พรานหน้าเศร้า เล่าตอบ บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันจึง ดั้นถึงนี่
กรินทร์คิด อธิษฐาน บารมี
ที่ยอมพลี ชีพให้ ไม่นำพา
แม้ศรปัก ชนักติด ไม่ปริโอษฐ์
ไม่ถือโกรธ โทษคน ห่มกาสาว์
ขอกุศล ผลบุญ หนุนนำพา
ให้พรานป่า ฝ่าไพร ไร้กังวล
ให้กลับถึง กาสี ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว แผ้วภัย ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง กรุงไกร ได้บังคม
นโรดม องค์ท้าว เจ้าบุรี
เสร็จกำหนด จดจิต อธิษฐาน
จึงบอกพราน เร่งการ เดินทางหนี
พาลมฤค พฤกษ์พราย อย่ากรายมี
ถึงกาสี กรุงไกร ในเจ็ดวัน
ให้ประสพ ยศถา บรรดาศักดิ์
มากสมบัติ ทรัพย์สิน ทุกสิ่งหวัง
ชนเลื่องชื่อ ลือก้อง แซ่ซ้องกัน
สบสุขสันต์ วันคืน ชื่นสราญ
ทันใดนั้น ธาษตรี อยู่ดีสั่น
กระเพื่อมลั่น ประดังเสียง สำเนียงสาง
โกลาหล อึงอล ตรงมาลาน
พรานพลุ่งพล่าน เหงื่อกาฬตก อกร้อนรน
ท้าวฉัททันต์ ฟังดู ก็รู้ว่า
เหล่าพังคา หาตลบ หมดแห่งหน
แต่ไม่พบ จึงวกมา พากังวล
บอกพรานจง เร่งปลีก รีบเดินทาง
ให้นิราศ จากไป ในบัดนี้
ก่อนดำรี กรีนาค มากช้างสาร
ยกพลกลับ มาพร้อม ล้อมทั่วลาน
ต้องถูกผลาญ ลาญสิ้น นิ่งอยู่ไย
โสณุดร สะท้อนใจ อาลัยแสน
เนตรรื้นแดง แสลงอุรา น้ำตาไหล
ยากจักหัก ตัดจิต ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล ไอยรา พาเศร้าตรม
รีบแบกงา แล่นหา ผาหน้าตั้ง
เห็นเชือกพลัน จาบัลย์จาง พลางสุขสม
มือฉวยจับ มัดงา ท่าลุกลน
แล้วผูกตน วนเชือกครอบ รอบรัดกาย
เสร็จหยิบพลุ จุดไฟ มือไม้สั่น
เสียงซู่ดัง ควันโขมง โพล่งฟ้าใส
พุ่งอฆ ระเบิดหาว พร่างพราวพราย
เหล่าดำไร ให้ประหลาด กวาดตามอง
เห็นพรานบาป หยาบช้า หน้าตาเหลือก
ให้แค้นเดือด เลือดพล่าน ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา โกรธาพุ่ง ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง จ้องฆ่า พร่าชีวัน
ฝ่ายลูกน้อง พร้อมรอ พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง เสียงบึ้ม ทะลึ่งฝัน
ให้ตระหนก ตกใจ รีบไวพลัน
ต่างแข็งขัน เกรียวกราว สาวเชือกดึง
เหล่าทันตี กรีนาค เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง ทิ่มงา ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม สัญญาณไป ให้รีบดึง
กระตุกเชือก แทบขาดผึง ดึงขึ้นไว
เหล่าสมุน ชุลมุน รุมกันชัก
พรานขยับ ระดับลอย เหงื่อย้อยไหล
คชคลั่งบ้า งาเสียบ แทงเฉียดไป
พรานงอเข่า สาวเชือกใหญ่ ไวเหมือนลิง
งาแทงถาก บาดทวาร พรานตระหนก
หนังถลก เลือดหยดสาด ราดอาบหิน
รีบสาวเชือก เสือกหนี กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น ถูกหินขูด ครูดรอบกาย
พอถึงยอด รอดพ้น ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล แม้ฉกรรจ์ นานวันหาย
แต่แผลลึก สำนึกผิด ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย คลายระบม ต้องทนตรอม
เจ้าพญา คชาธาร เห็นพรานรอด
สิ้นแรงหมอบ รอบตัว มืดมัวหมอง
จำฝืนข่ม ตรมเหงา เศร้าทุกข์ตรอม
แหงนหน้าจ้อง มองฟ้า ตาพร่าเลือน
เสียงเหล่าสงฆ์ ธุดงค์ชัฏ ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว แผ้วใจ เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์ พลันคลาย ประกายเดือน
จิตฟูเฟื่อง เรืองรุ่ง พุ่งออกกาย
ฝ่ายพรานไพร ใจระทม ชวนพลกลับ
ไม่เปะปะ ตัดดง ตรงที่หมาย
เจ็ดวันถึง ซึ่งธานี ศรีไผท
แคล้วโพยภัย ข้องขัด อัศจรรย์
เข้าหมอบกราน ผ่านเผ้า เล่าถวาย
เรื่องมากมาย รายผ่าน อย่างแข็งขัน
พร้อมยื่นสอง งาให้ ไท้ราชัน
เป็นของขวัญ กันยา ชายาไท
แล้วเล่าความ ตามคำ ฉัททันต์สาง
บอกจอมนาง สารพารณ ยังหลงใหล
มั่นในรัก ภักดี มีไม่คลาย
ไม่แหนงหน่าย กลายกลับ ซื่อสัตย์นาง
หวังเทวี มีสวัสดิ์ คอยรักษา
บุญหนุนพา สถาพร อย่าหมองหมาง
กายผ่องใส ไร้ทุกข์ สุขสราญ
ตลอดกาล นานปี อย่ามีคลาย
จงอโหสิกรรม สารพลั้งผิด
คลายทิฐิ จิตเดือด ให้เหือดหาย
ละอาฆาต นาคสาร เรื่องหมางคลาย
ใจสบาย ไกลทุกข์ สุขนิรันด์
กรีขอน้อม สองงา ชายาเจ้า
เพื่อบรรเทา เบาแค้น แม้นอาสัญ
ถึงตายยอม พร้อมให้ ไม่อินัง
หวังผ่องพรรณ งามชื่น รื่นเริงใจ
เมื่อนั้น.... โฉมนงราม งามจิต ขนิษฐา
ฟังวาจา พรานป่า อุราไหว
โศกอาดูร พูนเทวษ สังเวชใจ
ให้อาลัย ในทันตี สามีตน
หวนรำลึก นึกไป ในชาติผ่าน
มีเจ้าสาร ข้างกาย ใจสุขสม
ท่องเที่ยวพง ดงไพร ไร้กังวล
ยลพพม ชมอฆ คคนางค์
สายเหนื่อยนัก พักนิโครธ ลมโกรกรื่น
บ่ายแก่ตื่น ชื่นกมล ลงสนาน
ธารน้ำไหล ใสสะอาด อาบสำราญ
ค่ำเหล่าสาร พารณะ พักย่านไทร
ทุกวันคืน ดื่มสุข ทุกข์นิราศ
ไม่ไกลจาก เจ้าสาง ไม่ห่างหาย
เคล้าพะนอ คลอคู่ อยู่เคียงกาย
ให้ใจหาย ไม่วายคิด จิตระกำ
ยิ่งตรองตรึก นึกไป ในความผิด
เป็นบาปติด ฝังตรึง จึงโศกศัลย์
ถอนสะอื้น รื้นน้ำตา นองหน้าพลัน
ยิ่งหวนหลัง ประดังเศร้า เผาข้างใน
กอดงาใหญ่ ไห้ครวญ กำสรวลพร่ำ
ร่ำรำพัน ระกำหม่น เกินข่มสลาย
สุดจักยั้ง รั้งจิต คิดผ่อนคลาย
องค์โฉมฉาย ทรุดกายพับ ชีพดับพลัน
บัดนั้น....ท้าวกาสี ฤดีหาย ทรามวัยจาก
ครวญพิลาป ยากทน ตรมโศกศัลย์
โสณุดร มองนาง พลางจาบัลย์
บังคมทาบ บาทราชัน หันจากลา
องค์มุนินทร์ สิ้นดำรัส ตรัสเท่านี้
หยุดวจี พาทีหมด จบเนื้อหา
ในชาดก คชสาร แต่นานมา
เหล่าเถรานุเถระ คับข้องใจ
เห็นเมธี มีแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
จึงอาราธน์ จอมปราชญ์เอ่ย เผยความนัย
เหตุไฉน ไยไม่ตรัส กลับยิ้มพราย
พระทศพล ทรงฟัง คำท้วงถาม
จึงประทาน ถ้อยอรรถ ข้องขัดหาย
บอกเหล่าสงฆ์ จงมอง หันจ้องไป
ยังเถรี ที่ร้องไห้ ไม่อายคน
องค์ชายา สุภัททา มารศรี
คือเถรี มีน้ำตา หน้าหมู่สงฆ์
ส่วนพรานไพร รับใช้นาง ผลาญพารณ
คือเทวทัต ผู้หลงตน จนงมงาย
ท้าวฉัททันต์ ดำรี ที่สละ
ยอมให้ตัด งาไป ให้โฉมฉาย
จนร่างตน ถมดิน สิ้นชีพวาย
คือตถาคต ผู้ยอมตาย ไม่คลายธรรม
จบชาดก สุคตกล่าว เหล่าวงศ์สงฆ์
แต่ละองค์ ทรงธรรม สมดังหวัง
ละสังโยชน์ ลดโกรธได้ ไม่อินัง
ต่างได้โสดาบัน กันหลายองค์
ฝ่ายเถรี ที่กล่าว เฝ้าจ่อจด
ฟังชาดก กำหนดใจ ไม่ใหลหลง
ครุ่นดำริ ทิฐิคลาย หายกังวล
จิตหลุดพ้น ทรงอรหันต์.....ในทันใด
สืบ ธรรมไทย
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓
| ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน |
|
06 ธันวาคม 2025, 12:24:AM
|
|||
|
|||
|
ผู้เขียน | หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน (ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย (อ่าน 8932 ครั้ง) |
| ||||||||||
Email:





ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
บันทึกการเข้า