Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
29 พฤษภาคม 2024, 04:25:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่  (อ่าน 44036 ครั้ง)
ฉันเอง
LV0 ทารก2 (Pls..update E-mail)
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 182
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 685


เป็นตัวเองดีกว่า..วุ้ย


« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2010, 03:50:PM »


ศิลปวิจารณ์
บทกวีนายผี

ในฟ้า  บ่มีน้ำ          ในดินซ้ำ  มีแต่ทราย
น้ำตา  ที่ตกราย      ก็รีบซาบ  บ่รอซึม
แดดเปรี้ยง  ปานหัวแตก   แผ่นดินแยก  อยู่ทึมทึม
แผ่นอก  ที่ครางครึม   ขยับแยก  อยู่ตาปี

       นี่คือความรู้สึกของ"นายผี" ที่มีต่อสภาพอันน่าเสียวใจ  และได้สร้างความหวั่นไหว
แก่ผู้อ่านมานับสิบปีแล้ว  สมัยข้าพเจ้ายังเล็กและฝังใจจำมาแต่ครั้งนั้น   ครั้นเมื่อโตแล้ว
ได้พบว่ามีคนอีกมากมายยังจับใจจำมาเช่นเดียวกัน   นานจนกระทั่งบางบรรทัด  ชวนให้
สงสัย แต่ไม่รู้จะไปถาม "นายผี" ได้ที่ใด ข้าพเจ้ากระหายที่จะถามเขาถึงความในใจเล็กๆ
น้อยๆเช่นว่าว่าจะหางานชิ้นอื่นๆของเขาได้ที่ไหน     และทำไมเขาจึงสามารถสะท้อนให้
เห็นแผ่นดินอันเปรียบได้กับแผ่นอก ด้วยขยับจะแยกแตกออกทุกเวลานาทีเช่นนั้น มีห้วย
น้ำล้นอยู่แห่งหนึ่งแห่งเดียว กว้างใหญ่ไพศาลจนเห็นน้ำจรดฟ้า เต็มไปด้วยคลื่นพริ้วระยิบ
ระยับราวกับทะเลของอิสาน  นั่นคือ"มหาห้วย คือหนองหาร" แต่ "ลำมูลผ่าน" นั้นเล่ากลับ
คอยแต่เหือดแห้งว่างเปล่า เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้แทนสายน้ำ  ราวกับเป็นลำน้ำแห่งความ
วิบัติ ลำแห่งความตายหรือคล้ายกับ "คือลำผี และเลี้ยงชีพ เช่นลำชี" ก็มีแต่จะซึมแซกหรือ
"อันชำแรก  บ่รีรอ" ชวนให้ท้อใจ "แลไปสุดป่าน โอ้อีสาน ฉะนี้หนอ คิดไป ในใจคอ ก็บ่ดี
นี้ดังฤา"  หรือไม่รู้สาเหตุที่นำมาซึ่งความหวั่นไหวในหัวใจของเราได้เลย  แต่ภัยธรรมชาติ
ที่น่าพรั่นพรึง    เท่านั้นยังไม่พอ    ยังต้องมาสู้กับภัยมนุษย์ที่เหยียบย่ำทำลายน้ำใจกันอีก
"เขาซื่อ  สิว่าเซ่อ  ผู้ใดเน้อ  นะดีแสน" ก็เมื่อความซื่อกลับเห็นเป็นว่าเซ่อเสียแล้ว  จะมีใคร
เล่าที่วิเศษยิ่งกว่านั้น  ถึง "ฉลาดทัน  เทียมผู้แทน  ก็เห็นท่าที่กล้าโกง" ซึ่งน่าจะต้องมีการ
เปิดโปง หาควรปิดปากเงียบด้วยความกลัวไม่ ใครที่ "กดขี่  บีฑาเฮา  ใครนะ  เจ้าจงเปิดโปง
เที่ยววิ่ง  อยู่โทงโทง  เที่ยวมาแทะให้ทรมาน  รื้อคิด  ยิ่งรื้อแค้น  ละหม้ายแม้น  น่าสังหาร
เสียคน  สิทนทาน" แต่ "ก็บ่ได้  สะดวกดาย"    ขอให้ท่านทั้งหลายได้อ่านทบทวนใหม่


ในฟ้าบ่มีน้ำ             ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย          ก็รีบซาบบ่รอซึม
แดดเปรี้ยงปานหัวแตก     แผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม
แผ่นอกที่ครางครึม     ขยับแยกอยู่ตาปี
มหาห้วยคือหนองหาร    ลำมูลผ่านคือลำผี
เลี้ยงชีพเช่นลำชี         อันชำแรกบ่รีรอ
แลไปสะดุ้งปาน        โอ้อีสานฉะนี้หนอ
คิดไปในใจคอ          ก็บ่ดีนี้ดังฤา
เขาซื่อสิว่าเซ่อ         ผู้ใดเน้อนะแสนดี
ฉลาดทันเทียมผู้แทน    ก็เห็นท่าที่กล้าโกง
กดขี่บีฑาเฮา            ใครนะเจ้าจงเปิดโปง
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง    เที่ยวมาแทะให้ทรมาน
รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น        ละม้ายแม้น น่าสงสาร
เสียตนสิทนทาน      ก็บ่ได้สะดวกดาย

ในฟ้าบ่มีน้ำ             ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย         คือเลือดหลั่งลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง      คำเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีสารสิ้น       อย่าซุดสู้ด้วยสองแขน
พายุยิ่งพัดอื้อ         ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อีสานนับแสนแสน     สิจะพ่ายผู้ใดหนอ
นายผี..

       เป็นกลอนที่งดงามด้วยถ้อยคำสามัญและแสนง่าย  ไม่มีถ้อยคำหรูหราแบบอลังการ
ดังกวีทั้งหลาย  แต่ก็ยังให้เกิดความซาบซึ้งใจให้เรา   ดูไปคล้ายรำพึงรำพันด้วยการบรร
ยายความท้อแท้  แต่ก็แทรกพลังปลุกเร้าให้ลุกเข้าฟันฝ่าอุปสรรค  อันเกิดแต่ธรรมชาติ
ความอยุติธรรม  ความกดขี่บีฑากัน  และการเหยียดหยามทำลายน้ำใจกัน  สมเป็นเลือด
ของบรรพบุรุษไทย  ผู้ไม่เคยจำนนต่ออุปสรรคใดๆโดยแท้

เทพศิริ  สุขโสภา.....เขียน
จากหนังสือวิทยสารปี2513

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 มกราคม 2011, 03:56:AM โดย ฉันเอง » บันทึกการเข้า

ขอแต่งโลกสวย  ด้วยคำกลอน

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s