โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน (ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
11 พฤศจิกายน 2024, 07:58:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน (ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 1398 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
07 สิงหาคม 2024, 08:07:AM
kapheetam
LV3 นักเลงกลอนประจำซอย
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 07 สิงหาคม 2024, 08:07:AM »
ชุมชนชุมชน

พรานหน้าเศร้า เล่าตอบ บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันจึง มาถึงนี่
กรินทร์คิด อธิษฐาน บารมี
ที่ยอมพลี ชีวีให้ ไม่นำพา
แม้ศรปัก ชนักติด ไม่ปริปาก
ไม่อาฆาต พิฆาตคน ห่มกาสาว์
ขอกุศล ผลบุญ หนุนนำพา
ให้พรานป่า ฝ่าไพร ไร้กังวล
ให้กลับถึง ซึ่งกาสี ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว แผ้วภัย ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง กรุงไกร ได้บังคม
ถวายงา อ่าอนงค์ องค์เทวี
เสร็จกำหนด จดจิต อธิษฐาน
จึงบอกพราน เดินทางพลัน ยังกาสี
พาลมฤค พฤกษ์พราย อย่ากรายมี
กลับธานี บุรีไป ในเจ็ดวัน
ให้ได้ลาภ วาสนา นานาสมบัติ
มากสินทรัพย์ นับอนันต์ ดั่งคิดหวัง
นามกระเดื่อง เลื่องสามารถ ตราบนิรันดร์
สบสุขสันต์ ทุกวันคืน ชื่นสราญ
ทันใดนั้น ธราดล พิกลสั่น
กระเพื่อมลั่น สนั่นเสียง สำเนียงสาง
แว่วแต่ไกล บัดเดี๋ยวให้ คล้ายใกล้ลาน
พรานพลุ่งพล่าน เหงื่อกาฬตก อกร้อนรน
ท้าวฉัททันต์ สำเหนียกฟัง พลันรู้ว่า
เหล่าพังคา เคลื่อนพลมา โกลาหล
ตามไม่พบ วกกลับมา พากังวล
บอกพรานจง เร่งรีบ หลีกเดินทาง
ให้นิราศ จากไป ในบัดนี้
ก่อนเหล่ากรี มีอาฆาต มากช้างสาร
ยกพลพรรค กลับมาพร้อม ล้อมทั่วลาน
ท่านจักพาน ถูกผลาญสิ้น นิ่งอยู่ไย
โสณุดร สะท้อนใจ อาลัยแสน
เนตรช้ำแดง แสลงอุรา น้ำตาไหล
ยากจักหัก ตัดจิต ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล ไอยรา พาเศร้าตรม
รีบแบกงา วิ่งหาผา หน้าตาตั้ง
เห็นเชือกพลัน จาบัลย์จาง พลางสุขสม
เร่งฉวยจับ มัดงาคู่ ดูลุกลน
แล้วผูกตน วนเชือกลอด รอบรัดกาย
เสร็จหยิบพลุ จุดไฟ เร็วไวยิ่ง
ชูมือยิง ยินเสียงบึ้ม ขึ้นฟ้าใส
แตกสว่าง ท่ามกลางหาว วาววับไกล
เหล่าดำไร ให้ประหลาด กวาดตามอง
เห็นพรานเถื่อน ตัวเปื้อนโคลน ตาโปนเหลือก
ให้แค้นเดือด เลือดพล่าน ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา โกรธาพุ่ง ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง จ้องประหาร ผลาญชีวัน
ฝ่ายข้าทาส ลูกหาบรอ พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง เสียงพลุแตก แทรกไพรสัณฑ์
ให้ตระหนก ตกใจ รีบไวพลัน
ต่างแข่งขัน กันเกรียวกราว สาวเชือกดึง
สารพารณ มาตงค์นาค เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง ทิ่มเสือกงา ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม สัญญาณไป ให้รีบดึง
กระตุกเชือก แทบขาดผึง ดึงขึ้นไว
เหล่าสมุน ชุลมุน รุมกันชัก
พรานขยับ ระดับลอย เหงื่อย้อยไหล
เหล่าคชา ถลาเบียด แทงเฉียดไป
พรานงอเข่า สาวเชือกใหญ่ ไวเหมือนลิง
งาแทงถาก บาดทวาร พรานตระหนก
หนังถลก เลือดหยดสาด ราดอาบหิน
รีบไต่ขึ้น ทะลึ่งหนี กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น ถูกหินขูด ครูดรอบกาย
พอถึงยอด รอดพ้น ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล แม้ฉกรรจ์ นานวันหาย
แต่แผลลึก สำนึกผิด ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย คลายระบม ต้องทนตรอม

เจ้าพญา คชาธาร เห็นพรานรอด
ทรุดกายหมอบ พลางถอดใจ ไร้พลผอง
นอนโดดเดี่ยว เปลี่ยวฤทัย ในพนอง
ตรมหม่นหมอง แหงนมองฟ้า ตาพร่าเลือน
เสียงเหล่าสงฆ์ ธุดงค์ชัฏ ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว แผ้วดวงใจ เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์ พลันเคลื่อนหาว สกาวเดือน
จิตฟูเฟื่อง เรืองรุ่ง พุ่งออกกาย

ฝ่ายพรานไพร หลังไห้ครวญ ชวนพลกลับ
ไม่ติดขัด ตัดลัดดง ตรงที่หมาย
เจ็ดวันถึง ซึ่งธานี ศรีไผท
อย่างปลอดภัย ไร้ข้องขัด อัศจรรย์
เข้าหมอบกราน ภูบาลเจ้า เล่าถวาย
เรื่องมากมาย รายผ่าน อย่างแข็งขัน
พร้อมน้อมกร ยื่นสองงา มากำนัล
แด่จอมขวัญ กันยา ชายาไท
แล้วเล่าความ ตามคำ ฉัททันต์สาง
แด่จอมนาง สารพารณ ยังหลงใหล
มั่นในรัก ภักดี ไม่มีคลาย
ไม่แหนงหน่าย กลับกลายรัก ซื่อสัตย์นาง
หวังเทวี มีสวัสดิ์ คอยรักษา
บุญหนุนพา สถาพร อย่าหมองหมาง
กายผ่องใส ไร้ทุกข์ สุขสราญ
ตลอดกาล นานปี อย่ามีคลาย
จงอโห สิกรรม สารพลั้งผิด
คลายทิฐิ จิตแค้นเดือด ให้เหือดหาย
ละจองเวร กเรนทร์สาง เรื่องหมางคลาย
ให้อภัย ในผู้เขลา เจ้าฉัททันต์
ขอนอบน้อม สองงาคู่ พธูเจ้า
โปรดรับเอา บรรเทาแค้น แม้นอาสัญ
ถึงตายยอม พร้อมให้ ไม่อินัง
หวังงามขำ สำราญรื่น สารชื่นใจ

เมื่อนั้น.... โฉมนงราม งามจิต ขนิษฐา
ยินวาจา พรานป่าแจ้ง แถลงไข
โศกอาดูร พูนเทวษ สังเวชใจ
ให้อาลัย ในทันตี สามีตน
หวนคำนึง ถึงชาติผ่าน ติดตามเฝ้า
เคียงสารเจ้า เหล่าดำไร ใจสุขสม
ท่องเที่ยวป่า พนาไพร ไร้กังวล
เพลินดอมดม ยลโกสุม ปทุมมาลย์
สายเหนื่อยนัก พักนิโครธ ลมโกรกชื่น
บ่ายแก่ตื่น เริงรื่นชล ลงสนาน
ธารน้ำไหล ใสสะอาด ดำอาบสำราญ
ค่ำเหล่าสาร พารณะ พำนักไทร
ทุกวันคืน ดื่มสุข ทุกข์นิราศ
แนบขนาบ แทบบาทข้าง ไม่ห่างหาย
เคล้าพะนอ คลอคู่ อยู่เคียงกาย
ให้ใจหาย ไม่วายคิด จิตระกำ
ยิ่งตรองตรึก สำนึกทำ ก่อกรรมผิด
เป็นบาปติด สนิทตรึง จึงโศกศัลย์
ถอนสะอื้น รื้นน้ำตา นองหน้าพลัน
ยิ่งหวนหลัง ประดังเศร้า เผาข้างใน
กอดงาใหญ่ ไห้กำสรวล ร้องครวญคร่ำ
พร่ำรำพัน ระกำหม่น เกินข่มสลาย
สุดจักยั้ง รั้งจิต คิดผ่อนคลาย
องค์โฉมฉาย ทรุดกายพับ ชีพดับพลัน

บัดนั้น....ท้าวกาสี ฤดีหาย ทรามวัยจาก
ครวญพิลาป ยากทน ตรมโศกศัลย์
โสณุดร มองร่างนาง พลางจาบัลย์
บังคมทาบ บาทราชัน หันจากลา
องค์มุนินทร์ สิ้นดำรัส ตรัสเท่านี้
หยุดวจี  ถ้อยมีหมด  จบเนื้อหา 
ในชาดก  คชสาร  แต่นานมา
เหล่าเถรานุเถระ คับข้องใจ
เห็นเมธี มีแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
จึงอาราธน์ จอมปราชญ์เอ่ย เผยความนัย
เหตุไฉน ไยไม่ตรัส กลับยิ้มพราย
พระทศพล ทรงฟัง ซึ่งคำถาม
จึงประทาน ถ้อยความอรรถ ข้องขัดหาย
บอกบริษัท จับจ้อง มองหันไป
ยังเถรี ที่ร้องไห้ ไม่อายคน
องค์ชายา สุภัททา มารศรี
คือเถรี มีน้ำตา หน้าหมู่สงฆ์
ส่วนพรานไพร รับใช้นาง ผลาญพารณ
คือเทวทัต ผู้หลงตน จนงมงาย
ท้าวฉัททันต์ ดำรี ที่สละ
ยอมให้ตัด งาไป ให้โฉมฉาย
จนร่างตน ต้องถมดิน สิ้นชีพวาย
คือตถาคต ผู้ยอมตาย ไม่คลายธรรม
จบชาดก สุคตกล่าว เหล่าวงศ์สงฆ์
แต่ละองค์ ทรงธรรม ดั่งใจหวัง
ละสังโยชน์ ลดโกรธได้ ไม่อินัง
ต่างได้โสดาบัน กันหลายองค์
ฝ่ายอนงค์ องค์เถรี ที่ปรารภ
ฟังชาดก กำหนดใจ ไม่ใหลหลง
ครุ่นดำริ ทิฐิคลาย หายกังวล
จิตหลุดพ้น ทรงอรหันต์.....ในทันใด
  

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : masapaer

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s