ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร ในเมื่อคนเรามีสิทธิ์จะคิดตรงกันได้ แม้จะต่างกาล ต่างสถานที่ ขึ้นชื่อว่า กวีแล้ว
ย่อมสื่อถึงกันได้โดยหลักการ การคิดซ้ำกัน หรือพร้องกันโดยบังเอิญจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้นว่า ผมได้ดัดแปลงโดยนำเอาหลักการของกลบทเสือซ่อนเล็บ ที่ซ้ำคำที่ ๒ กับ ๗
โดยเปลี่ยนมาแต่งเป็นกลอน ๙ แล้วใส่ซ้ำ คำที่ ๕ ตรงกลางเข้าไปอีก ๑ คำ รวมเป็นสามคำ
ผมจะยกตัวอย่างบทกลอนในอดีตมาสักสองตัวอย่าง
แม้ใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
พระอภัยมณี สุนทรภู่
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม โดย สุนทรภู่
ตรงที่เน้นสีแดงไว้นั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีการซ้ำคำกันระหว่าง คำที่ ๓ กับคำที่ ๔ ซึ่งปรากฏอยู่เพียงวรรเดียว
เพราะวรรคต่อไป สุนทรภู่ท่านไม่ได้ซ้ำแล้ว ซึ่งหลักการซ้ำคำตรงนี้ ผมก็เห็นในปัจจุบันมีการนำมาแต่งกัน โดยเรียก
เป็น กลบทรักร้อย เหตุใดจึงชื่อว่า รักร้อย ? สุนทรภู่ไปเรียนกลบทนี้มาจึงนำมาแต่ง หรือว่าคนเขียนกลบทนี้
ไปเห็นกลอนของสุนทรภู่ ที่ซ้ำคำตรงนี้ จึงจดจำนำมาบัญญัติเป็นกลบทขึ้น โดยให้ชื่อว่ารักร้อย ตามคำที่ซ้ำกันว่า
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก หรือ แม้ใครรักรักมั่งชังชังตอบ เพราะมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับคำว่ารัก จึงเรียกรักร้อย
ใครเลียนใคร หรือต่างคนต่างคิด แต่มาพ้องกันโดยบังเอิญ ก็ไม่มีใครทราบได้
แต่ที่แน่ๆก็คือ ท่านสุนทรไมได้คิดเรื่องกลบทรักร้อยอะไรนั่นแน่ มันเป็นแต่เพียงสำนวนที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
โดยวิสัยแห่งอารมณ์กวีเท่านั้น ความจริงเรื่องกลบทนั้น หลายบท เป็นสิ่งที่กวีรุ่นเก่าสังเกตพบโดยบังเอิญ
จากการแต่งกลอนทั่วไป และพบสำนวนหรือคำพูดบางประโยคที่อาจจะพิเศษและแปลกกว่ากลอนทั่วไป จึงได้นำมารวบรวม
หรือบันทึกไว้ แล้วตั้งชื่อเป็นกลบท เพื่อเป็นแนวทางในการแต่งของคนรุ่นหลังหลังสืบไป ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร
ถึงในบทกลอนที่ชื่อ รุไบย่าห์ นั่นก็เหมือนกัน นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยความชำนาญของกวีผู้แต่ง
โดยที่ตัวผู้แต่งก็ไม่ได้คิดไปถึงว่าจะนำมาทำเป็นกลบทใดๆ จึงเป็นเป็นเพียงบทกลอนที่มีสำนวนแปลก พิเศษสะดุดหู
แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เพราะไม่ได้นำมาแต่งเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด
และผมเชื่อว่าคนที่เคยแต่งกลอนมาเป็นจำนวนมากนั้น หากจะลองย้อนกลับไปอ่านกลอนที่ตนเองแต่ง
จะต้องแปลกใจที่จะมีสำนวนบางวรรค ที่แปลกและพิเศษกว่าข้อความตอนอื่นๆ จนสามารถที่จะนำหลักการนั้นๆ
มาสร้างเป็นกลบทได้ เพียงแต่ตัวผู้แต่งเองอาจจะไม่ได้ใส่ใจ หรือไม่ได้สนใจที่จะรวบรวมไว้เท่านั้น
สำหรับ กลบท ปาหินบนน้ำอะไรนี่ ผมยืนยันว่า ผมดัดแปลง มาจาก กลบทเสือซ่อนเล็บที่มีมานานแล้วอย่างแน่นอน
โดยแค่เพิ่มคำซ้ำเข้าไปตรงกลางบทอีก ๑ คำเท่านั้น
แล้วก็ไอ้เรื่องการแต่งกลบทประเภทซ้ำคำกันนั้น มันมีมากมายหลากหลายนัก ไม่ว่าจะเป็นซ้ำหัวท้าย อย่างกลบทครอบจักรวาล
เขยิบเข้ามาหน่อยซ้ำคำที่ ๒ กับ๗ อย่างเสือซ่อนเล็บ ซ้ำสองคำ อย่างมังกรคายแก้วคาบแก้ว ซ้ำคำที่ ๓ กับคำที่๘ อย่าง
พยัคฆ์ข้ามห้วย นี่ยังไม่รวมถึงการซ้ำคำตรงตำแหน่งอื่นๆ อย่างกินนรเก็บฝักบัว ตรีพิธพรรณ
จนแทบจะเรียกได้ว่า ฉันทลักษณ์ของกลอน ๘ กลอน ๙ นั้น แทบจะพรุนไปด้วย กฏเกณฑ์ของกลบทต่างๆอยู่แล้ว
นี่ยังไม่ต้องกล่าวถึง ที่ผมกำลังจะคิดและรวบรวมอีก ฉะนั้นมันจะแปลกอะไรเหรอ ถ้าจะมีกลบทที่ชื่อ ปาหินบนน้ำ

Orion264





ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
บันทึกการเข้า