นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
16 เมษายน 2024, 10:07:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: 1 [2]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ  (อ่าน 65992 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
10 มิถุนายน 2014, 12:34:PM
ศรีเปรื่อง
Special Class LV5
นักกลอนแห่งเมืองหลวง

*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 220
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 371


ข้าพเจ้าเพียงใช้บทกวี...เพื่อหย่อนฤดี


« ตอบ #20 เมื่อ: 10 มิถุนายน 2014, 12:34:PM »
ชุมชนชุมชน

อิอิ...มาแล้ว...พระเอกมาแล้ว

พระเอกต้องเก๊กก่อน...พ่อสอนไว้
ทำสิ่งใดผิดพลั้ง...ก็ยังแถ
โทษโน่นนั่น...นู่นนี่...ไม่มีแล-
ปัญหาแท้...เพราะเขา...น่ะเขลาเอง

พี่เปรื่อง

มาเชียร์จ้า


 ส่งจูบจ้ะ


ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

11 มิถุนายน 2014, 10:35:PM
สุวรรณ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 565
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,487


หวังทุกชีวิต สถิตไว้แต่สิ่งดี


« ตอบ #21 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2014, 10:35:PM »
ชุมชนชุมชน

นิยายอิงชีวิตจริงของน้องเขียนได้เนียนละเอียดน่าอ่านมาก ชื่นชม
จากใจค่ะ  และขอบคุณประสบการณ์ดีๆที่น้องนำมาถ่ายทอดลงใน
นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ นะคะ (^_^)
ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
12 มิถุนายน 2014, 07:31:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #22 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2014, 07:31:PM »
ชุมชนชุมชน

อยากเขียนในมุมมองของคนสายตาปกติบ้างไงคะ นี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นค่ะ มันยังมีอีกเยอะ ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม^^
อิอิ...มาแล้ว...พระเอกมาแล้ว

พระเอกต้องเก๊กก่อน...พ่อสอนไว้
ทำสิ่งใดผิดพลั้ง...ก็ยังแถ
โทษโน่นนั่น...นู่นนี่...ไม่มีแล-
ปัญหาแท้...เพราะเขา...น่ะเขลาเอง

พี่เปรื่อง

มาเชียร์จ้า


 ส่งจูบจ้ะ



ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
12 มิถุนายน 2014, 07:33:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #23 เมื่อ: 12 มิถุนายน 2014, 07:33:PM »
ชุมชนชุมชน

ขอบคุณพี่สุวรรณมากค่ะที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้ ดีใจมากที่มีคนชอบ มันเป็นแรงใจอย่างดีเลยละค่ะ^^
นิยายอิงชีวิตจริงของน้องเขียนได้เนียนละเอียดน่าอ่านมาก ชื่นชม
จากใจค่ะ  และขอบคุณประสบการณ์ดีๆที่น้องนำมาถ่ายทอดลงใน
นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ นะคะ (^_^)

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
15 มิถุนายน 2014, 01:23:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #24 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2014, 01:23:PM »
ชุมชนชุมชน

        ตอนที่ 7 ร้านอาหารกับการพาเที่ยว
เมื่อขึ้นมาถึงหอประชุม ครูกิตติพาฉันไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าสุด หลังจากนั้นไม่นานท่านผู้อำนวยการก็มากล่าวแสดงความยินดีกับนักเรียน และกล่าวเปิดงานเลี้ยงฉลองตามลำดับ เพื่อนๆหลายคนยิ้มแย้มทักทายเป็นอันดี ฉันยิ้มตอบพวกเขาไปเช่นกัน ยังไม่ลืมหรอกว่า พวกเขาทำกับฉันไว้ยังไงบ้าง แต่เปล่าประโยชน์จะคิด หลายปีที่เลยผ่านทำให้ใจแข็งแกร่งขึ้นมาก ฉันสามารถทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากขึ้นโดยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้น้อยลง รู้สึกเหมือนมีคนมานั่งข้างๆ พอหันไป ใครคนนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ
“ตะวัน นี่ครูเองนะคะ จำได้รึเปล่าคะว่าใคร” ฉันยิ้มนิดๆ
“ครูนิชาภาค่ะ” อาจารย์ไม่ตอบ แต่กลับจับมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ แล้วบีบเบาๆ พรางว่า
“ที่ผ่านมาครูเคยคิดว่า ผู้พิการทางสายตายังไงก็เป็นผู้พิการอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่จะเรียนร่วมกับคนปกติได้ แต่เพราะหนู หนูเป็นคนลบอคติที่มีอยู่ในใจครูให้หมดไป วันนี้ครูได้รู้แล้วว่า สิ่งที่ครูคิดนั้นผิดมาตลอด ในที่สุดหนูก็ทำได้ และดีกว่าใครหลายคนที่มีสายตาปกติซะอีก” ฉันตื้นตันในคำพูดของอาจารย์เป็นอันมาก ไม่ใช่ดีใจที่สามารถเอาชนะคนตาดีได้ แต่ดีใจที่อย่างน้อย ก็มีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของผู้พิการ ว่ามิได้น้อยหน้าไปกว่าผู้ใดเลย ฉันยิ้มให้ครูนิชาภาอย่างเปิดเผย
“ขอบคุณจริงๆนะคะ ขอบคุณ” ครูนิชาภาคลายมือออกช้าๆ แล้วนั่งข้างๆฉันอยู่ตรงนั้น
...
ช่วงท้ายของงานเลี้ยงใกล้เข้ามาถึง ครูเกียรติศักดิ์ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนเดินขึ้นไปบนเวที แล้วประกาศใส่ไมโครโฟนเสียงดังก้องไปทั่วหอประชุม
“นักเรียนทุกคน เงียบก่อนครับ” หลายเสียงที่กำลังคุยกันค่อยๆเงียบลงช้าๆ แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ
เสียงครูเกียรติศักดิ์พูดต่อมาว่า
“หลังจากที่นักเรียนทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมามากแล้ว ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่นักเรียนทุกคนจะได้ก้าวต่อไปสู่อนาคต
ณ โอกาสนี้ ครูอยากให้ใครคนนึง ได้ขึ้นมาพูดอะไรซักเล็กน้อย เชื่อว่านักเรียนหลายคนหน้าจะรู้จักดี เธอเป็นเด็กพิเศษซึ่งมากด้วยความสามารถ ขอเชิญนางสาวสุวีรยา งามยิ่งครับ” ‘อะไรกันนี่! เป็นฉันเหรอ แย่ละสิ จะพูดอะไรดีหละ’
“ไม่ต้องกังวลนะคะ พูดอะไรก็ได้ที่หนูอยากจะพูด เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจ” ครูนิชาภาที่เห็นสีหน้ากังวลของฉันกระซิบอย่างอ่อนโยน ครูพาฉันขึ้นไปบนเวธี จากนั้นครูเกียรติศักดิ์ก็ยื่นไมโครโฟนให้ ฉันสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความตื่นเต้น ‘เอาวะ เป็นไงเป็นกัน’
“ดิฉันไม่เคยเข้าใจความหมายของคำว่าตาบอดมาก่อนเลยในชีวิต เพราะสังคมที่จากมา ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างระหว่างกัน จนก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นสังคมที่เราไม่เคยรู้จัก ช่องว่างระหว่างผู้พิการจึงเห็นชัดเจนมากขึ้น ถึงกระนั้น ก็มิได้สิ้นหวังแต่อย่างใด กลับเป็นพลังอันแรงกล้าที่จะนำพาตัวเองไปถึงฝันที่รอคอย แม้ดวงตามิอาจมองเห็นได้ก็ตาม ทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ดิฉันก็เช่นเดียวกัน วันนี้ ดิฉันได้มาถึงจุดหมายในระดับนึงแล้ว ก้าวต่อไปในชีวิต ไม่ว่าต้องพบเจออะไร ยากเย็นแค่ไหน ดิฉันจะข้ามผ่านมันไปให้ได้ ด้วยแรงกายและแรงใจทั้งหมดที่มี
ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านและเพื่อนๆทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด และคนนึงที่ดิฉันจะลืมไม่ได้เลยคือ อาจารย์สุคลค่ะ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉันแย้มยิ้มด้วยความสุข
“ขอบคุณอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำดีๆ อาจารย์เคยบอกว่า ‘คนทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง’ ดิฉันใช้คำพูดนี้เป็นแรงบรรดาลใจ และอยากบอกอาจารย์เช่นกันว่า แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่หนูจะใช้หัวใจและศักยภาพของตัวเองที่มีอยู่นี้ก้าวไปสู่ความสำเร็จให้ได้ค่ะ” เมื่อสิ้นประโยค เสียงปรบมือดังไปทั่วหอประชุม ช่างภาพประจำโรงเรียนกฎถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ฉันยิ้ม ยิ้ม และยิ้มให้กับทุกคน อาจารย์และเพื่อนๆต่างพากันมาถ่ายรูปกับฉันมากมาย ฉันอยากไปหาอาจารย์สุคล แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์อยู่ตรงไหน ครูกิตติเป็นคนพาฉันลงจากเวที จึงมีโอกาสทำในสิ่งที่ต้องการ และฉันก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้มีพระคุณยิ่งอีกครั้ง ฉันคุกเข่าประนมมือก้มลงกราบที่ตัก พรางเอ่ยเสียงเคลือ
“ขอบคุณมากนะคะที่ทำให้หนูมีวันนี้” อาจารย์สุคลยกมือลูบศีรษะฉันแผ่วเบา ความตื้นตันอัดแน่นเต็มหัวใจ ฉันเงยหน้าแล้วลุกขึ้นช้าๆ ยิ้มให้อาจารย์อย่างสดใสที่สุด สัมผัสได้ถึงความยินดีและความตื้นตันที่มีอยู่เต็มหัวใจ โดยอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร อีกผู้หนึ่งที่มองมายังเด็กสาวด้วยความชื่นชมนั่นก็คือ สิทธิศักดิ์ ชายหนุ่มแอบตามผู้เป็นป้ามาเงียบๆ โดยหวังจะได้พบเด็กสาวอีกครั้ง และมาทันได้ยินในสิ่งที่สาวน้อยเอ่ยเมื่อครู่พอดี เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว หากเขาเป็นแบบเธอ ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้อย่างเธอรึเปล่า บางทีเขาอาจจะท้อแท้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตไปเลยก็เป็นได้ เชื่อว่ากว่าเธอจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้น มิใช่เรื่องง่ายเลย ชายหนุ่มเคยช่วยเหลือผู้พิการทางสายตามาอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เหมือนเธอ มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นป้าเอ่ยกับผู้ที่อยู่ในความคิดคำนึง
“วันนี้อย่าเพิ่งรีบกลับบ้านเลยนะ ไปกินข้าวด้วยกัน ครูอยากเลี้ยงฉลองว่าที่นักศึกษาคนใหม่” ฉันลังเล เกรงจะสร้างภาระต่ออาจารย์ แม้สามารถไปไหนมาไหนเองได้แล้วก็จริง แต่เรื่องการออกนอกสถานที่ยังต้องอาศัยผู้อื่นอยู่
“แล้วมันจะไม่ลำบากครูเหรอคะ”
“โอ๊ย ลำบ่งลำบากอะไรกัน ครูจะยินดีด้วยซ้ำ ไปด้วยกันนะจ๊ะ เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วครูไปส่งที่บ้านเอง” อาจารย์สุคลรีบเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นแววลังเลในดวงตาเด็กสาว ฉันไม่อยากให้อาจารย์เสียน้ำใจ จึงเอ่ยรับคำอย่างเกรงๆ
“ค่ะ” อาจารย์สุคลยิ้มยินดี พรางยื่นแขนให้ฉันแตะข้อสอก กวักมือให้ผู้เป็นหลานเดินตามมา แล้วพาเดินออกไปจากตรงนั้น โดยมีสิทธิศักดิ์เดินตามหลังไปยิ้มๆ
...
มีต่อค่ะ
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
15 มิถุนายน 2014, 01:26:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #25 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2014, 01:26:PM »
ชุมชนชุมชน

        ตอนที่ 7 ร้านอาหารกับการพาเที่ยว(ต่อ)
พวกเรามาถึงร้านอาหารใจกลางเมืองเชียงใหม่ โดยมีนายปากเสีย เอ้อย! นายสิทธิศักดิ์ หลานชายอาจารย์สุคลเป็นสารถี ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่รู้หรอกว่า เขาชื่ออะไร ได้ยินอาจารย์สุคลเรียกตาสิทธิ์ตาสิทธิ์ ก็เลยเหมาเอาว่าเขาหน้าจะชื่อสิทธิ์ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อฉันได้ทราบชื่อของเขาในเวลาต่อมา เมื่อจองโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย อาจารย์สุคลและนายสิทธิ์ก็จัดแจงสั่งอาหารกันเป็นการใหญ่ ในระหว่างที่รออาหารมาเสริฟ อาจารย์สุคลแนะนำฉันให้รู้จักเขา
“ตะวัน นี่ตาสิทธิ์ หลานชายครูเอง นายสิทธิศักดิ์ อภิชนากุล”
“ต้องบอกเค้าด้วยมั๊ยครับป้า ว่าผมเกิดวัน เดือน ปีอะไร” เสียงกวนๆของนายสิทธิ์ดังมาเข้าโสตประสาท ทำให้รู้สึกไม่ชอบหน้าตานี่หนักขึ้นไปอีก แต่ก็เอาเถอะ นานๆจะเจอคนอย่างนี้ซักที
“เรานี่จริงๆเลย ไม่พูดกวนประสาทซักวันจะได้ไม๊ฮะ” อาจารย์สุคลเอ็ดหลานชายอย่างไม่จริงจังนัก พอดีกับที่บริกรนำอาหารมาเสริฟ จึงไม่มีใครพูดอะไรในเรื่องนี้อีก ฉันไม่รู้ว่าอาหารต่างๆวางอยู่ตรงตำแหน่งไหนบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น อาจารย์สุคลก็ไม่เคยพาลูกสิทธิ์ตัวน้อยมาทานอาหารแบบนี้เช่นกัน กำลังคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไร ทว่าได้ยินเสียงผู้เป็นหลานชายเอ่ยกับเด็กสาวขึ้นซะก่อน
“ข้าวเปล่าวางอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ ถัดไปทางซ้ายมือเป็นผัดผัก ขวามือเป็นต้มฟัก ด้านหน้าถัดจากจานข้าวเป็นกุ้งชุบแป้งทอด เยื้องไปทางขวามือจะเป็นแก้วน้ำ” ฉันอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจและใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้
“ไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรือ สุวีรยา” ความแปลกใจทำให้ฉันนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเขาถามเป็นครั้งที่สอง
“คะ? อ๋อ! เข้าใจค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันพูดตะกุกตะกักออกมาจนได้ ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารอย่างเกร็งๆ ทุกอย่างวางอยู่ตรงตำแหน่งที่เขาบอกไว้ทุกประการ ฉันจึงไม่ค่อยลำบากในการตักอาหาร แต่ก็ยังขัดเขินอยู่ดี สิทธิศักดิ์นั่งมองเด็กสาวรับประทานอาหารอย่างเพลินตา เขามองตั้งแต่การตักอาหาร ตลอดจนการกิน อากัปกิริยาต่างๆดูไม่ต่างกับคนสายตาปกติฉะนั้น กำลังคิดอะไรเพลินๆ เมื่อเห็นเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมา
“คุณคะ คุณอย่ามองฉันกินสิคะ มันรู้สึกยังไงไม่รู้” สิทธิศักดิ์ชะงักมือที่ตักอาหารลง
“เธอมองไม่เห็นแล้วรู้ได้ยังไง”
“อืม...จะอธิบายยังไงดีละคะ เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน แล้วมันจริงรึเปล่าหละ” ประโยคท้ายเธอกลับถามเขาซะอย่างนั้น
“มันเป็นความรู้สึกที่หนูสัมผัสได้ใช่ไม๊จ๊ะ” อาจารย์สุคลถามอย่างแปลกใจเช่นกัน
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะครู เวลาที่มีใครมองหนู หรือแสดงปฏิกิริยาอะไร หนูมักจะสัมผัสได้ ถึงแม้คนๆนั้นจะไม่พูดออกมาก็ตาม” ฉันอธิบายยืดยาว พยายามให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจมากที่สุด
“คนที่มองไม่เห็นทุกคนเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดรึเปล่า” สิทธิศักดิ์ถามขึ้นด้วยความกังขา
“ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นนะคะ แต่ทฤษฎีของฉันอาจใช้ไม่ได้กับคนตาบอดทุกคนหรอกค่ะ ฉันแค่บอกในมุมมองของฉัน และสิ่งที่สัมผัสได้เท่านั้นเอง” สิทธิศักดิ์พยักหน้าเข้าใจ ลืมไปว่าเด็กสาวตรงหน้ามองไม่เห็น เขาจึงพูดขึ้นเบาๆ
“เข้าใจแล้ว” ฉันเพียงยิ้ม ไม่ว่าอะไร รู้สึกดีต่อชายหนุ่มมากขึ้น อาจารย์สุคลชวนฉันคุยในเรื่องทั่วๆไป โดยมีสิทธิศักดิ์นั่งฟังซะเป็นส่วนใหญ่ จะพูดขัดหรือกวนขึ้นมาบ้างในบางครั้งบางคราว ซึ่งสร้างสีสันให้แก่วงสนทนามิใช่น้อย พวกเรานั่งรับประทานอาหารไปพราง พูดคุยไปพรางอย่างสนุกสนานเพลิศเพลิน
...
ก่อนกลับบ้าน อาจารย์สุคลพาฉันไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อลงจากรถ อาจารย์สุคลก็พยักพเยิดให้หลานชายเป็นคนนำเด็กสาว เขาไม่พูดอะไร เดินมาหยุดอยู่ข้างๆสาวน้อยแล้วใช้หลังมือแตะที่มือเรียวของเด็กสาวแผ่วเบา ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอทราบความหมายฉันก็ยกมือขึ้นจับข้อศอกเขาทันที เพิ่งรู้ตอนนี้เอง เขาสูงกว่าฉันมากพอสมควร เขาก้าวเดินนำไปโดยมีฉันเดินตามไปไม่ห่าง ในระหว่างที่เดินดูสินค้าต่างๆอยู่นั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น
“เธอรู้รึเปล่า ว่ารอบข้างของเธอมีอะไรบ้าง”
“ไม่รู้หรอกค่ะ ฉันหันไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงต่างๆมากมายเต็มไปหมด”
“ไหนว่าสัมผัสสิ่งต่างๆได้ไงหละ” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นเชิงเย้า อดไม่ได้ที่จะพูดจากวนประสาทตามเคย
 “ไม่เหมือนกันซะหน่อย นั่นมันเป็นกิริยาที่ผู้อื่นแสดงต่อเรา แต่นี่มันเป็นที่สาธารณะ ฉันมองไม่เห็นจะไปรู้ได้ไง ไม่ได้มีตาทิพย์หนิ” ฉันอดไม่ได้ที่จะโต้กลับไป ตานี่ถามอะไรแปลกๆ ยิ่งได้ยินเสียงเขาหัวเราะด้วยความขบขัน ทำให้ความโกรธของฉันพุ่งขึ้นไปอีก จึงเผลอบีบแขนเขาโดยไม่รู้ตัว
“โอ๊ะ!” เขาผ่อนฝีเท้าลงมานิดทำให้ฉันต้องผ่อนตาม
“ใจเย็นสิสาวน้อย พูดแค่นี้โกรธด้วยเหรอ เอาหละ ฉันจะอธิบายให้ฟังว่ารอบข้างมีอะไรบ้าง” นั่นทำให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที
“ฉัน! ขอโทษค่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ก่อนจะเริ่มอธิบายสิ่งต่างๆรอบข้างให้เด็กสาวฟัง เขาอธิบายสิ่งต่างๆรอบข้างอย่างละเอียด จนฉันนึกภาพตามได้ไม่ยาก เพลิศเพลินกับสิ่งที่ได้ฟัง ความขุ่นข้องที่มีอยู่ในใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง อาจารย์สุคลมองหลานชายอธิบายโน่นนั่นนี่ และใบหน้าเปื้อนยิ้มของลูกศิษย์ ทำให้สบายใจตามไปด้วยอีกคน
...
    อาจารย์สุคลและสิทธิศักดิ์มาส่งฉันที่บ้านตามสัญญา ก่อนลงจากรถ อาจารย์เอ่ยกับลูกศิษย์คนเก่งของเธออีกครั้ง
 “ตะวัน พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับครูนะ” อาจารย์สุคลรู้ดีว่าเด็กสาวไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ใดนัก จึงอยากพาไปเปิดหูเปิดตา
“เอ่อ!  จะไม่รบกวนครูมากเกินไปเหรอคะ” แม้จะอยากเที่ยวมากเพียงใด แต่ความเกรงใจก็ทำให้พูดออกไปอย่างนั้น
“หนูไม่อยากไปเที่ยวกับครูเหรอจ๊ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะครู แต่หนู คือหนูเกรงใจนะค่ะ วันนี้ก็รบกวนมามากแล้ว หนูไม่อยากทำให้ครูหรือใครต้องเป็นภาระเพราะหนูค่ะ” ฉันพูดอย่างใจคิด แม้จะช่วยเหลือตัวเองได้มากแล้วแต่ในเรื่องการเดินทางก็ยังต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ดี
“โธ่ อย่าคิดมากสิจ๊ะ ครูไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ตกลงพรุ่งนี้ไปด้วยกันนะ” ฉันยิ้มรับด้วยความยินดี แม่เดินมารับที่หน้าบ้าน ขอบอกขอบใจอาจารย์เป็นการใหญ่ จากนั้นอาจารย์สุคลก็แนะนำหลานชายตามระเบียบ สิทธิศักดิ์ยกมือไหว้โดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นป้าเอ่ยเตือน
“หน้าตาดีหนิเรา อยู่ปีอะไรแล้วจ๊ะ”
“ผมเรียนจบแล้วครับ” เขาตอบยิ้มๆ
“อ้าว จบแล้วเหรอ หน้ายังละอ่อนอยู่เลย นึกว่าเพิ่งขึ้นปีหนึ่งนะเนี่ย อย่างนี้ก็มาติวให้น้องได้นะสิ” แม่ของฉันเอ่ยเป็นชุด แต่คนที่ตอบกลับเป็นอาจารย์สุคล
“ไม่มีปัญหาค่ะคุณแม่ ช่วงนี้เค้าว่าง ครูกะจะให้เค้ามาติวให้ลูกศิษย์คนนี้อยู่แล้วค่ะ” สิทธิศักดิ์มองผู้เป็นป้างงๆ ‘นี่ป้าถามผมแล้วหรือยัง’ เขาทำได้เพียงคิดอยู่ในใจ
“โอ๊ย เป็นพระคุณอย่างสูงค่ะอาจารย์ บุญของลูกฉันจริงๆที่มีอาจารย์แบบนี้ เชิญเข้าบ้านก่อนคะ” แม่ของฉันเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ ยืนคุยกันอยู่ตรงนี้เสียตั้งนาน
“เห็นทีคงต้องขอตัวละค่ะ นี่ก็เย็นมากแล้ว ไว้ค่อยพบกันดีกว่าค่ะ ครูบอกหนูตะวันว่าพรุ่งนี้จะพาไปเที่ยว ตั้งใจฉลองให้กับว่าที่นักศึกษาคนใหม่ด้วย หนูตะวันสอบติดแล้วนะคะ” อาจารย์สุคลยิ้มปลื้มในความสำเร็จของลูกศิษย์ แต่คนที่ยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าเห็นจะไม่พ้นแม่ของฉัน
“จริงเหรอลูก ว้าย! แม่ดีใจที่สุดเลย ลูกสาวของแม่เก่งที่สุด” ฉันยิ้มกว้างตามผู้เป็นมารดาไปอีกคน ก้าวหนึ่งของชีวิต สำเร็จลงแล้วในวันนี้
...
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้างคะทุกท่าน ตอนต่อไปอาจมีลงไม้ลงมือบ้างนะคะ แต่มันคือความจริงที่พบเจอ^^
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
16 มิถุนายน 2014, 09:29:AM
ศรีเปรื่อง
Special Class LV5
นักกลอนแห่งเมืองหลวง

*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 220
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 371


ข้าพเจ้าเพียงใช้บทกวี...เพื่อหย่อนฤดี


« ตอบ #26 เมื่อ: 16 มิถุนายน 2014, 09:29:AM »
ชุมชนชุมชน

เคลิ้มจ้า...กำลังจินตนาการว่าตัวเองเป็น นายสิทธิศักดิ์...

"ปากหมา แต่น่ารัก"...อิอิ   ยิ้มหน้าใส

พี่เปรื่อง
ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

22 มิถุนายน 2014, 03:12:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #27 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2014, 03:12:PM »
ชุมชนชุมชน

        ตอนที่ 8 ปลอบโยนและเข้าใจ
    ฉันเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการตื่นมารับประทานอาหารตามปกติ ก่อนจะเตรียมตัวไปเที่ยว ฉันเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดที่ต้องการออกมา การช่วยเหลือตัวเองในด้านนี้เป็นเรื่องที่คนตาบอดอย่างฉันทำได้สบาย เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมานั่งรอที่ห้องรับแขกพร้อมกับมารดา ไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงรถเก๋งมาจอดหน้าบ้านตามมาด้วยเสียงปิดประตู แม่เดินออกไปต้อนรับแล้วเชื้อเชิญแขกให้เข้ามาในบ้านพร้อมกับที่ฉันเดินไปรินน้ำให้ผู้มาเยือน ยินเสียงสนทนาอยู่ไม่ห่าง
“สวัสดีครับคุณป้า” สิทธิศักดิ์ประนมมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้าหลานชาย เข้ามานั่งก่อนลูก อ้าว! วันนี้ป้าเราไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”
“พอดีมีธุระด่วนเข้ามา คุณป้าเลยต้องเร่งไปจัดการ แต่ได้รับปากกับสุวีรยาไว้แล้วว่าจะพาไปเที่ยว เลยให้ผมมาคนเดียวครับ” สิทธิศักดิ์พูดหลังจากนั่งลงเรียบร้อย ฉันเดินถือแก้วน้ำเข้ามาวางลงบนโต๊ะกระจกใสตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะถอยไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม แล้วยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ เอ่อ ความจริงคุณไม่หน้าลำบากเลยนะคะ ไว้รอให้อาจารย์สุคลว่างค่อยไปวันหลังก็ได้” สิทธิศักดิ์มองเด็กสาวตรงหน้า เขาบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร โกรธ ไม่พอใจ น้อยใจ มันสับสนไปหมด ใจจริงนั้นอยากพาเธอไปเที่ยว อยากให้เธอได้สัมผัสสิ่งต่างๆบ้าง เธอกลับแสดงอาการประหนึ่งว่าไม่เต็มใจไปกับเขาซะอย่างนั้น แต่คนปากแข็งอย่างเขานะหรือจะพูดความจริง
“ป้าฉันรับปากเธอไว้แล้ว ฉันไม่อยากให้ป้าต้องเสียคำพูด เพราะฉะนั้นวันนี้เธอต้องไปกับฉัน”ฉันอึ้งไปกับคำพูดนั้น ใช่ว่าฉันไม่อยากไปเที่ยว แต่ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นภาระเพราะเราต่างหาก ที่เขามาวันนี้ไม่ได้อยากพาเราไปเที่ยวหรอก เขามาเพราะคำพูดของอาจารย์สุคลเท่านั้น ใจคิดไปสารพัด แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร มารดาของฉันก็เอ่ยขึ้น
“ไหนๆพี่เค้าก็มาแล้ว อย่าให้เสียน้ำใจกันเลยนะ ไปเถอะลูก” ฉันนิ่งคิดก่อนตัดสินใจ หากอาจารย์สุคลรู้เข้าคงไม่สบายใจเป็นแน่
“ค่ะ ฉันจะไป” กล่าวจบฉันก็ลุกขึ้นช้าๆ หันยกมือไหว้มารดา แล้วเดินไปรอที่หน้าบ้าน สิทธิศักดิ์ยกมือไหว้มารดาของเด็กสาว พรางว่า
“คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด”
“ฝากด้วยนะลูก” ชายหนุ่มรับคำก่อนเดินไปคว้าข้อมือเด็กสาวแล้วพาขึ้นรถขับออกไป
...
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ” ฉันถามเมื่อนั่งมาได้ซักพัก เงียบ! ไม่มีคำตอบใดจากชายหนุ่ม นั่นทำให้ฉันอึดอัด
“คุณคะ ฉันถามว่า...”
“ถึงแล้วจะบอก” เขาเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ออกว่าหงุดหงิดหรือปกติ นั่งมาอีกครู่ ฉันก็อดถามไม่ได้
“คุณมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ” คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ฉันจึงเลิกเซ้าซี้ และนั่งเงียบไปตลอดทางเช่นกัน
“ถึงแล้ว” เขาพูดหลังจากจอดรถยังสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อเขาเปิดประตูรถด้านคนขับ ฉันก็ตามลงไปโดยไม่ต้องให้เขามาเปิดให้ เมื่อเขามายืนข้างฉัน และให้จับข้อศอกเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินนำเข้าไป
“ที่นี่ที่ไหนคะ” ฉันถามหลังจากนิ่งเงียบไปนาน
“สวนสัตว์” ฉันพยักหน้ารับรู้  คิดว่าเขาจะอธิบายสิ่งต่างๆให้ฉันฟังเช่นเมื่อวาน แต่เดินไปอีกครู่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาเลย ‘ถ้าเขาไม่เต็มใจ แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไมกัน’
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ รอตรงนี้สักครู่นะ” กล่าวจบ เขาก็พาฉันมานั่งม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง
“ค่ะ” ฉันตอบรับสั้นๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาค่อยๆเดินห่างออกไป เสียใจกับสิ่งที่เขาแสดงออก ทำไม? เราทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองมาได้ซักพัก ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินเข้ามา ก่อนหนึ่งในนั้นจะพูดขึ้น
“น้อง ที่ตรงนี้เราจะนั่งกัน ไปที่อื่นได้ไม๊” ฉันไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันรึเปล่า
“เอ่อ คุณพูดกับฉันเหรอคะ”
“ใช่สิยะ ไม่พูดกับหล่อนแล้วจะพูดกับใคร ตาบอดรึไงนะ เห็นอยู่ว่าตรงนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากหล่อน” ผู้หญิงคนนึงในกลุ่มแหวขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ ฉันไม่พอใจ แต่ไม่อยากมีเรื่อง มือควานหาไม้เท้าในกระเป๋าสะพายใบย่อมที่นำติดตัวมา ก่อนลุกขึ้นหลีกทางให้พวกเขาโดยดี
“ต๊าย! ตาบอดเหรอนั่น ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับขอทานนะยะ” ผู้หญิงคนเดิมเอ่ยขึ้นอีก
“ไม่เอาหน้าแก” ผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยปรามเพื่อนสาวเบาๆ เธอสงสารแต่ด้วยเกรงบารมีเพื่อนจึงไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ ทว่าหญิงสาวอีกคนไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนเลย หล่อนมองหญิงสาวตาบอดด้วยสายตาเยาะหยันปนสมเพช
“ไปขอทานที่อื่นปั๊ย” ความโกรธของฉันพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขามีสิทธิ์อะไรมาว่าให้กันแบบนี้
“ดิฉันไม่ใช่ขอทานค่ะ” ฉันพยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด
“ไม่ใช่แล้วเป็นอะไรยะ ตาบอดจะทำอะไรได้มาก อย่างเก่งก็นวด ขายหวย หรือไม่ก็ร้องเพลงตามถนน”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ ดิฉัน...” ยังพูดไม่ทันจบ ผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นเงินใส่มือฉัน
“ได้เงินแล้วก็รีบๆไปสิ ยืนเกะกะอยู่นั่นแหละ”
 “อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ขอข้าวใครกิน แล้วไอ้การที่คุณดดูถูกคนอื่นเค้าแบบนี้ ตัวเองดีนักหรือไง คนที่ดูถูกคนอื่นได้มันแย่เสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานซะอีก” ฉันพูดอย่างเหลืออด ไม่คิดเก็บอารมณ์อีกต่อไป ความโกรธพุ่งขึ้นจนขีดสุด เขามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกกันแบบนี้
 “แก! แกกล้าด่าฉันเหรอ” เพียะ! ผู้หญิงคนนั้นฟาดฝ่ามือมาที่แก้มอย่างแรง รู้สึกถึงความแสบร้อนบนใบหน้า ความโกรธ ความน้อยใจในโชคชะตาพุ่งเข้าปะทะจนรู้สึกทรมานไปทั้งหัวใจ สายตาของคนปกติมองคนตาบอดเพียงเท่านี้เองหรือ จะมีสักคนไหมที่มองว่าคนตาบอดก็เป็นคนปกติเช่นเดียวกับพวกเขา ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไร เสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา
“พวกคุณทำอะไรกัน” สิทธิศักดิ์เดินเร็วๆมายังจุดที่เด็กสาวยืนอยู่ เขามาทันได้เห็นสาวน้อยถูกทำร้ายพอดี ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเด็กสาว ก่อนถามขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงกร้าว
“ผมถามว่าพวกคุณทำอะไรกัน” ทั้งกลุ่มอยู่ในอาการตลึงไปชั่วขณะ ก่อนผู้หญิงคนเดิมจะเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนลงมานิด ด้วยเกรงในรัศมีของอีกฝ่าย และทึ่งในความหล่อ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราแค่ไล่ขอทานออกไปจากที่นี่เท่านั้น”
“เธอไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณคิด เธอมากับผม” สิทธิศักดิ์จ้องทั้งกลุ่มอย่างไม่พอใจ ยิ่งเห็นรอยช้ำบนดวงหน้าของเด็กสาว กับน้ำใสที่คลอหน่วยตาทั้งสองแล้ว นั่นทำให้เขาเดือดดานมากขึ้นไปอีก
“แหม เราไม่รู้นี่คะ เห็นนั่งอยู่คนเดียวเลยนึกว่าเป็น...อุ๊บ” หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ เพื่อนของหล่อนก็เอามือตะครุบปากเข้าให้ซะก่อน
“เราต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจผิด เราไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มชำเลืองมองเด็กสาวแวบหนึ่ง เห็นรอยเจ็บปวดฉายชัดบนสีหน้า ‘นี่หรือเรียกว่าไม่ตั้งใจ คนพวกนี้ทำเกินไปจริงๆ’ ชายหนุ่มขยับเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ ทว่าเด็กสาวก็รั้งแขนเขาเอาไว้ พรางเอ่ยเสียงเคลือ
“พอเถอะค่ะ ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ช่วยพาออกไปจากที่นี่ทีได้มั๊ยคะ” ชายหนุ่มทำท่าจะไม่ยอม แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเด็กสาว ทำให้เขาต้องหยุดความคิดที่จะเอาเรื่องคนพวกนั้นลง เขาทิ้งสายตาไม่พอใจไปที่คนกลุ่มนั้นอีกครั้ง ก่อนพาเด็กสาวเดินออกไปจากตรงนั้น
...
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
22 มิถุนายน 2014, 03:16:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #28 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2014, 03:16:PM »
ชุมชนชุมชน

        ตอนที่ 8 ปลอบโยนและเข้าใจ(ต่อ)
    เขาพาฉันมายังม้านั่งอีกแห่ง จัดการให้ฉันนั่งลงแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
“เจ็บมากไหม” ชายหนุ่มใช้นิ้วแตะบริเวณรอยช้ำนั้นแผ่วเบา ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนพยายามฝืนยิ้ม
“ไม่มากหรอกค่ะ อีกไม่นานก็หาย” ใช่ แผลกายอีกไม่นานมันก็หาย แต่แผลใจเนี่ยสิ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด เขาละมือจากใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นจับมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้
“ตอนนี้เธออยากทำอะไรมากที่สุด” ‘ร้องไห้’ คำตอบผุดขึ้นในใจ ใช่ เวลานี้ สิ่งที่ฉันอยากทำมากที่สุดคือร้องไห้ ร้องให้กับความโกรธ และความอัดอั้นที่ถูกคนอื่นดูถูก ความเจ็บทางกายที่ได้รับเทียบไม่ได้กับความทรมานทางใจเลย
“อยากร้องไห้ไหมสุวีรยา” คำพูดนั้นกระแทกใจเข้าอย่างจัง แต่ฉันไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาหรือใครเห็น ตั้งแต่เริ่มปรับตัวในการใช้ชีวิตที่โรงเรียนได้ก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย
“การร้องไห้ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือการระบายความรู้สึก ถ้าเธออยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” เขาพูดเสมือนมานั่งในใจฉัน
“อย่าเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวเลย ให้ฉันมีส่วนร่วมรับรู้ความรู้สึกของเธอ จะได้ไหม? สุวีรยา” ความพยายามที่จะไม่ให้น้ำตารินไหลถูกทำลายไปด้วยคำพูดอันแสนอ่อนโยนนี้ ฉันปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมา โดยไม่คิดกักเก็บอีกต่อไป
“ฉัน ฉันพยายามอธิบาย พยายามไม่โกรธ ไม่เสียใจแล้ว แต่...มันไม่ไหวจริงๆคะ” ฉันเอ่ยปนสะอื้น ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกระบายผ่านม่านน้ำตา ชายหนุ่มรวบร่างเด็กสาวเข้ามาในวงแขน สัมผัสได้ถึงแรงสะอื้นถี่ๆจนร่างเด็กสาวสั่นสะท้าน เธอกอดเขาเอาไว้จนแน่นเสมือนต้องการหลักยึด เขาเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเขาไม่ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง ถ้าเขาไม่มัวเอาแต่น้อยใจ เธอคงไม่ต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นวันนี้ เขาปล่อยให้ฉันร้องไห้จนพอใจ ครู่ต่อมาฉันก็สงบใจลงได้ เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้กอดเขาเอาไว้แน่น จึงปล่อยมือจากเขาอย่างรวดเร็วก่อนเงยหน้าขึ้นมา พลันใบหน้าก็ร้อนวูบขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เกิดจากความโกรธเหมือนเมื่อครู่ สัมผัสถึงลมหายใจที่อยู่ไม่ห่าง ชายหนุ่มเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว เขาค่อยๆคลายวงแขนช้าๆ แล้วก้าวถอยไปนิด ตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั๊ย”
“ค่ะ” ฉันตอบเหมือนเพิ่งหาเสียงตัวเองพบ จากนั้นชายหนุ่มจึงถามเรื่องราวจากฉัน ซึ่งฉันก็เล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบัง ชายหนุ่มฟังแล้วแทบอยากลุกกลับไปเอาเรื่องพวกนั้นให้สาสม แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร จึงสงบใจลง แล้วเอ่ยกับเด็กสาวด้วยอารมณ์ที่มั่นคงกว่าเดิม
“ช่างเถอะ คนแบบนี้ไม่ควรไปคิดถึงให้เปลืองสมอง อย่าให้ความคิดและคำพูดของคนบางคนมาทำให้เราต้องเสียใจเลย”
“ฉันก็คิดงั้นค่ะ คนที่ดูถูกคนอื่นได้แสดงว่าเขาดูถูกตัวเองด้วยเช่นกัน” กับบางคนที่ไม่พร้อมเปิดใจ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาเข้าใจ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ'วาง' และคิดซะว่ามันเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของชีวิต ที่จะทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น เท่านั้นเอง นิ่งกันไปครู่ ฉันก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะค่ะ วันนี้คุณพาฉันมาเที่ยวไม่ใช่เหรอ รู้สึกว่าเรายังไม่ได้เที่ยวกันเลยนะ” ชายหนุ่มมีท่าทีสงใส
“ฉันนึกว่าเธอไม่อยากมาเที่ยวซะอีก”
“อ้าว! ทำไมคิดงั้นละคะ” ฉันมีท่าทีแปลกใจขึ้นมาบ้าง
“ก็เมื่อเช้า เธอพูดเหมือนไม่อยากมา”
“โธ่ ใครว่าฉันไม่อยาก เรื่องเที่ยวหนะฉันชอบจะตาย แต่ที่พูดออกไปอย่างนั้นเพราะกลัวจะสร้างภาระให้คุณต่างหาก แล้วคุณก็ทำให้ฉันกลัวจริงๆซะด้วยสิ” ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจ นี่เขาหลงคิดไปไกลจนถึงกับแสดงท่ามึนตึงใส่เธอ เด็กสาวคงอึดอัดไม่น้อยกับการกระทำของเขา
“ฉันไม่ได้คิดว่าเธอเป็นภาระเลยนะตะวัน” ฉันชะงัดไปกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ”
“ฉันบอกว่า ไม่ได้คิดว่าเธอเป็นภาระ”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่ เมื่อกี้คุณเรียกฉันว่าอะไร” ชายหนุ่มมีท่าทีงงๆในคำพูดของเด็กสาว ก่อนนึกขึ้นได้ เขาเพิ่งเรียกชื่อเล่นของเธอเป็นครั้งแรก
“ ขอบคุณมากนะคะคุณสิทธิ์” ฉันยิ้มหเขาอย่างจริงใจและสดใสที่สุด
“เธอมาขอบคุณฉันเรื่องอะไร”
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ” ถึงแม้ว่าในตอนแรก ฉันจะไม่ค่อยชอบหน้าคุณสักเท่าไหร่ก็ตาม ประโยคท้ายฉันเลือกที่จะไม่เอ่ยให้เขาฟัง
“ต่อไปนี้ คุณเรียกฉันว่าตะวันนะคะ ดีกว่าชื่อยาวๆของฉันตั้งเยอะ เอาละค่ะ ไปกันเถอะ ฉันอยากเที่ยวเต็มแก่แล้ว” ฉันจับมือเขาเขย่า แล้วกระโดดไปมาเหมือนเด็กๆ ชายหนุ่มหัวเราะในท่าทางของสาวน้อย ก่อนจับจูงมือน้อยแล้วพาเดินไปด้วยกันอีกครั้ง
...
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
29 มิถุนายน 2014, 05:26:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #29 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2014, 05:26:PM »
ชุมชนชุมชน

        ตอนที่ 9 คนที่ไม่อยากเจอ
เขาพาฉันเดินเที่ยวชมสวนสัตว์อย่างเพลิศเพลิน พร้อมทั้งอธิบายสิ่งต่างๆให้ฟังเป็นระยะๆ จนรู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นได้โดยไม่ต้องใช้สายตา ภาพต่างๆฉายชัดในมโนโดยมีเขาเป็นผู้นำ กระทั่งเวลาผ่านไปจนแสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงชวนไปรับประทานกลางวันที่ห้างสรรพสินค้า
“ไปหาอะไรกินในที่เย็นๆดีกว่า อยู่ตรงนี้อาจกลายเป็นคนแดดเดียวในไม่ช้า” เขาพูดติดตลก จากนั้นจึงพาขึ้นรถแล้วขับออกไปยังจุดหมายที่ต้องการ เรามาถึงที่หมายในเวลาไม่นานต่อมา เขาพาฉันเดินเข้าไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นก่อนจัดแจงหาร้านอาหารเป็นการด่วน
“เธอจะเอาอะไรบ้างสุ...เอ่อ ตะวัน” ในที่สุด เขาก็เรียกชื่อเล่นออกมาจนได้ ฉันยิ้มนิดๆ ก่อนตอบ
“อะไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะ ตอนนี้ฉันหิวมาก กินได้ทุกอย่างแหละ”
“งั้นยำคางคกละเป็นไง” ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้า
“ถ้าคุณกินได้ฉันก็โอเคค่ะ” เจอไม้นี้เข้าไป สิทธิศักดิ์ถึงกับหน้าเหวอไปเลย
“เอาหละ ถ้างั้น...” เขาเกือบจะให้เด็กสาวนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดโดยพลัน
“ไปเดินเลือกอาหารด้วยกัน แล้วค่อยกลับมานั่งกินพร้อมกัน” ฉันรับคำโดยไม่เกี่ยงงอน เมื่อได้อาหารเป็นที่เรียบร้อยเราก็นั่งกินกันอย่างไม่รีบเร่ง คุยกันด้วยเรื่องทั่วๆไป
“เวลาเรียนหนังสือในห้องเธอทำยังไง”
“ฉันอาศัยการฟังเป็นหลักค่ะ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการบันทึกเสียง หรือไม่ก็จดหัวข้อสำคัญๆ”
“จดเป็นอักษรเบลล์นะเหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณรู้ได้ไงคะ”
“ฉันเคยติวหนังสือให้กับ...ผู้พิการทางสายตามาอยู่บ้าง เลยรู้หนะ” จริงสิ อาจารย์สุคลเคยเล่าให้เราฟังครั้งนึงแล้วนี่นา
 “แล้วถ้าต้องทำการบ้านหละ ส่งเป็นอักษรเบลล์เลยรึเปล่า” คำถามนั้นทำให้ฉันถึงกับยิ้มออกมา
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ อาจารย์คงงงแย่ ฉันต้องขอให้คนสายตาปกติช่วยเขียนเป็นตัวหนังสือตาดีให้ก่อนถึงจะส่งได้ค่ะ” เด็กสาวคงต้องใช้ความพยายามมากเลยสินะ กว่าจะมาถึงวันนี้ ขนาดตอนที่เขาเรียนยังทำการบ้านส่งแทบไม่ทัน ทั้งๆที่เขาสามารถเขียนหนังสือเองได้แท้ๆ นี่ถ้าเขาเป็นเธอ จะทำได้ดีอย่างนี้รึเปล่าหนอ สิทธิศักดิ์มองเด็กสาวอย่างชื่นชม
“แล้วคุณละคะ”
“ฉัน? ฉันทำไม”
“อ้าว! ตั้งแต่รู้จักกันมา คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าคุณจบอะไร ทำงานที่ไหน? แต่คุณสิ กลับรู้จักฉันหมดแล้ว”
“ฉันจบบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ ปัจจุบันยังไม่มีงานทำ ครับผม” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ รู้สาเหตุที่ไม่มีงานทำดีว่าเป็นเพราะอะไร บิดาและมารดาต้องการให้เขาสืบทอดงานที่บริษัท แต่เขายังไม่อยากละทิ้งชีวิตอิสระของตัวเอง จึงหลบมาอยู่กับคุณป้าสักระยะ ซึ่งทั่นทั้งสองไม่ขัดค่องแต่อย่างใด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านทั้งสองห้ามเขาไม่ได้ ถ้าจะมาซะอย่าง แล้วใครจะทำไม ฉันคิดว่าจะถามอะไรเขาต่อไปดี ทว่า...
“อ้าว! นั่นคุณสิทธิศักดิ์ใช่ไม๊คะ แหม มาไกลถึงนี่เชียวนะคะ” คำพูดดังกล่าวทำให้เราต้องหยุดการสนทนาโดยลำพังไว้เพียงเท่านั้น
...
    ณลินีเดินมายังโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ เธอเป็นหญิงไวกลางคนร่างท้วม ใบหน้าสวยด้วยเครื่องสำอางที่แต่งแต้มไว้อย่างดี สิทธิศักดิ์จำต้องยกมือไหว้เมื่อหญิงไวกลางคนผู้นั้นเดินมาถึง
“สวัสดีครับคุณอาหญิง”
“สวัสดีจ้า วันนี้มาเที่ยวเหรอ”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ พยายามคิดหาทางเลี่ยง พบหน้ากันทีไรเธอมักพูดถึงลูกสาวของเธอทุกครั้งไป แล้วก็ผิดซะที่ไหน
“แหมดีจริง วันนี้ลูกสาวอาก็มาด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จัก อ้าว! แล้วนั่นพาใครมาด้วยจ๊ะ” ณลินีถามเมื่อเหลือบเห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามชายหนุ่ม
“รุ่นน้องผมเองครับ” เขาพูดน้อยตามเดิม ช่างดูแตกต่างกับเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังโดยสิ้นเชิง
“เหรอ ชื่ออะไรหละ” ชายหนุ่มเงียบรอให้เด็กสาวเป็นผู้ตอบ ฉันหันไปทางผู้ถามแล้วยกมือไหว้
“สุวีรยาค่ะ” ณลินีพยักหน้าแบบขอไปที ก่อนนั่งลงโดยไม่ต้องมีใครเชิญ แล้วไม่ได้ให้ความสนใจกับเด็กสาวอีก
“เราพักบ้านคุณพี่สุคลเหรอจ๊ะ แล้วจะอยู่ที่นี่นานไหม”
“ คงสักระยะครับ” เธอทำสีหน้าเข้าใจ ก่อนบ่นเบาๆกับตัวเอง
“ใยสา ไม่รู้ว่าไปเข้าห้องน้ำถึงไหน ชักช้าซะจริงลูกคนนี้” ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นผู้เป็นลูกสาวเดินมาแต่ไกล เธอจึงกวักมือเรียก
“ทางนี้จ้า ทางนี้”
มีต่อค่ะ
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
29 มิถุนายน 2014, 05:38:PM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #30 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2014, 05:38:PM »
ชุมชนชุมชน

        ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ ตอนที่ 9 คนที่ไม่อยากเจอ(ต่อ)
ณลิสาเดินเข้ามาหามารดาสีหน้าหงุดหงิด ด้วยหล่อนต้องการไปสังสันต์กับเพื่อนฝูงมากกว่าเดินช็อปปิ้งกับมารดา แต่หล่อนต้องชะงักค้างไปกับภาพที่เห็น หนุ่มหล่อที่ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกพบบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว สีหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มขึ้นมาในบัดดล คำพูดที่เตรียมเหวี่ยงใส่มารดาเปลี่ยนเป็นหวานใสทันใด
“อ้าว คุณแม่ ลิซ่านึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาอยู่ตรงนี้เอง” ณลิสาเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง แต่งตัวตามสมัยนิยม สวยแบบสาวเซ็กส์ซี่
“ลิซ่าจ๊ะ นี่คุณสิทธิศักด์ ลูกชายเจ้าของบริษัทส่งออกสินค้าชั้นนำระดับประเทศ คนที่แม่เคยเล่าให้ฟังไง” ณลิสายิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะพี่สิทธิ์ ได้ยินคุณแม่พูดถึงบ่อยๆ เพิ่งได้เจอตัวจริงวันนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ที่แท้ก็เป็นเขานี่เองที่หล่อนเจอเมื่อเช้า หญิงสาวยื่นมือให้ชายหนุ่ม เตรียมทอดสะพานเต็มที่ หากชายหนุ่มทำแค่เพียงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนตอบรับสั้นๆน้ำเสียงสุภาพ
“ครับ” หญิงสาวชักมือกลับ สีหน้าเก้อไปเล็กน้อย ก่อนนั่งลงโดยไม่ต้องมีใครเชื้อเชิญตามผู้เป็นมารดาไปอีกคน
“ลิซ่าเพิ่งเรียนจบการโรงแรมและการท่องเที่ยว ตอนนี้ยังไม่มีงานทำเลย ไงฝากสิทธิ์ช่วยดูน้องด้วยนะจ๊ะ” ณลินีเอ่ยอย่างภาคภูมิ เรื่องอะไรจะบอกความจริงละว่า กว่าลูกสาวของเธอจะเรียนจบมาได้นั้นต้องเสียเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพราะณลิสาเรียนหนังสือแบบไม่เอาไหนสุดๆ แถมยังเที่ยวไปวันๆ ฉันนั่งฟังการสนทนาไปเงียบๆ น้ำเสียงของณลิสาฟังดูคุ้นหู เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ฉันพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออก ช่างเถอะ ตอนนี้รู้สึกกระหายน้ำเต็มกำลังจึงเอื้อมมือไปหมายคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะตรงตำแหน่งที่ชายหนุ่มเคยบอกไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความซวยหรือใครอุตริย้ายแก้วน้ำมาวางขอบโต๊ะด้านขวา ทำให้มือปัดแก้วน้ำหกรดเสื้อณลิสาโดยไม่ตั้งใจ
“อุ๊ย!!” สายตาทุกคู่บนโต๊ะหันมาจ้องฉันเป็นตาเดียว ฉันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ รู้สึกอายต่อสายตาทุกคู่ที่มองมา
“เอ่อ! ขอโทษค่ะ” ฉันหลุดคำพูดออกมาจนได้ ณลิสาขยับจะวีนเต็มที่ ‘นังนี่มันกล้าดียังไงมาทำกับฉันแบบนี้’ แต่พอเห็นสายตาชายหนุ่มที่จ้องมองมาทำให้หญิงสาวรีบยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนเปลี่ยนท่าที แล้วเอ่ยอย่างหมายให้ผู้ที่จ้องมายังหล่อนเกิดความประทับใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แหม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง พี่ไม่ถือสาคนมองไม่เห็นหรอกค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานทั้งที่ในใจอยากอาละวาดเต็มที่ เมื่อได้ฟังเสียงหญิงสาวผู้นี้อีกครั้งทำให้นึกออกในทันทีว่าเคยได้ยินเสียงหล่อนที่ไหนมาก่อน ใช่แล้ว! ผู้หญิงคนนี้แหละที่ดูถูกเรา ไม่คิดเลยว่าภายในเวลาไม่นานเราจะต้องมาพบเจอกับคนประเพทนี้อีก ส่วนชายหนุ่มนั้นไม่ต้องพูดถึง เขามองณลิสาด้วยสายตาเรียบเฉย ซ่อนประกายความสะใจไว้อย่างเร้นลึก โดนแค่นี้มันยังน้อยไป เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่หล่อนทำ
“ไม่เป็นไรนะตะวัน เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่” ชายหนุ่มหันมาเอ่ยกับสาวน้อย ฉันเลยได้แต่ยิ้มๆ ส่วนณลินีอดแปลกใจในคำพูดของลูกสาวไม่ได้ หมายความว่า เด็กสาวตาบอดอย่างนั้นเหรอ
“โถ หน้าสงสารจัง ไม่เป็นไรนะจ๊ะ มองไม่เห็นอย่างนี้คงไม่ได้เรียนหนังสือสินะ” เธอก็มีความคิดไม่ต่างไปจากคนในสังคม ส่วนใหญ่มักคิดว่าคนตาบอดนั้นทำอะไรไม่ได้ แม้แต่การเรียนหนังสือ เพราะคนสายตาปกติขนาดเวลาไฟดับ ยังต้องวิ่งหาไฟฉายหรือเทียนกันให้วุ่น ยิ่งอยู่ในโลกมืดแบบนี้คงทำอะไรไม่ได้เลย สิทธิศักดิ์รู้สึกไม่พอใจในคำพูดของคุณณลินี เขาเกรงว่าเด็กสาวจะไม่สบายใจ แต่ฉันชินเสียแล้วกับคำพูดทำนองนี้ ประสบการที่แต่ละคนเจอมานั้นไม่เหมือนกัน หากคิดในมุมกลับ ถ้าเราเป็นเขา บางที เราอาจจะคิดหรือถามอะไรที่มากกว่านี้ก็ได้ ในบางครั้ง เราต้องหัดมองตัวเองจากมุมมองของผู้อื่น จะทำให้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น หรือเรียกง่ายๆก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง ขยับจะอธิบายให้คุณณลินีฟัง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยอะไร ชายหญิงชาวจีนสองคนเดินมาที่โต๊ะ ก่อนฝ่ายชายจะถามออกมาเป็นภาษาจีนรัวเร็ว
对比起!你们认识那个地方吗?我和妻子约我¬的朋友在那里。但是我不知道在那里怎么走?¬请你告诉我怎么走?
(“ขอโทษนะครับ พวกคุณพอจะรู้จักสถานที่นี้มั๊ยครับ ผมกับภรรยานัดเจอเพื่อนๆที่นั่น แต่ไม่ทราบว่ามันไปทางไหน พวกคุณช่วยชี้ทางให้ผมหน่อยได้มั๊ยครับ”) กล่าวจบเขาก็วางกระดาษแผนที่ลงบนโต๊ะ ทั้งหมดต่างมีสีหน้างุนงงไปตามกัน ยกเว้นฉันที่ฟังรู้เรื่อง เพราะมอปลายฉันเรียนเอกภาษาจีนโดยตรง
 “เขาถามว่า พวกเรามีใครรู้ทางไปที่นี่บ้างค่ะ” ฉันแปลให้ทุกคนฟังพรางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา พลันสายตาทุกคู่ก็จับจ้องมายังฉันอีกครั้ง
“เธอฟังเขารู้เรื่องด้วยเหรอ” สิทธิศักดิ์ถามอย่างทึ่งๆ
“พอทราบค่ะ ฉันเคยเรียนตอนอยู่มอปลาย” เขาคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาจากมือฉันแล้วบอกทางให้ชายหญิงชาวจีนอย่างละเอียด โดยมีฉันเป็นล่าม ชายหนุ่มมองการสนทนาโต้ตอบระหว่างเด็กสาวกับคู่สามีภรรยาชาวจีนด้วยความทึ่งจัด สาวน้อยพูดได้คร่องลิ้นราวกับเป็นเจ้าของภาษาเลยทีเดียว แต่คนที่ดูตกตะลึงกว่าใครเพื่อนเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสองแม่ลูก ณลินีไม่คิดว่าคนตาบอดจะสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ อย่าว่าแต่ภาษาเลย แค่เรียนหนังสือทั่วๆไปยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะสามารถทำได้เหมือนเช่นคนปกติ ฝ่ายณลิสารู้สึกหมั่นไส้เด็กสาวเต็มกำลัง หนอยทำเป็นเก่ง ไว้รอให้ถึงทีของฉันบ้างก็แล้วกัน สองสามีภรรยากล่าวขอบคุณเป็นภาษาไทยเสียงแปล่งๆก่อนเดินจากไป ทุกคนมองเด็กสาวด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน สิทธิศักดิ์มองด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ณลินีนั้นก็มองด้วยอาการทึ่งปนงง ส่วนณลิสาจิกตามองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเลยทีเดียว ไม่นานสุภาพบุรุษเพียงคนเดียวในโต๊ะก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“นี่ก็ได้เวลาพอสมควรแล้ว เห็นทีผมกับตะวันคงต้องขอตัวก่อนละครับ”
“อ้าว! จะไปแล้วเหรอคะ” สองแม่ลูกเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ครับ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่ง
“แหม กำลังคุยกันสนุกเชียว หน้าเสียดายจัง เอาไว้อากับลิซ่าจะหาโอกาสไปคุยที่บ้านคุณพี่สุคลนะคะ” สิทธิศักดิ์แทบซ่อนความรำคาญไว้ไม่อยู่ เขาเดินอ้อมมาหาเด็กสาวแล้วคว้าข้อมือให้ลุกขึ้นก่อนยกมือไหว้คุณณลินี
“ลานะครับ สวัสดีครับ” เขาขยับเตรียมพาเดินออกไป
“เดี๋ยวค่ะ” ฉันหยิบเงินจำนวนนั้นที่ณลิสายื่นให้เมื่อเช้าออกมาวางบนโต๊ะ
“นี่ของคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อ แต่ดิฉันขอใช้ปัญญาและความสามารถของตัวเองหามันมาดีกว่านะคะ ไม่อยากให้ใครมาดูถูกว่าเป็นขอทาน และดิฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยว่า การร้องเพลง นวด หรือขายหวยนั้นไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นอาชีพสุจริตที่คนทุกคนสามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตาบอดเพียงอย่างเดียว” กล่าวจบ ฉันยกมือแตะข้อศอกเตรียมขยับเดิน แต่พอนึกถึงมารยาทที่พึงกระทำจึงรีบยกมือไหว้ผู้อาวุโสโดยที่แขนของคุณสิทธิ์ยังคล้องอยู่กับแขนของฉัน
“สวัสดีค่ะ” ฉันไม่เห็นหรอกว่าเขาหันมายิ้มให้ก่อนพาเดินออกไป แต่คนที่มองการกระทำของชายหนุ่มไม่คลาดสายตาคือณลิสา หล่อนมองเด็กสาวที่ควงแขนชายหนุ่มเดินออกไปช้าๆอย่างไม่พอใจ หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการทำแบบนั้นมันคือการนำทางผู้พิการทางสายตาที่ถูกวิธี มัวแต่ปล่อยให้ความหึงหวงและริษยาในตัวเด็กสาวบดบังความจริง ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันมันต้องเป็นของฉัน’ หญิงสาวคิดอย่างหมายมาด ก่อนสะบัดหน้าเดินออกไป ทิ้งให้มารดาเดินตามหลังต้อยๆ
“อ้าว! ลิซ่า รอแม่ด้วยซิลูก”
...
ช่วงนี้มหาวิทยาลัยใกล้เปิดแล้ว ต้องเตรียมตัวปรับสภาพในหลายๆด้าน อาจไม่ค่อยมีเวลามาโพสนิยายนะคะ ขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอด และทุกๆกำลังใจมีความหมายสำหรับดิฉันมากค่ะ^^
ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
18 สิงหาคม 2014, 12:05:AM
มนัสศิยา
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 122


ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นตัวอักษร


Siraprapa Suchat
« ตอบ #31 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2014, 12:05:AM »
ชุมชนชุมชน

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ เนื่องจากช่วงนี้กำลังรับน้องเลยไม่มีเวลาเขียนนิยายเลย และเรื่องราวทั้งหมดเขียนออกมาจากชีวิตจริงซะเป็นส่วนมาก เลยต้องใช้เวลาค่ะ วันนี้จึงนำคริปที่ผู้เขียนเคยประสบพบเจอมาให้ได้ดูกันค่ะ เป็นเรื่องราวชีวิตของดิฉันบางส่วนที่น้องๆจากโรงเรียนมงฟอร์ตมาสัมภาษณ์ค่ะ^^
http://www.youtube.com/watch?v=Br2K8gdCMUk (External Embedding Disabled)
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

นักเขียนฝึกหัด มนัสยา
หน้า: 1 [2]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s