ตลุยยุทธภพ
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
19 เมษายน 2024, 08:23:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: 1 [2]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตลุยยุทธภพ  (อ่าน 36202 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
10 กุมภาพันธ์ 2011, 08:35:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #20 เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2011, 08:35:PM »
ชุมชนชุมชน




ชายทั้งสองมองเงาลางๆของหุบเขาที่แสนไกลอย่างท้อแท้ใจ พลางคำนวนระยะทางที่จะต้องดั้นด้น
    “ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือท่านเปียว” หลูอันถามเขา
     “พวกท่านต้องลงไปที่ท่าเรือ “เขาบอก” แล้วลงเรืออ้อมวนไปตามสายน้ำที่ไหล้ออมหุบเขาเหลียงฟานแต่ข้าคิดว่าคงไม่มีเรือลำใดพาพวกท่านไปแน่”
     “ทำไมหรือ”
     “เพราะระยะทางนั้นไกลมาก..อีกอย่างน้ำบางระยะนั้นเชี่ยวกรากเป็นวังน้ำวนเพราะมีทางน้ำไหลรอดภูเขา การที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยนับว่าเป็นไปได้ยาก..สู้เดินเท้าไปจะดีกว่า”
หลูอันได้ฟังก็เป่าลมออกปากฟู่ๆ
     “ทำไมมันจะยากเย็นแสนเข็ญจริงหนอ เพียงบุปผาอันไกลโพ้น”
     “พวกท่านไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้าของสถานที่แห่งนั้นก็เคยเป็นชาวยุทธเยี่ยงพวกท่าน” เปาเปียวถามคนทั้งสอง
     “ข้ารู้” อ๋องอุ้นตอบ “เมื่อสี่สิบปีที่แล้วไม่มีใครไม่รู้จักจอมกระบี่เดียวดายแห่งเหลียงฟาน จางหลงอี้”
     “ใช่” เปาเปียวเล่าต่อ “ท่านจอมยุทธจางสร้างที่นั่นเพื่อหลบหนีความวุ่นวายของยุทธภพ และเลือกสร้างในที่ที่แสนไกลและกันดารก็เพื่อมิให้ใครย่ำกรายโดยง่าย ใครที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นได้จะต้องมีใจที่เด็ดเดี่ยวจริงๆ และที่สำคัญคนที่เดินทางไปที่นั่นจะต้องรักและศรัทธาในตัวท่านโดยแท้จริงเท่านั้น..เหมือนดั่งท่านทั้งสอง”
อ๋องอุ้นมองจุดหมายอันแสนไกลด้วยท่าทีมุ่งมั่น ขณะที่เพื่อนของเขาเปลือกตาเริ่มหย่อนงัวเงียคอพับอยู่กับโต๊ะ
     “ข้าว่าเราพักที่นี่สักคืนเถอะเจ้าอุ้น” เขาพูดพลางหาวโหวกเหวก
     “ถ้าพวกท่านออกเดินทางแต่เดี๋ยวนี้จะถึงที่นั่นราวพลบค่ำ” เปาเปียวบอกแก่คนทั้งสอง
อ๋องอุ้นเขย่าไหล่หลูอันให้คลายง่วงและกล่าวขอบคุณเปาเปียวที่บอกทางแก่เขาก่อนที่จะสาวเท้าออกจากที่แห่งนั้น
     “ ไปเจ้าหมูอ้วนเราออกเดินทางกันได้แล้ว”

..........................................................
ตะวันเลยเที่ยงหัวไปได้นิดหนึ่ง คนทั้งสองก็เดินทางมาถึงเนินเขาที่รายรอบไปด้วยป่าข้าวโพดอันเขียวขจีและกำลังติดฝัก หมู่บ้านหยางซันและท่าเรือมองเห็นอยู่ไกลลิบเหมือนภาพจิตรกรรม มีแม่น้ำหยางสีครามทอดยาวอยู่ข้างซ้ายภุผาสีเขียวและขาวอยู่ด้านขวาแลดูสวยงาม หลูอันอิดโรยลงเป็นอันมากเพราะความเหนื่อยล้าและสภาพเส้นทางอันขลุขละกันดาร กอรปกับท้องอันอิ่มแปล้นั้นชวนให้เขารู้สึกซึมกะทืออ่อนล้ากับการเดินทางต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ที่แต่ละระยะยิ่งเพิ่มความหนักอึ้งขึ้นแก่เขาเข้าทุกที ถึงแท่นศิลาอันเรียบงามแห่งหนึ่งเขาจึงปลดกระเป่าหวายอันหนักออกจากเบื้องหลังแล้วแผ่หราอวดพุงพลุ้ยอยู่บนแผ่นศิลานั้น
    “เราหยุดพักก่อนเถอะอ๋องอุ้น” เขาพูดพลางหอบแฮ่กๆ
    “ข้าง่วงอยากจะหลับสักงีบ...ถ้าเจ้ารีบก็ล่วงทางไปก่อนข้าเถิดเดี๋ยวข้าจะตามไป..ทิวทัศน์แถวนี้สวยจริงๆ..เจ้าว่าไม๊”
    “โธ่เจ้าอ้วนตุ้ย..” อ๋องอุ้นว่า “เจ้านี่ขี้เซาจริงๆเลย..ดูข้าสิยังฟิตปั๋งอยู่เลย”
    “ทำเป็นเก่งไปหน่อยเลย..คนที่เก่งน่ะไม่มีความสุขหรอกเจ้าเชื่อข้าไหม ดูข้าสิแย่ชะมัดเลย”
    “ใครบอกข้าเก่งเจ้างั่ง” เขาว่า “เพียงแต่ข้าฟิตปั๋งและก็ไม่ขี้เซาเหมือนเจ้าต่างหาก..ลุกๆๆ..ไปต่อได้แล้ว..เราข้ามเขามาได้ครึ่งลูกแล้วเหลืออีกลูกครึ่ง”

อ๋องอุ้นมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขณะที่หลูอันเดินต้อยๆอย่างจำทน คล้อยลงภูเขาลูกนั้นเป็นพื้นที่ลาดต่ำมีป่าทึบหนาทั่วสองฝั่งทาง มาไกลพอสมควรคนทั้งสองจึงพบลำคลองแห่งหนึ่งไหลผ่านระหว่างภูเขาสองลูก มีสะพานที่โค่นต้นไม้เป็นๆสามต้นเรียงกันและผูกพาดด้วยท่อนไม้เล็กๆ อ๋องอุ้นยืนคอยหลูอันอยู่ที่สะพานนั้น เขามองลงไปยังสายน้ำเบื้องล่างที่ไหลระเรื่อยเซาะแก่งหิน น้ำนั้นใสสะอาด มีปลาตัวเล็กๆแหวกว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เหมือนพวกเขาที่กำลังดั้นด้นไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
พ้นชายป่าเป็นไร่ฝ้ายขนาดใหญ่ ดอกฝ้ายกำลังแตกดอกรอการเก็บเกี่ยวออกปุยขาวๆไปทั่วทั้งไร่แลดูอร่าม ถึงสำนักชาวไร่ด้วยความเหนื่อยล้ากับการเดินทาง ทั้งสองจึงแวะถามทางใต้ร่มเรือนแห่งนั้น เจ้าของสถานที่เป็นหญิงชราผมหงอกขาวรูปร่างออกจะอ้วนๆอัฒยาสัยดี นามผู้เฒ่าจู่หมง นางหาน้ำให้ทั้งสองดื่มแก้กระหายและมันต้ม  หลูอันชอบมันต้มเคี้ยวตุ้ยๆหมือนหมูตะกละและไม่สนใจทั้งสองสนทนากัน นางผู้เฒ่าทราบเรื่องของคนทั้งสองถึงที่มาและที่ไปจากคำบอกเล่าของอ๋องอุ้น นางรู้สึกเอ็นดุคนทั้งสองประหนึ่งลูกหลาน

    “เมื่อสามสี่วันก่อนก็มีหนุ่มคนหนึ่งผ่านทางมาทางนี้ ”นางเล่า” เขาแวะมาที่บ้านช้านี่แหละ ท่าทางขี้โม้หน่อยๆ เขาบอกข้าว่าเขาชื่ออ้อเสี่ยวตุ้ย..”
    “อ้อเสี่ยวตุ้ย” อ๋องอุ้นทวนคำ “คนตัวท้วมๆหน่อยนึงใช่ไหม”
   “ใช่..หน้าเหมือนนกเค้าแมว..เจ้ารู้จักเขารึ”
    “ไม่รู้จัก” อ๋องอุ้นตอบ “ข้าเพียงแต่เห็นเขาที่โรงเตี้ยมเมืองตงไห่ ตอนนั้นเขากำลังเมาเหล้าหนักคุยโฉงเฉงอยู่กับเหล่าจอมยุทธขี้เหล้าด้วยกัน เขาบอกว่าเขาจะมาที่นี่แหละ แต่ข้าไม่สนใจคิดว่าเขาโม้เหมือนท่าน”
    “แต่ดูท่าทางเขาไม่เหมือนคนธรรมดาเลยนะ..ข้าว่า”
   “ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดาอย่างไรหรือท่านผุ้เฒ่า” อ๋องอุ้นสงสัย
   “เขาออกจะแปลก..ในท่าทีที่มุ่งมั่นกว่าคนปกติ..ไม่เหมือนชาวยุทธทั่วไป” นางให้เหตุผล “ข้ากับจอมยุทธจางก็คุ้นเคยกัน..หมวยใหญ่ลูกสาวคนโตของท่านก็แวะมาที่นี่บ่อยๆ..นางชอบค้าขาย..ผ้าฝ้ายที่ข้าทอนางจะเหมาซื้อขนใส่รถม้าไปขายเมืองหลวงทั้งหมด..ข้ามเขาลูกนี้ไปก็จะเป้นหมู่บ้านเล็กๆ”
นางชี้มือไปที่ภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
    “พวกเจ้าจะเห็นหมู่บ้านของชาวนา...ต่อไปอีกไมไกลก็จะถึงสำนักเพียงบุปผา” นางบอก
    “ถ้างั้นข้าเห็นทีจะลาท่านแม่เฒ่าแล้วล่ะ”  อ่องอุ้นยกมือแสดงคาราวะต่อนางจูหมงพลางมองดวงตะวันที่อ่อนคล้อยใกล้ลับขอบฟ้า หลูอันหลับอุตุอยู่มุมโรงนาโทรมๆอย่างเป็นสุข

   



แต่ละช่วงอาจจะช้าสักนิดต้องขออภัยเพราะทั้งเขียนและทั้งเกลาครับ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, Music, Thammada

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

13 กุมภาพันธ์ 2011, 06:21:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #21 เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2011, 06:21:PM »
ชุมชนชุมชน

มาอ่านนิยายต่อครับ..



หลูอันได้หลับงีบหนึ่งก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิม มีรอยยิ้มแต้มที่มุมปากของเขาพร้อมเรื่องเล่าขานของการกำเนิดโลก ต้นไม้ยืนอวดต้นอยู่รายทาง ต้องแดดยามคล้อยค่ำแลดูเศร้าสร้อย ให้อารมณ์ว้าเหว่และเงียบเหงา หลูอันมีเรื่องเล่ามิขาดปากเหมือนสรรพสิ่งที่รายรอบอยู่ รอการมาเยือนของเขาและเขาเป็นคนมอบคุณค่าอันงดงามให้พวกมัน อ่องอุ้นมองหลูอันประหนึ่งโรงงิ้วหลังตลาดที่บางครั้งก็ทำให้เขาเกิดอารมณ์ขัน แต่ไม่ถึงกับเศร้าโศกเสียใจคล้อยตามไปเสียทุกอย่าง เหมือนเหล่าคุณยายที่นั่งอยู่หน้าเวที จนต้องคอยซับน้ำตาตัวเองเวลาตัวแสดงแสดงบทโศกเศร้า

ชาวไร่เก็บดอกฝ้ายเห็นอยู่ไกลๆในไร่ ชายแก่ๆคนหนึ่งในกลุ่มนั้นคือท่านผู้เฒ่าเยี่ยกุ้ยสามีของนางจูหมง ชาวไร่แต่ละคนมีตะกร้าใบเขื่องคล้องไหล่อยู่ด้านหลัง พวกเขาเก็บดอกฝ้ายหย่อนลงในนั้นจนเต็มตะกร้าแล้วจึงนำไปเทใส่กระทอเกวียนที่เทียมด้วยวัวสองตัว จนเต็มกระทอเกวียนจึงลากเข้าโรงปั่นฝ้ายที่ๆเขาทั้งสองเพิ่งจากมา

เส้นทางที่เริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆทำให้หลูอันเลิกเล่าเรื่องสนุกสนานมาเป็นเรื่องยากลำบากของชีวิตที่เผชิญอยู่ บางครั้งเขาก็หุบปากลงได้ เมื่อความเงียบเข้าแทนที่อ่องอุ้นรู้สึกโหวงเหวงอย่างแปลกประหลาดจนต้องส่ายตามองมาที่เพื่อนของเขา และแน่ใจว่าเขาไม่ได้เผลอกลิ้งตกผา หากแต่ความเหนื่อยล้าจึงเงียบ

สองหนุ่มเดินตามถนนที่เลี้ยวเลาะไปตามสันเขาท่ามสายลมพัดไหวอ่อนโยนในยามเย็น หลูอันก็เผลอปากพูดออกมาท่างกลางบรรยากาศนั้น

“เจ้ากลัวโจรดักปล้นไหมอ๋องอุ้น” เขาถาม

“เจ้านี่ปากเสียจริง..กลางป่ากลางดงยังถามหาเสืออีก” อ่องอุ้นจ้องหน้าเขา

“งั้นข้าไม่พูดก็ได้” หลูอันตอบ

“แต่” หลูอันพูดอีกจนได้ “ถ้ามันมาหลายๆคนแล้วรุมเราสองคนล่ะ..เราจะทำยังไงอ๋องอุ้น”

“หุบปากเจ้าเถอะ..ดีที่สุด” อ่องอุ้นพูดเท่านั้นแล้วเงียบ

คล้อยลงจากสันเขาที่ที่สามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามของหุบเขาเหลียงฟานได้ถนัดตา แต่ในเวลาจวนค่ำเช่นนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะเริงรมณ์ของคนทั้งสอง พวกเขาเดินมาจนถึงพื้นราบมีต้นไม้ขึ้นรายทางทั้งสองฝั่ง กิ่งก้านของมันแผ่ปกคลุมเหนือพื้นทรายอันราบเรียบสองหนุ่มก้าวเท้าฉับๆอย่างเร่งรีบ..
ฉับพลันนั้นเอง เมื่อฝูงนกแตกตื่นและบินจากไปอย่างผิดปกติ ทำให้ทั้งสองหยุดกึกอยู่กับที่ส่งสายตาจับสังเกตุเยี่ยงสัตว์ระวังภัย หลูอันกำลังจะอ้าปากพล่ามอะไรบางอย่างออกมาแต่ถูกอ๋องอุ้นส่งสัญาญมือปรามเขาไว้

“ชู่วว..” เขาชี้มือนิ้วชี้ที่ริมฝีปากบอกให้เงียบ

นกที่กำลังจับคอนแตกตื่นและบินจากไปอีกครั้งฝูงใหญ่ หลูอันใจคอไม่สู้ดีสีหน้าปรากฏแววหวาดกลัว อ่องอุ้นอยู่ในภาวะเงียบนิ่งจับการเคลื่อนไหวที่อยูรายรอบ เขารู้สึกได้แม้กระทั่งใบไม้ที่ล่วงจากต้นใบหนึ่ง

ไม่มีสิ่งใด..นอกจากความหวาดระแวงของคนทั้งสอง 

พวกเขาสาวเท้าออกจากที่แห่งนั้นจนถึงลานโล่ง มีต้นต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆรายรอบอยู่ ทั้งสองต้องตกตลึงเบิ่งตากว้างต่อภาพเบื้องหน้า เมื่อมีร่างสองชายปลิวละลิ่วตีลังกาออกจากชายป่าด้วยวิชาตัวเบา และจรดฝ่าเท้าลงพื้นดินห่างออกไปจากพวกเขาไม่ไกลนัก อ้ายหนึ่งผอมสูงอ้ายหนึ่งตัวอ้วนอยู่ในชุดสีไข่มอซอรุ่งริ่ง ท่าทางอดโซ ในมือของพวกมันกุมดาบคมวาวข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งประคองเก้าอี้หวายตัวงาม มันปล่อยเก้าอี้ที่จับไว้คนละข้างของพวกมันลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล แล้วถอยไปข้างหลังคนละก้าว อ้ายตัวผอมสะแหยะยิ้มมาที่อ๋องอุ้นละหลูอัน ประหนึ่งราชสีห์พบเหยื่ออันโอชะ ปากมันตะโกนก้องในทันใด

“ ลูกพี่..” 

ชายหัวเลี่ยนเตียนลอยละลิ่วตามมาอีกจากชายป่าและกระแทกก้นของมันลงบนเก้าอี้หวาย ยกขาขึ้นไกว่ห้าง ดูดบุหรี่ควันโขมงส่งสายตาดุดันมาจับจ้องมาที่สองหนุ่ม

“พวกเจ้าต้องการอะไร” อ๋องอุ้นถามพร้อมกระชับกระบี่คู่ชีพ

พวกมันพร้อมใจกันหัวเราะ อ้ายตัวผอมสืบเท้ามาเบื้องหน้า พร้อมประกาศกร้าว

“ปล้น”

พวกมันส่งเสียงหัวเราะข่มขวัญคนทั้งสองอีกครั้ง

 “สมบัติในตัวของพวกเจ้าทุกอย่าง จะต้องตกเป็นของพวกข้าโดยไร้ข้อแม้ใดทั้งสิ้น...ฮ่าๆๆ แม้แต่ชีวิตของพวกเจ้า ถ้ากลัวตายก็ไสหัวไป ทิ้งสมบัติของพวกเจ้าไว้ แม้แต่ผ้าชิ้นเดียวก็จงอย่านำติดตัวไป”

พวกมันสามหนังพร้อมใจกันหัวเราะอีกครั้ง
อ่องอุ้นสีบเท้าอย่างระมัดระวัง ถอยหลังมาที่หลูอัน เขาสั่งให้หลูอันหลบไปหลังต้นไม้ หลุอันรีบวิ่งไปที่นั่น

“นับว่าพวกเจ้าเป็นโจรที่กระจอกมาก..ถ้าพวกเจ้ามั่นใจก็เข้ามาเอาเลย”

ใบหน้าอ้ายตัวผอมกับอ้ายตัวอ้วนเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นฉุนเฉียวและเดือดดานพวกมันกระชับกระบี่แน่นและพุ่งตัวมาที่อ่องอุ้น

“งั้นก็เตรียมตัวเป็นผีเฝ้าป่าได้แล้ว..ย๊ากกกก”

อ๋องอุ้นสับเท้าจับจังหวะการโจมตีอย่างว่องไว ถอยพอได้ระยะจึงชักกระบี่ออกจากฝักและถีบตัวลอยขึ้นกลางอากาศตวัดกระบี่ดักการโจมตีอย่างเร็วไว ร่างของเขาหมุนเกลียวอยู่กลางอากาศสามรอบ ปลายกระบี่ของเขาปะทะการโจมตีของโจรอ้วนผองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขาจรดฝ่าเท้าลงบนพื้นดินอีกครั้ง ส่งสายตาอันดุดันมาที่โจรอ้วนผอม จับจ้องอย่างแน่วนิ่ง

โจรอ้วนผอมนั้นรุกเข้าโจมตีอย่างประมาทในชั้นแรก จังหวะที่อ๋องอุ้นกระโดดถอยรับ ได้เตะเอาทรายจำนวนมากพุ่งมาที่พวกเขาทั้งสอง และทรายเหล่านั้นก็กระเด็นเข้าเต็มเบ้าตาของพวกมัน ทำให้จังหวะการถอยรับของโจรอ้วนผอมดูไร้กระบวน พวกมันกวัดแกว่งกระบี่อยู่ชั่วครู่ จนแน่ใจว่าไร้การรุกตีจากอีกฝ่าย จึงป้ายมือสีตาอย่างเคืองแค้น

“มันเล่นทราย..เต็มเบ้าตากูเลย” อ้ายคนหนึ่งว่า
 

ทหารจอมเก๊ก ทหารจอมเก๊ก ขำแบบกระแดะหน่อยๆ



ปล: มีอะไรขาดตกบกพร่องก็เชฺยชี้แนะได้นะครับ..แบบว่าหัดเขียน..เพื่อที่จะเล่าเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด..คือจุดมุ่งหมาย

ดอกกระเจียว





 











       

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, Music, Thammada

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

15 กุมภาพันธ์ 2011, 06:45:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #22 เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2011, 06:45:PM »
ชุมชนชุมชน


อ่านนิยายต่อครับ ทหารจอมเก๊ก


หลูอันจับตาดูการตอสู้อันดุเดือดบนลานกว้างอย่างระทึกใจ เขาอยู่หลบอยู่หลังต้นไม้เลยกรอบนาฬิกาจากทิศตะวันตกมาตรงที่เขาอยู่ในจุดหกโมงสิบนาทีพอดี โจรหัวเลี่ยนเตียนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หวายไกลออกไปตรงสิบสองนาฬิกา การประจันหน้าของคนทั้งสามอยู่ในกรอบนาฬิกา อ๋องอุ้นอยู่ปลายเข็มชั่วโมงตรงแปดนาฬิกา โจรตัวผอมอยู่ตรงสามนาฬิกา และโจรตัวอ้วนอยู่ปลายเข็มนาทีที่หนึ่งนาฬิกา ทั้งสามค่อยๆเยื้องย่างตามเข็มนาฬิกาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ทุกย่างก้าวของอ๋องอุ้นเขาพยายามสอดเท้าลงใต้ทรายในทุกย่างก้าว โจรอ้วนผอมจ้องจับสังเกตอย่างระแวงมิกล้าเข้าโจมตีอย่างผลีผลาม...แม้แต่นกในรังเพิ่งฟักยังระทึกต่อการต่อสู้นั้น

การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งโจรตัวผอมกระโดดพุ่งปลายดาบแทงเข้าที่ตัวอ๋องอุ้นหมายปลิดชีพเขา อ๋องอุ้นใช้ปลายกระบี่ตวัดปัดปลายดาบเจ้าตัวผอมไปพ้นตัวพร้อมเอียงตัวหลบการโจมตีจากเจ้าตัวอ้วนจากด้านหลัง ฉับพลันเขาเห็นโอกาสที่โจรตัวอ้วนเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าจึงหมายโจมตี โดยตวัดกระบี่ไปที่คอหอยถึงสองครั้งแต่ถูกโจรตัวอ้วนใช้ดาบของมันปัดป้องอย่างว่องไว อีกฝ่ายหนึ่งโจรตัวผอมยังคงรุกไล่เขาตลอดเวลา อ๋องอุ้นตั้งรับอย่างเหนียวแน่น เคลื่อนไหวตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีโดยง่าย สบโอกาสงามๆก็ตอบโต้ทันควัน การถูกรุกทั้งสองด้านโดยโจรอ้วนผอมทำให้อ๋องอุ้นต้องสร้างจังหวะหลบหลีกอยู่ตลอดเวลา ขณะที่โจรอ้วนผอมรุกตามไล่เขาอย่างดุดันไม่ลดละ แต่ก็มิได้สัมผัสผิวกายตัวเขาแม้แต่นิด แต่เป็นอ๋องอุ้นต่างหากที่สามารถเฉือนปลายผมไอ้ตัวผอมได้ในจังหวะหนึ่ง สองโจรหยุดการโจมตีชั่วครู่ อ๋องอุ้นส่งยิ้มมาที่ไอ้ตัวผอมแว๊บหนึ่งแล้วบอกแก่มันว่า

“ต่อไปจะเป็นคอหอยของเจ้า”

“งั้นดีล่ะ...” อ้ายตัวผอมพูดอย่างเดือดดาล “ข้าจะตัดจมูกโด่งๆของเจ้าเสียไอ้หน้าอ่อน”

ขณะที่อ๋องอุ้นเผลอตัวอยู่นั้นอ้ายตัวอ้วนกระโดดเข้าโจมตีเขาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่มิทันความรวดเร็วของอ๋องอุ้น เขากระโดดลอยตัวตวัดปลายกระบี่ตอบโต้การรุกของอ้ายตัวอ้วนอย่างรวดเร็วและสะบัดอีกหนหนึ่งสกัดการรุกของอ้ายตัวผอม ก่อนแทงกระบี่ลงพื้นเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับพื้น จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างรวดเร็ดสะบัดเม็ดทรายโดยปลากระบี่ใส่มันทั้งสอง ในจังหวะถอยรับของพวกมันนั้นเอง เขาได้กระโดดลอยตัวรุกเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วติดต่อกันถึงยี่สิบกระบี่ด้วยความรุนแรงและหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง ด้วยเห็นว่าอ้ายสองโจรนั้นแรงล้าลงยิ่งนัก การโจมตีอันรุนแรงนี้ทำให้สองโจรตั้งตัวแทบไม่ติด การต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง โดยการโจมตีมิหยุดหย่อนของอ๋องอุ้น พละกำลังของเขาเยี่ยงม้าพยศ เสียงกระบี่ปะทะกันดังสะท้านสะเทือนไปทั้งหุบเขาเหลียงฟาน ในที่สุดอ๋องอุ้นก็มีชัยเหนือสองโจรอย่างราบคาบ

ผลจากการต่อสู้ อ้ายตัวผอมหูหายไปข้างหนึ่งกับรอยกระบี่กลางหลังยาวกว่าสองคืบ อีกอ้ายหนึ่งโดนปลายกระบี่ของอ๋องอุ้นเข้าที่แขนทำให้เส้นเอ็นขาดในทันที ไร้ความสามารถที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป พวกมันร้องโอดโอยอยู่เบื้องหน้าเข้านี้เอง

ฉับพลันนั้นเอง อ้ายหัวหน้าหัวเลี่ยนเตียนที่นั่งดูการต่อสู้อย่างสำราญใจ ได้กระโดดลอยตัวจรดฝ่าเท้าประจันหน้ากับอ๋องอุ้น ยืนอยู่เหนือคนทั้งสอง

“ช่วยด้วยลูกพี่...”  อ้ายตัวผอมพยายามไขว่คว้ามาที่ลุกพี่ของมัน แต่ก้ถูกฝ่าเท้านั้นกระแทกเข้าหนหนึ่ง

“เลี้ยงเสียข้าวสุก”
อ้ายหัวเลี่ยนโล่งมองลูกน้องของมันอย่างนึกสมเพช สายตาที่ไม่เคยอยู่นิ่งของมันมองปราดมาที่อ๋องอุ้น หน้าของมันเอียงซ้ายทีขาวทีอยู่ตลอดเวลา มันมองไปที่ลูกน้องของมันอีกครั้ง และกล่าวเชยชมแก่อ๋องอุ้นอย่างจริงใจ

“ฝีมือเจ้านับว่าไม่ธรรมดานะไอ้หนุ่มน้อย..” เขาบอก “ปกติข้ากับลูกน้องก็ออกตระเวนปล้นแต่พอมีพอกินเท่านั้น ไม่เคยทำร้ายใครปางตายเช่นนี้ อย่างมากก้แค่เบาะๆ”


มันมองไปที่ลูกน้องของมันอย่างเศร้าโศกเสียใจและกล่าวทั้งสะอื้นไห้

“แต่ครั้งนี้เจ้าทำร้ายลูกน้องข้าต่อหน้าต่อตา มิเกรงอกเกรงใจข้าเลยและวันนี้ข้าจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน....”

มันหยุดป้ายน้ำตานิดหนึ่งก่อนเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความคับแค้นมาที่อ๋องอุ้น เขากระชับกระบี่ระมัดมั่น จ้องมองฝ่าความหวาดกลัวไปที่มัน

“ข้าจะควักลูกตาเจ้า..และทำให้เจ้าทุกข์ทรมานกว่านี้เป้นสิบเท่า” มันตะโกนร้องอย่างเดือดดาล

"ย๊ากกกกก...."









 








ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, Music, Thammada

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

18 มีนาคม 2011, 08:25:AM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #23 เมื่อ: 18 มีนาคม 2011, 08:25:AM »
ชุมชนชุมชน

ต่ออีกช่วงครับ...



โจรหัวเลี่ยนพุ่งตัวเข้าหาอ๋องอุ้นด้วยมือเปล่าๆ หากแต่รุนแรงอย่างเสือตะปบเหยื่อ อ๋องอ้นหมุนตัวหลบและตวัดกระบี่ตอบโต้การบุก แต่ปลายกระบี่ของเขาไม่อาจทำอะไรมันได้ ด้วยจังหวะหลบหลีกอันรวดเร็ว อ๋องอุ้นรู้ตัวดีว่า วิทยายุทธโจรหัวเกลี้ยงเกลานั้นเหนือกว่าเขายิ่งนัก การเคลื่อนตัวของมันดุจกังหันต้องลมเมื่อยามถูกโจมตี ลมยิ่งแรงกงหันนั้นยิ่งหมุนคว้าง ซ้ำการโจมตียังรวดเร็วต่อเนื่องและรุนแรง เขาตั้งรับอย่างเต็มความสามารถแต่ก็มิอาจต้านทานวรยุทธอันเก่งกาจของมันได้ จนในที่สุดมันก็สามารถปลดอาวุธออกจากมือเขาได้และฟาดฝ่ามือเข้าที่หัวไหล่อ๋องอุ้นอย่างจัง ร่างของอ๋องอุ้นกระเด็นตามแรงฟาดลอยละลิ่วตกลงกระแทกผืนทรายอย่างหมดท่า เขารู้สึกเจ็บปวดและหนักอึ้งที่หัวไหล่ สายตาจ้องจับการเคลื่อนไหวของของคู่ต่อสู้ ซึ่งตอนนี้มันคือเพชฌฆาตผู้กำลังเยื้องย่างเข้ามา

“ฮ่าๆๆๆๆ ฝีมือแค่นี้เองเรอะ..ถุย” มันกล่าวเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์ “มีอะไรจะสั่งเสียโลกอันสวยงามนี้ไหม..ว่าที่ไอ้บอด..หา “

“มันถึงทีเจ้าแล้วนี่..จะทำอย่างไรข้าก็สุดแต่เจ้า จงอย่าปรานี..เชิญเลย”

โจรหัวโล้นซ่ายกชูสองนิ้วที่แข็งดังเหล็ก เยื้องย่างเข้าหาอ๋องอุ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมรอยยิ้ม เย้ยหยัน ดุร้าย และเหี้ยมเกรียม

บัดหนึ่งนั้น รอบบริเวณชายป่าบังเกิดลมพัดวูบหนึ่ง อ๋องอุ้นรูสึกฉ่ำเย็น หากแต่โจรร้ายกลับแว่วได้ยินคลื่นเสียงบางอย่างก้องในโสตประสาท ประดุจว่าเสียงนั้นคือเสียงแห่งเทพเจ้าผู้ทรงธรรม

“อ้ายโจรชั่วพวกเจ้าอาจหาญมากที่บังอาจมาก่อการที่นี่อีก จงรีบไสหัวไปเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปรานีพวกถ่อยอย่างพวกเจ้าเหมือนครั้งก่อน”

โจรหัวเลี่ยนเตียนหยุดการเคลื่อนไหวถอยตัวออกจากอ๋องอุ้น พรางส่ายตาหาที่มาของเสียง ซึ่งอาจจะอยู่สูงขึ้นไปบนยอดไม้ หรือรายรอบอยู่

“ใครวะ..ใคร” มันร้องถามส่งเดช “ใคร..จงออกมาสู้กับข้า “

เกิดลมพัดขึ้นอีกวูบหนึ่ง โจรหัวโล้นพยายามแน่วนิ่งโสตประสาทจับคลื่นเสียงบางอย่าง พลันได้ยินเสียงวัตถุพุ่งแหวกอากาศ ดังหวีดหวิวจากการซัดของคนที่มีกำลังภายในสูงส่ง มันกำลังคำณวนถึงที่มาและหาทางหลบหลีก..แต่ช้ากว่าความเร็วของวัตถุนั้น

“ ฟิ้ววว...ตึก..โอ้ย“ ก้อนหินขนาดไข่ห่านลอยละลิ่วเข้ายอดอกจอมโจรหัวเลี่ยน ทำให้มันกระเด็นไปไกลถึงสองวา ก่อนทิ้งร่างล่วงลงแทกพื้นอย่างหมดท่า

“จะไปหรือไม่ไป..อยากตายใช่ไหม” เสียงเทพเจ้าอันเยือกเย็นนั้นดังก้องขึ้นอีก

โจรหัวเลี่ยนตะกายร่างอันบอบช้ำลุกขึ้นเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงการโจมตีรอบสอง มันหันไปสั่งสองสมุน ที่อยู่ในสภาพบอบช้ำไม่ต่างกันอย่างร้อนรน

“พวกเราถอย..” มันสั่งลูกน้องของมันพลางกระโจนวิ่งหางจุกตูด โดยมีสองสมุนร่างบอบช้ำวิ่งโซซัดโซเซติดตามไปเบื้องหลัง

หลูอันเข้าประคองร่างอ๋องอุ้นพยุงให้เขาลุกขึ้น ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่า โจรชั่วนั้นถูกใครหรือสิ่งใดทำให้พวกนั้นเผ่นไปได้ อ๋องอุ้นเข้าใจว่าเป็นฝีมือของหลูอัน จึงกล่าวชมแก่เขา
“เจ้าเก่งมากหลูอันที่ช่วยข้า เจ้าปาได้แรงมาก..เจ้าเก่งกว่าข้าเสียอีก”

“ข้าเปล่า..” หลูอันตอบเขา “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย..ข้าแค่ยืนดูเฉยๆ แล้วพวกนั้นก็วิ่งหนีไปเอง”

“เอ้า..เจ้าไม่ได้ซัดก้อนหินใส่มันหรอกเหรอ” อ๋องอุ้นถามอย่างสงสัย

“ ซัดเซิ๊ดอะไรกัน..ข้าบอกแล้วไงข้าแค่ยืนดู”

อ๋องอุ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของหลูอัน และรู้ดีว่าเขามิได้โกหก มันยิ่งทำให้เขาสงสัยเป็นที่สุด ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังการโจมทีนั้น เขามองป่าที่แวดล้อมอยู่อย่างสงสัย และคิดเอาว่าอาจมียอดฝีมือหลบอยู่ในนั้น เขาอยากรู้จักคนที่ช่วยชีวิตเขา


                       จบตอน............

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, Music, Thammada

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

16 เมษายน 2011, 09:26:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #24 เมื่อ: 16 เมษายน 2011, 09:26:PM »
ชุมชนชุมชน







ทำไมผมต้องขี้เกียจเขียนหนังสือด้วยนะ
ฉงฉัย..เพราะไม่ได้ตังค์

แฮ่.. เอ้อ..จริงว่ะ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, เพรางาย, Thammada

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

16 เมษายน 2011, 09:54:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #25 เมื่อ: 16 เมษายน 2011, 09:54:PM »
ชุมชนชุมชน


ช่วงนี้ข้าน้อยอ่านเงาอสูรอยู่เน้อ..เดี๋ยวไว้ว่างๆจะมาอ่านละกัน 5555+ เธอนั่นแหละจ้ะ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, Music, Thammada, (พระอภัย)

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

02 สิงหาคม 2011, 11:07:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #26 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2011, 11:07:PM »
ชุมชนชุมชน



                       ตลุยยุทธภพ ตอนที่ 4 ร่ำสุราเริงกวี
   

     บรรยากาศภายในโรงเตี้ยมตอนตะวันสายโด่ง อากาศเย็นสบายดี เก้าอี้ทุกตัวถูกเก็บให้เข้าที่วางเทินไว้บนโต๊ะ พื้นเบื้องล่างปัดกวาดจนสะอาดสะอ้านโดยจางฟงยี่ เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือกวี ปล่อยอารมย์ไปกับจินตนาการในหนังสือนั้น

เมื่อสามวันก่อนที่โรงเตี้ยมของเธอได้มีแขกมาใหม่สองคนในตอนพลบค่ำ คนหนึ่งนั้นหล่อเหลาชื่ออ๋องอุ้น เขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายที่หัวไหล่ จากการวิเคราะห์ของอ้อเสี่ยวตุ้ยกับคำบอกเล่าของคนที่ทำร้าย ทุกคนลงความเห้นตรงกันว่า เป็นฝีมือของศิษย์จอมมารชั่ว จางฟงยี่ก็เชื่อเช่นนั้น เพราะเธอเองก็เคยพานพบชายโฉดทั้งสาม ชายอีกคนหนึ่งชื่อหลูอันรูปร่างอ้วนเตี้ยและช่างเจรจา เขาบอกกับจางฟงยี่ว่าเขาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการในหอสมุดในเมือง เขามีหน้าที่อ่านและตรวจสอบจดหมายร้องเรียนของราษฎรที่ส่งมาที่สำนักตรวจการ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่หนักเอาการ เพราะเดือนหนึ่งๆมีจดหมายร้องเรียนเข้ามามากมาย นอกจากเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการเขายังบอกอีกว่า เขามีหน้าที่ดูแลห้องสมุดที่มีหนังสือ ของนักปราชญ์ ราชครูมากมายทั่วทั้งแผ่นดิน เขาพกมาด้วยหลายเล่ม และให้เธอยืมเล่มหนึ่ง คือเล่มที่อยู่ในมือเธอตอนนี้ โดยผู้เขียนใช้นามแฝงว่า”เจ้าแมวเหมียว”
                                   
                                    ‘ยามเมื่อลมพัดผ่าน
                                    นำพากลิ่นหอมหวนแห่งมวลดอกไม้
                                    หอมหวนดุจความรัก
                                    ข้าหรือต้องการสิ่งใด’
 
จางฟงยี่ครุ่นคิดถึงชีวิตก่อนจะยิ้มให้กับตัวเอง เธอไม่ใช่เด็กน้อยแต่เธอเป็นสาวแล้ว เธอคิดไปไกลจนกระทั่งว่า วันหนึ่งเธอจะมีคนรักแต่คนรักเธอจะเป็นใครกัน...เธอคิดว่าคนเขียนหนังสือเล่มนี้มีเจตนาให้คนอ่านที่เป็นสาวอ่านแล้วหน้าแดงแน่ๆ เพราะสำนวนนั้นยั่วยวนดีเสียจริง...แต่เธอก็ชอบที่จะอ่าน

อ้อเสี่ยวตุ้ยมีความสุขท่ามกลางแสงแดดยามใกล้เที่ยง ในมือถือกระต่ายสีน้ำตาลตัวหนึ่ง เขาผิวปากเป็นเสียงเพลงทำนองรื่นรมณ์ ทางที่เขาเดินมาดูคดเคี้ยวเหมือนเส้นเชือกในพรมเขียว เมื่อราวเหนื่อยอ่อนกับการเดิน เขาหยุดป้ายเหงื่อที่ซมไหลบนหน้าผาก มองโรงเตี้ยมตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาไกลออกไปเบื้องหน้า

“อากาศดีจริงๆเลย เจ้าว่าไหมเจ้ากระต่ายน้อย” เขาชูกระต่ายที่ถืออยู่ขึ้นมาพูดด้วยแต่กระต่ายตัวนั้นตัวอ่อนปวกเปียกไม่มีกิริยาใดๆตอบรับ

“สงสัยจะซี้แหงแก๋เลี้ยว” เขาจิ้มมือที่หน้ากระต่ายแล้วเดินต่อไป

เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปในโรงเตี้ยม อ้อเสี่ยวตุ้ยก็พบจางฟงยี่กำลังนั่งอ่าหนังสืออยู่ เขาวางกระต่ายตัวนั้นลงต่อหน้านาง จางฟงยี่พับหนังสือเก็บและหันมามองมันอย่างสนใจ

“แม่นางยี่ช่วยประฐมพยาบาลมันหน่อย”เขาบอก”ตอนที่ข้าพยายามปลดมันออกจากแร้ว ข้าคิดว่ามันจะทำร้ายข้า ข้าตกใจเลยเขวี้ยงมันอัดกับต้นไม้ มันเลยสลบไป” เขาบอก

จางฟงยี่มองกระต่ายที่น่าสงสารและตรวจพิเคราะห์อย่างละเอียด เมื่อแน่ใจจึงหนหน้ามาพูดกับอ้อเสี่ยวตุ้ย

“มันตายแล้วค่ะท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย ตายสนิท” จางฟงยี่พลิกร่างไร้วิญญาญนั้นกลับไปกลับมา

“สงสัยข้าจะมือหนักไป” อ้อเสี่ยวตุ้ยนึกสมเพชกระต่ายตัวนั้น “อโหสิให้ข้าด้วยเถอเจ้ากระต่ายน้อย”

“ข้านึกออกแล้ว”

“อะไรแม่นางยี่”

“ท่านเคยกินผัดเผ็ดกระต่ายไหม”

“ข้าไม่เคย” อ้อเสี่ยวตุ้ยตอบ

“ย่าง”

“ไม่เคย”อ้อเสี่ยวตุ้ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง”อ๋อเคยๆๆ ตอนข้าแรมทางอยู่กลางป่า ข้าเคยย่างกินครั้งหนึ่งรู้สึกว่ามันก็...เอ่อรสชาติไม่เลว”

“เดี๋ยวข้าจะเอากระต่ายไปให้อาโก๋จัดการ” จางฟงยี่บอกเขา

“ข้าก็ชักหิวๆเหมือนกัน” อ้อเสี่ยวตุ้ยตอบ

“โปรดรอสักครู่”

“งั้นข้าขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าซักหน่อย เหนียวตัวไปหมดแล้ว”

“ตามสบายค่ะท่ายตุ้ย”

เมื่อจางฟงยี่หิ้วกระต่ายสีน้ำตาลหายตัวเข้าไปในครัว อ้อเสี่ยวตุ้ยจึงขึ้นไปบนห้องพัก ความเหนียวเหนอะหนะตัวทำให้เขารู้สึกอึดอัด...

ห้องพักของโรงเตี้ยมชั้นบนมีทั้งหมดแปดห้อง มีทางเดินตรงกลาง แบ่งเป็นสองช่วงมีห้องโถงตรงกลางกั้นอยุ่ ด้านทิศเหนือมีระเบียงยื่นออกไปว่างโล่งมีกรงไม้ล้อมรอบด้าน ด้านนอกมีเพิงยื่นออกไปมีกรงนกพิราบอยู่ตรงนั้น หลูอันนอนอวดพุงพลุ้ยอยู่บนม้านั่งที่ทำด้วยหวายอ่านหนังสืออย่างอารมย์ดี นกพิราบกำลังกินเหยื่อที่เขาโรยไว้ในรางให้อาหาร

“ท่านชอบนกพิราบราบหรือ” อ้อเสี่ยวตุ้ยถามเขา

หลูอันไม่ได้ตอบ แต่พับหนังสือวางบนเก้าอี้หาวโหวกเหวกขึ้นทีหนึ่ง

“ไปไหนมาล่ะท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย”

“ไปเดินเล่นข้างนอกมา”เขาตอบ

“สนุกมะ”หลูอันเหยียดกายลุกขึ้นบิดขี้เกียจ

“ข้าไปเจอกระต่ายติดแร้วตัวหนึ่งแน่”

“แล้วไงล่ะ”

“แม่นางยี่กำลัดจัดการผัดเผ็ดอยู่ในครัว”

“กลิ่นหอมดี” หลูอันลูบพุง “น่าจะอร่อยนะ”

“แล้วเพื่อนของท่านเป็นไงมั่ง”

“อยู่ในห้อง”หลูออันตอบ”อีกวันสองวันก็คงบู้ได้อีก”

“ข้าอยากให้เพื่อนท่านหายไวไวจังข้าจะได้มีเพื่อนกินเหล้า” อ้อเสี่ยวัยบอกเขา

หลูอันครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงถามว่า

“ท่านทำอะไรเป็นอีกบ้างนอกจากกินเหล้า”เขาตั้งข้อสังเกต “เมรัยเมื่อไร้นารี”

“ท่านไม่ชอบหรือ”

“ชอบ”หลูอันตอบโดยไม่มองหน้าเขา

“อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ลุ่มหลงหรอกนะ แต่บางครั้งมันก็ทำให้ข้าคิดถึงแต่เรื่องที่ดีๆไม่วุ่นวายใจแค่นี้มันก็ทำให้ข้าเป็นสุขนักแล้ว” อ้อเสี่ยวตุ้ยรำพันแล้วเปรี้ยวปาก “มันคือเพื่อนเสมือนท่านและเพื่อนท่าน”

“ท่านไม่มีเพื่อนหรือ” หลูอันถาม

“ข้ากำลังบอกท่านอยู่นี่ไง เพื่อนข้าคอเมรัยรสเลอล้ำ” อ้อสี่ยวุตุ้ยพูดอย่างยิ้มแย้ม”เอาล่ะข้าเห็นจะขอตัวลาล่ะ”

“ตามสบายท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย”

 หลูอันเพิ่งจะรู้สึกว่าหิวเมื่ออ้อเสี่ยวตุ้ยพูดถึงผัดเผ็ดกระต่าย กลิ่นนั้นโชยมาจากครัวหอมฉุย จนท้องเขาร้อง “จอรจ จอร์จ จอร์จ” อ้อเสี่ยวตุ้ยเดินจากไปแล้ว หลูอันคิดว่าชายคนนี้มีลับลมคมในจากการเฝ้าสังเกตุของเขา เขาอาจไม่ใช่คนจรธรรมดาอย่างที่เขาบอก แต่เขาจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ เพราะในความรู้สึกตอนนี้อ้อเสี่ยวตุ้ยคือเพื่อนของเขาคนหนึ่ง หลูอันคิด




กะจะเขียนให้ยาวกว่าเพชรพระอุมาเลยนะนี่ ขำแบบกระแดะหน่อยๆ...พรุ่งนี้มีต่อ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, รพีกาญจน์, นพตุลาทิตย์, ไร้นวล^^, Thammada

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

03 สิงหาคม 2011, 09:26:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #27 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2011, 09:26:PM »
ชุมชนชุมชน

ต่อครับ.... ยิ้มหน้าใส



อาโก๋กำลังเร่งมือหมักเหล้า สูตรพิเศษอยู่ที่สมุนไพรต่างๆ เกสรดอกไม้หลายชนิด มันจะทำให้รสชาดของเหล้านั้นกลมกล่อมเมื่อหเมื่อหมักได้ที่ มันเป็นหน้าที่ของเขาโดยตรงที่ถูกถ่ายทอดมาแต่คนรุ่นก่อนๆทีละนิดละน้อยประกอบรวมกัน รวมทั้งงานอื่นๆภายในครัว จนเมื่อเขาเชี่ยวชาญชำนาญในทุกอย่างแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงได้ลาออกไปประกอบอาชีพตามความรู้ที่ได้รับจากที่นี่  ที่นี่จึงเสมือนเป็นโรงเรียนฝึกสอนวิชาชีพแห่งหนึ่งที่ผู้ผ่านเข้ามาและออกไปจะได้มีความรู้ติดตัวไปด้วย เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของท่านผู้เฒ่าจางหลงอี้ที่ไม่ยึดติดแต่การค้ากำไร ผิดจากที่อื่นๆที่เรื่องเล็กๆน้อยๆรวมทั้งเคล็ดลับต่างๆเหล่านี้จะถูกปิดเป็นความลับ แต่ทุกอย่างจะถูกขับเคลื่อนไปโดยกลไกของธรรมชาติ แม้แต่ตัวของเขาเองก็มิได้รู้ตัวว่าถูกเสี้ยมสอนในเรื่องเหล่านี้เลย แต่พอมารู้ตัวอีกทีเขากลับรู้สึกว่า ท่านผู้เฒ่าจางหลงอี้นี้ลึกล้ำในความคิดเสียจริง การให้ทรัพย์นั้นยังมีวันหมด แต่ การให้ความรู้ในการหาทรัพย์และการรักษาทรัพย์ที่หามาได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าและมีแต่เพิ่มพูลไม่สูญสิ้น

ทุกคนที่พ้นจากที่นี่แล้วจะรู้สึกว่าท่านผู้เฒ่าจางหลงอี้มีพระคุณอย่างล้นพ้นต่อตัวพวกเขากับวิชาการที่ได้เรียนรู้จากที่นี่ บางคนเปลี่ยนตัวเองเป็นเฒ่าแก่น้อยๆ จากวิชาชีพที่ถูกถ่ายทอด โกวตี่เองยังเคยคิดว่าเขาจะออกไปเปิดโรงเตี้ยมเล็กๆซักแห่งหนึ่งและมีความสุขกับกิจการเล็กๆนั้นสักวัน...แต่เขาจะจากที่นี่ไปไม่ได้จนกว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่แทนเขา

จางฟงยี่เข้ามาในครัวหลังจากเหล้าไหสุดท้ายถูกหมักแล้วเสร็จและถูกเก็บเข้าที่ในห้องเก็บเสบียง เธอเข้ามาพร้อมกระต่ายป่าตัวหนึ่ง

“ท่านทำอะไรอยู่หหรืออาโก๋” จางฟงยี่ถามพลางวางกระต่ายลง

“หมักเหล้า” เขาตอบ

“อืม!ตั้งแต่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยมาเหล้าในร้านเราคงพร่องไปเยอะเลยล่ะสิ” จางฟงยี่ถามอย่างนึกสงสัย

จางฟงยี่มองไปที่ห้องเสบียง เธอจะได้กลิ่นหอมๆของเหล้าเมื่อเข้าไปในนั้น แต่ตอนนี้มันถูกปิดสนิทอยู่ โกวตี่เห็นกระต่ายป่าทำให้เขานึกถึงแล้วที่เขาดักไว้

“เปล่าหรอก...!ต่อให้คอเหล้าอย่างท่านอ้อเสี่ยตุ้ยสักสิบคนก็คงกินเหล้าที่ข้าหมักไว้ไม่หมด ” โกวตี่ตอบ “ข้าแค่สำรองไว้เท่านั้น”

“ท่านจัดการนี่ให้ห้หน่อยสิ”

“มันติดแร้วหรือ”

“ใช่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยไปเจอมันติดแร้ว”เธอบอก”แต่ข้าคิดว่าข้าอยากให้มันเป็นๆอยู่มากว่า ข้าอยากเลี้ยงมันไว้ดูเล่น”

“มันเป็นกระต่ายป่าไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหรอก” โกวตี่บอก

“แล้วแบบไหนล่ะที่เหมาะจะเลี้ยง”

“เอาไว้ข้าจะหามาให้สักตัวก็แล้วกันถ้าท่านชอบ”

โกวตี่หันมาพิจารณากระต่ายตัวนั้นและถามจางฟงยี่

“เอายังไงดี”

“ด่วน” จางฟงยี่ตอบเขาก่อนเดินจากไป

“ด่วน” โกวตี่ทวนคำและครุ่นคิด

การเป็นพ่อครัวในความคิดของโกวตี่นั้น ไม่ต่างกับการเป็นนักดนตรี และเขาต้องเล่นดนตรีหลายชนิด มีความหนักเบาแตกต่างกันไป แต่ต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญในทุกด้าน การปรุงอาหารต้องใช้ความละเมียดละไม เปรียบได้เหมือนกับการตีขิมที่ต้องพินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่ยามบรรเลง ความไพเราะอันเกิดจากความชำนาญของผุ้เล่นเปรียบได้กับรสชาติของอาหารที่เขาปรุง

“ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเท่าผัดกระต่ายนี้มาก่อนเลย” หลูอันพูดกับอ้อเสี่ยวตุ้ยขณะที่เขาตาแดงด้วยฤทธิ์ของสุรา ทั้งสองรู้สึกสนิทกันขึ้นกว่าแต่ก่อนเมื่ออาหารมื้อนั้นจบลง

“ดื่มอีกจอกท่านหลูอัน”

“ดื่ม” อีกฝ่ายตอบ

เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาจับสังเกตุของจางฟงยี่ เธอครุ่นคิดถึงเรื่องร้ายๆที่อาจเกิดขึ้น หลายวันมานี้เธอรู้สึกไม่สบายใจ กอรปกับเรื่องร้ายๆที่เธอได้รับรู้ เธอสังเกตุและตั้งข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับลักษณะของคนทั้งสอง เธอไม่คิดเสมอไปว่าอ้อเสี่ยวตุ้ยและหลูอันนั้นจะเป็นคนดี ยิ่งนิสัยรักเสพสุราด้วยแล้ว คนเหล่านี้หาความไว้ใจได้ยากในความคิดเธอ แต่มันเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีในฐานะแขกผู้มาเยือน โดยตัวเธอเองก็มิได้ถือตัวแต่เพียงว่า เธอเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้เท่านั้น จางฟงยี่เปิด’เจ้าแมวหมียว’และอ่านหน้าต่อไปและพยายามไม่คิดถึงสิ่งใด


 ทหารจอมเก๊ก

 

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ไร้นวล^^, Thammada

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

17 ธันวาคม 2012, 08:25:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #28 เมื่อ: 17 ธันวาคม 2012, 08:25:PM »
ชุมชนชุมชน


อีกไม่นานผมจะกลับมาตลุยยุทธภพต่อ...โปรดติดตามอ่าน ที่นี่ เร็วๆนี้ ยิ้มหน้าใส

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Thammada

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

03 มกราคม 2013, 08:30:PM
(พระอภัย)
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 32
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 210

ฐิติุวุฒิ อินทรเเก้ว จ.ระยอง อ.บ้านฉาง


« ตอบ #29 เมื่อ: 03 มกราคม 2013, 08:30:PM »
ชุมชนชุมชน

สนุกดีครับจิตนการสูงนะครับมื่อก่อนผมก็ชอบเหมือนกันเเต่เป็นไสตส์ยอมยุทธหลงยุคประมาณนี้ได้สี่ห้าตอนนี้ละเเต่เพื่อนมันลงวินโดว์นิยายผมเลยหายไปด้วยเสียดายอิอิเเต่เห็นกระทู้นี้เเล้วมีไฟอยากเเต่งมั้งถ้าเป็นไปได้เดี่ยวจะมามั่วกระทู้นี้บ่อยๆนะ555
บันทึกการเข้า

พระอภัย
03 มกราคม 2013, 10:11:PM
พยัญเสมอ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 674
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,044


ไม่มีเหตุจำเป็นห้ามรบกวน


« ตอบ #30 เมื่อ: 03 มกราคม 2013, 10:11:PM »
ชุมชนชุมชน



ช่วงนี้ผมกำลังอ่านเพชรพระอุมา ของพนมเทียนอยู่ครับ
คาดว่า กว่าจะอ่านจบทั้งสองภาคอาจต้องใช้เวลาถึงสี่เดือน
นี่ขนาดข้ามไปภาคสองเลย อ่านมาเดือนกว่าแล้วยังไม่จบเลย 555


 หัวเราะเยาะ


บันทึกการเข้า

๐นามแฝงผู้เขียน Orion264(มือขวา),มือขวา,บูรพาทรนง-ตงฟางข้วงแขะ,สิงสู่,ต๊กโกม้อเกี่ยม-มารกระบี่เดียวดาย,
เทพเจ้าไก่
04 มกราคม 2013, 02:31:PM
(พระอภัย)
Special Class LV1
นักกลอนผู้เร่ร่อน

*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 32
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 210

ฐิติุวุฒิ อินทรเเก้ว จ.ระยอง อ.บ้านฉาง


« ตอบ #31 เมื่อ: 04 มกราคม 2013, 02:31:PM »
ชุมชนชุมชน

ผมก็อ่านนะเพรชพระอุมาอ่ะถึงตอนไปปราบช้างไอ้เเหว่งเเล้วเเต่มันหนีไปได้555
บันทึกการเข้า

พระอภัย
31 มกราคม 2019, 01:47:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #32 เมื่อ: 31 มกราคม 2019, 01:47:PM »
ชุมชนชุมชน

สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหกจบเรื่องตลุยยุทธภพภาคแรก อิอิ เปล่าโฆษณา


https://www.readawrite.com/a/7d29534b1f71b306237ac1e050059c10?fbclid=IwAR3z4HefTMfR_nuVb5utLqCd0a-FYFC_xNwYLSiONIdh7lJj4apZkj7d2Dc

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s