| 27 ธันวาคม 2010, 06:24:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« เมื่อ: 27 ธันวาคม 2010, 06:24:PM » |
ชุมชน
|
ตอนที่หนึ่ง ชายแปลกหน้า
รัตติกาลคลืบคลานเข้าเยือนหล้า ในโรงเตี้ยมเพียงบุปผาสว่างไสว โคมประดับเรียงรายประกายไกล ดุจแสงไฟล่อแมลงแห่งราตรี
ชายผูัลึกลับเข้านั่งทอดกาย ยืดผ่อนคลายพลางเรียกแม่นางยี่ จงจัดหาสุราเลิศชั้นดี วางที่โต๊ะข้านี้เสียเร็วไว
จางฟงยี่จึงจัดแจงแต่งสำรับ มีสุราแกล้มกับเข้าปราศัย โถน้ำชาให้ตามประสงค์ใจ แลทั้งร้านไม่มีใครนอกจากนาง
จนอาโก๋คนงานผ่านมาเห็น ไม่ลำเค็ญเคืองจิตคิดหมองหมาง ชายแปลกหน้ามาดหรูดูท่าทาง สุดไว้วางอย่างสนิทเฝ้าคิดไป
พลางว่า
"รับไมตรีเถิดท่านชายเพื่อคลายเศร้า ทั้งเรือนเหย้าหย่อมย่านบ้านอาศัย ยังว่างอยู่ห้องหับไมคับไป ตามแต่ใจจะเลือกเฟ้นที่เห็นควร
นี่เหล้าโรงใครดื่มแล้วลืมรัก ข้ายินดียิ่งนักรสเลิศล้วน เชิญลิ้มรสก่อนไปหลับในจวน อีกทั้งมวลกับแกล้มโถน้ำชา"
ชายแปลกหน้าว่า
"นี่แม่นางข้าเศร้าและเหงานัก เพราะข้าเพิ่งอกหักเจ็บหนักหนา หากแม่นางเห็นใจได้เมตตา ช่วยนั้งเป็นเพื่อนข้าตลอดคืน"
แม่นางยี่
"แต่ว่าท่านชายข้าแสนง่วง สุดฝืนล่วงเลยไปให้ดึกดี่น เห็นจะขอตัวลาด้วยสุดฝืน แล้วต้องตื่นแต่เช้าจงเข้าใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป 
|
|
|
|
|
| 27 ธันวาคม 2010, 07:49:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: 27 ธันวาคม 2010, 07:49:PM » |
ชุมชน
|
ภาระข้ามากมายแต่แรกรุ่ง เหลือยากยุ่งยิ่งแท้ท่านเชื่อไหม ต้องเลี้ยงหมู-หุงข้าวและก่อไฟ อีกทั้งไก่ในเล้าล้วนหน้าที่
เชิญท่านชายสำราญคนเดียวเถิด ใช่ข้าเกิดแหนงหน่ายคิดหายหนี" ครั้นพูดจบนางโค้งลาอย่างไมตรี จรรีขึ้นห้องในทันใด
ความโดดเดี่ยวลามรอบกายชายแปลกหน้า ซ้ำเหว่ว้ายิ่งนักเกินผลักไส ยกสุราพลางบ่นพร่ำอยู่ร่ำไป "คนอย่างข้ามันเหงาใจเสียสิ้นดี
เคยมีรักคนรักก้หักอก สตรีไร้ยอยกตัวข้านี้ แม้สาวงามเพียงบุปผาไม่ปรานี คงเห็นทีจะเดียวดายเสียแล้วเรา
เขาพลางดื่มพลางพร่ำมิขาดปาก อยู่โผงเผงยุ่งยากอย่างหงอยเหงา ก่อนตะโกนก้องว่า"ข้าต้องเมา จงเติมเหล้าอีกไหไวไวโว้ย"
โปรดติดตามตอนต่อไป 
|
|
|
|
|
| 29 ธันวาคม 2010, 05:55:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2010, 05:55:PM » |
ชุมชน
|
อาโก๋ยืนซึมเซาทั้งเหงาง่วง สะดุ้งทรวงรับคำพลางหาวโหย ไปถึงยังห้องเสบียงยินเสียงโวย พร่ำโอดโอยไล่หลังเฝ้าสั่งสั่งการ
ไหสุราใบใหญ่คว้าไว้มั่น ก็เร่งรุดเร็วพลันโรงอาหาร ถึงโต๊ะตั้งวางลงมิลนลาน แล้วถอยกลับไปเบิกบานอยู่แต่ไกล
ฝ่านท่ายชายได้รับแล้วกลับเศร้า "นี่จะปล่อยให้เราหรือเปิดไห มา-มา-มาจัดการโดยเร็วไว เดี๋ยวติ๊บมีข้าให้อย่าได้กลัว"
อาโก๋จึงเปิดไวอย่างใช้คล่อง ตามเรียกร้องดั่งใจไม่ปวดหัว พลางคิดถึงผลดีต้องมีชัวร์ แล้งยืนตัวแข็งยิ้มกระหยิ่มใจ
แล้วถามว่า"ต้องให้ข้าไหมรินเหล้า อย่าสร้อยเศร้าสั่งมาข้ารับใช้" เขาสังเกตุหลายอย่างเช่นเมรัย นั้นหกไหลทั่วพื้นส่งกลิ่นอวน
"เจ้าจงริน"เขาว่าตาปริบปริ่ม อาโก๋ยิ้มรินสุราพลางยิ้มสรวล ส่งแก้วให้ใจจิตจึงคิดครวญ เข้าชักชวนเสวนาว่า"ท่านชาย
อันข้านี้อยู่สถานก็นานเนิ่น แสนเพลิดเพลินมากมิตรแลสหาย แต่เห็นท่านบอกได้เลยอย่างสบาย ยังมิเคยกร้ำกรายมาเยี่ยมเยียนโปรดติดตามตอนต่อไป 
|
|
|
|
|
| 29 ธันวาคม 2010, 06:43:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 ธันวาคม 2010, 06:43:PM » |
ชุมชน
|
นามข้าคือโกวตี๋คนล้วนรู้ จอมกระบี่ยังอดสูคิดศึกเสี้ยน เพียงแต่ท่านข้าเห็นเหมือนเช่นเซียน แต่วนเวียนเมื่อนึกนามจงปรานี"
เขามองบ๋อยพลอยคิดพินิจนิ่ง ถึงความจริงตรงหน้ามิแหนงหนี แต่ข้างในสุดลึกนั้นเห็นที มีชั่วดีอย่างไรสุดล่วงรู้
"ข้าผ่านพ้นเมืองไพรมาหลายแหล่ง เคยคิดแบ่งไพร่นายหลายหลากอยู่ มาฟังเจ้าคิดเห็นนึกเอ็นดู ด้วยชื่นชูที่ต่างไพร่จากหลายเมือง
ข้าอยู่เมืองซุนโหไกลร้อยลี้ หนีมานี่เพราะซึ้งใจโลกลือเลื่อง อยู่เคหาเปล่าดายใจขุ่นเคือง จึงจากเมืองท่องเที่ยวมาเดียวดาย
นามข้าคือ อ้อเสี่ยวตุ้ย ชอบคุยฟุ้ง จะยากยุ่งแก่ใครไม่คิดหมาย นี่โกวตี่พูดไปก็วุ่นวาย เจ้าก็ชายข้าก็ชายไม่สู้ดี
ไปเรียกสาวพราวพรรณผู้พึ่งจาก มาฝีปากกับข้าจะสูสี" พอพูดจบเขายกเหล้าแล้วพาที "เจ้าจงรีบไปซี..รีบๆไป"
โปรดติดตามตอนต่อไป
|
|
|
|
|
| 04 มกราคม 2011, 07:23:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 04 มกราคม 2011, 07:23:PM » |
ชุมชน
|
.................................................................... แสงแห่งเดือนเยือนสู่รัตติกาล แสงนั้นผ่านหน้าต่างสว่างใส สาวน้อยผู้เคร่งมารยาทอึดอัดใจ อ่างน้ำใสชื่นชุ่มอบอุ่นเย็น
เธอไร้รักไร้ชายไร้ความใคร่ ไม่มีในดวงจิตเฝ้าคิดเห็น เธอร่ำเพลงบทกวีความลำเค็ญ "ใครจะเป็นคนเฝ้ามาเอาใจ
แสงจันทร์เอยส่องฉายเหมือนไร้ค่า เจ้าก็คงเหว่ว้าซ่อนความไข ข้าเช่นเจ้าข้ารู้เอ็นดูใจ ไม่มีใครเจ้าจึงเปลี่ยวแสงโรยรา
รักข้าเถิดแสงจันทร์ที่ไร้รัก อย่าห้ามหักหากแม้นเจัารักข้า ด้วยยินดีข้านี้ยอมบูชา รักมีค่ากว่าอื่นใดใครใฝ่ปอง"
จงฟางยี่แสนเพลินแม้อ้างว้าง คิดต่างอ่างไม้กลมเป็นบึงหนอง ในภวังค์พลันหูยินเสียงร้อง เคาะประตูดังก้องก็ตกใจ
"หมวยเล็ก..หมวยเล็กจงฟังข้าโกวตี่ "ท่านอยูท่ีไหนนี่ข้านึกสงสัย" "แล้วเจ้ารู้..ข้าอาบน้ำได้อย่างไร" "แต่หมวยเล็ก..ท่านชายให้ข้าตาม" 
|
|
|
|
|
| 04 มกราคม 2011, 08:47:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: 04 มกราคม 2011, 08:47:PM » |
ชุมชน
|
"เจ้าจงรีบไปเถิดนะ..เจ้าโก๋ แล้วอย่ามาคุ้ยโม้แสร้งซักถาม" นางฉุนเฉียวคิดดูไม่วู่วาม คำลวนลามจากชายข้าอย่างว่าไว
"เดี๋ยวข้าคงตามไปเจรจาเจ้า เรื่องลุกล้ำหาเราน่าสงสัย" นางขวยเขินอัดอั้นทั้งคิดไป เขาอาจเห็นอะไรใจหวั่นกลัว
อันว่านายชายข้าแม้นคิดหยาบ ดังตราบาปหญิงร้ายแลชายชั่ว จึงพันกายผายผันรีบเร่งตัว อย่างหมองหม่นไปทั่วในหัวใจ
...................................................
ชายผู้ซึ่งตัวสูงสามสอกครึ่ง หน้าทมรึงบึ้งคิดวินิจฉัย ตราบชีวิตผ่านมาไร้อาลัย กลับครวญคิดครวญใคร่คำทบทวน
ฟังเสียงนางหนใดเคยเฉาเลาะ ความพริ้งเพราะเลศนัยให้คิดหวน โกวตี่นึกตรองใจที่เรรวน มาถึงที่ชายเมาครวญร่ำสุรา
"นี่เจ้าโก๋บอกซีอย่าซี้ซั้ว มาแหย่ยั่วยามเมาเลยเถิดหนา แม่นางนั้นรับปากว่าจะมา หรือให้ข้าเศร้าหมองเพราะต้องใจ"โปรดติดตามอ่านต่อวันหน้า 
|
|
|
|
|
| 05 มกราคม 2011, 09:19:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 05 มกราคม 2011, 09:19:PM » |
ชุมชน
|
เขาจึงว่า
"นี่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยผู้เที่ยวท่อง ข้ารับรองนางต้องมาอย่าหวั่นไหว ข้าขอเล่าบอกกล่าวเพื่อเข้าใจ นางมิใช่เช่นสาวชาวนางโลม
แต่นางเป็นนายข้าเข้าเกือบสองปี ทั้งโรงเตี้ยมแห่งนี้นางเฉิดโฉม เพราะขาดนางดั่งขาดจันทร์ในโพยม กลางเรือนพังทรุดโทรมแห่งพงไพร"
อ้อเสี่ยวตุ้ยกระแอมไอพลางกับถาม "นอกจากบ๋อยมาดยามกับหญิงงามพิสมัย เจ้าอย่าตอบข้านะเรือนนอกใน มีเพียงสองหรือรับใช้บริการ"
"ไม่ผิดท่านอ้อเสี่วตุ้ยเป็นเช่นนั้น บ้านข้าเดิมอยู่ริมน้ำลำละหาน มาเมามายเป็นหนี้ไม่เบิกบาน จึงอาสาทำงานเพียงสักคราว
ครั้นคิดดูอยู่ดีสุดหนีหาย อีกทั้งนายคนก่อนกับลูกสาว เขาการุณเเก่ข้ามายืนยาว เหมือนเหล่าชาวยุทธภพที่ปรานี"
อ้อเสี่ยวตุ้ยถามว่า
"แล้วนายของเจ้าเขาอยู่ไหน แล้วจึงปล่อยเจ้าไว้แล้วหลบหนี อีกหนึ่งบุรุษกับอีกหนึ่งสตรี เห็นแบบนี้ดูขัดเคืองในเรื่องราว"
"นายของข้าชรานักจึงฝึกพรต หวังจะปลดทุกข์เปลื้องในหุบเขาขาว เลิกยุ่งโลกโศกใจในเรื่องราว มาได้ราวสามปีเหมือนชีพราหมณ์
ส่วนหมวยใหญ่เดินทางไปเมืองไกล นับก็ได้วันนี้วันที่สาม กับเจ้สั่ว ซัวโถนั้นติดตาม ทราบเนื้อความว่าค้าขายกำไรดี
อีกลูกจ้างสองคนลาเยี่ยมบ้าน ทั้งกิจการก็เงียบเหงาอยู่เช่นนี้ ในโรงเตี้ยมกลางดงแห่งพงพี นานนานทีถึงครื้นเครงไม่เศร้าสร้อย"
|
|
|
|
|
| 10 มกราคม 2011, 07:01:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 มกราคม 2011, 07:01:PM » |
ชุมชน
|
"เอาล่ะข้าเข้าใจเจ้าโกวตี่ ในคืนนี้คิดเอาคงเหงาหงอย ว่าจะนอนกลางดงคิดเลื่อนลอย ดั้นด้นดอยจนมาถึงที่นี่
ข้านักจรนอนไพรไม่นึกหวั่น เพียงมีดสั้นคุ้มครองต่างกระบี่ มาเห็นเจ้าทั้งสถานแสนยินดี นั้นเห็นทีจะอยู่พักดูสักคืน..."
...........................................
ราตรีที่เงียบเหงามิเศร้าสร้อย เสียงหิ่งห้อยเฝ้าร่ำเสมอเพื่อน แสงจันทร์ฉายพรายพราวดาวและเดือน มิรู้เลือนดั่งมืตรผู้ชิดใกล้
กลางสถานลานมีโต๊ะล้วนเก็บตั้ง เหลือเพียงนั่งตัวกลางเเสงโคมใส สองหนุ่มเสวนาประสาใจ ไม่อาลัยทุกข์โศกทั้งโลกมี
จางฟงยี่มาถึงรำพึงถาม ทุกถ้อยถามความเอ่ยในวิถี แลชำเลืองมองชายข้าไม่ยินดี แต่ไม่มีคำใดจะปรักปรำ
"คาราวะท่านชาย อ้อเสียวตุ้ย อย่าหน้ามุ่ยเลยหนามารินร่ำ รสสุราข้าจะอยู่ต่อถ้อยคำ จวบฟ้าสางจึงอำลาก็ยินดี
เจ้าโกวตี่ไปจัดแจงพวกห้องหับ ให้ท่านชายได้หลับเป็นสุขี โต๊ะสุราปล่อยไว้เป็นหน้าที่ ของตัวข้านี้..เจ้ารีบไป"
อ้อเสี่ยวตุ้ยว่า..
"นี่แม่นางข้าเมาหรือว่าฝัน เมื่อท่านนั้นอยู่ต่อหน้าสวยไฉน เห็นทีข้าจะทนง่วงเหงาเพียงใด จะฝืนใจจวบสว่างมิห่างไกล"
..............................
ในคืนที่แสงจันทร์สาดฉายรัศมี สุนทรีย์แห่งเวลานับห่างไร้ ชายผู้หลงรสในเมรัย จึงซบโต๊ะเพียงเหล้าไหนั้นหมดลง
จางฟงยี่นึกเอือมละอา ด้วยเวทนาในความไหลหลง นางสั่งชายข้าเป็นมั่นคง "โกวตี่..เจ้าจงพาเขาเข้าห้องนอน"
จบตอน... 
แล้วคอยติดตามอ่านตอนต่อไป
|
|
|
|
|
|
|
| 12 มกราคม 2011, 06:06:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: 12 มกราคม 2011, 06:06:PM » |
ชุมชน
|
ภาพอดีตฉายชัดมิลบเลือน เพราะความเถื่อนของพวกถ่อยกิเลศใคร่ หวังนางเป็นที่คลายระบายใจ เยี่ยงสัตว์ป่าผู้อาศัยในคราบคน
นางยื้อยุดหลีกหนีจากพวกคลั่ง อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำหยางทั้งมืดหม่น จะเสียทีพวกชาติชั่วทรชน ประจวบจนเขามาเข้าคว้าชีวิต
ออกจากการลุกล้ำของพวกบ้า ก่อนที่จะเสียท่ามีราคีผิด เพลงกระบี่อันเร็วไวกว่าใครคิด เขาพิชิตสามยอดชั่วเพียงกระบวนเดียว
............................................................ อ้อเสี่ยวตุ้ยล่วงทางถึงฝั่งน้ำ ปากก็พร่ำว่าต้นไม้ชักแห้งเหี่ยว แถมวังเวงจิตใจกระไรเชียว หักไม่ได้ก็เที่ยวไล่ตีตั๊กแตน
ครั้นเมื่อพบแม่นางยี่จึงทักถาม โอ้คนงามดูเจ้าช่างเศร้าแสน คงคิดถึงชายใดในดินแดน หรือเคืองแค้นคนใดใคร่อยากรู้
นางครุ่นคิดสักครู่พลางค้อนขวับ ส่งสายตาจ้องจับอย่างรับรู้ ฟื้นแล้วรึท่านตุ้ยมาด้อมดู คนหดหู่โศกาเทียวว่าไป
เจ้าอย่าหลอกข้าเลยแม่นางยี่ ข้าอายุจะหลักสี่แล้วรู้ไหม ข้าประมาณเจ้าสิบเจ็ดยังเยาว์วัย จะปกปิดข้าอย่างไรคงไม่มิด
เรื่องของข้าท่านรู้ก็หนักหัว ไยไม่เมามัวแต่สุราเป็นบ้าติด เอ้า..ข้าแค่ทายว่าจะคล้ายอย่างที่คิด ไม่ได้จ้องจับผิดนะแม่นาง
เชอะ.. จางฟงยี่เชิดหน้ามิว่ากล่าว อยู่เหนืออ่าวสีครามแม่น้ำหยาง ทอดกายนั่งเหนือผาศิลาพลาง ส่งสายตาไปสุดกว้างแห่งนที
|
|
|
|
|
|
|
| 18 มกราคม 2011, 06:54:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 06:54:PM » |
ชุมชน
|
ภาพสาวน้อยคอยรักตระหนักคิด อ้อเสี่ยวตุ้ยนึกแหนงจิตเกินคิดหนี "เจ้าคอยใครกันหนาบอกข้าที ในวารีแสนไกลก็ไร้เรือ
ที่ออกเปลี่ยวเที่ยวเล่นเจ้าเป็นสาว งดงามราวเทพธดาทั้งหน้าเนื้อ ทั้งขุนเขาป่าปกแสนรกเรื้อ ไม่กลัวเสือซ่อนขบเจ้าหรือไร"
จางฟงยี่ลุกเดินแสร้งเมินหน้า เข้าร่มไม้รุกขาเงาอาศัย จึงตอบความข้องขัดอึดอัดใจ ถึงท้องถิ่นอำไพมิขัดเคือง
"นี่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยข้าจะเล่า เเต่เดิมบ้านร้านเรานั้นสืบเนื่อง เป็นป่าปกรกหนาไม่รุ่งเรือง ไร้คนเยื้องย่างกรายก็ไม่มี
พ่อข้าหนึ่งชาวยุทธผู้ฉกาจ ทั้งเปรื่องปราดวิทยาหนีมานี่ เพราะเบื่อหน่ายในโลกเมืองคีรี หมายพงพีเป็นเหย้าเป็นเรือนนอน
จึงก่อตั้งเคหาตากอากาศ ใกล้ริมหาดตั้งอยู่บนสิงขร หวังชาวยุทธร่อนเร่พเนจร มาพักผ่อนหย่อนใจคงได้คลาย
พ่อของข้ามากมีเพื่อนชาวยุทธ จึงเหมือนจุดหลักแหล่งแห่งสหาย หลายสิบปีที่นี่จึงวุ่นวาย หลังจากแม่ข้าตายท่านแสนเศร้า
แล้วท่านว่าไม่นานถึงท่านแน่ ก็เลยหาทางแก้ไปอยู่เขา หมายปลดปลงชีวิตเหมือนคิดเอา ปล่อยพวกเราอยู่เคว้งคว้างกลางป่าดง
พ่อของข้าเป็นเพื่อนกับจอมกระบี่ นามถังไป่อี้มิลืมหลง ถังไป่อี้ได้ให้สัจจ์เป็นมั่นคง ด้วยซื่อตรงด้วยท่านนั้นสัญญา
จะดูแลพวกเราทั้งขุนเขา ประกาศเหล่าชาวยุทธผู้ใฝ่หา ยุทธศาสตร์ปารดเปรื่องอย่าได้มา ล่วงชายคายาวไกลถึงสิบลี้"
อ้อเสี้ยวตุ้ยฟังแล้วคิดก่อนถามว่า "พวกกเสือป่าสิงห์โตในเขตุนี้ มันคงไม่เกรงกลัวบารมี ของท่านถังเพื่อนซี้ของพ่อเจ้า"
จางฟงยี่ตอบว่า
"อ๋อนี่แน่..ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย ตระกูลข้าล้วนนักลุยแห่งขุนเขา พวกกวางป่าพวกเสือรึเหลือเงา เพราะพวกเราเคยรุกล่ามานานนัก
|
|
|
|
|
| 18 มกราคม 2011, 11:38:PM |
|
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:38:PM » |
ชุมชน
|
ผมว่าเลิกไปก็น่าเสียดายนะ เพราะนานๆทีจะได้เห็นงานเขียนที่มีคุณภาพแบบนี้ คือผมว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวดี มากกว่าที่จะแค่เขียนว่าเรารักใครรู้สึกยังไง แค่นั้นน่ะ เวลาอ่านแล้วมันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอ่านนิยายกำลังภายอยู่จริงๆที่ไม่ใช่แค่บทกวีธรรมดา(ผมว่ายังงั้นนะ) ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะครับ
|
|
|
|
| 19 มกราคม 2011, 12:13:PM |
สายใย
กิตติมศักดิ์
คะแนนกลอนของผู้นี้ 600
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 2,700
ช่างเขาเฮอะ
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 19 มกราคม 2011, 12:13:PM » |
ชุมชน
|

อย่าพี่งเลิกเลยพ่ออ้อเสียวตุ้ย เชิญตลุยยุทธภพให้จบสิ้น มีผู้อ่านเป็นแฟนทั้งแดนดิน อย่าถวิลชื่อใด มั่วได้เลย ...
รออ่านอยู่นะครับ อิ อิ

|
หากสิทธิ์ของสายใย ไม่สงวน...(ครับ)
|
|
|
| 19 มกราคม 2011, 06:41:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: 19 มกราคม 2011, 06:41:PM » |
ชุมชน
|
ท่านต่างหากอาจพลั้งอย่าเพลิดเพลิน ไปเที่ยวเดินเดื๋ยวเจอดีมีกับดัก ทั้งหลุมพรางสร้างไว้มากมายนัก ในสุมทุมพุ่มพักชำนาญพราน"
อ้อเสี่ยวตุ้ยได้ฟังก็ขนลุก ที่เคยน่าสนุกทั่วสถาน ตั้งระวังชั่งใจถึงภัยพาล สิ้นสำราญมองไพรด้วยหวาดกลัว
"อ้าวเรอะ..หากเจ้าไม่เล่าแจ้ง ข้าอาจนอนตะแคงหรือทิ่มหัว อยู่ในบ่อดักช้างมิรู้ตัว เพราะเมามัวเพลินไพรเช่นใจหมาย
แต่ว่า.."เขาคิด"เรื่องที่ข้าอยากรู้ เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็จนสาย คล้ายอดีตฝ้งเจ้าจึงงมงาย ขออย่าอายเล่ามาข้าจะฟัง"
จางฟงยี่ว่า..
"โอ้..นี่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยฟังข้า เพียงข้ามคืนที่คบหาไร้ฝากฝัง มีหลายเรื่องที่ข้าต้องปิดบัง ด้วยต่างยังห่างมิตรหากคิดไป"
อ้อเสี่ยวตุ้ยครุ่นคิดจึงตอบโต้ "ข้าเองก็จอมโม้โวไฉน เรื่องอื่นๆข้าให้เจ้าปิดไว้ แต่เรื่องนี้ขอได้ไหมรีบเล่ามา"
จางฟงยี่ใคร่ครวญทบทวนเรื่อง ด้วยแค้นเคืองความหลังจึงอาสา จะเล่าความตามใจแต่ก่อนมา ถูกสามชายชั่วช้าเข้าลวนลาม
จอมกระบี่ผู้เร็วไวได้ช่วยไว้ พร้อมขับไล่ชายชั่วไปทั้งสาม เมื่อเขาจากฝากไว้แต่เพียงนาม เขาผู้ไม่ครั่นคร้ามกระบี่ใด
นามกระบี่"ฝากฟ้า"ดั่งพายุ เพียงระบุเท่านี้ที่รู้ได้ ดุรูปร่างแคล่วคล่องแสนว่องไว แต่เขาใช้ผ้าปิดไว้มิดชิด
นานหลายปีนางอยากเห็นเหมือนเช่นรัก ก็ไม่อาจพบรู้จักตระหนักคิด จึงมองสายธาราคราเหงาจิต จมฝังกับอดีตตลอดมา..
|
|
|
|
|
| 19 มกราคม 2011, 09:20:PM |
สายใย
กิตติมศักดิ์
คะแนนกลอนของผู้นี้ 600
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 2,700
ช่างเขาเฮอะ
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 19 มกราคม 2011, 09:20:PM » |
ชุมชน
|
ท่านจอมยุทธ อ้อ... โปรดรับคารวะจากข้าพเจ้าผู้น้อยหนึ่่งจอก
ค่ำคืนนี้ มิเมามิเลิกลา ฮา ฮา

|
หากสิทธิ์ของสายใย ไม่สงวน...(ครับ)
|
|
|
| 21 มกราคม 2011, 06:32:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: 21 มกราคม 2011, 06:32:PM » |
ชุมชน
|
|
|
|
|
|
| 06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:03:PM |
|
|
|
| 06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:14:PM |
|
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:14:PM » |
ชุมชน
|
เข้าใจดีครับว่ายาก และที่ผ่านมานั้นก็ถือว่าทำได้ดีครับ ยอมรับในฝีมือในการถ่ายทอดเรื่องราวมาเป็นกลอน อ่านเข้าใจง่าย เนื้อหาชัดเจนดี ได้บรรยากาศของการอ่านนิยายกำลังภายใน ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่ใครสักคนจะทำได้ง่ายๆ ผมเองก็ยอมรับว่าไม่มีความสามารถมากพอจะทำได้ขนาดนั้น งานเขียนของคุณนั้นถ้าทำดีๆให้เสร็จสมบูรณ์ ถือเป็นงานเขียนลิขสิทธิ์ที่มีคุณค่า(ขายได้)เลยทีเดียว(พูดตามความรู้สึกของคนที่ชอบการอ่าน) ไหนๆก็เปลี่ยนมาเป็นร้อยแก้วแล้ว เอาให้บู๊ดุเดือดเลยนะ  (ปกติชอบอ่านนิยายกำลังภายในอยู่แล้ว) ได้อ่านแถมได้คุยกับคนเขียนอีก อะไรมันจะดีเลิศปานนั้น  Mayawin
|
|
|
|
| 08 กุมภาพันธ์ 2011, 09:21:PM |
|
dokkrajaiw
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2011, 09:21:PM » |
ชุมชน
|
ตอนที่สาม มารคืนชีพ
ป่าเขาอันสลับซับซ้อนของหุบเขาเหลียงฟาน แวดล้อมไปด้วยพฤกไพรอันขจีปกคลุมกินอาณาบริเวรกว้างใหญ่ไพศาล นั้นไร้ที่เบิกบานให้สัตว์สองเท้าไร้ปีกได้หฤหรรษ์ ความกว้างไกลและทึบหนาของป่าเขา ดุจที่คุมขังมนุษย์ผู้เปล่าเปลี่ยวให้ไร้อิสรภาพ ปล่องถ้ำที่อยู่สูงขึ้นไปบนผาสูง ประดุจหนึ่งหน้าต่างของคฤหาสน์ที่เปิดอยู่ ทำให้เขามองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามที่รายรอบอยู่ได้ถนัดตา แต่ไม่มีความรู้สึกใดบนใบหน้านั้น นอกจากความเฉยชา ในแววตา..ที่ไร้ซึ่งความสุข ร่างกายอันผ่ายผอมแต่ซ่อนไว้ซึ่งพลังอันแข็งแกร่งนั้น เอกเขนกอยู่เหนือแผ่นศิลาบนลานกว้างของถ้ำขนาดใหญ่ เขาอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว..ไม่มีใครให้คำตอบได้ เสื้อผ้าที่มอซอสกปรกผมเผ้าหนวดเคราที่ยาวรุงรังดูน่าเกลียด บ่งบอกว่าเขามิได้สนใจตัวเองมาโดยตลอด เขาสปริงตัวด้วยฝ่ามือดีดตัวขึ้นลอยละล่องด้วยวิชาตัวเบาอันเยี่ยมยอดและว่องไว ไต่ไปตามผนังถ้ำอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว เขาพุ่งตัวเข้าหาตุ๊กแกเคราะห์ร้ายตัวหนึ่ง และคว้ามันติดมือแน่นหนับ ก่อนโรยตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา ดุจปุยนุ่นล่วงลงดิน เขามองตุ๊กแกในมือพลางแสยะยิ้ม มันพยายามดิ้นจนเขาต้องกำมันให้แน่น.. ฉับพลันนั้นเอง เขาอ้าปากออกสุดกว้างก่อนขบกัดเจ้าตุ๊กแกตัวนั้นอย่างแรงและเคี้ยวพรวดๆอย่างอร่อยปาก ส่วนตัวของตุ๊กแกยังกระตุกยึกๆอยู่ เขากัดมันอีกหนึ่งครั้งพลางหัวเราะให้กับชีวิตอันน่าสยดสยอง แหะๆๆๆๆ...แหะๆๆๆๆ เลือดตุ๊กแกแดงฉานไปทั่วปากของเขา
................................................................................... เรือถูกหุบใบและเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งอย่างเชื่องช้า เป็นไปตามความต้องการของคนคุมหางเสือ ลมพัดเฉื่อยฉิวชื่นเย็นไปทั่วบริเวร ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย บัดนี้เราได้เดินทางมาถึงดินแดนแห่งหยางซัน ดินแดนอันอัศจรรย์พันลึก ชายผู้หนวดเครายาวเฟื้อยพูดเสียงดัง เรือถึงฝั่งแล้ว ทิ้งสมอได้ เขาออกคำสั่งเสียงฉะฉาน ชายสองคนที่นั่งอยู่บนเรือมองหน้ากัน เพราะเรือทั้งลำนั้นมีแค่สามคน ชายชุดแดงพกกระบี่ท่าทางขึงขังจึงหันมาพูดแกเขา อารมณ์ดีจังนะลุง ถึงหยางซันแล้วขอรับคุณชายทั้งสอง คนขับเรือพูดอย่างอารมณ์ดี ขอบใจลุงมากที่มาส่ง..เอ้านี่ค่าเรือ ชายอ้วนเตี้ยมีไฝยื่นเงินให้แกเขา ขอบคุณครับ..เที่ยวให้สนุกนะ ชายทั้งสองเมื่อขึ้นมาบนฝั่งแล้วชายชุดแดงก็ถามเพื่อนของเขาว่า เจ้าให้ค่าจ้างแก่เขาเท่าไหร่ หนึ่งตำลึง เพื่อนเขาตอบ โอ้โห..ตั้งตำลึงเชียวเหรอ ก็ข้ารับปากกับเขาว่าจะให้หนึ่งตำลึง ชายทั้งสองหันไปโบกมือให้แก่คนพายเรือ เรือของเขาลอยไกลออกไป โชคดีนะลุง..โชคดี เช่นกันครับท่านชายทั้งสอง ชายผู้นั้นโบกมือและตะโกนเสียงดัง เขาบอกว่าเงินหนึ่งตำลึงทำให้เขาอยู่ได้อย่างสบายเป็นเดือน ชายอ้วนเตี้ยบอกเพื่อนของเขา
.............................................................. ทั้งสองมาถึงโรงเตี้ยมเล็กๆใกล้ๆท่าเรือ พวกเขาไม่พูดกันเลยเพราะหิวจนตาลาย สิ่งที่พวกทำหลังจากนั้นคือกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ท่านทั้งสองเดินทางมาแต่หนใดหรือ ชายที่นั่งโต๊ะข้างๆถาม คำถามนั้นทำให้ความสามารถในการกินอาหารอย่างรวดเร็วของพวกเขาลดลง ชายชุดแดงเปลี่ยนท่าทีตัวเองให้ดูมีมารยาทที่ดีขึ้น พลางมองเพื่อนผู้หิวโหย ครู่หนึ่ง.... เขาหันมามองเจ้าเสียงขณะเพื่อนเขาก้มหน้าก้มตาอยู่กับโต๊ะอาหาร พวกข้ามาจากต่งไห่ เขาตอบชายผู้นั้น ท่านอย่าระแวงข้าเลยท่านชายทั้งสอง ชายผู้นั้นว่า ข้าชื่อเปาเปียวบ้านข้าอยู่ใกล้ๆนี่เอง..ว่าแต่ท่านทั้งสอง..เอ่อ... ข้าชื่ออ๋องอุ้น..และนั่น เขาผายมือไปที่ชายอ้วนเตี้ย หลูอัน ชายอ้วนเตี้ยเงยหน้าขึ้นมาบอกแก่เขา พวกท่านคงมาเที่ยว ใช่ ชายอ้วนนามหลูอันว่า พวกข้าเคยได้ยินแต่คำเล่าลือถึงที่นี่..ต่อแต่นี้จะไม่มีใครโกหกพวกข้าได้อีก..ที่นีทิวทัศน์สวยจริงๆ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง นี่ท่านเปาเปียวข้าถามหน่อย..แล้วโรงเตี้ยมเพียงบุปผาที่ลือชื่อนั้นอยู่หนใด ข้าชักอยากจะสัมผัสเสียจริง เขาว่ากันว่า ไม่ว่าจะคนดีคนชั่ว กวีหรือคนถ่อย เมื่อได้พักที่นั่น จะบันดาลพวกเขาให้พบโลกอันแท้จริงที่เขาใฝ่หาและแรงบันดาลใจมากมาย ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า ที่นั่นจะเศษสักแค่ไหนกัน
เปาเปียวชี้มือไปทิศเหนือ พวกท่านเดินข้ามเขาสองลูกนั้นก็จะถึง
โปรดอ่านต่อพรุ่งนี้
|
|
|
|
|
|