Re: ตลุยยุทธภพ
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
27 เมษายน 2024, 02:26:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ตลุยยุทธภพ  (อ่าน 36412 ครั้ง)
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2011, 08:35:PM »




ชายทั้งสองมองเงาลางๆของหุบเขาที่แสนไกลอย่างท้อแท้ใจ พลางคำนวนระยะทางที่จะต้องดั้นด้น
    “ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือท่านเปียว” หลูอันถามเขา
     “พวกท่านต้องลงไปที่ท่าเรือ “เขาบอก” แล้วลงเรืออ้อมวนไปตามสายน้ำที่ไหล้ออมหุบเขาเหลียงฟานแต่ข้าคิดว่าคงไม่มีเรือลำใดพาพวกท่านไปแน่”
     “ทำไมหรือ”
     “เพราะระยะทางนั้นไกลมาก..อีกอย่างน้ำบางระยะนั้นเชี่ยวกรากเป็นวังน้ำวนเพราะมีทางน้ำไหลรอดภูเขา การที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยนับว่าเป็นไปได้ยาก..สู้เดินเท้าไปจะดีกว่า”
หลูอันได้ฟังก็เป่าลมออกปากฟู่ๆ
     “ทำไมมันจะยากเย็นแสนเข็ญจริงหนอ เพียงบุปผาอันไกลโพ้น”
     “พวกท่านไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้าของสถานที่แห่งนั้นก็เคยเป็นชาวยุทธเยี่ยงพวกท่าน” เปาเปียวถามคนทั้งสอง
     “ข้ารู้” อ๋องอุ้นตอบ “เมื่อสี่สิบปีที่แล้วไม่มีใครไม่รู้จักจอมกระบี่เดียวดายแห่งเหลียงฟาน จางหลงอี้”
     “ใช่” เปาเปียวเล่าต่อ “ท่านจอมยุทธจางสร้างที่นั่นเพื่อหลบหนีความวุ่นวายของยุทธภพ และเลือกสร้างในที่ที่แสนไกลและกันดารก็เพื่อมิให้ใครย่ำกรายโดยง่าย ใครที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นได้จะต้องมีใจที่เด็ดเดี่ยวจริงๆ และที่สำคัญคนที่เดินทางไปที่นั่นจะต้องรักและศรัทธาในตัวท่านโดยแท้จริงเท่านั้น..เหมือนดั่งท่านทั้งสอง”
อ๋องอุ้นมองจุดหมายอันแสนไกลด้วยท่าทีมุ่งมั่น ขณะที่เพื่อนของเขาเปลือกตาเริ่มหย่อนงัวเงียคอพับอยู่กับโต๊ะ
     “ข้าว่าเราพักที่นี่สักคืนเถอะเจ้าอุ้น” เขาพูดพลางหาวโหวกเหวก
     “ถ้าพวกท่านออกเดินทางแต่เดี๋ยวนี้จะถึงที่นั่นราวพลบค่ำ” เปาเปียวบอกแก่คนทั้งสอง
อ๋องอุ้นเขย่าไหล่หลูอันให้คลายง่วงและกล่าวขอบคุณเปาเปียวที่บอกทางแก่เขาก่อนที่จะสาวเท้าออกจากที่แห่งนั้น
     “ ไปเจ้าหมูอ้วนเราออกเดินทางกันได้แล้ว”

..........................................................
ตะวันเลยเที่ยงหัวไปได้นิดหนึ่ง คนทั้งสองก็เดินทางมาถึงเนินเขาที่รายรอบไปด้วยป่าข้าวโพดอันเขียวขจีและกำลังติดฝัก หมู่บ้านหยางซันและท่าเรือมองเห็นอยู่ไกลลิบเหมือนภาพจิตรกรรม มีแม่น้ำหยางสีครามทอดยาวอยู่ข้างซ้ายภุผาสีเขียวและขาวอยู่ด้านขวาแลดูสวยงาม หลูอันอิดโรยลงเป็นอันมากเพราะความเหนื่อยล้าและสภาพเส้นทางอันขลุขละกันดาร กอรปกับท้องอันอิ่มแปล้นั้นชวนให้เขารู้สึกซึมกะทืออ่อนล้ากับการเดินทางต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ที่แต่ละระยะยิ่งเพิ่มความหนักอึ้งขึ้นแก่เขาเข้าทุกที ถึงแท่นศิลาอันเรียบงามแห่งหนึ่งเขาจึงปลดกระเป่าหวายอันหนักออกจากเบื้องหลังแล้วแผ่หราอวดพุงพลุ้ยอยู่บนแผ่นศิลานั้น
    “เราหยุดพักก่อนเถอะอ๋องอุ้น” เขาพูดพลางหอบแฮ่กๆ
    “ข้าง่วงอยากจะหลับสักงีบ...ถ้าเจ้ารีบก็ล่วงทางไปก่อนข้าเถิดเดี๋ยวข้าจะตามไป..ทิวทัศน์แถวนี้สวยจริงๆ..เจ้าว่าไม๊”
    “โธ่เจ้าอ้วนตุ้ย..” อ๋องอุ้นว่า “เจ้านี่ขี้เซาจริงๆเลย..ดูข้าสิยังฟิตปั๋งอยู่เลย”
    “ทำเป็นเก่งไปหน่อยเลย..คนที่เก่งน่ะไม่มีความสุขหรอกเจ้าเชื่อข้าไหม ดูข้าสิแย่ชะมัดเลย”
    “ใครบอกข้าเก่งเจ้างั่ง” เขาว่า “เพียงแต่ข้าฟิตปั๋งและก็ไม่ขี้เซาเหมือนเจ้าต่างหาก..ลุกๆๆ..ไปต่อได้แล้ว..เราข้ามเขามาได้ครึ่งลูกแล้วเหลืออีกลูกครึ่ง”

อ๋องอุ้นมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขณะที่หลูอันเดินต้อยๆอย่างจำทน คล้อยลงภูเขาลูกนั้นเป็นพื้นที่ลาดต่ำมีป่าทึบหนาทั่วสองฝั่งทาง มาไกลพอสมควรคนทั้งสองจึงพบลำคลองแห่งหนึ่งไหลผ่านระหว่างภูเขาสองลูก มีสะพานที่โค่นต้นไม้เป็นๆสามต้นเรียงกันและผูกพาดด้วยท่อนไม้เล็กๆ อ๋องอุ้นยืนคอยหลูอันอยู่ที่สะพานนั้น เขามองลงไปยังสายน้ำเบื้องล่างที่ไหลระเรื่อยเซาะแก่งหิน น้ำนั้นใสสะอาด มีปลาตัวเล็กๆแหวกว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เหมือนพวกเขาที่กำลังดั้นด้นไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
พ้นชายป่าเป็นไร่ฝ้ายขนาดใหญ่ ดอกฝ้ายกำลังแตกดอกรอการเก็บเกี่ยวออกปุยขาวๆไปทั่วทั้งไร่แลดูอร่าม ถึงสำนักชาวไร่ด้วยความเหนื่อยล้ากับการเดินทาง ทั้งสองจึงแวะถามทางใต้ร่มเรือนแห่งนั้น เจ้าของสถานที่เป็นหญิงชราผมหงอกขาวรูปร่างออกจะอ้วนๆอัฒยาสัยดี นามผู้เฒ่าจู่หมง นางหาน้ำให้ทั้งสองดื่มแก้กระหายและมันต้ม  หลูอันชอบมันต้มเคี้ยวตุ้ยๆหมือนหมูตะกละและไม่สนใจทั้งสองสนทนากัน นางผู้เฒ่าทราบเรื่องของคนทั้งสองถึงที่มาและที่ไปจากคำบอกเล่าของอ๋องอุ้น นางรู้สึกเอ็นดุคนทั้งสองประหนึ่งลูกหลาน

    “เมื่อสามสี่วันก่อนก็มีหนุ่มคนหนึ่งผ่านทางมาทางนี้ ”นางเล่า” เขาแวะมาที่บ้านช้านี่แหละ ท่าทางขี้โม้หน่อยๆ เขาบอกข้าว่าเขาชื่ออ้อเสี่ยวตุ้ย..”
    “อ้อเสี่ยวตุ้ย” อ๋องอุ้นทวนคำ “คนตัวท้วมๆหน่อยนึงใช่ไหม”
   “ใช่..หน้าเหมือนนกเค้าแมว..เจ้ารู้จักเขารึ”
    “ไม่รู้จัก” อ๋องอุ้นตอบ “ข้าเพียงแต่เห็นเขาที่โรงเตี้ยมเมืองตงไห่ ตอนนั้นเขากำลังเมาเหล้าหนักคุยโฉงเฉงอยู่กับเหล่าจอมยุทธขี้เหล้าด้วยกัน เขาบอกว่าเขาจะมาที่นี่แหละ แต่ข้าไม่สนใจคิดว่าเขาโม้เหมือนท่าน”
    “แต่ดูท่าทางเขาไม่เหมือนคนธรรมดาเลยนะ..ข้าว่า”
   “ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดาอย่างไรหรือท่านผุ้เฒ่า” อ๋องอุ้นสงสัย
   “เขาออกจะแปลก..ในท่าทีที่มุ่งมั่นกว่าคนปกติ..ไม่เหมือนชาวยุทธทั่วไป” นางให้เหตุผล “ข้ากับจอมยุทธจางก็คุ้นเคยกัน..หมวยใหญ่ลูกสาวคนโตของท่านก็แวะมาที่นี่บ่อยๆ..นางชอบค้าขาย..ผ้าฝ้ายที่ข้าทอนางจะเหมาซื้อขนใส่รถม้าไปขายเมืองหลวงทั้งหมด..ข้ามเขาลูกนี้ไปก็จะเป้นหมู่บ้านเล็กๆ”
นางชี้มือไปที่ภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
    “พวกเจ้าจะเห็นหมู่บ้านของชาวนา...ต่อไปอีกไมไกลก็จะถึงสำนักเพียงบุปผา” นางบอก
    “ถ้างั้นข้าเห็นทีจะลาท่านแม่เฒ่าแล้วล่ะ”  อ่องอุ้นยกมือแสดงคาราวะต่อนางจูหมงพลางมองดวงตะวันที่อ่อนคล้อยใกล้ลับขอบฟ้า หลูอันหลับอุตุอยู่มุมโรงนาโทรมๆอย่างเป็นสุข

   



แต่ละช่วงอาจจะช้าสักนิดต้องขออภัยเพราะทั้งเขียนและทั้งเกลาครับ


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

--ณัชชา--, รพีกาญจน์, Music, Thammada

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 กันยายน 2018, 02:21:PM โดย ดอกกระเจียว » บันทึกการเข้า


Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s