3x8=23 จริงหรือ?
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
18 เมษายน 2024, 02:23:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 3x8=23 จริงหรือ?  (อ่าน 8952 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:20:PM
ไพร พนาวัลย์
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 2083
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,422


นักร้อง


paobunjin
« เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:20:PM »
ชุมชนชุมชน


วันนี้ลุงไพร เปิดเมล์ มีเพื่อนส่งเมล์ดีๆมาให้ จึงเอามาให้เพื่อนๆน้องๆลูกๆหลานๆอ่านต่อ เน้อ

 
3 x 8 =ได้=  23 จริง หรือ?


เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า

จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ! ”
เอี๋ยน หุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “ พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง ? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ”

คน ซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร ?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อ ขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย ”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ ศิษย์จะจำใส่ใจ ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่

จึง เร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด

คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!

เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”


เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก

เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้

ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง ?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่

จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่

และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย

อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “ อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน

ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก

หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”


เอี๋ยน หุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ  ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด ”


จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)

ที่ร้องว่า “ หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง ? เช่นกัน

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”

 
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะ
ให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน
ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด



ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้ที่มีวาสนามากที่สุด

"ไพร พนาวัลย์"
 

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ยามพระอาทิตย์อัสดง, --ณัชชา--, สะเลเต, ...สียะตรา.., panthong.kh, กาญจนธโร, รพีกาญจน์, สุนันยา, sunthornvit, อริญชย์, ..กุสุมา.., amika29, somkan, กังวาน, My Melody, รัตนาวดี, ดุลย์ ละมุน, บูรพาท่าพระจันทร์, พี.พูนสุข, เมฆา..., สมนึก นพ, kon, ดาว อาชาไนย, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, คนเผาถ่าน, รการตติ, กามนิต, พิมพ์วาส, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 31 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:42:PM
sunthornvit
Special Class LV3.9
นักกลอนรอบรู้กวี

***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 777
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,076



« ตอบ #1 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:42:PM »
ชุมชนชุมชน



ขอขอบคุณๆไพร พนาวัลย์ เป็นอย่างยิ่งครับ
แค่เรื่องสั้นๆนี้ให้ประโยชน์ต่อผมมหาศาลครับ จะจดจำไว้เตือนตนเองครับ
สุนทรวิทย์

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, panthong.kh, ยามพระอาทิตย์อัสดง, ..กุสุมา.., กาญจนธโร, อริญชย์, amika29, ไพร พนาวัลย์, กังวาน, รัตนาวดี, My Melody, ดุลย์ ละมุน, บูรพาท่าพระจันทร์, พี.พูนสุข, เมฆา..., สมนึก นพ, kon, ดาว อาชาไนย, สะเลเต, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, กามนิต, Thammada

ข้อความนี้ มี 23 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:44:PM
อริญชย์
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1154
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,568


ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว


« ตอบ #2 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:44:PM »
ชุมชนชุมชน

ขอบคุณฮะ ที่นำเรื่องราวดี ๆ มาฝาก ขอขอบคุณจากใจจริง

 อายจัง อายจัง อายจัง

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, panthong.kh, sunthornvit, ยามพระอาทิตย์อัสดง, กาญจนธโร, ..กุสุมา.., amika29, ไพร พนาวัลย์, กังวาน, รัตนาวดี, My Melody, ดุลย์ ละมุน, บูรพาท่าพระจันทร์, พี.พูนสุข, เมฆา..., สมนึก นพ, kon, ดาว อาชาไนย, สะเลเต, ช่วงนี้ไม่ว่าง, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 23 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

เกื้อกูลต่อมวลมิตร ลิขิตเพื่อสังคม
เพาะบ่มเพื่อพงไพร ก้าวไปเคียงผองชน
22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:58:PM
amika29
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 341
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 593


~ยังเป็นโลกใบเก่า..แค่ไม่มีเขาเท่านั้นเอง~


« ตอบ #3 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2012, 09:58:PM »
ชุมชนชุมชน

ส่งจูบจ้ะ
รักลุงปรางค์ที่สู้ดดดดดเล้ย
 ส่งจูบจ้ะ ส่งจูบจ้ะ ส่งจูบจ้ะ
LPFC
(ลุงปรางค์แฟนคลับ  หัวเราะเยาะ )

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ยามพระอาทิตย์อัสดง, อริญชย์, รพีกาญจน์, sunthornvit, กาญจนธโร, ไพร พนาวัลย์, กังวาน, My Melody, รัตนาวดี, ดุลย์ ละมุน, บูรพาท่าพระจันทร์, panthong.kh, พี.พูนสุข, ..กุสุมา.., เมฆา..., สมนึก นพ, kon, ดาว อาชาไนย, สะเลเต, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 24 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

อย่า..."อิจฉาชีวิตคนอื่น"
แต่จง....ใช้ชีวิตให้สดชื่น
แล้วให้...."คนอื่นอิจฉา"
22 กุมภาพันธ์ 2012, 10:53:PM
Prapacarn ❀
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1148
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,439


♥ แกร่งกล้า..ประภาคาร.. ตระหง่านตั้ง.. ณ ฝั่งคอย ♥


« ตอบ #4 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2012, 10:53:PM »
ชุมชนชุมชน


เวลาแซมสวดมนต์..จะมีประโยคหนึ่งที่ขอว่า...
"..ขอความเป็นสิริมงคล จงอยู่กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ..."
คำสอนของลุงปรางค์ เป็นสิริมงคลแก่แซมในทุกๆวัน...
♥ ♥ ♥
สิ่งดีๆ ที่ลุงให้แซมเมื่อวานนี้..ในวันนี้  และจะให้อีกในวันพรุ่งนี้..
จะอยู่ในหัวใจแซมไม่เลือนลางค่ะ...
 เคารพรัก เคารพรัก เคารพรัก
แซมขอกราบลุงจากหัวใจค่ะ...

จาก แซมเอ๊ย...

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : amika29, ไพร พนาวัลย์, กังวาน, ยามพระอาทิตย์อัสดง, My Melody, รัตนาวดี, ดุลย์ ละมุน, sunthornvit, รพีกาญจน์, อริญชย์, บูรพาท่าพระจันทร์, panthong.kh, พี.พูนสุข, ..กุสุมา.., เมฆา..., สมนึก นพ, kon, ดาว อาชาไนย, สะเลเต, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 24 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

Take my love, take my land
Take me where I cannot stand
I don't care, I'm still free
You can't take the sky from me..
23 กุมภาพันธ์ 2012, 12:22:AM
รัตนาวดี
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 977
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 3,130


❤ ลองล้มลงดูบ้าง แล้วจะรู้ว่าใครยังอยู่ข้างๆเรา*¨♥


bai.bun.1
« ตอบ #5 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2012, 12:22:AM »
ชุมชนชุมชน


กราบขอบคุณ คุณลุงไพรมากๆที่แบ่งปันค่ะ  เคารพรัก

อยากบอกว่าซาบซึ้งกับความหมาย น้ำตาไหลคิดถึงเตี่ยจังเลยจ้า  ลาตายดีกว่าตู

นิสัยเตี่ยท่านไม่ห้ามแต่จะเอาเหตุผลมาสอนเปรียบเทียบให้ ตัดสินใจเสมอ แล้วท่านจะพูดคำว่า "แต่ลื้อโตแล้วต้องผจญต่อสู้..เตี่ยจะไม่ห้ามลื้อ"
ทุกวันตอนอาหารมื้อเย็นจะโดนเตี่ยถามถึงการกระทำของในวันนั้น...
แน่นอน คำถามเสริมท้าย.."แล้วลื้อคิดยางงาย?" มีจากเตี่ยเสมอ

เหตุผลที่ตอบ บางครั้งยังสารยายไม่ทันจบ รัตน์โดนเตี่ยเขกกระบาลซะก่อนจ้า  ขำแบบกระแดะหน่อยๆ

รัตน์ขอน้ำตาไหลต่อนะคะ

ขอบคุณค่ะลุงไพร

รัตนาวดี
 ส่งจูบจ้ะ
 
 
<a href="http://www.youtube.com/v/LwnS1orC7Pk&amp;rel=0&amp;fs=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/LwnS1orC7Pk&amp;rel=0&amp;fs=1</a>

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ไพร พนาวัลย์, รพีกาญจน์, อริญชย์, บูรพาท่าพระจันทร์, amika29, sunthornvit, panthong.kh, พี.พูนสุข, ..กุสุมา.., เมฆา..., สมนึก นพ, kon, ดาว อาชาไนย, สะเลเต, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, ยามพระอาทิตย์อัสดง, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 20 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

..อสงไขย..ใน..ใจ..คุณ...❤... สาวน้อยเซย์ ฮาโหล.....
☆★*•.¸All You Need Is  ℒƠѵℯ ✫*¸.•*¨♥¸.•*★☆
23 กุมภาพันธ์ 2012, 06:37:AM
panthong.kh
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 2989
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 8,676



« ตอบ #6 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2012, 06:37:AM »
ชุมชนชุมชน


วันนี้ลุงไพร เปิดเมล์ มีเพื่อนส่งเมล์ดีๆมาให้ จึงเอามาให้เพื่อนๆน้องๆลูกๆหลานๆอ่านต่อ เน้อ

 
3 x 8 =ได้=  23 จริง หรือ?


เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า

จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ! ”
เอี๋ยน หุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “ พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง ? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ”

คน ซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร ?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อ ขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย ”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ ศิษย์จะจำใส่ใจ ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่

จึง เร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด

คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!

เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”


เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก

เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้

ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง ?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่

จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่

และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย

อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “ อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน

ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก

หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”


เอี๋ยน หุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ  ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด ”


จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)

ที่ร้องว่า “ หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง ? เช่นกัน

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”

 
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะ
ให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน
ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด



ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้ที่มีวาสนามากที่สุด

"ไพร พนาวัลย์"
 




อยากจะทำ เช่นนั้น มันคงยาก
แสนลำบาก จำใจ ให้ขื่นขม
ด้วยกิเลส ตัณหา พล่าให้จม
แม้ต้องข่ม เพียงใด แต่ไม่ทัน

อยากจะทำ เหมือนกัน มันยากยิ่ง
ใจไม่นิ่ง ไม่สงบ จบเหหัน
มองทางช้าย ย้ายขวา กลัวทางตัน
จึงดึงดัน ดั้นไป มิใช่ดี

จำจักทำ ให้ได้ ยากยิ่งยวด
ความเจ็บปวด รวดร้าว เนาทุกที่
คิดวนไป เวียนมา หาวิธี
ผงธุรี เข้าตา พาลพาโล

ต้องมีคน มาเป่า เอาออกให้
เป็นผู้ใหญ่ ใจดี มิโมโห
คอยชี้แนะ แกะกิเลส ผีเปรตโต
ที่เต้นโชว์ อยู่ในใจ ออกให้พลัน
ขอขอบคุณในทุกๆ เรื่อง ที่คอยให้กำลังใจและ สั่งสอนในสิ่งที่ดีๆ มาโดยตลอดค่ะ
พันทอง   เคารพรัก เคารพรัก เคารพรัก เคารพรัก




ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : amika29, sunthornvit, บูรพาท่าพระจันทร์, พี.พูนสุข, ..กุสุมา.., เมฆา..., Prapacarn ❀, สมนึก นพ, อริญชย์, รพีกาญจน์, kon, ดาว อาชาไนย, hort39, สะเลเต, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, ยามพระอาทิตย์อัสดง, ไพร พนาวัลย์, รัตนาวดี, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 22 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
23 กุมภาพันธ์ 2012, 09:13:AM
สมนึก นพ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 728
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,994



taojeo@hotmail.com
« ตอบ #7 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2012, 09:13:AM »
ชุมชนชุมชน

แปดคูณสามเท่ากับยี่สิบสาม
ในเนื้อความเหตุผลสองคนต่าง
เป็นแง่คิดผิดถูกมาผูกทาง
คือข้ออ้างรวบรัดปรัชญา

มีเดิมพันหนึ่งนั้นนั่นเหตุผล
ชีวิตคนหมวกใบไขปัญหา
ผลลัพท์เป็นยี่สิบสี่เสียชีวา
ตามสัญญาให้ไว้หมายกระทำ

แต่อีกหนึ่งเสียไปหมวกใบนั้น
ยังดื้อรั้นขึ้นเสียงมาหน้าแดงก่ำ
จึงปรึกษาอาจารย์ท่านชี้นำ
ได้ฟังคำชี้แนะแยกแยะมี

ชนะแต่เสียไปใหญ่หลวงนัก
ด้วยยึดหลักเดิมพันรู้กันนี่
หมวกหนึ่งใบไปแลกหนึ่งชีวี
ควรถ้อยทีถ้อยอาศัยหมายสัมพันธ์

ขอขอบคุณสิ่งดีดีที่มอบให้
คอยเตือนใจได้คิดตั้งจิตมั่น
ขอขอบคุณ คุณไพร พนาวัลย์
คุณครูฉันนามใหม่ให้ศิษย์งง.

นพ
23 ก.พ.55

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : เมฆา..., Prapacarn ❀, บูรพาท่าพระจันทร์, อริญชย์, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, panthong.kh, ...สียะตรา.., ดาว อาชาไนย, สะเลเต, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, ยามพระอาทิตย์อัสดง, ไพร พนาวัลย์, รัตนาวดี, amika29, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 19 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
23 กุมภาพันธ์ 2012, 10:11:AM
พี.พูนสุข
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1269
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,104


ทิวาฉาย ณ ปลายผา


« ตอบ #8 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2012, 10:11:AM »
ชุมชนชุมชน


           ขออนุญาตลุงไพร  แจมด้วยหนึ่งเรื่องค่ะ
                     
             เมล์ดีๆ อีกเรื่องที่เพื่อนเก่าส่งมาให้
               
             ยาวนิดนึง...แต่ให้ข้อคิดดีมากค่ะ



           ลู่เหยา กับ หม่าลี่ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
            ลู่เหยามีศักดิ์เป็นพี่ เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว
            หม่าลี่ เป็นผู้น้อง ยังไม่ได้แต่งงาน
            ลู่เหยามีฐานะยากจน ขณะที่หม่าลี่ฐานะร่ำรวย
            ด้วยเหตุนี้ ลู่เหยาจึงได้รับการอุดหนุนจุนเจือจากหม่าลี่เสมอ
            วันหนึ่ง ลู่เหยาบอกหม่าลี่ว่า ตนเองต้องการไปแสวงโชคต่างเมือง
            อยากจะฝากให้หม่าลี่ช่วยดูแลภรรยาให้
            หม่าลี่รับปาก บอกว่าเขาจะดูแลให้ ไม่ต้องเป็นกังวล
            .....

            ตั้งแต่นั้นมา ทุกครึ่งเดือนหม่าลี่จะสั่งให้คนรับใช้
            นำของกินของใช้ บรรทุกใส่รถม้าเต็มคันรถ
            นำไปให้กับภรรยาของลู่เหยา…
            ภรรยาของลู่เหยา จึงคิดว่า
            เป็นเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว  ได้รับการโอบอุ้มดูแล
            ยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับสามีเสียอีก
            ไม่ต้องทำงานก็มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่
            ทำให้นางนึกขอบคุณสามีที่มีน้องร่วมสาบานที่ดีเช่นนี้
            .....

            ครึ่งปีผ่านไป เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป
            คนรับใช้ของหม่าลี่ ไม่ได้นำของไปให้ภรรยาของลู่เหยาอีกแล้ว
            ครึ่งเดือนก็แล้ว หนึ่งเดือนก็แล้ว สองเดือนก็แล้ว
            ภรรยาของลู่เหยาจึงต้องขายข้าวของที่หม่าลี่เคยส่งไปให้
            เพื่อประทังชีวิต ไม่ถึงครึ่งปี ข้าวของทุกอย่างถูกขายจนหมด
            นางจึงคิดจะทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเอง
            เนื่องจากนางเคยเรียนเย็บปักถักร้อยมาตั้งแต่เด็ก
            นางจึงลองเย็บรองเท้าผ้าที่คนสวมใส่กันเป็นประจำขาย
            อาจเพราะว่า นางมีฝีมือดี หรือชาวบ้านต่างสงสารนาง
            ก็มิอาจทราบได้ ทำให้ชาวบ้านพากันแย่งซื้อรองเท้าของนาง
            จนขายหมดเกลี้ยงทุกวัน ไม่ว่านางจะตั้งราคาสูงเพียงใดก็ตาม
            .....

            พริบตาเดียว 10 ปีผ่านไป ลู่เหยาก็กลับมาในคืนหนึ่ง
            เมื่อเขารู้ว่า ตั้งแต่เขาจากไป หม่าลี่ไม่เคยมาดูแลภรรยาของตน
            และส่งของกินของใช้ให้เพียงครึ่งปี หลังจากนั้น
            ก็ไม่ได้ส่งของกินของใช้มาให้ภรรยาของตนอีกเลย
            เขาทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า
            " คนอยู่น้ำใจอยู่ เมื่อคนจากไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป "
            .....

            เมื่อหม่าลี่ ทราบข่าวว่าลู่เหยากลับมา จึงส่งคนไปเชิญมาเลี้ยงต้อนรับ
            แต่ลู่เหยาปิดประตูไม่รับแขก หม่าลี่จึงไปเชิญลู่เหยาด้วยตนเอง
            เขาคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู จนลู่เหยาจำใจต้องไปที่บ้านของหม่าลี่
            ระหว่างกินเลี้ยงกัน ลู่เหยาต่อว่าหม่าลี่ที่ไม่ดูแลภรรยาของตน
            ซึ่งเปรียบเสมือนพี่สะใภ้ของหม่าลี่ก็ไม่ปาน
            หม่าลี่จึงพาลู่เหยาเข้าไปที่สวนดอกไม้หลังบ้าน
            เขาเปิดประตูห้องใหญ่ห้องหนึ่งออก และเชิญลู่เหยาเข้าไป
            ลู่เหยาตกตะลึงจนตาค้าง เขาเห็นรองเท้าผ้ากองเต็มห้องไปหมด
            ลู่เหยาเข้าใจทันที เขาจึงก้าวถอยออกจากประตูด้วยความละอายใจ
            และก้มลงคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของหม่าลี่
            .....

            หม่าลี่รีบเข้าไปพยุงให้ลู่เหยาลุกขึน แล้วกล่าวว่า
           เรื่องที่พี่ใหญ่ฝากฝังให้ข้าดูแลพี่สะใภ้นั้น ข้าไม่เคยลืมเลย
           แต่นึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้พี่ใหญ่จะไปเนิ่นนานถึงสิบปี
           เดิมทีข้าคิดจะอุดหนุนจุนเจือพี่สะใภ้ด้วยของกินของใช้บริบูรณ์
           แต่อีกใจก็คิดว่าเมื่อนางได้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย วันๆไม่ต้องทำอะไร
           อาจเป็นเหตุให้นางก่อเรื่องที่มิดีมิงามขึ้นได้
           ครั้นข้าจะไปดูแลนาง ก็เกรงว่าจะเป็นที่ครหา ให้นางเสียชื่อเสียง
           แล้วหากท่านกลับมา ข้าจะมาสู้หน้าท่านได้อย่างไร
           แต่ก้อน่านับถือที่พี่สะใภ้ รู้จักทำมาหากินด้วยความสามารถของนางเอง
           สมกับที่ข้าได้ตังใจไว้ ข้าจึงให้คนไปซื้อรองเท้าที่นางทำขายทุกครั้งไป
           .....
 
           ลู่เหยาได้ฟังแล้วก็ซาบซึ้งยิ่งนัก เขายืนจ้องหน้าหม่าลี่อยู่นาน
           สักพักจึงกล่าวประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า
           ลู่เหยา (หนทางไกล) รู้ใจหม่าลี่(กำลังของม้า) กาลเวลาพิสูจน์ใจคน
           คำกล่าวจีนที่ว่า หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
           จึงได้เผยแพร่สืบต่อกันเรื่อยมา โดยเราใช้คำพรรณนานี้มองเห็นว่า
           การที่เราจะรู้อุปนิสัยใจคอของใครอย่างแท้จริงได้
           ก็ต่อเมื่อได้อยู่ร่วมกับเขามาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นเอง
           .....

           ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบเรื่องราวของลู่เหยาและหม่าลี่ครับ
           ทำให้มาคิดว่า …
           บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้น
           การจะทำความดี ต้องทำอย่างอดทน ต้องทำอย่างลึกซึ้ง

           ต้องทำอย่างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
           ไม่ต้องหวังว่าทำดีกับคนอื่นแล้ว เขาจะต้องดีตอบกับเรา
           มิเช่นนั้น เราจะทุกข์ใจหากไม่ได้การตอบแทนตามที่หวังไว้

           แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ
           แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง มองเห็นความดีที่เราทำ..

           แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว 

   
                  ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง
                                           พี.พูนสุข
                                               


 

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, สมนึก นพ, panthong.kh, บูรพาท่าพระจันทร์, ...สียะตรา.., ดาว อาชาไนย, สะเลเต, hort39, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, ยามพระอาทิตย์อัสดง, sunthornvit, ไพร พนาวัลย์, รัตนาวดี, เมฆา..., amika29, อริญชย์, กามนิต, พิมพ์วาส, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 21 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
23 กุมภาพันธ์ 2012, 11:35:AM
hort39
ผู้ดูแลทุกบอร์ด
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 388
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,215


คำพูดที่ให้ร้าย ไม่อาจเปลียนแปลงความจริงทีผ่านมา


« ตอบ #9 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2012, 11:35:AM »
ชุมชนชุมชน


วันนี้ลุงไพร เปิดเมล์ มีเพื่อนส่งเมล์ดีๆมาให้ จึงเอามาให้เพื่อนๆน้องๆลูกๆหลานๆอ่านต่อ เน้อ

 
3 x 8 =ได้=  23 จริง หรือ?


เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า

จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ! ”
เอี๋ยน หุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “ พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง ? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ”

คน ซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร ?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อ ขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย ”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ ศิษย์จะจำใส่ใจ ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่

จึง เร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด

คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!

เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”


เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก

เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้

ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง ?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่

จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่

และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย

อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “ อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน

ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก

หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”


เอี๋ยน หุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ  ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด ”


จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)

ที่ร้องว่า “ หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง ? เช่นกัน

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”

 
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะ
ให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน
ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด



ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้ที่มีวาสนามากที่สุด

"ไพร พนาวัลย์"
 



ขอบคุณลุงไพร สำหรับเรื่องราวดีๆ ครับ ถ้าเทียบกับสุภาษิตไทย ก็คงใกล้เคียงกับ "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"
ในการดำเนินชีวิต บางที่เราต้องการชนะแค่อยากสะใจ แต่สิ่งที่ตามมามีแต่ความยุ่งยากมากมาย

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : บูรพาท่าพระจันทร์, แป้งน้ำ, ช่วงนี้ไม่ว่าง, ยามพระอาทิตย์อัสดง, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, sunthornvit, ไพร พนาวัลย์, รัตนาวดี, เมฆา..., amika29, panthong.kh, อริญชย์, กามนิต, Thammada, สุวรรณ

ข้อความนี้ มี 16 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

23 กุมภาพันธ์ 2012, 03:14:PM
ไพร พนาวัลย์
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 2083
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,422


นักร้อง


paobunjin
« ตอบ #10 เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2012, 03:14:PM »
ชุมชนชุมชน


            ขออนุญาตลุงไพร  แจมด้วยหนึ่งเรื่องค่ะ
                     
             เมล์ดีๆ อีกเรื่องที่เพื่อนเก่าส่งมาให้
               
             ยาวนิดนึง...แต่ให้ข้อคิดดีมากค่ะ



           
...           .....

           ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบเรื่องราวของลู่เหยาและหม่าลี่ครับ
           ทำให้มาคิดว่า …
           บางครั้งในชีวิตของคนเรานั้น
           การจะทำความดี ต้องทำอย่างอดทน ต้องทำอย่างลึกซึ้ง

           ต้องทำอย่างไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
           ไม่ต้องหวังว่าทำดีกับคนอื่นแล้ว เขาจะต้องดีตอบกับเรา
           มิเช่นนั้น เราจะทุกข์ใจหากไม่ได้การตอบแทนตามที่หวังไว้

           แม้คนอื่นอาจเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้ทำอะไร เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ
           แม้ไม่มีใครมองเห็น แต่ตัวเรามองเห็นตัวเราเอง มองเห็นความดีที่เราทำ..

           แค่นี้เราก็อิ่มเอิบใจและมีความสุขแล้ว 

   
                  ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริง
                                           พี.พูนสุข
                                               


 


ขอบคุณ คุณพี.พูนสุข มิตรรักแฟนคลับที่ติดตามผลงานกันมาอย่างสม่ำเสมอ
และทุกๆท่านที่ติดตามผลงานของลุงปรางค์ และเข้ามาร่วมแจมอย่างน่าชื่นใจ เน้อ)
ที่นำคติเตือนดีๆอย่างนี้ มาร่วมแจมกัน
เพื่อเตือนสติชาวเราให้มีความคิด รู้ตัวเตือนตนด้วยความไม่ประมาท
เพราะชีวิตขอคนเรานั้นสั้นนัก ถ้าจะมาคอยแต่คิดหยุมหยิมต่อกัน มันจะเสียเวลาเปล่าๆนะครับ
เรามาเอาความดีงาม การให้อภัยกัน มาแบ่งปันความสุข มาขับไล่ความทุกข์ที่รุกรานบางใคร
ให้มีแต่ความสุข เมื่อได้เข้ามาพักผ่อนในบ้านหลังนี้ บ้านอันทำให้เราได้ผ่อนคลาย
ได้พบปะมิตรสหายที่เป็นคนคอเดียวกัน รักการแต่งกลอนเหมือนๆกัน
เราจึงเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ ที่มีแต่ให้กับให้ ปลอบขวัญให้กำลังใจคนเหนื่อยล้า
เราจะนำสิ่งดีๆอย่างนี้มาให้กันอีก เนาะ

ลุงปรางค์(ไพร พนาวัลย์)


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ยามพระอาทิตย์อัสดง, panthong.kh, พี.พูนสุข, sunthornvit, รพีกาญจน์, รัตนาวดี, เมฆา..., บูรพาท่าพระจันทร์, amika29, อริญชย์, กามนิต, Thammada

ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

03 มีนาคม 2012, 04:47:PM
อริญชย์
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1154
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,568


ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว


« ตอบ #11 เมื่อ: 03 มีนาคม 2012, 04:47:PM »
ชุมชนชุมชน


วันนี้ลุงไพร เปิดเมล์ มีเพื่อนส่งเมล์ดีๆมาให้ จึงเอามาให้เพื่อนๆน้องๆลูกๆหลานๆอ่านต่อ เน้อ

 
3 x 8 =ได้=  23 จริง หรือ?


เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า

จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ! ”
เอี๋ยน หุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “ พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง ? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ”

คน ซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร ?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง) ”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อ ขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย ”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ ศิษย์จะจำใส่ใจ ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่

จึง เร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “ อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด

คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!

เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”


เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก

เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้

ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง ?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “ เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่

จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่

และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย

อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน ”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “ อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน

ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก

หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ ? ”


เอี๋ยน หุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ  ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด ”


จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)

ที่ร้องว่า “ หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง ? เช่นกัน

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”

 
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะ
ให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน
ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี ( เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด



ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้ที่มีวาสนามากที่สุด

"ไพร พนาวัลย์"
 




 อายจัง สาวน้อยเซย์ ฮาโหล สาวน้อยเซย์ ฮาโหล

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : panthong.kh, บูรพาท่าพระจันทร์, ไพร พนาวัลย์, Thammada, ช่วงนี้ไม่ว่าง, ยามพระอาทิตย์อัสดง, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, amika29

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

เกื้อกูลต่อมวลมิตร ลิขิตเพื่อสังคม
เพาะบ่มเพื่อพงไพร ก้าวไปเคียงผองชน
03 มีนาคม 2012, 05:43:PM
ช่วงนี้ไม่ว่าง
Special Class LV5
นักกลอนแห่งเมืองหลวง

*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 358
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 792



« ตอบ #12 เมื่อ: 03 มีนาคม 2012, 05:43:PM »
ชุมชนชุมชน

นิทานเรื่องนี้นั้นสอนให้รู้ว่า  อีตาขงจื้อนั้นแกทำไม่ถูก เพราะแกอาจจะถูกชาวบ้านคนนั้นกลับมาถอนหงอกเอาก็ได้เหตุเพราะแกตัดสินไม่ถูกต้อง

ข้อคิดจากเรื่องนี้
-บัณฑิต อย่างไรก็ยังเป็นบัณฑิต  ข้อแตกต่างระหว่างพาลกับบัณฑิตก็คือ  คนพาลมักจะทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด  ส่วนบัณฑิตนั้นมักจะทำอะไรโดยรอบคอบเสมอ
  เอี๋ยนหุยนั้น  อย่างไรก็ยังนับว่าเป็นบัณฑิต ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ยอมเอาชีวิตตนไปเป็นเดิมพันเพียงเพื่อเอาชนะคะคานกับชาวบ้านผู้นั้น ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าตนเองต้องชนะ
  (มันผิดกับบางคนเมื่อรู้ว่าตัวเองต้องชนะมักจะทุ่มแบบไม่ยั้ง)

-ผู้ยึดหลักความถูกต้องนั้นไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือหรือเข้าข้างเพราะยังไงก็เป็นฝ่ายถูกต้อง  ผิดกับชาวบ้านผู้นั้นซึ่งยึดหลักความไม่ถูกต้อง
  ดังนั้นเขาจึงผิดพลาด  ถ้าไม่ได้ขงจื้อตัดสินความเข้าข้างเขาเพราะเห็นแก่คุณธรรมเขาจะต้องตายแน่นอน(กรณีแบบนี้ถ้าผู้ตัดสินไม่ใช่ขงจื้อชาวบ้านคนนั้นคงต้องตายสถานเดียว)

-ขงจื้อ แม้ช่วยชาวบ้านผู้นั้นให้รอดชีวิตก็จริงแต่ก็ไม่ได้พูดหรืออธิบายด้วยเหตุด้วยผลว่า อันไหนผิดอันไหนถูก
  แต่กลับพูดกับ เอี๋ยนหุย ซึ่งเป็นศิษย์ของตนด้วยเหตุด้วยผล  ทั้งนี้เพราะชาวบ้านผู้นั้นไม่ใช่ผู้ที่ฝากตัวเป็นศิษย์จึงไม่ใช่ผู้ที่จะไปสั่งสอนเขาได้
  ส่วน เอี๋ยนหุย นั้นคือผู้ที่ฝากตัวเป็นศิษย์ เป็นผู้ที่ขงจื้อควรจะสั่งสอนได้(การฝากตัวเป็นศิษย์เท่ากับยินยอมรับฟังคำสั่งสอน)
  ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับคนทีจะเป็นครูทั้งหลายว่า ก่อนจะไปแนะนำพร่ำสอนใครนั้นต้องดูให้ดีว่าเขายินยอมที่จะให้เราสอนหรือไม่
   ไม่ใช่เดินไปตามถนนหนทาง พบใครนึกอยากจะสอนก็สอน ถ้าเขาไม่ฟังย้อนศอกกลับเข้ามา ตัวเองก็จะมีแต่เสียกับเสีย
  ฉะนั้นก่อนที่จะให้คำแนะหรือสั่งสอนแก่ใครเป็นการเฉพาะเจาะจง ควรที่จะให้เขายินยอมเสียก่อน
    เรื่องทำนองนี้มีตัวอย่างให้เห็นหลายอย่าง
     อาทิเช่น  หมอ  จะรักษา หรือเยียวยาแก่ใครก็จำต้องให้คนไข้หรือญาติคนไข้ยินยอมเสียก่อน
    ศาล  จะตัดสินเรื่องใด  ก็จำต้องมีโจทก์ และจำเลยเสียก่อน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องยินยอมรับฟังคำตัดสินของศาล
     แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงเทศน์สั่งสอนผู้ใด ก็จำเป็นต้องพิจารณาดูว่าเขาเป็นผู้ที่ควรรับฟังคำสอนหรือไม่

-อย่าไว้ใจทาง  อย่าวางใจในตัวบุคคลมากเกินไป  เรื่องที่เราคิดว่าถูกและคนอื่นๆจะต้องเห็นเช่นนั้นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป
  ตัวอย่าง  แม้แต่ขงจื้อ ยังยอมผิดหลักการ เพียงเพราะเห็นแก่ชีวิตคนๆหนึ่ง   การยึดถือในตัวบุคคลมากเกินไป  เมื่อเขาไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง
  ก็จะทำให้เสียใจได้  ดังเช่น เอี๋ยนหุย  ที่หวังว่าอาจารย์จะต้องตัดสินตามความเป็นจริง แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง(ซึ่ง ขงจื้อ เขาก็มีเหตุผลของเขา)
  การไปหวังว่าคนๆนี้เป็นคนดี เขาจะต้องทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเสมอไป  เมื่อภายหลังพบว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างคิดก็จะทำให้ผิดหวังไปเปล่าๆ

-คนที่รู้ตัวว่าเหนือกว่านั้นไม่จำเป็นต้องพยายามเพื่อเอาชนะ  มีแต่คนที่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าเท่านั้นถึงอยากจะเอาชนะ



ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : panthong.kh, Thammada, ไพร พนาวัลย์, อริญชย์, บูรพาท่าพระจันทร์, ยามพระอาทิตย์อัสดง, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, yaguza

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
03 มีนาคม 2012, 06:06:PM
ไพร พนาวัลย์
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 2083
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,422


นักร้อง


paobunjin
« ตอบ #13 เมื่อ: 03 มีนาคม 2012, 06:06:PM »
ชุมชนชุมชน


เป็นคำวิพากย์ วิจารณ์ที่สมเหตุ สมผลดีเหลือเกืน
ขอบใจ "ดอกกระเจียว"ชื่อแรกที่รู้จักกัน
ต่อมาก็เป็น "อี่นายหลายร้อยชื่อ" จนจำ หรือเดาไม่หวัด ไม่ไหว? ยิ้มแฉ่งฟันหลอ
แต่ก็ติดตามอ่านผลงานเสมอมา
 ส่งจูบจ้ะ

นี่แหละคือเพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อของบ้านกลอนไทย ล่ะ
 เคารพรัก

"ไพร พนาวัลย์" 


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ช่วงนี้ไม่ว่าง, บูรพาท่าพระจันทร์, อริญชย์, ยามพระอาทิตย์อัสดง, Thammada, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์, amika29

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s