โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๔ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
16 มกราคม 2025, 10:39:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๔ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 3898 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
05 สิงหาคม 2024, 04:03:PM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 05 สิงหาคม 2024, 04:03:PM »
ชุมชนชุมชน

ลำดับนั้น  เทวี  มีดำรัส
เล่าตามสัตย์  ตรัสความ  พรานสงสัย
ย้อนภพชาติ  มากแค้น  ฝังแน่นใจ
ครั้งคชใหญ่  ทำลาย  น้ำใจนาง
ในครานั้น  ฉัททันต์  ทำช้ำเหลือ
ไม่จุนเจือ  เบื่อเรา  เคล้านางสาง
เพียงมหา  สุภัททา  คชาธาร
ทิ้งเราคว้าง  เคว้งเศร้า  เฝ้าตรอมใจ
จนโชคหนุน  บุญพา  วาสนาส่ง
มีเหล่าพงศ์  วงศ์พุทธะ  คณะใหญ่
เที่ยวแรมรอน  นอนค้าง  ไม่ห่างไทร
กรีน้อยใหญ่  ดีใจ  ได้ทำบุญ
แลครั้งนั้น  เราตั้ง  มุ่งมั่นจิต
หน้าอามิส  อุทิศทาน  อภิบาลหนุน
ขอบุญนำ  อำนวย  ช่วยเจือจุน
แก้แค้นสุม  รุมใจ  ให้ได้เทอญ
เหตุฉะนั้น  พรานท่าน  อย่าพรั่นจิต
ปลุกความคิด  พลิกใจ  ให้ฮึกเหิม
ออกดั้นด้น  ดงป่า  ฝ่าดำเนิน
อย่าช้าเนิ่น  เร่งเดินทาง  ตามคชินทร์
หากพิฆาต  นาคสาร  ล้มช้างได้
ข้าจักให้  ไพร่ทาส  มากทรัพย์สิน
เรือกสวนไหน  ใจชอบ  มอบทำกิน
พร้อมส่วยสินไหมนา  ห้าตำบล
พรานเถื่อนฟัง  ดำรัส  ตรัสบอกกล่าว
ให้ตาวาว  ขาวเหลือก  เกือบถลน
ปากอ้าหวอ  ฟันหลอโผล่  โอ่อวดคน
รีบผสมผเสตาม  นางบัญชา
จึงถามองค์  นงราม  งามเลิศลักษณ์
กิจวัตร  ดำรี  มีใดหนา
เช้าสายเป็น  เช่นไร  วานไขมา
เกล้าจักหา  เวลา  ฆ่าปลิดปลง
ท้าวสนม  สมจินต์  ยินพรานถาม
กำหนดการ  ยามท่อง  ล่องไพรสณฑ์
แลยามหลับ  พักบ่าย  คลายร้อนรน
ของเจ้าโขลง  มาตงค์  เป็นกลใด
จึงบอกพราน  ชำนาญดง  พงพนัส
ถึงข้อวัตร  หัสดี  มีไฉน
สายท่องหา  อาหาร  สำราญใจ
ลงสระใหญ่  บ่ายอ่อน  คลายร้อนรน
หลังขึ้นสระ  พักไทร  จวนใกล้พลบ
ราชาคช  หลบเลี่ยง  เสียงสับสน
ยืนเดียวดาย  ไกลหมู่  อยู่เพียงตน
ไร้พหล  พลพรรค  พิทักษ์กาย
เพลานั้น  ท่านจึง  ถึงโอกาส
เข้าพิฆาต  ปลาตลี้  หนีหลบหาย
พ้นนี้หมด  สบโอกาส  ยากกล้ำกราย
จักอุบาย  ลวดลายใด ให้คิดเอา

เมื่อนั้น..พรานไพร  ไตร่ตรอง  ตาพองคิด
ครุ่นดำริ  เหลี่ยมคู  ดูไม่เขลา
ต้องขุดหลุม  ซุ่มดิน  ลอบยิงเอา
ใกล้ลานท้าว  เจ้าคชา  คราผึ่งกาย
ครั้นนาเคศ  ผู้เอกหนึ่ง  ยืนผึ่งน้ำ
น้ำเป็นทาง  ลามดิน  แผ่รินไหล
ร่วงจากกาย  พลายตก  หยดดินไป
หล่นใส่หัว  ข้าเมื่อไร  ได้ตายพลัน
จึงยิ้มร่า  หน้าบาน  ลนลานหมอบ
คุกเข่าตอบ  บอกเจ้านาง  จางโศกศัลย์
เกล้าสัญญา  ได้งา  มากำนัล
โปรดสรวลสันหรรษา  ตั้งท่าคอย
พระเทวี  ดีใจ  ให้คลายเศร้า
กระปรี้กระเปร่า ทุเลาขึ้น  ไม่ซึมหงอย
ประทานทรัพย์  นัดพราน  เตรียมการคอย   
เจ็ดวันคล้อย  ค่อยเข้า  เฝ้าอีกครา

หลังส่งพราน  เจ้านาง  พลางรับสั่ง
ให้เหล่าช่าง  หนังเหล็ก  หลอมเหล็กกล้า
เป็นอาวุธ  ยุทธภัณฑ์  พร้อมนำพา
เลื่อยขวานพร้า  คมกล้า  ฝ่าป่าไพร
ถุงหนังใหญ่  ใส่สัมภาระหนัก
วางแถวจัด  มัดจุก  กันหลุดไหล
ถุงมือหนัง  เชือกหนัง  ตั้งเรียงราย
เสบียงพร้อม  กองไว้  ให้ลานตา
ได้กำหนด  ครบกาล  พรานเข้าเฝ้า
โกนผมเผ้า  เคราจอน  พร้อมอาสา
ดูแข็งแกร่ง  แรงเหลือ  เมื่อสบตา
องค์ชายา  พาชื่น  รื่นเริงใจ
แล้วตรัสให้  นางใน  ไปนำผ้า
เหลืองจับตา  สง่าชม  ชนหลงใหล
กาสาวพัสตร์  ตัดเสื้อ  เพื่อพรานไพร
ไว้สวมใส่  ในครา  ฆ่าฉัททันต์
ซ้ำตรัสย้ำ  กำชับ  กับพรานเถื่อน
อย่าลืมเลือน  เตือนพลาด  อาจอาสัญ
ใส่เสื้อพร้อม  ก่อนเจ้า  เข้าประจัน
รำลึกมั่น  จำไว้  ให้สังวร
พรานบังคม  ก้มกราบ  ถอยจากลุก
พร้อมจะบุก  รุกฝ่า   ป่าสิงขร
ยกถุงหนัง  หันกาย  ชายตามอง
รายเรียงล้อม  บริวาร  ชำนาญไพร
ได้ฤกษ์พลัน  ปากลั่น  จรัลเคลื่อน
เหล่าชาวเมือง  เลื่องลือ  อื้ออึงใหญ่
ขบวนเกวียน  รายเรียง  เสียงเอ็ดไป
ผ่านนิคม  น้อยใหญ่  ให้โจษจัน
จนสุดถิ่น  ดินแดน  แคว้นกาสี
เห็นคิรี  มีประหลาด  มากสีสัน
จึงหยุดเกวียน  เสบียงลง  คนแบกกัน
สู่ราวไพร  ไม่พรั่น  ดั้นด้นไป

ผ่านทุ่งใหญ่  ไผ่แฝก  แพรกป่าแขม
ป่าไม้แก่น  ไม้เปลือก  แทรกเสือกไส
ผ่านป่าชัฏ  ลัดใต้  หนามหวายไป
ถึงเขาใหญ่  ไต่ทอย  ขึ้นดอยพลัน
(ภูเขาจุลลกาฬ)  ข้ามจุลล  มหากาฬ  นามบรรพต  (ภูเขามหากาฬ)
(ภูเขาอุทกปัสส)  ข้ามอุทก  ปัสสได้  ให้ใกล้ฝัน
(ภูเขาจันทปัสส)  ข้ามจันท  สุริยภู  สู้ทนกัน  (ภูเขาสุริยปัสส)
ข้ามมณี  ปัสสกั้น ไม่พรั่นใด  (ภูเขามณีปัสส)
ผ่านหกเขา  เหล่าพราน  ไม่คร้ามเข็ด
ถึงเทือกเจ็ด  เจ็ดโยชน์วัด  นับสูงได้
นามสุวรรณ  ปัสส  สลักใจ    (ภูเขาสุวรรณปัสส)
เจ้านางให้  ตั้งใจหา  ทอดตามอง
บนยอดสิงค์  ศิขริน  กินนรพัก
ถ้ำพำนัก  เกินนับได้  ให้สลอน
สูงเทียมรุ้ง  รุ่งสว่าง  กระจ่างมอง
เชิงสิงขร  มองไสว  ไทรใหญ่พราย
เจ้าพรานเถื่อน  เคลื่อนตา  เพ่งหายอด
กินนรลอด  เข้าออกถ้ำ  พลันลับหาย
พอแลเห็น  ใจเต้น  เร่งเผ่นกาย
มุ่งที่หมาย  ตะกายขึ้น  ทะลึ่งปีน
เหล่าบริวาร  ลนลาน  ติดตามลุก
บ้างสะดุด  ฟุบหมอบ  หน้าตอกหิน
บ้างถลำ  คะมำ  ทิ่มตำดิน
ลุกได้วิ่ง  กลัวทิ้งเดียว  เปลี่ยวเอกา
พรานฉกาจ  อาบเหงื่อ  เนื้อถลอก
แขนขายอก  ไม่มอดไฟ  ให้หรรษา
นึกถึงลาภ  มากมาย  หากได้งา
ฉีกยิ้มร่า  อุราเปล่ง  เร่งรีบปีน
พอถึงยอด  ทอดตา  พาตื่นเต้น
ไทรใหญ่เด่น  เห็นไกล  ใต้เงื้อมหิน
ลึกจากผา  สง่าสูง  เกินยูงบิน
ดูใหญ่ยิ่ง  มิ่งแคว้น  แดนหิมพานต์
เขียวระรื่น  ตื่นตา  พาเคลิ้มฝัน
ใบสะพรั่ง  บดบัง  ตะวันฉาน
กิ่งสยาย  รายรอบ  ครอบทุกทาง
วัดจากกลาง   สิบสองโยชน์  โอบจดกัน
มีม่านไทร  ใหญ่น้อย  ห้อยระย้า
ทอนประภา  คราพัก  พลายหลับฝัน
แปดพันย่าน  พร่างตา  เพลาวัน
ดุจสวรรค์  สรรค์สร้าง  ช่างสบาย
ห่างร่มไทร  สระใหญ่  ใสกระจ่าง
แลตระการ  ยามแดด  แผดแสงฉาย
ระลอกพลิ้ว  งามริ้ววาว  พราวประกาย
เห็นเหนื่อยหาย  คลายฟื้น  คืนเรี่ยวแรง
ทันใดนั้น  พื้นเลื่อนลั่น  ฉับพลันสว่าง
ระยับวาม  งามสี  มีหกแสง
แผ่จากงา  คชาเผือก  ไม่เคลือบแคลง
แข่งพันแสง  แรงเด่น  เปล่งประกาย
เจ้าคชใหญ่  ย่างกราย  ไปยังสระ
เคียงพารณะ  พธู  ดูสดใส
ฝูงบริวาร  ตามห้อม  ล้อมมากมาย
ยาวเป็นสาย  รายลิบ  ติดตามมา
ขรัวพรานไพร  ใจตรอง  พิศมองสาร
ครุ่นคิดวาง  ทางลง  กลใดหนา
ให้อึดอัด  ขัดใจ  ไร้มรรคา
ไต่ลงผา  หาไทร  ให้เงียบงัน
จึงทุกข์หนัก  นักหนา  ปัญหาใหญ่
จักลงไทร  อย่างไร  ใคร่สิ้นหวัง
หลบแอบกิ่ง  ไม้นอน  ซ่อนกายบัง
รอกระทั่ง  ช้างจากหมด  ปรากฏกาย
พอเห็นนก  ผกผิน  บินถลา
ร่อนทาบหล้า  ปัญญาผุด  ทุกข์หลุดหาย
คว้าร่มหนัง  สั่งลูกมือ  มาเร็วไว
ส่งถุงใส่  จอบคราด  แลศาสตรา
บอกลูกน้อง  ผองเจ้า  เฝ้าสิงขร
แล้วคอยหย่อน  ผ่อนเชือก  จากเทือกผา
กองบนดิน  สองวันสิ้น  ข้าลับตา
พร้อมรอท่า  ยื้อฉุด  เมื่อพลุดัง
หลังกำชับ  ซักซ้อม  พร้อมเสร็จสรรพ
เจ้าพรานตัด  ใจพลัน  กลับหันหลัง
เดินหาผา  ตามองไทร  ไม่อินัง
กางร่มหนัง  ถลันโดด  โลดลงไป
เสียงลมสี  ฉวีกาย   ให้ไหวจิต
ตั้งสติ  ดำริมุ่ง  พุ่งที่หมาย
แม้นถึงฆาต  ยากหลบ  ต้องตกตาย
แม้นไม่วาย  ชีวาตม์  ยากปลิดปลง
แรงลมพา  ถลาไป  ไกลที่มั่น
พรานรีบดัน  ร่มเบี่ยง  เปลี่ยนสับสน
เอียงร่มซ้าย  ย้ายขวา  หน้าหลังจน
ปรับผสม  ตรงแน่ว  เข้าแนวไทร
มองเห็นไทร  ใกล้กาย  คลายอึดอัด
ค่อยขยับ  ปรับตรง  ลงที่หมาย
ถึงยอดไทร  ไหวพรั่น  กลั้นหายใจ
มองข้างใต้  ไร้เงา  ผองเหล่ากรี
จึงถอนใจ  เฮือกใหญ่  คลายหืดหอบ
หยิบกระบอก  สอดร่มพับ  กลับเข้าที่
นั่งพักกาย  คลายล้า  หาวิธี
มองหาที่  ขัดห้าง  นั่งซ่อนกาย
ตกบ่ายแก่  แลไกล  ให้ใจหวั่น
เห็นฉัททันต์  ขึ้นน้ำมา  กายาใส
งาแพรวพราว  วาววับ  จับประกาย
เดินเฉียดใกล้  ไทรงาม  ไปลานเตียน
ปล่อยพลพรรค  พักไทร  ไม่พบปะ
ปลีกตนผละ  ละไป  ให้คลายเสียง
ย่างเดียวดาย  สบายนัก  ลมพัดเวียน
ไกลจากเสียง  สำเนียงร้อง  ผองเหล่ากรี
ถึงลานเตียน  เลี่ยนโล่ง  เจ้าโขลงหยุด
ไร้โคบุตร  ซุกซน  องค์หัตถี
สายลมไพร  ไหวระรื่น  ชื่นฤดี
ฟ้าอาบสี  แดงเรื่อ  สุขเหลือใจ
ท้าวฉัททันต์  เข้าภวังค์  ดื่มด่ำจิต
พริ้มตาปิด  สนิทเห็น  เช่นหลับใหล
น้ำเกาะกาย  รายริน  ซึมดินไป
เจ้าพรานให้  ไตร่ตรอง  จ้องมองพลัน
ไหลเป็นทาง  ลามดิน  ซึมสิ้นหาย
พรานเถื่อนชาย  ตาจ้อง  ต้องสรวลสันต์
แสยะยิ้ม  ฉัททันต์สิ้น  ไม่นานครัน
ปลงใจมั่น  นั่งคบ  หลับนกไป

ครั้นรุ่งสาย  พลายพล  มาตงค์เผ่า
พาฝูงเข้า  ราวป่า  ลับตาหาย
เจ้าพรานเห็น  เผ่นห้าง  ลงล่างไว้
เลือกต้นไม้  ใช้ขวาน  จามโดยพลัน
ตัดเป็นเสา  ราววา  ห้าหกท่อน
เลื่อยตัดทอน  รอนกระดาน  ตามทีหลัง
ไว้ประกับ  กับเสา  ยาวเท่ากัน
ถากเถาวัลย์  ฟั่นเปลือก  เป็นเชือกตรึง
แล้วขุดหลุม  รุนดิน  ทิ้งในป่า
ลึกหนึ่งวา  หน้าจตุรัส  ปักเสาขึง
ผูกคานรัด  มัดเสา  สี่เส้าตรึง
กระดานขึง  ทับคาน  ต่างหลังคา
เจาะกระดาน  กลางโหว่  โผล่หัวได้
เลื่อยแผ่นไม้  ไว้ปิดรู  ดูเหมือนฝา
ทายางไม้  ผิวบน  ขนดินมา
โรยทับฝา  ติดหน้าแข็ง  แกร่งเหมือนดิน
หยิบผ้ากา  สาวพัสตร์  มาผลัดเปลี่ยน
แกะข้าวเกรียม  เสบียงตาก  สากดั่งหิน
แช่น้ำชุ่ม  จนนุ่มจับ  ค่อยตักกิน
เสร็จลงนิ่ง  ในหลุม  ซุ่มพักกาย

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s