โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๔ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
05 ธันวาคม 2025, 02:16:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๔ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 8313 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
05 สิงหาคม 2024, 04:03:PM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 21



« เมื่อ: 05 สิงหาคม 2024, 04:03:PM »
ชุมชนชุมชน

ลำดับนั้น เทวี มีดำรัส
เล่าความสัตย์ ตรัสความจริง สิ่งสงสัย
ย้อนภพชาติ มากแค้น ฝังแน่นใจ
ครั้งคชใหญ่ ได้ทำลาย น้ำใจนาง

ในครานั้น ฉัททันต์ ทำช้ำเหลือ
ไม่จุนเจือ เบื่อเรา เคล้านางสาง
เพียงมหา สุภัททา คชาธาร
ทิ้งเราคว้าง เคว้งเศร้า เฝ้าตรอมใจ

จนโชคหนุน บุญพา วาสนาส่ง
มีเหล่าองค์ สมณ คณะใหญ่
ธุดงค์ชัฏ พักค้าง ข้างสระไพร
กรีน้อยใหญ่ ต่างดีใจ ได้ทำบุญ

ครั้งนั้นเรา กล่าวคำ มุ่งมั่นจิต
ขอสฤษฏ์ อามิสทาน อภิบาลหนุน
เกิดบุญนำ อำนวย ช่วยเจือจุน
แก้แค้นสุม รุมใจ ให้ได้เทอญ

เหตุฉะนั้น ขอท่าน ตั้งสติ
ปรับทิฐิ พลิกใจ ให้ฮึกเหิม
ออกดั้นด้น ดงป่า ฝ่าดำเนิน
อย่าช้าเนิ่น เร่งเดินทาง ตามคชินทร์

หากพิฆาต นาคสาร ล้มช้างได้
ข้าจักให้ ไพร่ทาส มากทรัพย์สิน
เรือกสวนไหน ใจชอบ มอบทำกิน
พร้อมส่วยสินไหมนา ห้าตำบล

พรานเถื่อนฟัง ดำรัส ตรัสบอกกล่าว
ตาเบิกวาว ขาวเหลือก เกือบถลน
ปากอ้าหวอ ฟันหลอโผล่ โอ่อวดคน
รีบผสมผเสตาม นางบัญชา

จึงถามองค์ นงราม งามเลิศลักษณ์
กิจวัตร ดำรี มีใดหนา
เช้าสายเป็น เช่นไร วานไขมา
เกล้าจักหา เวลา ฆ่าปลิดปลง

ท้าวสนม สมจินต์ ยินพรานถาม
กำหนดการ ยามท่อง ล่องไพรสณฑ์
แลยามหลับ พักบ่าย คลายร้อนรน
ของเจ้าโขลง มาตงค์ เป็นกลใด

จึงบอกพราน ชำนาญดง พงพนัส
ถึงข้อวัตร หัสดี มีไฉน
สายท่องหา อาหาร สำราญใจ
บ่ายสรงใน บึงใหญ่ คลายร้อนรน

หลังขึ้นสระ พักไทร จวนใกล้พลบ
ราชาคช หลบเลี่ยง เสียงสับสน
ยืนเดียวดาย ไกลหมู่ อยู่เพียงตน
ไร้พหล พลพรรค พิทักษ์กาย

เพลานั้น ท่านจึง ถึงโอกาส
เข้าพิฆาต ปลาตลี้ หนีหลบหาย
พ้นนี้หมด โอกาส ยากกล้ำกราย
จักอุบาย ลวดลายใด ให้คิดเอา



เมื่อนั้น… พรานป่า นัยน์ตาปิด
ครุ่นดำริ ตริเหลี่ยมคู ดูไม่เขลา
ต้องขุดหลุม ซุ่มดิน ลอบยิงเอา
ใกล้ลานท้าว คชา คราผึ่งกาย

ครั้นนาเคศ ผู้เอกหนึ่ง ยืนผึ่งน้ำ
น้ำเป็นทาง ลามดิน แผ่รินไหล
ร่วงจากกาย พลายคช หยดดินไป
หล่นใส่หัว ข้าเมื่อไร ได้ตายพลัน

จึงยิ้มร่า หน้าบาน ลนลานหมอบ
เอ่ยปากตอบ เจ้านาง จางโศกศัลย์
เกล้าสัญญา ได้งา มากำนัล
โปรดสรวลสันหรรษา ตั้งท่าคอย

พระเทวี ดีใจ ให้คลายเศร้า
กระปรี้กระเปร่า ทุเลาขึ้น ไม่ซึมหงอย
บอกขรัวพราน นางจักเตรียม เสบียงคอย
เจ็ดวันคล้อย ค่อยเข้า เฝ้าอีกครา



หลังส่งพราน เจ้านาง พลางรับสั่ง
ให้เหล่าช่าง หนังเหล็ก หลอมเหล็กกล้า
เป็นอาวุธ ยุทธภัณฑ์ พร้อมนำพา
เลื่อยขวานพร้า คมกล้า ฝ่าป่าไพร

ถุงหนังใหญ่ ใส่สัมภาระหนัก
วางแถวจัด มัดจุก กันหลุดไหล
ถุงมือหนัง เชือกหนัง ตั้งเรียงราย
เสบียงพร้อม กองไว้ ให้ลานตา

ได้กำหนด ครบกาล พรานเข้าเฝ้า
โกนผมเผ้า เคราจอน พร้อมอาสา
ดูแข็งแกร่ง แรงเหลือ เมื่อสบตา
องค์ชายา พักตราชื่น รื่นฤทัย

แล้วตรัสให้ นางใน ไปนำผ้า
เหลืองจับตา สง่าชม ยลหลงใหล
กาสาวพัสตร์ ตัดเสื้อ เพื่อพรานไพร
ไว้สวมใส่ ในครา ฆ่าฉัททันต์

ซ้ำตรัสย้ำ กำชับ กับพรานเถื่อน
อย่าลืมเลือน เตือนพลาด อาจอาสัญ
ใส่เสื้อพร้อม ก่อนเจ้า เข้าประจัน
รำลึกมั่น จำไว้ ให้สังวร

พรานบังคม ก้มกราบ ถอยจากลุก
พร้อมจะบุก รุกฝ่า ป่าสิงขร
ยกถุงหนัง หันกาย ชายตามอง
รายเรียงล้อม บริวาร ชำนาญไพร

ได้ฤกษ์พลัน พรานลั่น จรัลเคลื่อน
เหล่าชาวเมือง เลื่องลือ อึงอื้อใหญ่
ขบวนเกวียน เรียงแถว เป็นแนวไป
ผ่านนิคม น้อยใหญ่ ให้โจษจัน

จนสุดถิ่น ดินแดน แคว้นกาสี
เห็นคิรี มีประหลาด มากสีสัน
จึงหยุดเกวียน เสบียงลง คนแบกกัน
สู่ราวไพร ด้วยใจมั่น ดั้นด้นไป



ผ่านทุ่งใหญ่ ไผ่แฝก แพรกป่าแขม
ป่าไม้แก่น ไม้เปลือก แทรกเสือกไส
ผ่านป่าชัฏ ลัดใต้ หนามหวายไป
ถึงไศล ไต่ทอย ขึ้นดอยพลัน

(ภูเขาจุลลกาฬ) ข้ามจุลล มหากาฬ นามบรรพต (ภูเขามหากาฬ)
(ภูเขาอุทกปัสส) ข้ามอุทก ปัสสได้ ให้ใกล้ฝัน
(ภูเขาจันทปัสส) ข้ามจันท สุริยภู สู้ทนกัน (ภูเขาสุริยปัสส)
ข้ามมณี ปัสสกั้น ไม่พรั่นใด (ภูเขามณีปัสส)

ผ่านหกเขา เหล่าพราน ไม่คร้ามเข็ด
ถึงเทือกเจ็ด เจ็ดโยชน์วัด นับสูงได้
นามสุวรรณ ปัสส สลักใจ (ภูเขาสุวรรณปัสส)
เจ้านางให้ ไต่ผา ทอดตามอง

บนยอดสิงค์ ศิขริน กินนรพัก
ถ้ำพำนัก เกินนับได้ ให้สลอน
สูงเทียมรุ้ง รุ่งสี รัศมีทอง
เชิงสิงขร มองไสว ไทรใหญ่พราย

เจ้าพรานเถื่อน เคลื่อนตา เพ่งหายอด
กินนรลอบ ลอดถ้ำ พลันลับหาย
พอแลเห็น ใจเต้น เร่งเผ่นกาย
มุ่งที่หมาย ตะกายขึ้น ทะลึ่งปีน

เหล่าบริวาร ลนลาน ติดตามรุด
บ้างสะดุด ฟุบหมอบ พุ่งกอดหิน
บ้างถลำ คะมำ หน้าตำดิน
ลุกได้วิ่ง กลัวทิ้งเดียว เปลี่ยวเอกา

พรานฉกาจ อาบเหงื่อ เนื้อถลอก
หายใจหอบ ไม่มอดไฟ ให้หรรษา
นึกถึงลาภ มากมาย หากได้งา
ฉีกยิ้มร่า ตาวาวเปล่ง เร่งรีบปีน

ครั้นถึงยอด ทอดตา พาตื่นเต้น
ไทรใหญ่เด่น เห็นตระหง่าน ล่างเงื้อมหิน
ลึกจากผา สง่าสูง เกินยูงบิน
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งแคว้น แดนหิมพานต์

เขียวระรื่น ชื่นตา พาเคลิ้มฝัน
ใบปลาบมัน บดบัง ตะวันฉาน
กิ่งสยาย รายครอบ รอบทิศทาง
วัดจากกลาง สิบสองโยชน์ โอบจดกัน

มีม่านไทร ใหญ่น้อย ห้อยระย้า
ทอนประภา คชาพัก หลับสุขสันต์
แปดพันย่าน พร่างตา เพลาวัน
ดุจสวรรค์ สรรค์สร้าง ช่างสบาย

ห่างร่มไทร สระใหญ่ ใสกระจ่าง
ช่างงดงาม ยามแดด แผดแสงฉาย
ระลอกพลิ้ว ริ้ววาว พราวประกาย
ยลเหนื่อยหาย คลายคืน ฟื้นเรี่ยวแรง

ทันใดนั้น พื้นเลื่อนลั่น ฉับพลันสว่าง
ระยับวาม งามสี มีหกแสง
แผ่จากงา คชาเผือก ไม่เคลือบแคลง
แข่งพันแสง แรงเด่น เปล่งประกาย

เจ้าคชใหญ่ ย่างจากไทร ไปยังสระ
เคียงพารณะ นงราม งามเฉิดฉาย
ฝูงบริวาร ตามห้อม ล้อมมากมาย
ยาวเป็นสาย รายลิบ ติดตามมา

ขรัวพรานใคร่ครวญมอง ผองพลายสาร
ครุ่นคิดทาง ลงไทร อย่างไรหนา
ช่างอึดอัด ขัดใจ ไร้มรรคา
มองแผ่นฟ้า แผ่นดิน นิ่งเงียบงัน

ให้ทุกข์หนัก นักหนา ปัญหาใหญ่
จักลงไทร อย่างไร ใคร่สิ้นหวัง
แล้วแอบกิ่งไม้นอน ซ่อนกายบัง
รอกระทั่ง ช้างจากหมด ปรากฏกาย

พอเห็นนก ผกผิน บินถลา
ร่อนทาบหล้า ปัญญาผุด ทุกข์หลุดหาย
คว้าร่มพลัน สั่งเตรียม เสบียงไว
มัดถุงใส่ จอบคราด แลศาสตรา

บอกลูกน้อง ผองเจ้า เฝ้าสิงขร
แล้วคอยหย่อน ผ่อนเชือก จากเทือกผา
กองบนดิน สองวันสิ้น ข้าลับตา
พร้อมรอท่า ยื้อฉุด เมื่อพลุดัง

หลังกำชับ ซักซ้อม พร้อมเสร็จสรรพ
เจ้าพรานตัด ใจพลัน หันกลับหลัง
เดินหาผา ตามองไทร ไม่อินัง
กางร่มหนัง ถลันโดด โลดลงไป

เสียงลมสี ฉวีกาย ให้ไหวจิต
ตั้งสติ ดำริมุ่ง พุ่งที่หมาย
แม้นถึงฆาต ยากหลบ คงตกตาย
แม้นไม่วาย ชีวาตม์ ยากปลิดปลง

แรงลมพา ถลาไป ไกลที่มั่น
พรานรีบดัน ร่มเบี่ยง เปลี่ยนสับสน
เอียงร่มซ้าย ย้ายขวา หน้าหลังจน
ปรับผสม ตรงแน่ว เข้าแนวไทร

พอเห็นไทร ใกล้กาย คลายอึดอัด
ค่อยขยับ ปรับลม ลงที่หมาย
เสียงตีนเหยียบ ไม้ลั่น พลันกลั้นใจ
มองข้างใต้ ไร้เงา ผองเหล่ากรี

จึงถอนใจ เฮือกใหญ่ คลายหืดหอบ
หยิบกระบอก สอดร่มพับ กลับเข้าที่
เกาะกิ่งไม้ คลายล้า หาวิธี
มองหาที่ ขัดห้าง นั่งซ่อนกาย



ตกบ่ายแก่ แลไกล ให้ใจหวั่น
เห็นฉัททันต์ ขึ้นธารา กายาใส
น้ำเปียกทั่ว  ตัวร่าง  พร่างประกาย
ไหลหยดกาย  รายทาง ไปลานเตียน

ปล่อยพลพรรค พักไทร ไม่พบปะ
ปลีกตนผละ ละหมู่ หนวกหูเสียง
ย่างเดียวดาย สบายนัก ลมพัดเวียน
ไกลจากเสียง สำเนียงร้อง ผองเหล่ากรี

ถึงลานเลี่ยน เตียนโล่ง เจ้าโขลงหยุด
ไร้โคบุตร พลุกพล่าน ช่างสุขี
สายลมไพร ไหวชื่น รื่นฤดี
ฟ้าอาบสี แดงเรื่อ สุขเหลือใจ

ท้าวฉัททันต์ เข้าภวังค์ ดื่มด่ำจิต
พริ้มตาปิด สนิทเห็น เช่นหลับใหล
น้ำเกาะกาย รายริน ซึมดินไป
เจ้าพรานให้ ไตร่ตรอง มองนิ่งงัน

น้ำไหลลาม เป็นทาง ซึมล่างหมด
เจ้าพรานจด ตาจ้อง ต้องสรวลสันต์
แสยะยิ้ม ฉัททันต์สิ้น ไม่นานครัน
ปลงใจมั่น นั่งคบ หลับนกไป



ครั้นรุ่งสาย พลายพล มาตงค์เผ่า
พาฝูงเข้า ราวป่า ลับตาหาย
เจ้าพรานเห็น เผ่นห้าง ลงล่างไว้
เลือกต้นไม้ ใช้ขวาน จามลงพลัน

ตัดเป็นเสา ราววา ห้าหกท่อน
เลื่อยตัดทอน รอนกระดาน ตามทีหลัง
ไว้ประกับ กับเสา ยาวรับกัน
ถากเถาวัลย์ ฟั่นเปลือก ทำเชือกตรึง

แล้วขุดหลุม รุนดิน ทิ้งในป่า
ลึกหนึ่งวา หน้าจตุรัส ปักเสาขึง
ผูกคานรัด มัดเสา สี่เส้าตรึง
กระดานขึง ทับคาน ต่างหลังคา

เจาะกระดาน กลางโหว่ โผล่หัวได้
เลื่อยแผ่นไม้ ปิดรู ดูเหมือนฝา
ทายางสน ขนดินโปรย โรยหลังคา
คลุมทับฝา ติดหน้าแข็ง แกร่งเหมือนดิน

หยิบผ้ากา สาวพัสตร์ มาผลัดเปลี่ยน
แกะข้าวเกรียม เสบียงตาก สากดั่งหิน
แช่น้ำชุ่ม นุ่มมือจับ ค่อยตักกิน
เสร็จลงนิ่ง ในหลุม ซุ่มพักกาย


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s