พระอภัยมณี ตอน นางผีเสื้อสมุทรลักพระอภัย(โดย บรมครูกลอนสุนทรภู่)
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
25 เมษายน 2024, 07:57:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระอภัยมณี ตอน นางผีเสื้อสมุทรลักพระอภัย(โดย บรมครูกลอนสุนทรภู่)  (อ่าน 49953 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
03 กุมภาพันธ์ 2013, 04:35:PM
พยัญเสมอ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 674
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,044


ไม่มีเหตุจำเป็นห้ามรบกวน


« เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2013, 04:35:PM »
ชุมชนชุมชน






อ่านสำนวนกลอนคนอื่นมาก็มาก  ลองมาอ่านสำนวนลีลาของ ท่านบรมครูกลอนสุนภู่  (กวีเอกแห่งวังหลวงตัวจริงเสียงจริง)บ้างเป็นไร
ดูว่า จะต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง   เหตุใดกลอนท่านจึงได้รับการยกย่องว่าดีเด่นเป็นเอกกว่าคนอื่นๆ(อ่านแล้วจะรู้เอง)



พระอภัยมณี  ตอน นางผีเสื้อสมุทรลักพระอภัย
โดย  ท่านบรมครูกลอน สุนทรภู่

จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ      อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
ได้เป็นใหญ่ในพวกปิศาจพราย      สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง      เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา      เป็นภักษานางมารสำราญใจ
แล้วแล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง      เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล
เข้าใกล้ฝั่งวังวลข้างต้นไทร      พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง
วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่      ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง
เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง      เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ
แล้วลุกขึ้นเท้าแขนแหงนชะแง้      ชำเลืองแลหลากจิตคิดสงสัย
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ      นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น      เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
ถ้าแม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง      จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ      ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ      นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก      สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง      โดยกำลังโลดโผนโจนกระโจม
ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด      กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม
กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม      กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง
ครั้นถึงแท่นผาศิลาลาด      แสนสวาทเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง
ค่อยวางองค์ลงบนเตียงเคียงประคอง      ทำกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยยินดี ฯ
๏ แสนสงสารพระอภัยใจจะขาด      กลัวอำนาจนางยักขินีศรี
สลบล้มมิได้สมประฤๅดี      อยู่บนที่แผ่นผาศิลาลาย ฯ
๏ อสุรีผีเสื้อแสนสวาท      เห็นภูวนาถนิ่งไปก็ใจหาย
เออพ่อคุณทูนหัวผัวข้าตาย      ราพณ์ร้ายลูบต้องประคององค์
เห็นอุ่นอยู่รู้ว่าสลบหลับ      ยังไม่ดับชนม์ชีพเป็นผุยผง
พ่อทูนหัวกลัวน้องนี้มั่นคง      ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร
จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์      ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน      จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย      สกนธ์กายดังกินนรนวลหง
เอาธารามาชโลมพระโฉมยง      เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคองฯ
๏ พระพลิกฟื้นตื่นสมประดีได้      ในฤทัยหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง
แลเขม้นเห็นนางนวลละออง      เคียงประคองอยู่บนแท่นแผ่นศิลา
นิ่งพินิจพิศดูรู้ว่ายักษ์      ด้วยแววจักษุหายทั้งซ้ายขวา
ยิ่งชิงชังคั่งแค้นแน่นอุรา      จะใคร่ด่าให้ระยำด้วยคำพาล
แล้วคิดกลับดับเดือดให้เหือดหาย      จึงอุบายวิงวอนด้วยอ่อนหวาน
นี่แน่นางอสุรีขินีมาร      ไม่ต้องการที่จะแกล้งมาแปลงกาย
จะขอถามตามตรงจงประจักษ์      เจ้าเป็นยักษ์อยู่ในวนชลสาย
อันตัวเราเป็นมนุษย์บุรุษชาย      เจ้าคิดร้ายลักพาเอามาไย
เข้าอิงแอบแนบข้างอยู่อย่างนี้      หรือว่ามีข้อประสงค์ที่ตรงไหน
มนุษย์ยักษ์รักกันด้วยอันใด      ผิดวิสัยที่จะอยู่เป็นคู่ควร ฯ
๏ อสุรีผีเสื้อสดับเสียง      เพราะสำเนียงเสนาะในฤทัยหวน
ทำเสแสร้งใส่จริตกระบิดกระบวน      ละมุนม้วนเมียงหมอบแล้วยอบตัว
อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม      เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว
ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว      พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด
แม่เจ้าเอ๋ยคิดมาน่าหัวร่อ      เห็นเขาง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย
พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ      ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก
แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง      เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก
ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก      ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุรา ฯ
 
๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต      มิได้คิดอินังชังน้ำหน้า
ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา      แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม
เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ      ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม
ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ      แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์
ถึงมาตรแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์      อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม
สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม      แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดี ฯ
 
๏ อีนางยักษ์กลับปลอบไม่ตอบโกรธ      พระจงโปรดเกล้าน้องอย่าหมองศรี
ข้าหมายเหมือนภัสดาถึงด่าตี      ก็ตามทีเถิดเมียไม่เสียใจ
จนผู้หญิงอิงแอบแนบถนอม      กระไรหม่อมจะตั้งปึ่งไปถึงไหน
ช่างไม่คิดขวยเก้อเอออะไร      ทำบ้าใบ้เบือนหนีไปทีเดียว
มาร่วมเรียงเคียงข้างอยู่อย่างนี้      ยังว่ามีน้ำใจจะไม่เกี่ยว
น่าอดสูผู้หญิงเสียจริงเจียว      พลางกลมเกลียวกอดรัดกษัตรา ฯ
๏ พระเหวี่ยงวัดขัดใจมิให้ต้อง      จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสองพระหัตถา
มันดื้อด้านทานทนพ้นปัญญา      จึงแกล้งว่าวิงวอนให้อ่อนใจ
อะไรเจ้าเฝ้ากวนกันจู้จี้      ข้าจะหนีหน่ายนางไปข้างไหน
ขอพักนอนเสียสักหน่อยถอยออกไป      สบายใจจึงค่อยมาพูดจากัน
แล้วเอนองค์ลงบนแท่นแสนระทด      โศกกำสรดซบทรงกันแสงศัลย์
โอ้สงสารป่านฉะนี้ศรีสุวรรณ      อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราย
พอตื่นขึ้นยามเย็นไม่เห็นพี่      จะโศกีโหยหาน่าใจหาย
ได้เห็นแต่เจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย      เขาผันผายลับตาจะอาวรณ์
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นกันพี่น้อง      มาเที่ยวท่องบุกเดินเนินสิงขร
อียักษ์ลักพี่ลงมาในสาคร      จะทุกข์ร้อนว้าเหว่อยู่เอกา
พระนึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้      ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา
ซบพระพักตร์อยู่บนแท่นแผ่นศิลา      ทรงโศกากำสรดระทดใจ ฯ
๏ อีนางยักษ์ฟังสะอื้นค่อยชื่นจิต      สำคัญคิดแว่วว่าพระปราศรัย
เข้าอิงแอบแนบองค์พระทรงชัย      เห็นเธอไม่ผินผันจำนรรจา
คิดว่าหลับกลับปลุกขึ้นโลมลูบ      ประจงจูบปรางซ้ายแล้วย้ายขวา
ค่อยยกหัตถ์ภูวนาถพาดอุรา      ในกามาปั่นป่วนให้ยวนยี
เห็นทรงศักดิ์ผลักพลิกทำหยิกเย้า      มาลูบคลำทำเขาแล้วเบือนหนี
จะกอดไว้ไม่วางเหมือนอย่างนี้      แค้นนักหนาฟ้าผี่เถอะดื้อดึง ฯ
๏ พระแค้นคำซ้ำด่าอีหน้าด้าน      ใครจะร่านเหมือนเช่นนี้ไม่มีถึง
น่าอดสูกูได้ทำไมมึง      มาเคล้าคลึงโลมลูบจูบผู้ชาย
ทั้งเหม็นสาบเหม็นสางเหมือนอย่างศพ      ไม่น่าคบน่ารักยักษ์ฉิบหาย
มายั่วเย้าเฝ้าเบียดเกลียดจะตาย      ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือ ฯ
๏ อีนางยักษ์ควักค้อนแล้วย้อนว่า      ส่วนร่ำด่ากระนั้นได้เขาไม่ถือ
ทีขอจูบแต่พอถูกจมูกครือ      ยิ่งอึงอื้อบ่นว่าเป็นน่าชัง
เมื่ออยู่สองต่อสองในห้องหับ      จะบังคับมิให้ใครกลุ้มใจมั่ง
ถึงโกรธขึ้งอย่างไรก็ไม่ฟัง      พลางเข้านั่งแอบข้างไม่ห่างกาย ฯ
๏ พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต      เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย      มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท      ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย      ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน
จึงบัญชาว่านี่แน่นางยักษ์      จะร่วมรักกันก็เห็นไม่เป็นผล
อันเชื้อชาติอสุรินทร์ย่อมกินคน      มาแปดปนเป็นมิตรเราคิดกลัว
ไปข้างหน้าถ้าเคืองน้ำใจเจ้า      จะกินเราเสียไม่คิดว่าเป็นผัว
แม้นให้สัตย์ปฏิญาณสาบานตัว      ให้หายกลัวแล้วจะอยู่เป็นคู่ครอง ฯ
๏ อียักษ์ฟังดังได้ผ่านวิมานสวรรค์      เกษมสันต์นบนอบตอบสนอง
แม้นเคลือบแคลงแหนงในพระทัยปอง      จงฟังน้องจะให้สัตย์ปฏิญาณ
แม้นโว้เว้เนรคุณพระทูนหัว      อันเป็นผัวเพื่อนรักสมัครสมาน
ขอทุกเทพเทวัญจงบันดาล      ประหารผลาญชีวาตม์ให้ขาดรอน
จนสุดสิ้นดินฟ้าสุธาทวีป      ไม่สิ้นชีพก็ไม่เสื่อมสโมสร
พอให้สัตย์เสร็จคำทำฉะอ้อน      ระทวยอ่อนเอนทับลงกับเพลา ฯ
๏ พระฟังคำจำจิตพิศวาส      ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา      เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง
เกิดกุลาคว้าว่าวปักเป้าติด      กระแซะชิดขากบกระทบเหนียง
กุลาส่ายย้ายหนีตีแก้เอียง      ปักเป้าเหวี่ยงยักแผละกระแซะชิด
กุลาโคลงไม่สู้คล่องกระพล่องกระแพล่ง      ปักเป้าแทงแต่ละทีไม่มีผิด
จะแก้ไขก็ไม่หลุดสุดความคิด      ประกบติดตกผางลงกลางดิน
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม      เหมือนเด็ดดอกหญ้าดมพอได้กลิ่น
เป็นวิสัยในภพธรนินทร์      ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ
๏ นางผีเสื้อเมื่อได้ประสมสอง      ดังจะล่องลอยฟ้าในราศี
ประคองคอยปรนนิบัติเข้าพัดวี      อยู่ข้างที่แผ่นผาศิลาลาย
ครั้นรุ่งรางนางไปในไพรสณฑ์      เที่ยวเก็บผลพฤกษามาถวาย
จะนั่งนอนผ่อนตามความสบาย      นิมิตกายรูปร่างสำอางตา ฯ



ขอขอบคุณ ตู้หนังสือเรือนไทย  http://www.reurnthai.com/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B8%B5




ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : yaguza, สุวรรณ, ดาว อาชาไนย, น.ปฎิพน, panthong.kh, --ณัชชา--, ชลนา ทิชากร, รัตนาวดี, Thammada, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, choy

ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

๐นามแฝงผู้เขียน Orion264(มือขวา),มือขวา,บูรพาทรนง-ตงฟางข้วงแขะ,สิงสู่,ต๊กโกม้อเกี่ยม-มารกระบี่เดียวดาย,
เทพเจ้าไก่
03 กุมภาพันธ์ 2013, 08:10:PM
พยัญเสมอ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 674
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,044


ไม่มีเหตุจำเป็นห้ามรบกวน


« ตอบ #1 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2013, 08:10:PM »
ชุมชนชุมชน




เป็นไงครับ  อ่านแล้วรู้สึกว่าต่างจากกลอนที่เราแต่งยังไงบ้าง  หัวเราะยิ้มๆ
ผมอ่านแล้วชอบอยู่บทหนึ่ง  ตอนที่นางผีเสื้อสมุทรพูดว่า............

"อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม      เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว
ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว      พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด"


โถ...น้องหมุด...ก็น้องเป็นยักษ์นี่ครับ  ใครขืนกล้ายุ่งก็ถูกจับหักคอกินสิครับ.....
แต่มันก็จริงของเธอนะ ถึงแม้จะได้ชื่อว่ายักษ์ แต่ยังไงก็เป็นผู้หญิงอยู่ดี....


 เคารพรัก





ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : panthong.kh, --ณัชชา--, ดาว อาชาไนย, yaguza, รัตนาวดี, Thammada, พี.พูนสุข, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

๐นามแฝงผู้เขียน Orion264(มือขวา),มือขวา,บูรพาทรนง-ตงฟางข้วงแขะ,สิงสู่,ต๊กโกม้อเกี่ยม-มารกระบี่เดียวดาย,
เทพเจ้าไก่
03 กุมภาพันธ์ 2013, 08:28:PM
พยัญเสมอ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 674
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,044


ไม่มีเหตุจำเป็นห้ามรบกวน


« ตอบ #2 เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2013, 08:28:PM »
ชุมชนชุมชน



       พูดแล้วนึกขึ้นมาได้   ถ้าเป็นสมัยก่อน ใครมาวิจารณ์ว่ากลอนเราไม่มีมนตร์กวีนี่ เป็นต้องลมออกหู
แล้วต้องมีคำถามว่า  แล้วคนทีวิจารณ์คนอื่นน่ะดีนักเหรอ ตัวเองแต่งเก่งแค่ไหน..............
แต่หลังจากได้อ่านพระอภัยมณีแล้วก็คลายทิฏฐิ  ไม่คิดโกรธเคืองคนที่มาวิจารณ์เราอีกต่อไป
เพราะว่าคนที่วิจารณ์เรานั้นไม่จำเป็นต้องมีฝีมือที่ดีกว่าเราเลย....การที่เขาวิจารณ์ว่ากลอนเรา
ไม่ดีพอนั้น  อาจเป็นเพียงเพราะเขาได้เคยอ่านกลอนของคนอื่นที่แต่งได้ดีกว่าเราก็เท่านั้น...
ยกอุปมาเปรียบเทียบก็เหมือนเราเป็นพ่อครัว ทำอาหารได้ดีระดับหนึ่ง  บางคนมาชิมแล้วก็ชอบ
บอกว่าอร่อย  บางคนมาชิมแล้วก็บอกว่าไม่ดี  รสชาติยังใช้ไม่ได้  แต่อันที่จริงคนที่มาติว่าเรา
ทำอาหารไม่อร่อยนั้นไม่จำเป็นที่เขาจะต้องทำอาหารได้อร่อยกว่าเราเลย บางคนทำอาหารไม่เป็น
ด้วยซ้ำไป  แต่ที่เขาติว่าอาหารที่เราทำไม่อร่อยนั้นอาจเป็นเพียงเพราะเขาได้เคยชิมอาหารที่คนอื่น
ทำได้อร่อยกว่าเราก็แค่นั้นเอง อุปมาฉันใดก็ฉันนั้น  ปัจจุบันนี้พอได้ยินใครพูดว่ากลอนเรายังไม่เข้าขั้น
จึงรู้สึกเฉยๆ  ไม่มีคำถามอีกว่าแล้วตัวคนวิจารณ์ล่ะ แต่งเก่งแค่ไหน.....สาเหตุก็เพราะได้อ่าน
บทประพันธ์เรื่องพระอภัยมณีนี้มากขึ้นนั่นเอง  จึงทำให้รู้ตัวว่า โอ้โอ๋เรา พิษน้อยหยิ่งยะโสแมลงป่อง
หลงเป็นกบในกะลาคิดว่าตัวเองเก่งมาเสียนาน....... งอนแล้วด้วย



ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : --ณัชชา--, ชลนา ทิชากร, ดาว อาชาไนย, yaguza, รัตนาวดี, Thammada, panthong.kh, ไพร พนาวัลย์, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, choy

ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

๐นามแฝงผู้เขียน Orion264(มือขวา),มือขวา,บูรพาทรนง-ตงฟางข้วงแขะ,สิงสู่,ต๊กโกม้อเกี่ยม-มารกระบี่เดียวดาย,
เทพเจ้าไก่
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s