วสวัตตีมาราธิราช(ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
20 เมษายน 2025, 11:11:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วสวัตตีมาราธิราช(ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 14281 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
13 สิงหาคม 2024, 08:05:AM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 08:05:AM »
ชุมชนชุมชน

วสวัตตีมาราธิราช (ภาคจบ)

กาลวันคร่า  พร่าผลาญ  ลาญทุกสิ่ง
กลบกลืนกิน  สิ้นซาก  ยากแก้ไข
ล้วนเกิดดับ  กลับเปลี่ยน  หมุนเวียนไป
พ้นวิสัย  ใครฉุด  ให้หยุดลง
พุทธกาล  ล่วงคล้อย  สองร้อยเศษ
เขตประเทศ  มัชฌิม  สิ้นสุขสม
เกิดข้าวยาก  หมากแพง  แก่งแย่งสะดม
ซ้ำฟ้าฝน  พิกลแกล้ง  แล้งเหลือใจ
ผลหมาก  รากไม้  ก็ตายสิ้น
ทรุดทาบดิน  อิงพาด  ยากฟื้นหาย
ภัยสงคราม  ตามซ้ำ  ระส่ำไป
มองทางไหน  ใจผาก  โลกขาดธรรม
ไฟกิเลส  เฉกพาล  เข้าผลาญจิต
เปลี่ยนความคิด  พลิกใจ  ให้กลายผัน
ความเมตตา  อารี  ที่มีกัน
พลันสะบั้น  บั่นไป  ไม่ไยดี
ญาติพี่น้อง  ผองเพื่อน  ก็เบือนจาก
ทิ้งรกราก  ยากทน  ซมซานหนี
พ่อจูงบุตร  ฉุดไป  ในพงพี
ปู่อุ้มหลาน  ตามรี่  ลี้หลบพลัน
กองทหาร  พาลโหด  โลดเล่นศึก
อึกทึก  ครึกโครม  โจนถลัน
พุ่งซัดแหลน  แทงหอก  หลอกล่อฟัน
ดาบพลิกผัน  ฟันฆ่า  ไม่ปรานี
ห่าธนู  พรูไป  ไฟลุกร่า
ตกหลังคา  หญ้าฟาง  ร้างบ้านหนี
เสียงแตรฆ้อง  กลองลั่น  สั่นธรณี
เสียงเกือกม้า  บดขยี้  ผงคลีคลุม
ไฟไหม้เรือน  เคลื่อนลาม  ฉางยุ้งข้าว
แสนปวดร้าว  เศร้าใจ  ดั่งไฟสุม
เห็นฝาบ้าน  สะท้านแตก  แหลกเป็นจุณ
เหมือนกระสุน  พุ่งกลาง  หว่างดวงใจ
หมู่วัวควาย  ตะกายโผน  กระโจนดะ
ส่ายเปะปะ  สะบัดขวิด  โลหิตไหล
ข้ามคอกได้  หงายกลิ้ง  วิ่งอ้าวไป
พริบตาหาย  ลับไกล  ไฟลามเลีย
พวยเมฆควัน  ดำครอบ  รอบผืนทุ่ง
ดั่งขยุ้ม  มือมาร  พานใจเสีย
ผัวนั่งทรุด  ทุกข์หนัก  พลัดพรากเมีย
ลูกสูญเสีย  พ่อไป  ไร้แม่พิง
ศพทับถม  เรียงราย  ตายอนาถ
บ้างไร้หัว  ตัวขาด  ปากบิดผิน
บ้างทะลัก  ไส้ไหล  หมาในกิน
บ้างนอนลิ้น  ปลิ้นปาก  อาบเปลวไฟ
เหล่าแร้งกา  เริงร่า  กระสากลิ่น
เกลือกกลิ้งดิน  กินศพ  หมกซุกไซ้
เจ้าคอแดง  แรงมาก  ลากไส้ไกล
กาดำไล่  ใคร่แบ่ง  แย่งแร้งกิน
ทั่วแผ่นดิน  สิ้นสุข  ทุกข์ครอบหมด
แสนรันทด  อกใจ  ให้ถวิล
อดีตวัน  ผันผ่าน  ช่างสุขจริง
ฤาจักทิ้ง  ทอดไป  ไม่คลายคืน

อนิจจัง  วันเวียน  หมุนเปลี่ยนผัน
ความระกำ  ช้ำทุกข์  สุดจักฝืน
ในที่สุด  ก็คลาย  ไม่กรายคืน
ความสดชื่น  ฟื้นมา  ผาสุกใจ
ผลหมาก  รากไม้  ที่ตายแห้ง
ต่างแตกแทง  หน่อเกิด  บรรเจิดใส
ฝนห่างหัน  พลันตก  กลบแล้งไป
มองทางไหน  ให้ระรื่น  ชื่นชีวัน
มวลพบู  ชูบาน  งามนักหนา
ต้องลมพา  เพลินเด่น  เปล่งสีสัน
สยายปริ  ผลิบาน  ประสานกัน
งามเฉิดฉัน  ประชันแข่ง  แกว่งลมไกว
เหล่าภมร  หนอนไหม  ที่ตายสิ้น
ก็กลับบิน  ผินว่อน  ร่อนซุกไซ้
ดูดน้ำหวาน  อานเปรม  เอมอิ่มใจ
กรีดเสียงใส  เริงไพร  ไปทั่วกัน
ฝูงวิหค  นกน้อย  เคยคล้อยจาก
หนีลำบาก  พรากถิ่น  บินเหหัน
ต่างคืนหวน  ชวนกลับ  ทับรวงรัง
เพลินสุขสันต์  ถ้วนหน้า  หาหนอนกิน
ฝ่ายแร้งกา  พาสลด  เริ่มอดอยาก
ต้องเหงาปาก  ยากแค้น  แสนถวิล
เคยอิ่มหนำ  พลันอด  ไร้ศพกิน
คงแดดิ้น  สิ้นใจ  ในไววัน

ณ  แว่นแคว้น  แดนมคธ  พสกศานต์
ภัยสงคราม  สร่างลง  ชนสุขสันต์
ธรรมบานแผ่  แพร่ไกล  ไปทั่วกัน
ทุกข์โศกศัลย์  พลันดับ  สงัดไป
องค์ธรรมา  โศกราช  ผู้อาจศึก
ทรงตรองตรึก  สำนึกผิด  คิดแก้ไข
ที่เคยพลั้ง  ผิดฆ่า  บ้างมงาย
ชนมากหลาย  ต้องมลาย  วายชีวัน
เคยก่อบาป  หาบกรรม  ประดังผิด
เคยครุ่นคิด  เข่นฆ่า  ให้อาสัญ
ก็ระงับ  ดับคลาย  หายไปพลัน
จิตสุขล้ำ  ได้ธรรม  ชี้นำใจ
จอมราชา  ศรัทธา  อุตสาหะ
ให้สลัก  หลักหิน  สิ้นมากหลาย
เป็นบทธรรม  นำสุข  ปลุกปลอบใจ
จารึกไว้  เสริมใจ  ให้ประเทือง
เพื่อผองชน  คนหลัง  ไม่พลั้งผิด
มีสติ  ดำริธรรม  นำฟูเฟื่อง
รวมแปดหมื่น  สี่พันหลัก  ปักรอบเมือง
เปรียบเสมือน  เครื่องเตือนใจ  ให้ระวัง

ครั้นสำเร็จ  เสร็จพร้อม  ฉลองใหญ่
แผ่บุญไป  ใกล้ไกล  ได้สุขสันต์
ทั่วถิ่นแคว้น  อโศก  สมโภชกัน
เช้ายันค่ำ  วันแลคืน  รื่นเริงใจ
กำหนดงาน  พิธี  มีต่อเนื่อง
เจ็ดปีเดือน  เจ็ดวันครบ  จึงจบได้
ร่วมเถลิง  เริงสราญ  ชื่นบานใจ
ให้ลือลั่น  สนั่นไกล  ไปทั่วแดน
ทรงบัญชา  เสนา  มหาอำมาตย์
มวลนักปราชญ์  ปราดเปรื่อง  กระเดื่องแคว้น
เข้าปรึกษา  หายาม  ตามสำแดง
ติดแถลง  แจ้งประกาศ  ให้ทราบกัน
แม้ยามนอน  มหิธร  ยังตรองกิจ
ปลื้มปีติ  ตริงาน  พลางสรวลสันต์
ฉับพลันภาพ  มารผุด  สะดุดพลัน
ให้ไหวหวั่น  พรั่นอก  หมดสำราญ

จึงเสด็จ  อาราม  ถามพระสงฆ์
เรื่องกังวล  ลนใจ  ให้เกรงขาม
จักเป็นดั่ง  นิมิต  พิศเห็นมาร
ฤาฟุ้งซ่าน  พล่านจิต  คิดไปเอง
องค์สงฆ์ใหญ่  ได้ฟัง  คำทรงภพ
จึงกำหนด  จดจิต  เพ่งพิศเห็น
พญามาร  พาลกล้า  น่ากลัวเกรง
ลอยมาเด่น  เป็นลางร้าย  กล้ำกรายงาน
จึงเอื้อนตอบ  บอกเอ่ย  เฉลยไข
ถึงมารภัย  ใจกล้า  น่าเกรงขาม
เข้ากวนแน่  วุ่นวายแท้  แต่เริ่มงาน
ยากพ้นผ่าน  ต่างต้องเห็น  เป็นแน่นอน
แล้วจึงเล่า  เรื่องราว  เท้าความหลัง
ครั้งเมื่อยัง  ท่านครู  อยู่สั่งสอน
โปรดเวไนย  ให้สลัด  ตัดทุกข์รอน
ขนรื้อถอน  ผองบาป  ให้ขาดใจ
มีอยู่หน  ทศพล  ทรงปรารภ
ถึงพยศ  กบดาน  มารวิสัย
ภายหน้าจัก  กลับมา  แก้ปราชัย
ที่แพ้ไว้  เพราะใจ  ไกลจากธรรม
เนื่องจากเหตุ  กิเลสหนุน  คุกรุ่นจิต
เฝ้าตรองตริ  เรื่องผ่าน  พล่านหุนหัน
ยิ่งกาลล่วง   ช่วงโชติ  โกรธครอบงำ
ล่วงถลำ  หันออก  นอกทางไป
แลครั้งนั้น  ท่านว่ามี  ศรีภิกษุ
อุปคุต  ลือนาม  หาญผลักไส
กำราบมาร  พาลพ่าย  ทั้งกายใจ
จนจิตคลาย  หน่ายบาป  เอิบอาบธรรม
องค์ภูมี  ปรีดิ์เปรม  เกษมสุข
ปลดเปลื้องทุกข์  หลุดไป  ใจสุขสันต์
เอ่ยดำรัส  ตรัสถาม  สมภารพลัน
อรหันต์  ล้ำเลิศ  ประเสริฐคุณ
ท่านจำวัด  พักค้าง  อารามไหน
ไม่เห็นใคร  พูดกล่าว  ราวสาบสูญ
ขออาจารย์  วานตอบ  บอกเอาบุญ
แม้นจักยุ่ง  วุ่นหา  จักฝ่าไป
องค์เถระ  ศักดิ์สูง  ประยูรสงฆ์
ก็เกินพ้น  สามารถ  มิอาจไข
จึงตรัสสั่ง  ยังศิษย์  ทั่วทิศไป
รีบรวมกลุ่ม  ประชุมใหญ่  โดยไวพลัน

ลำดับนั้น ธรรมสภา มากหน้าสงฆ์
มีหลายองค์ ทรงถึง ซึ่งอรหันต์
ต่างเพ่งฌาณ ควานหา ให้พัลวัน
จนกระทั่ง พลันรู้ ท่านอยู่ใด
สังฆราช ครั้นทราบ ไม่ยากสั่ง
ให้สองท่าน ลือลั่นฤทธิ์ ลูกศิษย์ใหญ่
จัดจีวร จรพลัน ในทันใด
อย่าไถล ไกลออก นอกเส้นทาง
สองเถระ รับฟัง คำโอวาท
ถอยหลังกราบ จากไป ไม่ท้วงถาม
กลับห้องหับ จัดเสบียง เตรียมเดินทาง
บาตรบริขาร ย่ามขัน พลันยาตรา
กำหนดทิศ คิดไป ไว้เป็นหลัก
ไม่เลี่ยงหัก ตัดตรง แม้นดงผา
อาคเนย์ ไม่เหออก นอกมรรคา
สองมหา ฝ่าเผชิญ ดำเนินไป

ผ่านตลาด มากร้าน ย่านการค้า
แผงเสื้อผ้า  ปลาผัก  สัตว์น้อยใหญ่
แถวถ้วยโถ  โอชาม  วางเรียงราย
ผลไม้ หลายหลาก  เห็นอยากชิม
เสียงพ่อค้า ร้องหา ลูกค้าเอะอะ
เสียงปี่กรับ ขับคลอ  ร้องขอสิน
เสียงตะโกน  ทโมนดัง  ฟังได้ยิน
เสียงคนทิ้ง อายสิ้น วิ่งขอทาน
จนเลยล่วง ช่วงปลาย ท้ายถนน
เริ่มเห็นดง ไม้ใหญ่ แผ่ไพศาล
ให้ระรื่น ชื่นตา พาชื่นบาน
บ้านเริ่มห่าง กว้างไกล ไม่ใกล้กัน
พอเย็นย่ำ ค่ำพลบ จุดคบไต้
หยุดพักกาย ชายชัฎ พักธาตุขันธ์
เข้าสมาธิ ตริตรึก ฝึกฝนธรรม
เช้าผลุนผลัน  พลันลุก บุกฝ่าไป

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : masapaer, Nok

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

13 สิงหาคม 2024, 08:08:AM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #1 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 08:08:AM »
ชุมชนชุมชน

ผ่านทุ่งแฝก แพรกหญ้า คาขนัด
มาพบปะ กับดง วงศ์ไม้ใหญ่
มะค่าคูน พะยูงสัก มะพลับไทร
เต็งรักใหญ่ ไข่เน่า กันเกรารัง
กระโดนกร่าง ยางกว้าว ช้างน้าวฝาง
แดงแข้งกวาง จันทน์ตะโก โพธิ์มะกล่ำ
ต่างสูงเสียด เบียดแข่ง แย่งแสงกัน
ดูแล้วพรั่น หวั่นใจ ให้พิกล
พอเลยพ้น ดงไม้ น้ำลายสอ
มะปริงยอ  ตะคร้อปรู  พรูดอกผล
มะตาดประ  พะวา  หว้ามะยม
ฝรั่งส้ม  สาลี่  มีมากมาย
พันธุ์มะม่วง นวลแตง งาแดงล่า
คำจำปา กาละแม แลไสว
คุมันแห้ว แก้วลืมคอน ทองทวาย
ทูลถวาย สายฝน ปนลูกกลม
ผลไหนงอม หอมหวาน ซาบซ่านจิต
ลิงค่างปลิด บิแบ่ง แย่งกันขรม
ผลไหนอ่อน ค่อนดิบ จิกไม่ลง
เขวี้ยงทับถม จมดิน ทิ้งมากมาย
หมู่นกกา ถลาร้อง ก้องไพรป่า
แก้วจิกกา  แย่งหว้ากิน  บินโฉบฉาย
กวางเหลียวหลัง หันดู หมูเกือกทราย
เจ้าลายใกล้ กรายย่อง จ้องมองกวาง
หมีหมาป่าย ไต่คบ พบรวงผึ้ง
กระชากดึง ทึ้งกิน ชิมรสหวาน
มดแดงเขลา เฝ้าแล  ชะแง้นาน
พลาดรสหวาน ฝันค้างคอย พลอยเสียดาย
ผ่านไม้ผล ดงใหญ่ ใคร่ทรุดเข่า
มองเห็นเขา ยาวยืด เป็นพืดสาย
ตระหง่านล้ำ ค้ำฟ้า สุราลัย
ข้ามช่องไหน  ช่างกระไร  หนักใจเจียว
ถึงเขาขวาง แต่สองท่าน ไม่พรั่นหยุด
ต่างเร่งรุด บุกไต่  ตะกายเลี้ยว
มือเหนี่ยวน้าว เท้ายัน เข้ากันเชียว
เพียงประเดี๋ยว เดียวเผ่น ไม่เห็นเลย
พอหลุดผา หน้าจ้อง  มองตระหนก
แสนวิตก อกใจ ใคร่เฉลย
ผืนทรายห้อม ล้อมปิด ทุกทิศเลย
ยากจักเผย  เอ่ยปาก ลำบากทน

สองมหา ฝ่าฟัน ประจัญบุก
ผ่านทะลุ ทุกด่าน พลางสุขสม
ถึงสมุทร สุดไกล ไร้ผู้คน
จึงหยุดปลง บริขาร สำราญใจ
นั่งชายหาด อาบลม ชมเกลียวคลื่น
ฟังเสียงครืน ชื่นจิต พิสมัย
ความลำบาก ตากตรำ ที่กรำกาย
ก็มลาย หายหลุด ช่างสุขจริง
พอกำลัง วังชา กลับมาหมด
จิตกำหนด จดใจ ในกสิณ
จ้องเขม็ง เพ่งไป ในวาริน
กระแสสินธุ์ พลันนิ่งแยก แตกเป็นทาง
เกิดมรรคา แทรกผ่า มหาสมุทร
สองสงฆ์บุก รุดไป ไม่เกรงขาม
พอคล้อยผ่าน น้ำบรรจบ กลบหลังตาม
ถึงกึ่งกลาง ชลาลัย ให้ลานตา
เห็นสัต พิธรัตน์ ประดับปราสาท
งามพิลาส วาบวาว พราวแสงจ้า
ไพฑูรย์เพชร ทับทิม กลิ้งกลอกตา
ทองประพาฬ มุกดาเงิน ชวนเพลินมอง
ซุ้มทวาร บานใหญ่ วิไลนัก
แกะสลัก ยักษ์ลิง สิงห์ไกรสร
เหมราช นาคกบิล กินนร
เทพอัปสร มกรม้า สัมพาที
โตพารณ พรหมพงศ์ ดุรงค์พยัคฆ์
วิรูปักษ์ ทักทอ นรสีห์
ติณสีหะ สดายุ ครุฑอินทรี
ต่างเปล่งสี มีประกาย ลวดลายบัน
ผ่านทวาร ถึงกลาง ปรางค์ปราสาท
ใจหายวาบ เห็นซากมี บนที่นั่ง
ผอมหนักหนา ผ้าขาด ขัดตะหมาดภวังค์
พริ้มตานั่ง บัลลังก์ทอง ผ่องอำไพ
สองครูบา หันมา สบตาคิด
ก่อนจักปริ ปากเอ่ย ภิเปรยไข
ถึงโทษทัณฑ์ ท่านมุนี มีติดกาย
เนื่องมิได้ ใกล้หมู่ อยู่สามัคคี
อาวุโส ขาดอุโบสถกับสงฆ์
มาปลีกองค์ ปลงกาย คล้ายหน่ายหนี
เช้าจดค่ำ นั่งสบาย ใต้นที
ลืมหน้าที่ พี่น้อง ครรลองธรรม
จึงสงฆ์เห็น เป็นผิด ติดอาบัติ
ต้องโทษปรับ เข้าผลักมาร จ้องหยามหยัน
อย่าให้กวน ป่วนที่ พิธีกรรม
ขอองค์ท่าน รับคำ แล้วดั้นจร
อรหันต์ ลือลั่น สนั่นฤทธิ์
ฟังครูบา ตำหนิ จิตคลายถอน
ออกสมาธิ พิศมหา เพ่งตามอง
ไม่ยอกย้อน ยอมความ ตามกลับไป

ถึงวันงาน งามฤกษ์ เปิดสโมสร
พสกนิกร พร้อมพรั่ง ต่างหลั่งไหล
รอเสด็จ นโรดม พระทรงชัย
ณ ลานใหญ่ ใกล้ปะรำ ทำพิธี
ได้เวลา ยาตรพล สถลมารค
อโศกราช อาจอง สมศักดิ์ศรี
ห้อมล้อมทวย อำมาตย์ ปราชญ์มากมี
ดุจโกสีย์ เทวราช มากเดชา
ริ้วขบวน ส่วนหน้า กองม้าแกร่ง
แต่งชุดแดง แกมชมพู ดูสง่า
ถัดสังคีต ดุริยางค์ ย่างตามมา
งามเจิดจ้า ชุดผ้าขาว ก้าวบรรเลง
พลเดินเท้า พราวระยับ ช่างจับจิต
เกราะสัมฤทธิ์ สนิทกาย เลื่อมพรายเห็น
มือกุมดาบ พาดบ่า น่ายำเกรง
ตบเท้าเน้น เห็นพร้อม  กึกก้องไกล
ราชรถ โสฬสม้า ตามมาห่าง
เว้นช่องว่าง รถสมภาร อาจารย์ใหญ่
บริพาร นางกำนัล คันถัดไป
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
พอถึงหน้า พลับพลา รถม้าหยุด
นริศลุก ผุดลง ตรงเข้าหา
แท่งเจดีย์ ที่สลัก หลักธัมมา
จุดบูชา ประทีปเสร็จ เสด็จปะรำ
นั่งประธาน งามเด่น เห็นสง่า
ปวงประชา หน้ารื่น ชื่นสุขสันต์
เปลวเทียนไข สยายแสง แรงแข่งกัน
เหมือนหนึ่งดัง ธรรมเรืองโรจน์ โชติตระการ

ณ เวลาเดียวกัน เบื้องชั้นหาว
มรุเจ้า ท้าวมาร จางสุขสันต์   
ตั้งแต่พ่าย องค์บพิตร พิชิตมาร
ก็ฟุ้งซ่าน พล่านจิต คิดเอาคืน
ครั้นทราบกาล งานพิธี มีกำหนด
ธ ปรารภ สบถไป ใจครึกครื้น
ครั้งนี้แล จักขอแก้ แพ้กลับคืน
เปลี่ยนพลิกฟื้น คืนเห็น เป็นมีชัย
จึงวันงาน พานแผลง สำแดงเดช
ยังอาเพศ เสกลม ฮือโหมใส่
ฟ้าสลัว  มัวแสง แห่งเทียนชัย
มวลไม้ใหญ่ สั่นไกว ไปตามลม
สายวิชชุ ปะทุแตก แลบพรึบพรับ
แทรกสลับ กับฟ้าก้อง คะนองขรม
บัดเดี๋ยวเปรี้ยง เสียงฟาด วาบจ้าจน
ไท้ผู้คน อลหม่าน พลุ่งพล่านใจ

บัดนั้น…
อุปคุต ผุดผ่อง ผู้ต้องโทษ
มองฟ้าโกรธ พิโรธผ่า น่าสงสัย
จึงกำหนด จดจิต เพ่งพิศไป
เห็นมารใหญ่ ในนิมิต คิดก่อกวน
พระคุณเจ้า เฝ้ามาร พาลสับปลับ
ทรงตบะ เดชะยิ่ง ศีลครบถ้วน
พลันออกโอษฐ์ โจษแก้ ลมแปรปวน
ขอจงหวน ทวนกลับ หายดับไป
กาลบัดนั้น ฟ้ามืดดำ ฉับพลันขาว
พร่างสกาว วาวงาม อร่ามใส
แสงเทียนที่ หรี่คล้อย พลอยกลับกลาย
เปลี่ยนเป็นใหญ่ ประกายเปล่ง เด่นกว่าเดิม
มวลประชา เห็นลมบ้า ล้าสงบ
คลายวิตก อกใจ ให้ฮึกเหิม
ก้องไชโย โห่รับ กลับเหมือนเดิม
ต่างรื่นเริง เพลินงาน สำราญใจ
ท้าวพาลา หน้าฉงน พิกลแท้
ใครหนอแน่ แก้มนต์ ของตนได้
เห็นสงฆ์แก่  แลประจัน พลันเข้าใจ
จึงโกรธใหญ่ ร้องท้าไป ได้เห็นกัน
บัดนั้น พญามาร พลุ่งพล่านจิต
บันดาลฤทธิ์ นิมิตกาย ให้กลายผัน
เป็นโคถึก คึกกระโดด โลดแล่นพลัน
ควบตะบัน ดุดันบ้า ฝ่าพิธี
องค์เถระ พรักพร้อม ไม่ยอมช้า
แปลงกายา ถลาติด ประชิดรี่
เป็นพยัคฆ์ สกัด  ดักคาวี
โคบัดสี หันรีเบ้ เหทิศทาง
เจ้าเสือโคร่ง โฮ่งคำราม โจนตามติด
วััวตีนขวิด จิตสั่น พรั่นเกรงขาม
สะดุดพื้น ลื่นถลอก ออกนอกทาง
วิ่งตาลาน หางชี้ หนีห่างไกล
มารเคืองแค้น แปลงเห็น เป็นพญานาค
ส่ายผงาด วาบเพชร เกล็ดวาวใส
มีเจ็ดเศียร เวียนสลับ ฉกกลับไป
พยัคฆ์ใหญ่ ไวเหลือใจ กลายสุบรรณ
ครุฑสยาย คลายปีก หลีกเลี่ยงหลบ
นาคเวียนฉก ประกบตาม ไม่ห่างหลัง
กาศยป ผงกพลิก จิกศอพลัน
นาคาพลั้ง ถลำพลาด ถูกคาบไป
ห้อยนภา ถลาร้อง ท้องเกลียวบิด
ปากครุฑจิก มิดโคน เลือดข้นไหล
หมดแรงดิ้น สิ้นแรงสู้ งูกลับกลาย
เป็นยักษ์ร้าย กายป่อง พองนัยน์ตา
ควงกระบอง ทองแดง กวัดแกว่งโผน
ก้องตะโกน โจนถึง ขมึงหน้า
ไม่เอ่ยคำ รำไหว้ ให้เสียเวลา
เพียงพริบตา ยักษากราด ฟาดระนาว
ท้าวเวนไตย ไถลหาย กลายยักษ์บ้าง
สูงตระหง่าน กร่างพอง ถึงสองเท่า
โถมเข้าหา ยักษามาร พลางฟาดเอา
ด้วยแท่งเสา ยาวใหญ่ ใส่กบาล
ยักษาเตี้ย เสียขวัญ ไม่ทันหนี
ถูกหวดตี ศีรษะลั่น สั่นทั้งร่าง
ทรุดทาบดิน สิ้นกำแหง แปลงกลับมาร
นั่งหน้าม้าน ทนหยามหลู่ อดสูใจ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : masapaer

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

13 สิงหาคม 2024, 08:09:AM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« ตอบ #2 เมื่อ: 13 สิงหาคม 2024, 08:09:AM »
ชุมชนชุมชน

เมื่อนั้น…
อุปคุต พุทธวงศ์ ทรงเดชะ
คลายตบะ กลับร่าง อร่ามใส
เป็นภิกษุ ผุดผ่อง มองจ้องไป
ท้าวมารใหญ่ ให้ตกใจ ใคร่ไกลลา
พระคุณเจ้า ย่างเท้า เข้าไปใกล้
พร้อมมาลัย ไหม้ช้ำ ดำคร่ำคร่า
พันอสุภ สุนัขเน่า เคล้ามาลา
เหม็นหนักหนา น่าขย้อน หนอนชอนไช
พอถึงคล้อง ล้อมซุก ทุคันธชาติ
แสนอุบาทว์ อุจาดคอ ผูกศอไว้
พร้อมประกาศ คาดโทษ อุโฆษไป
แม้นผู้ใด ไพร่พรหม ยมเทวัญ
ก็มิอาจ ดึงขาด  กระชากได้
หมดทางคลาย สลายฤทธิ์ ประสิทธิ์มั่น
ปล่อยคาค้าง ประจาน เนิ่นนานวัน
เพื่อให้จำ ระวังจิต ไม่คิดพาล
แล้วเอ่ยปาก ตวาดคำ ลั่นตะเพิด
มารเตลิด เปิดอ้าว ไม่กล่าวขาน
แสนอับอาย ขายหน้า สิ้นท่าพาล
เหาะลนลาน ซานไป ไร้ที่พิง

เมื่อนั้น มารผยอง อ้อนวอนไหว้
เทพมากมาย ช่วยคลายมนต์ ลุกลนวิ่ง
บากหน้าขอ ง้อกราบ ฟุบทาบดิน
ไร้ศักดิ์สิ้น ผินไหน ใครก็เมิน
จำฝืนทน ตรงหา ท้าวมหาราช
ผู้เก่งกาจ มากล้น คนสรรเสริญ
ให้ช่วยดึง ทึ้งบาศ อุจาดเหลือเกิน
สิ้นขวยเขิน สะเทิ้นอาย ขายหน้าทน
สี่เทวัญ ชั้นฟ้า หน้าละห้อย
อ้างฤทธิ์ด้อย ต่ำต้อยนัก ศักดิ์ไม่สม
ไร้สามารถ มิอาจ  แก้สาปมนต์
ขอพระองค์ ตรงยัง ท่านอมรินทร์
มารผิดหวัง ร่ำลา เหินฟ้าจาก
น้ำตาอาบ บากหน้า หามหินทร์
ครั้นพอปะ  มเหสักข์ กลับได้ยิน
ท้าวสุรินทร์ ก็สิ้นกล จนปัญญา
จึงขึ้นหา ยามา ราชาเทพ
ถูกปฏิเสธ เจ็บซ้ำ พลันหนีหน้า
แวะดุสิต ผิดหวังอีก หลีกอำลา
ถึงนิมมา ปรนิม สิ้นถิ่นพรหม
ทั่วเทวัญ ชั้นฟ้า เทวาสถิต
หาคลายฤทธิ์ ประสิทธิ์กล้า วาจาสงฆ์
มารท้อแท้ แพ้พ่าย เหนื่อยหน่ายปลง
จึงเหาะลง ตรงหา ครูบาพลัน

บัดนั้น พญามาร ผู้พาลผิด
ก้มหน้าชิด ติดเข่า เศร้าโศกศัลย์
สิ้นพยศ หมดลาย คลายดุดัน
เซื่องซึมนั่ง ยังหน้า มหามุนี
เฝ้าออดอ้อน วอนคำ พร่ำขอโทษ
โปรดคลายโกรธ งดทัณฑ์ ท่านฤาษี
ได้กุศล ผลบุญ  หนุนบารมี
ขอจงคลี่ คลายบาศ ให้ขาดไป
อรหันต์ ฟังมาร พานหัวร่อ
บอกตนพอ ไม่ง้อบุญ  มาหนุนใส่
มีแต่ท่าน ซิหน้าหมอง บุญพร่องไป
ลุกขึ้นไว อย่าพิไร ไสหัวเดิน
แล้วกระชาก ลากทึ้ง กึ่งบังคับ
มารผงะ ศีรษะหงาย กายงกเงิ่น
พระคุณเจ้า ก้าวยาว สาวเท้าเดิน
ราพณ์สิ้นเขิน เดินคอตก สงบไป
ถึงผาตรง สงฆ์แก่ พลันแก้ปลด
สายประคต  รัดอกท่าน  พันรอบไหล่
มัดมารพาล  บันดาลอ้อม  ล้อมรอบไป
โอบไศล ตรึงไว้ ให้ทรมาน
แล้วภิเปรย  เอ่ยซ้ำ ย้ำกรอกหู
ท่านจงอยู่ คู่ผา อย่ายุ่มย่าม
หยุดดิ้นรน  อดทน  จนครบกาล
ครั้นงานผ่าน ตามกำหนด ถึงปลดคลาย
จบวาจา สงฆ์ชรา ก็ลากลับ
เข้าห้องหลับ ดับทุกข์ สุขเหลือหลาย
ฝ่ายท้าวมาร อกลาญยอก นั่งทอดกาย
สุขเหือดหาย  ใจท้อ  ทรมาน

เมื่อนั้น วสวัตตี ให้มีจิต
คะนึงคิด ทิพสมบัติ พักตร์หมองหมาง
ชั้นปรนิม สิ้นเทียบ  จักเปรียบปาน
ล้วนโอฬาร ตระการตา น่าภิรมย์
ไร้เหลือบยุง บุ้งริ้น กัดกินเนื้อ
ห่อนร้อนเหลือ เหงื่อไคล ไหลหมักหมม
ผิวไม่ด้าน กร้านแตก ด้วยแดดลม
บ่ต้องทน  ท้องหิว  ไส้กิ่วครวญ
ทุกทิวา ราตรี มีแต่สุข
ปราศเรื่องทุกข์ สนุกไป ในแดนสรวง
เสียงรูปรส  ครบครัน  ชื่นฉ่ำทรวง
ต่างเย้ายวน ชวนเพลิน เจริญใจ
แต่บัดนี้ นี่กระไร ไฉนเล่า
มานั่งเศร้า  เฝ้าผา น่าสงสัย
ต้องยืนร้อน นอนหนาว รวดร้าวใจ
ทำอย่างไร ให้ประคต  ขาดปลดคลาย

บัดนั้น พญามาร ร้าวรานจิต
หวนนึกคิด ภาพติดตา พาใจหาย
ครั้งพุทธองค์ ทรงสอน ผองเวไนย
ไม่ใจร้าย ละม้ายศิษย์ ผิดลงทัณฑ์
เคยกำแหง แผลงฤทธิ์ คิดโอ้อวด
เคยผนวก พวกพาล รุกรานท่าน
เคยจาบจ้วง วาจา น่าชิงชัง
เคยเกือบพลั้ง ผิดฆ่า บ้างมงาย
พระไม่เคย เอ่ยคำ ให้ช้ำจิต
ไม่ตำหนิ ติโกรธ โจษเสียหาย
ไม่สัมผัส จับต้อง ให้หมองกาย
ทรงอภัย ให้ทุกครั้ง ซ้ำเมตตา
แต่ครูบา บ้าฤทธิ์ ผิดสมณะ
ไม่ปล่อยปละ ละเว้น เห็นแก่หน้า
ทั้งกรรโชก โขกสับ จับตรึงตรา
ทั้งดุด่า ว่าซ้ำ ให้ช้ำใจ
มารกำสรวล ครวญคร่ำ พร่ำแต่กล่าว
ถึงเรื่องราว คราวหลัง รำพันไห้
จนปีเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลล่วงไป
ความแค้นใจ ก็มลาย หายหมดพลัน

ได้กำหนด ครบกาล ตามสัจจะ
องค์เถระ นัดมาร พลางผลุนผลัน
ออกสำนัก ลัดพง ตรงไปยัง
ผาคุมขัง กำบังแอบ แนบตามอง
เห็นมารตรม  ซมเศร้า ดูเหงาจิต
นั่งดำริ  ตริธรรม  กรรมสนอง
ฉุกคำนึง ถึงบุญใหญ่ เคยใฝ่ปอง
เอ่ยซ้ำสอง ร้องคำ ร่ำรำพัน
ผิเบื้องหน้า บุญมี ราศีส่ง
ขอเหมือนองค์ ทรงพิสุทธิ์ ผุดผ่องขันธ์
มีเมตตา พาสัตว์ สลัดกรรม
ไม่หุนหัน ดุดันโกรธ ลงโทษใคร
อรหันต์ ฟังความ มารปรารภ
เผยปรากฏ ปลดบาศ ขาดหลุดหาย
แล้วออดอ้อน วอนง้อ ขออภัย
ที่ทำไป หวังไท ไร้จิตพาล
เพื่อประโยชน์ จึงโปรดองค์ ทรงดำริ
ปราบทิฐิ จิตคลาย  หน่ายสงสาร
จนเอ่ยปาก ปรารถนา หานิพพาน
ใช่รอนราญ หยามองค์ ทรงตรองดู
บัดนี้ทรง ตรงเที่ยง ไม่เบี่ยงผัน
จิตมีธรรม ค้ำใจ ไม่อดสู
ถือสำเร็จ เสร็จความ ตามคำครู
ที่ทรงรู้ คู่กรรม อุปถัมภ์มา
นับแต่นี้ เห็นที ต้องลี้จาก
จำใจพราก ยากพบ ประสบหา
ก่อนจากกัน ขอมารท่าน นั้นเมตตา
คลายกังขา คามี ที่ในใจ
ขอพระองค์ ทรงแสดง แปลงรูปร่าง
ทั่วสรรพางค์ งามเด่น เป็นไฉน
ดุจวิสุทธิ์ พุทธวงศ์ องค์จอมไตร
ให้ราษฎร์ไท้ ได้เห็น เป็นบุญตา
เนื่องมีท่าน เท่านั้น ที่ทันกราบ
องค์จอมปราชญ์ ผู้ประกาศ ศาสนา
ให้สมใจ หมายมาด อาตมา
ก่อนจากลา ลับไป ใจอาวรณ์
เจ้ากามา ยินวาจา ครูบากล่าว
น้ำตาพราว ร้าวอุระ  พักตร์หม่นหมอง
นึกอดีต บีบฤทัย ให้อาวรณ์
อกสะท้อน ตรองภาพ ศาสดา

เมื่อนั้น พญามาร ผู้ผ่านผิด
สิ้นทิฐิ ตริคำ พลันตอบว่า
ผิเกล้าแสร้ง แปลงกาย คล้ายศาสดา
ขอครูบา อย่ากราบ ให้บาปกรรม
อรหันต์ ฟังมาร พลางตอบรับ
แล้วรีบกลับ นคเรศ เข้าเขตขัณฑ์
ป่าวประกาศ ราษฎร์ไท้รู้ มาดูกัน
ชนพร้อมพรั่ง โจษจันก้อง ร้องดีใจ
มหาชน ล้นหลาม ตามเนืองหนุน
มาชุมนุม ณ ทุ่งหญ้า ชายป่าใหญ่
ทั้งกษัตริย์ สมณชี มีมากมาย
เสนาไพร่ ใกล้ไกล หลั่งไหลมา
ได้เวลา เทพราชา เทวาใหญ่
พลันแปลงกาย คล้ายพุทธะ  งามนักหนา
จรัสโฉม พระโคดม ทรงลีลา
เปล่งมหา ปุริสลักษณ์ ประทับใจ
พระฉัพพรรณ รังสี มีโอภาส
งามพิลาส วาบจิต พิสมัย
เจิดตระการ ยามมอง ผ่องอำไพ
เกินหาใด  จักเปรียบ  เทียบมุนินทร์
เบื้องซ้ายขวา โมคคัลลา สารีบุตร
ถัดภิกษุ ผุดผ่อง เรืองรองศีล
เหลืองอร่าม ย่างตาม ช่างงามจริง
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งชน องค์ศาสดา
อุปคุต พุทธบริษัท
พอประจักษ์ พักตร์เด่น เห็นเต็มหน้า
โลมชาติ ผงาดตั้ง ทั้งกายา
น้อมบูชา วันทากราบ บาทยุคล

บัดนั้น…
วสวัตตี มีใจ ให้พลุ่งพล่าน
รีบคืนร่าง กลับกลาย คลายสับสน
เป็นท้าวมาร  พลางตรัส  กับฝูงชน
อย่ากราบตน  เดี๋ยวบาปมาก  ยากแก้คลาย
พระคุณเจ้า กล่าวไข กระไรบาป
ผู้คนกราบ เอิบอาบจิต พิศสมหมาย
กลับเป็นบุญ หนุนท่าน นั้นมากมาย
ขออย่าได้ งมงายเขลา จงเข้าใจ
ท่านทนทุกข์ ขลุกอยู่ คู่ผานี้
ผ่านราตรี  ทิวา  พาหมองไหม้
ยามค่ำหนาว ยามเช้าร้อน ทอดถอนใจ
เหลือบริ้นไร ไต่ตอม ต้องยอมทน
หิวแสนหิว ไส้กิ่ว หน้านิ่วอด
ทุกข์รันทด อกใจ ไม่สุขสม
กลับเคี่ยวกรำ ทำให้ คลายตัวตน
จิตผ่านพ้น ปลงอาฆาต สิ้นบาปกรรม
บัดนี้ถึง ซึ่งครา อำลาจาก
ขออราธนาบุญ ผดุงท่าน
จงสิ้นทุกข์ สุขสราญ ชื่นบานธรรม
สมดั่งลั่น คำถึง ซึ่งพุทธภูมิ
จอมสวรรค์ ชั้นมาร พานก้มกราบ
แทบสองบาท ปราชญ์มุนี อารีหนุน
แล้วเหาะฟ้า ลาไป ใจอาดูร
กลับเบื้องสูง มุ่งยัง… ชั้นปรนิม
₀ O ₀

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : masapaer

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s