…ความในใจ (๓/๒)…
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
15 ธันวาคม 2025, 12:42:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: …ความในใจ (๓/๒)…  (อ่าน 37 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
15 ชั่วโมงที่แล้ว
โซ...เซอะเซอ
Special Class LV4
นักกลอนผู้รอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 93
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 652


« เมื่อ: 15 ชั่วโมงที่แล้ว »
ชุมชนชุมชน



(…เชิญอ่านต่อครับ…)


เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนเวลาเริ่มงาน
ผมพาตัวเองมายืนอยู่หน้าอาคารพานิชย์สามชั้น
สองคูหา แถวบริเวณ เมืองเก่า เขตพระนคร

“สร้างสรรค์ ฝันกว้าง ย่างก้าวไปมิหยุด“
ผมยืนอ่าน คติพจน์ ที่เขียนด้วยตัวหนังสือ
สีลูกกวาด ด้วยอาการคัน อยากจะเติม
ข้อความต่อให้ ตามสันดานคนชอบ
ชักใบให้เรือเสียของผมว่า
“จะสะดุดเมื่อหมดทุน” …เหอๆ

ภายใต้คำขวัญ มีประกาศรับสมัคร
งานเขียนบทกวี สร้างสรรค์
สำหรับเชิญชวนให้เยาวชน
ให้หันมาสนใจรักการอ่านบทกวี
หากได้รับการตีพิมพ์ จะได้รับค่าตอบแทน
ตามสมควร

…ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร
สองสาวเดินจูงมือกันเดินมา
คนนึงสูงโปร่งผอมเพรียว
หุ่นเหมือนนางแบบ
ส่วนอีกคนหุ่นเหมือน
ดั้มพ์ มัตซูโมโต้ อดีตนักมวยปล้ำหญิง
ชาวญี่ปุ่น ผู้โด่งดังในช่วงปี ‘80

“อากาศเริ่มหนาวแล้วนะ รีย์
จันทร์ชอบอากาศหนาว ลมหนาว
ยามเช้า ทำให้รู้สึกสดชื่นดี”


เสียงหญิงสาวคนสูงเอ่ย

“เอ๊ะ…นั่นมัน…
จันทร์ เธอจำอีตาโรคจิต
ที่พยายามมาจีบเธอที่ร้านกาแฟ
เมื่อสองอาทิตย์ก่อนได้ไหม
อีตาวิญญาณ อะไรนั่นน่ะ”

“รีย์ ไปพูดถึงเขาทำไมน่ะ”

“ก็มันเล่นมายืนอยู่หน้าออฟฟิศเราน่ะสิ”

“ใช่หรือ รีย์ จำผิดคนหรือเปล่า
ไม่น่าจะใช่นะ เพราะออฟฟิศเราอยู่ไกล
จากร้านกาแฟนั้น โชอยู่ ไม่น่าจะบังเอิญ
มาโผล่แถวนี้ได้“

”ใช่แน่นอน เสื้อยังใส่ตัวเดิมเลย
ไอ้เสื้อสัปดน “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ”
อะไรนั่นน่ะ

และชั้นว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
เธออยู่เฉยๆ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง
ไอ้พวกโรคจิต แบบนี้ต้องเจอคนอย่างชั้น”


 ขณะที่ผมกำลัง ยื่นอ่านประกาศอยู่นั้น
สั่งดังแหว อย่างไม่เป็นมิตร
ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“นี่นาย…นายมาสะกดรอยตามเพื่อนชั้นรึ
เดี๋ยวเจอดีแน่ ชั้นจะแจ้งตำรวจ“


ผมหันขวับไปตามเสียงข่มขู่นั้นทันที
แต่สายตาผมกลับมองเลยผ่านเจ้าของเสียง
ไปยังใบหน้าหวานหวานที่อยู่ข้างๆ

“สวัสดีครับคุณจูบจันทร์”

“สวัสดีค่ะคุณวิญญูชน ไม่ทราบคุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
เธอจำเสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาได้เป็นอย่างดี

“เอ่อ ผมนั่งรถเมล์มาครับ”

“คือจันทร์หมายถึงว่า คุณตั้งใจมาที่นี่
หรือบังเอิญผ่านมาคะ”

“ผมตั้งใจครับ”


ผมเป็นคนโกหกไม่ขึ้น ถ้าโกหกทีไร
มักจะโดนจับได้เสมอ จึงเลือกที่จะพูดความจริง

“คือตั้งแต่วันนั้นที่คุณบอกว่า คุณทำงานนิตยสาร
”กวีสีลูกกวาด“ ผมก็เลยสนใจ เลยลองค้นหาข้อมูลดู
เห็นว่า กำลังรับสมัครฟรีแลนซ์
ที่จะส่งงานมาให้พิจารณาลง ผมเลยสนใจ
และอยากจะมาลองดูครับ เพราะช่วงนี้เอง
ผมก็ว่างอยู่ เลยมาครับ“

”อ้อ ค่ะ เรากำลังหา content เอามาลง
เลยเปิดรับให้ผู้ที่สนใจ ส่งบทความหรือบทกวี
มาเสนอค่ะ“

“แต่ชั้นไม่เชื่อนาย ชั้นคิดว่านายมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
นายคิดจะมาหาเพื่อนชั้นต่างหาก“

“นั่นก็ใช่ครับ”

“นายไม่ต้องมาปฏิเสธ…อ้าวเอ๊ะ”


คำตอบผมทำเอา ผู้รับบทผู้พิทักษ์นางเอกงง

“ใช่ครับ อีกส่วนนึงคือผมอยากมาพบคุณจันทร์
คือผมคิดว่าคุณเป็นคนน่าสนใจ
และ ผมอยากทำความรู้จักคุณมากขึ้นครับ
ผมคิดว่าเราจะสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ครับ”


คำพูดอันเต็มไปด้วยความจริงใจ ของผม
ทำให้ บรรยากาศทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง
ไปชั่วขณะ

“แต่ชั้นไม่ไว้ใจคุณ ชั้นว่าคุณมันดูกะล่อนพิกล
คุณแค่เอาเรื่องการส่งบทกวี มาอ้างเพื่อมาจีบ
เพื่อนชั้น“


เสียงผู้พิทักษ์นางเอก พยายามทำหน้าที่ของเธออย่างเต็มที่

“ผมทั้งสนใจเรื่องเขียนบทกวี
และอยากทำความรู้จักกับคุณ
ตั้งแต่วันที่คุณจากมาโดยที่ผม
ไม่รู้เลยว่าจะเจอคุณอีกไหม จะติดต่อคุณอย่างไร
เหมือนชีวิตผมมันโหวงเหวง อย่างไรก็ไม่รู้
นี่เป็นครั้งแรก ในชีวิตที่ แสนจะป๊อดเรื่อง
ผู้หญิงของผม ที่ผมกล้าที่จะออกตามหาคุณ
กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่ผมมี

แม้ว่าผมจะเป็นคนกลัวการถูก ปฏิเสธ
และกลัวความผิดหวังเป็นที่สุด
แต่เพราะผมรู้สึกว่า ผมคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต
ถ้าผมไม่ได้ทำความรู้จักกับคุณ
ไม่ว่าผลของมันจะเป็นเช่นไรก็ตาม“


บรรยากาศที่มันสงบนิ่งอยู่แล้ว
กลับสงบนิ่งยิ่งขึ้นไปอีก
เกือบจะห้าวินาที ก่อนที่จะมีเสียงหวานๆ
กังวานขึ้น

”จันทร์ขอขอบคุณนะคะ ที่คุณพูดเปิดเผย
ทุกอย่าง อย่างจริงใจ
จันทร์เองเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย
เพราะจันทร์ไม่อยากเป็นภาระของใคร
นอกจากรีย์ แล้วจันทร์ก็ไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนอีก

จันทร์ไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับคุณนะคะ
แต่ไม่ใช่ในฐานะแฟน คุณคงเข้าใจดีว่า
คนที่มีสภาพอย่างจันทร์ ไม่สามารถใช้
ชีวิตอย่างคนปกติธรรมดาได้
จึงไม่อยากให้ความหวังกับใคร
และก็ไม่อยากให้ตนเองตั้งความหวังลมๆแล้งๆ
กับใครด้วย“


นั่นแหละ ความที่เธอเป็นเธอนี่แหละ ที่มัน
ทำให้ผมหลงรักเธอตั้งแต่แรกพบ
ความสวยก็ด้วยแหละ

แต่ความที่เป็นคนเข้าใจชีวิต
เข้าใจตนเองและผู้อื่น และมีจิตวิญญาณ
ที่สวยงามของเธอนั้น ที่ทำให้ผมหลงรักเธอ

“ผมเข้าใจดีครับ ผมแค่อยากเป็นส่วนหนึ่ง
ในชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นเศษเสี้ยวเล็กน้อย
สักเพียงใด

ไม่ว่ามันจะแค่ 1 วัน 1 เดือน 1 ปี หรือชั่วชีวิต
มันจะทำให้คนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกีบชีวิต
อย่างผมมี เป้าหมายในชีวิต…
เป้าหมายของผมคือ อยากเห็นรอยยิ้มของคุณ
ในทุกๆวัน และแค่อยากเห็นคุณ
มีชีวิตที่มีความสุข“


ผมฟังเสียงตัวเองพูด ไดอะล็อกที่เหมือน
คัดมาจากบทละครน้ำเน่า
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า ผมพูดออกไปได้อย่างไร

ผมเหลือบ มองดูดวงตาสวยคู่นั้น
โดยไม่รู้ว่าผมอุปทานคิดเข้าข้าง
ตัวเองไปเองหรือเปล่า
แต่ผมเห็นริ้วเรื่อชมพูบสงๆบนแก้มใสๆนั้น
พร้อมกับรอยยิ้มที่ผมจะไม่มีวันลืม


……เป็นเวลาครบหนึ่งปี ที่โชคชะตาชักพาเรา
ให้มารู้จักกัน
ผมนอนหนุนตักแฟนผม ใต้ร่มจามจุรีใหญ่เขียวครึ้ม
ขณะที่เธอนั่งกุมมือผมอย่างเงียบๆ
เราต่างถ่ายทอดความรู้สึกลึกซึ้ง
ให้กันและกัน โดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆ

สายลมพัดโชยเอื่อยๆ พร้อมกับเสียงเพลงคุ้นหู
ที่ล่องลอยมาตามลม
พอได้ยินเสียงเพลงนี้ พลันรอยยิ้มก็ปรากฏ
บนใบหน้าของเราทั้งสองคนโดยมิได้นัดหมายกัน…




“...หากฉันเพ่งมองตาเธอให้ลึกหน่อย
อย่างน้อยอาจทำให้ต้องเฉลียวใจ
ว่ามีความหมายใดซ่อนในดวงฤทัย
บ่งบอกความในใจ ที่ดวงตา

หากรู้ว่ารักเจ้ายังหลีกเร้นหลบ
ถ้าพบจะพาดวงใจเปี่ยมรักมา
แอบอารมณ์ละมุนอุ่นไอรักชักพา
ให้วิญญาสองเรารื่นสราญ

โอ้ ความรักนั่นอยู่ไหนไยจึงไม่เห็น
มองหาเช้าเย็น มิพบพาน
ใจเอ๋ยใจเรารักเขาหรือนั่น
ปล่อยรักนั้นให้เดินผ่านไป

หากฉันเพ่งมองตาเธอให้ลึกหน่อย
อย่างน้อยอาจทำให้ต้องเฉลียวใจ
ว่ามีความรักซ้อนซ่อนในดวงฤทัย
อาบอุ่นใจ สองเราเรื่อยมา...”


...ความในใจ...(เพลงประกอบละคร ปริศนา)
[ คำร้อง ทำนอง โดย อ.วิรัช อยู่ถาวร ]



…วันนี้ขึ้นมาทำงานที่ต่างจังหวัด
จึงมีช่วงเวลาที่ได้ มีโอกาสนั่งนิ่งๆสงบๆ
ปราศจากความวุ่นวาย ของโลกภายนอก
เขียนนิยายเรื่องแรกของ
ตัวเองให้จบเสียที หลังจากเขียนค้างเติ่งมานาน…

เชิญติติงได้โดยไม่ต้องเกรงใจนะครับ
จะได้นำไปพัฒนาการเขียนของตัวเองครับ

ในอนาคต อาจจะได้ไปมีอาชีพนักเขียน
จริงๆในช่วงวัยเกษียณ กับเขาบ้างก็ได้
…ใครจะไปรู้ จริงไหมครับ

…ขอขอบพระคุณทุกท่านที่สู้อุตส่าห์
อดทนอ่านจนจบครับ…



     ...เธอเป็นเสมือนแดดอบอุ่นในยามเช้า
   ที่ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมายิ้มรับกับชีวิต

   และเป็นสายลมโชยอ่อนยามค่ำคืน
   ที่คอยปลอบประโลมยามที่ฉันเหนื่อยล้า
   และเห่กล่อมให้ฉันนอนหลับฝันดี…


วิญญูชน
14 ธันวาคม 2568


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : กัลมลี*, กวินพัฒน์

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s