Re: >>>เรื่องสั้น "เวลา ของความทรงจำ"
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
11 พฤศจิกายน 2024, 02:40:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: >>>เรื่องสั้น "เวลา ของความทรงจำ"  (อ่าน 8801 ครั้ง)
Design with love ᵔᴥᵔ
Special Class LV5
นักกลอนแห่งเมืองหลวง

*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 186
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 288


~Eyerything I See~


« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2011, 03:31:PM »

ต่อจากข้างบนค่ะ ^^
           
27 มกราคม   2553; 16:23น. นี่ก็บ่ายแล้วฉันเดินออกมาจากห้องด้วยความสับสนวุ่นวายใจ  ฉันรู้สึกเหนื่อยเหมือนกับเรี่ยวแรงของฉันมันหมดสิ้น  น้ำตาของฉันรินไหลออกมาอย่างไม่อายใคร ทุกคำพูดของหมอยังดังอยู่ในหัวฉัน ‘ตอนนี้เนื้อร้ายในตัวของเขามันเพิ่มขึ้นมากเลยครับ หมอคิดว่าการฉายแสงอาจจะไม่ได้ผลอีกแล้ว’ ‘หมอไม่อยากรับปากว่าจะเยื้อเขาไว้ได้นานแค่ไหน หากได้กำลังใจที่ดีอาจจะอยู่ได้นานหลายเดือน แต่ถ้าไม่..’  ‘หมออยากให้คุณทำใจดีๆไว้ก่อน’ ‘หมอจะพยามทำให้ดีที่สุดครับ’ ฉันคิดทวนประโยคซ้ำไปซ้ำมา จนเท้ามาหยุดที่หน้าห้องเก่า ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้อง  แสงแดดตอนบ่ายส่องผ่านม่านสีฟ้า ทุกอย่างภายในห้องหยุดนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหว ฉันมองร่างบนเตียงด้วยความรู้สึกไหวหวั่น คำพูดของหมอยังวนเวียนอยู่ในหัวของฉันอย่างไม่ลดละ ฉันเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งข้างๆเตียง จ้องมองหน้าคนที่ฉันรักสุดหัวใจ  ลมหายใจของเขาดังสม่ำเสมอ  ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะฟังเสียงลมหายใจของเขา อยากมองหน้าเขาแบบนี้ จับมือเขาแบบนี้ อยากอยู่ข้างเขาแบบนี้ตลอดไป ... ..แต่ทั้งที่ฉันเองก็รู้คำตอบของมันดีอยู่แล้ว ว่าถึงอย่างไรมันก็ไม่มีวันเป็นไปได้  น้ำตาที่เริ่มแห้งไปกลับไหลรินอีกครั้ง ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูว่าเปล่าไปหมด  เหมือนมีฉันยืนอยู่คนเดียว ท่ามกลางความมืดที่ไร้ทางออก  ฉันจะทำอย่างไร ฉันจะอยู่อย่างไรหากไม่มีเขา ยิ่งคิดน้ำตามันก็ยิ่งไหล ‘ทำไมฉันมันอ่อนแออย่างนี้นะ แบบนี้จะดูแลคุณได้อย่างไรกัน’ ฉันมองหน้าเขาและซบหน้าตัวเองลงกับขอบเตียง ...มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ กับน้ำตาที่ยังไหลอยู่ไม่หยุด
“ร้องไห้ทำไมครับ” เสียงของเขา ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมามอง  มือของเขาพยามเอื้อมาซับน้ำตาให้   ฉันรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้รับสัมผัสแบบนี้  เขายังใจดี และอ่อนโยนสำหรับฉันเสมอ
“ไม่ได้ร้องสักหน่อย  แค่ฝุ่นเข้าตาน่า” ฉันพยามฝืนยิ้มออกมาให้กว้างที่สุดเพื่อบอกกับเขาว่าฉันไม่เป็นไร  เขาเลื่อนมือลงมาจับมือของฉันที่วางอยู่บนเตียง รู้สึกถึงแรงที่บีบมือฉันเบาๆ ไร้คำพูดใดๆหลุดออกมาจากปาก ฉันจ้องตาเขาเหมือนพยามหาบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน
“กลับบ้านกันเถอะนะครับ ผมอยากนอนที่บ้านเรามากกว่า”ฉันมองหน้าเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ในเมื่อเขายังนอนซมอยู่แบบนี้แล้วหมออีกล่ะ จะว่ายังไง
“นะครับ นะ” สายตา และท่าทางออดอ้อนเหมือนเด็กๆ ทำให้ฉันอดอมยิ้มไปด้วยไม่ได้
“ก็อ้อนซะขนาดนี้แล้ว ใครจะใจร้ายลงล่ะค่ะ แต่ต้องบอกคุณหมอก่อนนะ”ฉันมองรอยยิ้มนั้นอย่างสุขใจ แล้วแบบนี้ฉันจะลืมคุณได้อย่างไรกัน  ความรู้สึกเจ็บในใจก็รุมเร้าเข้ามาอีก 
“แค่หมอ คุยแป๊บเดียว  ก็เปลี่ยนชุดกลับบ้านได้แล้ว” คำพูดแสดงความมั่นใจกับร้อยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก เขาไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด ยังดูแข็งแรง และยังมีร้อยยิ้มให้ฉันเห็นอยู่เสมอ  นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ฉันยิ้มได้หลังจากคราบน้ำตา..

 21:32 น. ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้งมีเพียงแสงไฟสีนวลสลัวที่ยังสาดแสงอ่อนๆอยู่มุมห้อง เขาหลับไปนานแล้วหลังจากที่ได้คำตอบอนุญาตจากหมอ ให้กลับบ้าน  ผิดกับฉันที่คิดถึงวันพรุ่งนี้กลับทำให้รู้สึกนอนไม่หลับ ทุกอย่างมันเวียนซ้ำอยู่ในหัวของฉัน ยิ่งนึกถึงเรื่องเก่าๆ ฉันยิ่งหวั่นใจ ‘มันต้องนานกว่านี้ ฉันจะเยื้อเขาเอาไว้ให้นานที่สุด’ ความรู้สึกจุกๆที่คอ ร้อนๆที่ตาเริ่มเกิดอีกครั้ง ‘ฉันจะไม่ร้องไห้ ฉันต้องไม่ร้องไห้’ ‘ฉันจะดูแลเขาเอง ฉันจะต้องเข้มแข็ง’  ฉันทอดสายตามองออกไปที่หน้าต่าง ผ่านม่านสีฟ้า แสงไฟในยามราตรีของเมืองมหานคร ฉันคงต้องลาแล้วในคืนนี้ ฉันปิดเปลือกตาลงพร้อมความอ่อนล้า ฟังเสียงเครื่องปรับอากาศที่ยังดังแผ่ว..


22 มีนาคม 2552 ; 20:45 น. ค่ำคืนที่ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิต  ..ชุดลูกไม้สีขาวยาวสะอาดตาที่อยู่บนร่าง  เคียงข้างฉันร่างสูงเพรียวที่วันนี้แต่ตัวได้หล่อที่สุดเท่าที่เคยรู้จักกันมา มืออุ่นๆที่จับมือฉันไม่ยอมปล่อย เสียงเพลงบรรเลงหวาน บรรยากาศโรแมนติกน่าหลงใหล ท่ามกลางรอยยิ้มและคำอวยพรของญาติสนิทที่มาร่วมงาน ...นี่เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรา หลังการคบยาวนานถึง 7 ปี ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ผู้ชายเรียบง่าย ดูมีโลกส่วนตัว อยู่กับความฝัน และจินตนาการ กลับหมุนมาเจอกับฉันผู้หญิงที่มองโลกด้วยทฤษฎีและเหตุผล  เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิดแต่แปลกที่เราสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว เขาไม่เคยขัดใจฉันเลยสักครั้ง เราแทบจะไม่เคยมีปากเสียงกันเลย ทุกๆวันที่เราอยู่ร่วมช่างสวยงามและเต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ ฉันคบกับเขามา 7 ปี จนวันนี้ตกลงที่จะสร้างครอบครัวด้วยกัน ความรักเริ่มผลิบานเรื่อยๆ ลมหายใจที่ฉันใช่อยู่ทุกวันก็เพื่อเขา เราอยู่เพื่อกันและกัน  อนาคตครอบครัวถูกวาดไว้อย่างสวยงามด้วยฝีมือของสถาปนิกมือหนึ่ง และอาจารย์มหาลัยกระจอกๆแบบฉัน  'เราจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ' มือของเขาบีบแน่นขึ้นเรียกฉันกลับมาจากอดีต
“เหนื่อยรึป่าวครับ ไหวไหม ดูเหม่อๆนะ” เขาถามฉันด้วยสีหน้าห่วงใย
“เปล่าค่ะ แค่ตื่นเต้นนิดหน่อย” ฉันยิ้มให้เค้า “ไปห้องน้ำนะคะ” ฉันแกะมืออุ่นๆที่มือของฉันออก
“ให้ไปเป็นเพื่อนรึเปล่า ไหวแน่นะครับ”เค้ายังเป็นห่วงอยู่ไม่หยุด
“คุณอยู่ดูแลแขกเถอะค่ะ  เดี๋ยวมานะ” ฉันเดินหลบหลีกผู้คนภายในงานมาที่ประตูด้านข้างของโรงแรม เดินเรื่อยๆ สายตาของฉันสะดุดที่หญิงสูงวัยคนหนึ่งเธอนั่งก้มหน้าอยู่เงียบๆ ‘ใครกันนะ’ฉันนึกในใจ และจ้องมองเธอด้วยความด้วยสงสัย ในมือเธอมีบัตรเชิญร่วมงาน ‘คงจะเป็นแขกคนหนึ่งเป็นแน่’ฉันคิดและสรุปอย่างมั่นใจ  ก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอและเอ่ยปากถาม
“ทำไมไม่เข้าไปในงานละคะ”เงียบ เธอเพียงส่ายหน้าช้าๆ “งานไม่สนุกหรือเปล่า” ฉันยังไม่ละความพยาม เธอยังไม่ตอบเพียงแต่ยื่นซองสีชมพูหวานและกระดาษสีม่วงใส่ในมือของฉัน   ฉันมองบัตรเชิญและการ์ดสีม่วงเข้มอย่าง งงๆ  ลายมือที่ตวัดไปมา ฉันยืนเพ่งพยายามจับใจความ ‘เมื่อดอกไม้ดอกสุดท้ายผลิบาน  เพลงแห่งรักกังวานหวานไหว ขอสองร่างผสานรวมเป็นหนึ่งใจ  รักยิ่งใหญ่ซึ้งใจชั่วนิรันดร์’ คิ้วของฉันขมวดปมเข้าหากันเล็กน้อย นี่มันอะไรกัน  คำอวยพรอย่างนั้นหรือฉันอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงชรา  ‘หายไปไหนแล้วนะ’ ความสงสัยกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉันตะโกนเรียกหญิงคนนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเพียงความเงียบและความว่างเปล่าไร้เสียงตอบกลับ..
‘เปรี้ยง ง’ ฉันสะดุ้งเล็กน้อยมองไปรอบๆห้องที่ยังมีแสงนวลของโคมไฟ ฉันทอดสายตาไปที่หน้าต่าง ‘ตกอะไรตอนนี้นะ’ ฉันลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำ ‘ว่าแต่ฝันถึงวันแต่งงานหรือนี่’ ฉันเอาน้ำลูบหน้าเบาๆ นึกทบทวนเรื่องในความฝัน ‘ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน’ คิดอย่างไรมันก็คิดไม่ออก  ฉันซับหน้าตัวเองเบาๆ ขับไล่คำถามทั้งหมด  ฉันออกมาจากห้องน้ำเดินไปที่เตียง เขายังคงหลับสนิท ฉันดึงผ้าห่มขึ้นเล็กน้อยและกลับมาล้มตัวลงนอนที่โซฟาตามเดิม เสียงฟ้าฝนยังดังกระหน่ำอยู่ไม่หยุด ‘ฝนหน้าหนาว’  ฉันมองนาฬิกาที่สะท้อนแสงไฟอยู่มุมห้อง ‘ตีสองครึ่ง’ ฉันข่มตาตัวเองให้หลับลงไปอีกครั้ง อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้กลับบ้านแล้วสินะ... . .

มีต่อค่ะ^^

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

บูรพาท่าพระจันทร์, ลมหนาว, พิมพ์วาส, จ.รัตติกาล, ♥หทัยกาญจน์♥, Thammada, amika29, กาญจนธโร, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2012, 06:27:PM โดย Design with love » บันทึกการเข้า

`°.•°•.★* Love Me Love My TK.DEE My Family Forever *★ .•°•.°´

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s