งหนึ่ง สรรพสัตว์ ร่วมชัฏรก      ทั้งสัตว์บก เลื้อยคลาน แมลงปักษิน
ร่วมเขตคาม พนาไพร หลายชีวิน         ร่วมประชุม ทั้งสิ้น พร้อมเพรียงกัน
        ข้อปรึกษา หารือ เต็มวาระ         เพื่อที่จะ อยู่ร่วม สมานฉันท์
ปกป้องภัย ถิ่นตน จากผองภยันต์         ทุ่มเถียงเครียด เสียงลั่น อภิปราย
        ฝ่ายลิงจ๋อ จอมกวน เห็นเช่นนั้น      จึงคิดมุข ขบขัน กำนัลสหาย
ให้ครึกครื้น สลับฉาก พอเครียดคลาย      ด้วยยักย้าย ส่ายเต้น ระบำโชว์
        เหล่าสรรพสัตว์ น้อยใหญ่ ต่างชื่นชอบ   ลีลาลิง ฮิปฮอป ร้องฮาโห่
ฝ่ายเจ้าอูฐ อิจฉา จ้องตาโต          หมั่นไส้โจ๋ แดนเซอร์ ลิงจ๋อสไตล์
        คิดดังนั้น จึงขยับ เอาอย่างบ้าง      วาดลีลา ท่าทาง ช้าอุ้ยอ้าย
ด้วยตัวใหญ่ ไม่พลิ้ว ดูน่าอาย         สัตว์ทั้งหลาย โห่ไล่ ให้หยุดเอยฯ

๓.
        คตินิทาน เรื่องนี้ ท่านสอนว่า
ในต่างคน นั่นหนา ถนัดเชิงชั้น
แล้วแต่ใคร เฉพาะตน ไม่เหมือนกัน
อย่าฝืนตัว ตามท่าน เช่นอูฐเอยฯ

๔.
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“แต่ละคนมีความถนัดไม่เหมือนกัน การที่ฝืนทำในสิ่งที่ตนไม่ถนัดอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี”