อยากแต่งกลอน ๙
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
16 พฤษภาคม 2024, 11:01:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: 1 [2]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อยากแต่งกลอน ๙  (อ่าน 34190 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:38:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #20 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:38:PM »
ชุมชนชุมชน




อยากจะขอ ความเห็นใจ สักนิดหนึ่ง
บอกคิดถึง ก็ขอบคุณ ค่ะคุณขา
รบกวนฝาก ข้อความไว้ ยามได้มา
การโทรหา ขอจำเป็น จะเห็นควร

ไม่ได้โกรธ โปรดเข้าใจ ว่าไม่ว่าง
ล้วนงานกาง ต้องคร่ำเคร่ง ความเร่งด่วน
โทรศัพท์ เวลางาน การรบกวน
เสียกระบวน เป็นตัวอย่าง ที่ไม่ดี

เป็นหัวหน้า ทำเหลวไหล ใครจะเชื่อ
จะยังเหลือ ความนับถือ อีกหรือนี่
เป็นหัวหน้า จะถือสิทธิ์ ผิดไม่มี
คงเป็นที่ ครหา ช่างน่าอาย

อยากจะขอ ความเห็นใจ สักนิดหนึ่ง
รอให้ถึง เวลาพัก คงไม่สาย
อยากจะโทร เชิญโทรหนา ตามสบาย
ไม่เสียดาย ค่าโทรก็ เชิญโทรเลย.

เธอนั่นแหละจ้ะ
  "กานต์ฑิตา"
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔




ก็โอเคนะครับ  โดยรวมถือว่าดีครับ  แต่จะดีกว่านี้  ถ้าตรงคำว่า  อยากจะโทร  เชิญโทรหนา  ตามสบาย  เปลี่ยนจาก หนา  เป็น  หา  +1 ครับ   ยิ้มแฉ่งฟันหลอ
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:47:PM
สมนึก นพ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 728
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,994



taojeo@hotmail.com
« ตอบ #21 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:47:PM »
ชุมชนชุมชน

ที่โทรไป หมายเวลา ว่าพักเที่ยง
ก่อนเข็มเบี่ยง สิบสามน. ขอเฉลย
สิบห้านาที ที่เฝ้าดู รู้ก่อนเลย
หากเฉยเมย เวลาถึง ซึ่งทำงาน

แค่ห่วงใย เกินไปนิด คิดสับสน
จึงดั้นด้น โทรเข้าได้ หมายประสาน
ไม่รับตอบ ไม่รู้ถึง สถานการณ์
จนเสียงาน ครหา พาอับอาย

ขออภัย ในความผิด จิตหดหู่
เพราะไม่รู้ เกิดเหตุใหญ่ ให้เสียหาย
ขอรับผิด คิดไม่ถึง จึงวุ่นวาย
ลูกผู้ชาย ให้สัญญา ว่าหลาบจำ.

ด.ช. นพ
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:49:PM
ฉันเอง
LV0 ทารก2 (Pls..update E-mail)
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 182
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 685


เป็นตัวเองดีกว่า..วุ้ย


« ตอบ #22 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:49:PM »
ชุมชนชุมชน

<a href="http://www.youtube.com/v/lUeHVOEZuJI&amp;rel=0&amp;fs=1" target="_blank">http://www.youtube.com/v/lUeHVOEZuJI&amp;rel=0&amp;fs=1</a>

ในเก้าล้านหยดน้ำตาพารินหลั่ง
เหมือนกลบฝังถมวิญญาณผลาญมอดไหม้
ไม่มีเหลือเผื่อแผ่รักจักให้ใคร
เธอทำได้อย่างใจเย็นเห็นฉันครวญ

ในน้ำตามันมากค่าคำว่ารัก
ไหลรินหนักเธอจากไกลร่ำไห้หวล
แสนคิดถึงคนึงหาพารัญจวน
เธอทำป่วนชวนรักเก่าเฝ้าคืนดี


ฉันเอง..
ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

ขอแต่งโลกสวย  ด้วยคำกลอน
05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:53:PM
♥ กานต์ฑิตา ♥
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 500
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,078



« ตอบ #23 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 07:53:PM »
ชุมชนชุมชน

ที่โทรไป หมายเวลา ว่าพักเที่ยง
เข็มเบี่ยงก่อน สิบสามน. ขอเฉลย
สิบห้านาที ที่เฝ้าดู รู้ก่อนเลย
หากเฉยเมย เวลาถึง ซึ่งทำงาน

แค่ห่วงใย เกินไปนิด คิดสับสน
จึงดั้นด้น โทรเข้าได้ หมายประสาน
ไม่รับตอบ ไม่รู้ถึง สถานการณ์
จนเสียงาน ครหา พาอับอาย

ขออภัย ในความผิด จิตหดหู่
เพราะไม่รู้ เกิดเหตุใหญ่ ให้เสียหาย
ขอรับผิด คิดไม่ถึง จึงวุ่นวาย
ลูกผู้ชาย ให้สัญญา ว่าหลาบจำ.

ด.ช. นพ

น้อยใจแล้วด้วย
กลอนที่ลง เป็นกลอนเก่า หยิบเล่าใหม่
มิจงใจ เจตนา อย่าถลำ
ด.ช.นพ ครูเข้าใจ  ในน้ำคำ
ขอบอกย้ำ อีกทีหนึ่ง ใช่ขึ้งเคือง.
     



สาวน้อยเซย์ ฮาโหล
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
05 กุมภาพันธ์ 2011, 08:00:PM
บอม ซอง ดุ๊ก
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 457
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 589


เสกสรรกลั่นอักษร พลิ้วโอนอ่อนตามอารมณ์


« ตอบ #24 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 08:00:PM »
ชุมชนชุมชน




~เพราะล้นเอ่อ..จึงเผลอเก้า~


เพราะบอกว่า ฉันคิดถึง จึงเผลอเก้า
เพราะบอกเจ้า ฉันห่วงใย เลยไส่เพิ่ม
เพราะบอกไป ใจอย่าท้อ จึงต่อเติม
แต่เหมือนเดิม ซึ่งความสุข ทุกร่ายเรียง

เพราะบอกว่า ลาก่อนเธอ  จึงเผลอเก้า
เพราะบอกเจ้า เสียใจมาก เลยลากเสียง
เพราะบอกช้ำ ย้ำให้โดน จึงโอนเอียง
แต่พอเพียง เยี่ยงบทเศร้า เราจบกัน

เพราะบอกว่า ฉันแอบซึ้ง เลยถึงเก้า
เพราะบอกเจ้า ฉันแอบรัก จึงหลักผัน
เพราะบอกชอบ มาเนิ่นนาน เลยด้านดัน
แต่กระนั้น  มันไม่มาก หากเทียบใจ

เพราะบอกว่า เมตตาเถิด เตลิดเก้า
เพราะบอกเจ้า กายมิยืน เลยลื่นไหล
เพราะบอกกัน นั่นเพียงเล่ห์ จึงเขวไป
แต่ยังไง ไม่แตกต่าง ทางแห่งธรรม

เพราะบอกว่า อย่ามาง้อ เลยต่อเก้า
เพราะบอกเจ้า เราเฉยเฉย เลยถลำ
เพราะบอกไป ไม่มีทาง เลยสร้างคำ
แต่ยังย้ำ ได้ดีพอ ทุกข้อความ

เพราะบอกว่า บอมซองดุ๊ก จึงรุกเก้า
เพราะบอกเรา หล่อเหลือเกิน เลยเพลินสาม
เพราะบอกตน เท่ไปหน่อย จึงผล็อยตาม
แม้นตรงข้าม แต่ก็ดี ที่คำพอ

O

 ลาตายดีกว่าตู


~หล่อไม่เสร็จ แบบบักบอม ซอง ดุ๊ก~
 

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

เสกสรรกลั่นอักษร....พลิ้วโอนอ่อนตามอารมณ์
05 กุมภาพันธ์ 2011, 08:20:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #25 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 08:20:PM »
ชุมชนชุมชน



เขียนกลอนเก้า  ให้่เข้าท่า   ภาษาชัด
ต้องรวบรัด  ใจความแน่น  มีแก่นสาร
สื่อความหมาย  ได้ทำนอง  คล้องจองกานท์
อีกฉะฉาน   ในถ้อยคำ  ย้ำชัดชัด

แต่ละบท   รสกวี  ลีลาเด็ด
กลเม็ด   ควรน้อมนำ  แต่คำสัตย์
ให้จบลง  ตรงท้ายบท  มิจดยัด
ทุกบทคัด  แต่เน้นเน้น  จะเป็นดี

เพื่อนมาโพสต์  ตอบโจทย์กลอน  เมื่อตอนค่ำ
เราหน้าดำ  เอาอีกแล้ว  เหมือนแจวหนี
จะไม่แต่ง  ตอบเขาไป  ทำไงดี
เจ้าของกลอนบทนี้  เลยต้องมา

ยังแต่งกลอน  ให้ถูกใจ  มิได้ครับ
ต้องยอมรับ ว่าอ่อนหัด สัมผัสหา
ทั้งคำศัพท์  ที่จะแจง  แสดงมา
อันตัวข้า  มิได้เลิศ  ประเสริฐใด

ต้องยอมรับเหมือนกันนะครับว่าไม่ได้เก่งกาจอะไร  เดี๋ยวจะหาว่าตำหนิเอาแต่ผู้อื่น  อันที่จริงตัวเองก็ยังด้อยและยอมรับความจริงทุกประการ
ถ้าเกิดคำวิจารณ์ต่างๆจะล่วงเกินผู้หนึ่งผู้ใดข้าขออโหสิเด้อ ที่จริงไม่ได้ เก่งกาจกว่าท่าน  แต่ที่วิจารณ์ ทำในฐานะคนอ่านเท่านั้นครับ   ยิ้มแฉ่งฟันหลอ


          Mayawin
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

05 กุมภาพันธ์ 2011, 08:29:PM
ดอกกระเจียว
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 317
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,264


จินตนาการในความว่างเปล่า


« ตอบ #26 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 08:29:PM »
ชุมชนชุมชน





ขออภัยไม่ถนัดจัดกลอนเก้า
เพราะว่ายาวราวยืดเยื้อเกินเอื้อไหว
ชอบแปดคำความกระชับย่อมจับใจ
จังหวะชัดจัดมาไวใจเคยชิน

กลอนทุกเรื่องเฟื่องทุกบทและสดสวย
ล้วนงามด้วยรวยเชิงศาสตร์วาดแววศิลป์
ทั้งสื่อล้ำสัมผัสใจได้ประทิน
ระรวยรินกลิ่นประพันธ์อันภิรมย์

ไม่ถนัดจัดกลอนยากกระดากนัก
เพียงหวังพักทักไมตรีมิตรศรีสม
จึงได้เรียงเพียงแค่นี้ที่พอชม
พี่อย่าตรมขมชิ้นงานเมื่ออ่านเจอ

นะคะ.. ยิ้มแก้มแดง

ปล.อ่านให้เป็นเก้านะคะ.. เอ้อ..จริงว่ะ

...ส่องกระจ่าง...พร่างประพจน์...เป็นบทร้อย
แม้ไม่ค่อย...เชี่ยวชาญชัด...จัดเสนอ
ยังทำใคร...คนนี้ซึ้ง...อึ้งละเมอ
สมชื่อเธอ...ดาวดารา...แห่งฟ้าเรือง

...เพียงเธอทาบ...อาบรอยแสง...แฝงคำสอน
ทุกบทกลอน...งามละไม...วิไลเฟื่อง
แต่ละวรรค...สลักถ้วน...ล้วนประเทือง
มิเปล่าเปลือง...เวลาอ่าน...เมื่อผ่านมา...
 ชอบใจๆ
...............ดาวแท้มิแพ้ทางจริงๆ...//ดรีม

แค่แม่งูดูเหมือนไหลไปเสียทั่ว
แค่มามั่วกลั้วลมลิ้นศิลป์ภาษา
มานิยมชมชื่นกันฉันเขินนา
ธรรมดามาเล่นฝันอันพอมี

เล่นห้องนี้พี่เกรงจังฟังมาว่า
กลอนเก้าหาท่ามิไหวไม่คงที่
มิถนัดคัดเท่าไรเอาไงดี
เชิญน้องพี่ปรี่เช็คเอ๊าท์เราขอจร

ไปเช็คอินห้องเด็กเด็กเล็กกันเถิด
ขอไปเปิดห้องร้อยกรองให้น้องอ้อน
เกรงขบวนรวนพลาดไปได้ม้วยมรณ์
เจ้าของกลอนก้องเสียงมาท่าดุจัง..อิอิ ขำแบบกระแดะหน่อยๆ

 ปวดขี้อ่ะ ช้างน้อยเท่านี้แหล่ะจ้ะ

ล้อเล่นนะค๊า..พี่ชายมายาวิน.. เอ้อ..จริงว่ะ



...ช่างเย้ายวน...ชวนพะวง...จึงหลงใหล
กลอนของใคร...ยามยินยล...เปี่ยมมนต์ขลัง
ละเมียดคำ...ละมุนมอบ...ชอบใจจัง
เสียงระฆัง...เคาะยกแรก...กระแทกนวม...
...........................//ทอฝัน



แล้วฟู้ดเวิร์ค  ระมัดการ์ด  สายตามั่น
กระพริบพลัน  คงเสียท่า  แล้วพาอ่วม
กระแทกแย๊บ  เข้าทักทาย  หมายตาบวม
ก่อนขวาร่วม   กระแทกตาม  เป็นความชิน

สเต็ปเท้า     ยอดลีลา      ทั้งหน้าหลัง
สานจังหวะ   หมัดระวัง      แกร่งดังหิน
เอ้าประคัด   ฮุกและตรง      สวิงวิน
นั้นพร้อมสิ้น   จะปลดปล่อย   ไม่สอยลม



แบบว่าซ้อมประจำ
อายจัง ขำแบบกระแดะหน่อยๆ

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

05 กุมภาพันธ์ 2011, 10:14:PM
พรายม่าน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 548
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 556


Praiman CharlesTep CharlesTep
เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 10:14:PM »
ชุมชนชุมชน


บทกวีสุดท้าย

ราตรีโถมโทมนัสรหัสโทษ
กาลถวิลทมิฬโกรธโจทย์ประหาร
เอื้อมประหัตกระหวัดหวืออุ้งมือมาร
กางกรีดผ่านทวารวัตรแห่งอัตตา

ผู้เจนจบครบศิริอภิเวทย์
แห่งขอบเขตเทวศขันธ์อนาถา
แม้ลึกล้ำพร่ำประทิ่นอภิญญา
ยังประหวั่นพรั่นประหม่าผู้มาเยือน

ฤาภาพนี้ฤดีสร้างแต่ปางบรรพ
คอยทิ่มกลับจับมานะตะบะเฉือน
เป็นภาพจ้าท้ากระจ่างบนลางเลือน
เหมือนจะเตือนเพื่อนผู้กล้าว่าปราชัย

หัตกรรมล้ำครรลองของมตะ
หลอกล่อโคอันโมหะ อนิสัย
ชนะปราชญ์อาจวิชชาให้ปราชัย
นิวรณ์หวังประดังไว้ ณ.วายวาง

พรายม่าน
สันทราย
๐๕.๐๒.๕๔

ป.ล. เป็นกลอนเก้าชิ้นแรกในชีวิต เผอิญอ่านกวีของท่าน รพินรนาท ฐากุร มาถึง “The Last Poem” ที่ท่านรจนาไว้ 10 วัน ก่อนถึงแก่กรรมพอดี
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

05 กุมภาพันธ์ 2011, 11:48:PM
พรายม่าน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 548
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 556


Praiman CharlesTep CharlesTep
เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2011, 11:48:PM »
ชุมชนชุมชน


เด็กดอย

เขียนกลอนเก้าเกลามาฝากจากดอยสูง
หลังจากจูงฝูงทะโมนไปโจนผา
ทั้งเจ้าเปียเลียไอติมหนูพิมพา
เจ้าคำผาหน้าเศร้าเศร้าเพราะเมารถ

เจ้ามะขิ่นถิ่นผักดองแถวหนองครก
ผักกาดจอห่อแอ๊บหมกก็จกหมด
น้ำพริกอ่องของเจ้าไผ่ยำไข่มด
ถึงป่ารวกพวกแอบซดหมดพอดี

กว่าจะต้อนตะลอนหาจนป่าแตก
เหมือนต้อนลิงวิ่งตาแหกเพราะแปลกที่
กระโดดนั่นกระเด้งโน่นคนละที
สาบานได้ให้อย่างนี้แค่ปีเดียว

แต่เด็กป่าศึกษาน้อยผู้ด้อยค่า
ต่ำติดดินกินกับป่าใครมาเหลียว
จะร้องแรกแหวกกระไรเท่าใดเชียว
แค่ได้เทื่ยวเปลี่ยวเตลิดก็เลิศแล้ว

พรายม่าน
สันทราย
๐๕.๐๒.๕๔
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

06 กุมภาพันธ์ 2011, 12:03:AM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #29 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2011, 12:03:AM »
ชุมชนชุมชน


จะก้าวเดิน  เผชิญโลก  แม้โศกเศร้า
จะก้าวเข้า  สู่ภยัน   ด้วยหรรษา
จะก้าวข้าม  ห้วงมหิทธิ์  ด้วยฤทธา
จะก้าวฝ่า  อุปสรรค   ที่ดักทาง


จะร้อยรส  พจนา  เพื่อหาหลัก
จะทอถัก  ถ้อยกวี  ไม่หนีห่าง
จะคอยย้ำ  น้ำคำไว้  ไม่เจือจาง
จะสะสาง ความเข้าใจ  ในกวี

จะคอยชัก  อักขระ  สารพัด
จะคอยจัด  ทุกอักษร  เป็นกลอนศรี
จะคอยช่วย  อำนวยเชิด ให้เกิดมี
จะคอยวัน  ทีฉันนี้  ตีแตกกลอน

ทุกวันนี้  ศึกอะไร  ยังไม่ห่วง
ทุกวันนี้  ศึกที่ลวง  คือทรวงหลอน
ทุกวันนี้  ศึกที่ล้า  คืออาวรณ์
ทุกวันนี้  ศึกที่อ่อน  คือชั้นเชิง


.....ขอแต่งแบบขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน.... เอ้อ..จริงว่ะ

หมายเหตุ   ในที่สุดก็พบเสียทีกับสิ่งที่รู้สึกว่าขาดหายไป เดี๋ยววันหลังมีเวลาแล้วจะมาถ่ายทอดให้ฟังครับ






ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

06 กุมภาพันธ์ 2011, 04:37:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #30 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2011, 04:37:PM »
ชุมชนชุมชน

  

            หลังจากที่เก็บความสงสัยไว้มานานว่าทำไมการแต่งกลอนเก้านั้นบางบางกลอนก็ดูดี บางครั้งกลอนที่แต่งออกมาเมื่ออ่านแล้วกลอนก็ดู
อืดอาดจขาดความไพเราะ ตามที่ผมได้เขียนไว้เมื่อวานว่า มันเขียนขาดอะไรไปบางอย่างเพียงแต่นึกไม่ออก(เพราะไม่ทราบ)แต่ในที่สุดก็คลี่คลาย
ปริศนาที่คลายคาใจออกมาจนได้
            ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสนุกและช่วยผมคลี่คลายปัญหาคาใจเกี่ยวกับกลอนเก้านตั้งแต่ต้นะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คุณพรายม่าน  ที่อุตส่าห์แต่งมาให้ดูทั้งสองแบบ  จนทำให้ผมได้พบกับคำตอบ  ที่ดูเหมือนว่าจะทราบดีอยู่แล้วแต่ไม่บอกไม่สอนตรงๆ คงทำมาเป็น
ตัวอย่างให้ดูแล้วให้คิดเอาเอง  ก็นับว่าเป็นอุบายวิธีการสอนที่ล้ำลึก  ข้าน้อยขอคารวะ   ยิ้มหน้าใส
             อีกเรื่องหนึ่งที่จะแจ้งให้ทราบก็คือ  ถึงแม้ว่าในเบื้องต้นผมจะได้กล่าวไว้ว่า  ถ้าใครแต่งกลอนได้ถูกใจก็จะโหวตให้ ซึ่งตอนแรกก็ตั้งใจไว้
เช่นนั้นจริงๆ  คือจะโหวตให้เฉพาะกลอนที่ถูกใจเท่านั้น  แต่เนื่องจากตอนนี้ผมได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว  ฉะนั้นจึงถือได้ว่าทุกท่านยอมสละเวลา
สละแรงในการแต่งกลอนเก้านั้น ได้มีส่วนในการที่ทำให้ผมรับคำตอบไปด้วย  อันเป็นการได้รับความรู้ใหม่ที่ยังไม่เคยรู้(แล้วเดี๋ยวจะได้นำมาบอกเล่ากันต่อไป) ผมจึงตัดสินใจจะใช้สิทธิ์ ในการบวกคะแนนให้กับทุกท่าน  คนละ 1 คะแนนครับ จะมากน้อยจะน้อยก็คนละ 1 เท่ากัน
ส่วนคนที่ผมบวกไปแล้วเมื่อวานก็ถือว่าเจ๊ากันไปนะครับ ไม่มีการบวกเพิ่มถือว่าให้แล้วก็แล้วกันไป  ยกเว้นคุณพรายม่านที่ผมจะบวกเพิ่มให้อีก 4
รวมเมื่อวานด้วย เป็น 5  ในฐานะที่ท่านมีส่วนสำคัญในการที่ผมได้คำตอบ  ถือเป็นค่าครูหรือค่าวิชาครับ  แม้จะไม่ได้บอกกันตรงๆก็ตาม  ยิ้มหน้าใส
ก็หวังว่าทุกท่านคงโอเคนะครับ  คุณเว็บมาสเตอร์ และ  ผู้ดูแลบอร์ด  ถ้าผิดพลาดประการใดช่วยกรุณาเตือนกันด้วยนะครับ ยิ้มหน้าใส อย่าให้คะแนนลดลงฮวบๆเดี๋ยวอายเขา
             ครับ  นั่นคือเรื่องที่แจ้งให้ทุกท่านได้ทราบ และต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมได้รับรู้ ซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็นเคล็ดลับที่สำคัญในการแต่งกลอนเก้าที่มักจะถูกมองข้ามไป อันเป็นเหตุให้กลอนที่แต่งออกมามีความอืดอาดยิดยาดจนขาดความไพเราะได้


                           เคล็ดลับสำคัญของการแต่งกลอนเก้า

             ดังที่ทราบกันอยู่แล้วนะครับว่า หลักการแต่งกลอนเก้าก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกับกลอนแปดมากมายนัก  เป็นแต่เพิ่มคำเข้าไปจากแปด
เป็นเก้า  โดยที่กลอนเก้าแต่ละวรรคนั้น จะมีวรรคละเก้าคำ  แบ่งเป็นสามตอน ตอนละสามคำ  รวมสามตอน๙คำ จึงเป็น ๑วรรค  คิดว่าหลายคน
คงทราบกันดีอยู่แล้ว ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรอีก  ดันี้
                              
                          000   000    000
                          000  000    000
                          000   000    000
                          000   000    000

ในหนึ่งวรรคนั้นมีสามตอน  ตอนละสามคำ  ซึ่งการแต่งก็ไม่ต่างอะไรกับกลอนแปด  ใครที่แต่งกลอนแปดได้  ย่อมแต่งกลอนเก้าได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้ก็คือเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้กลอนเก้าที่แต่งออกมานั้นดูเป็นธรรมชาติ ไม่อืดยืดจนเกินไป  ข้อนี้คิดว่าคงมีหลายท่านที่ทราบแล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบ ซึ่งผมกำลังจะบอกเล่าให้ทราบ
             เคล็ดลับสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ  กลอนเก้าแต่ละวรรค ที่แบ่งเป็นวรรคละสามช่วงสามตอนนั้น  ในตอนที่สองของวรรค
คือช่วงกลางวรรคระหว่างคำที่ ๔  ถึง ๗  ดังนี้(สีแดง)
                                       000   000   000

ตรงช่วงกลางของวรรคที่มีอยู่สามคำนั้นถ้าจะแต่งกลอนเก้าไพเราะ มีความกระจับ ไม่ดูอืดและยืด  เราจะต้องเลือกใช้คำเพียงสองคำ โดยให้คำหนึ่ง
มีเพียงพยางค์เดียว  ส่วนอีกคำหนึ่งเป็นคำๆที่มีสองพยางค์  จะสลับกันไว้หน้าไว้หลังก็ได้  ดังตัวอย่าง

                         ด้วยวิสัย    ในประเทศ    ทุกเขตแคว้น   (สุนทรภู่-พระอภัยมณี)

ถึงแม้กลอนในพระอภัยมณีส่วนใหญ่จะเป็นกลอนแปด แต่ก็จะมีบางวรรคที่นานๆจะมีกลอนเก้าปนเข้ามา(ความจริงคือกลอนแปดกับกลอนเก้านั้น
ก็เหมือนกับพี่น้องฝาแฝดที่ตัดกันยังไงก็ไม่ขาด  คิดว่าคนที่แต่งกลอนทุกท่านคงทราบเรื่องนี้ดี  ที่บางครั้งแม้แต่งกลอนแปดแต่ก็มีบางวรรคที่จำต้องแต่งเป็นกลอนเก้า ซึ่งแม้แต่บรมครูกลอนสุนทรภู่เองก็หนีเรื่องนี้ไปไม่พ้น)
                     ที่นี้อยากให้พิจารณาดูตรงกลางวรรค ตรงคำว่า  ในประเทศ  ที่ดูเพียงผิวเผินก็ดูเหมือนจะเป็นสามคำ
สามพยางค์  แต่แท้จริงแล้ว  คำนี้ มีแค่สองคำเท่นั้น  คือคำว่า"ใน" กับคำว่า"ประเทศ"  เท่านั้นครับ  รวมเป็นสองคำ สามพยางค์

แม้ในบทกลอนอื่นๆดังจะยกตัวอย่างให้ดูเช่น

        
คนจะงาม  งามน้ำใจ   ใช่ใบหน้า

คนจะสวย  สวยจรรยา  ใช่ตาหวาน

คนจะแก่  แก่ความรู้  ใช่อยู่นาน

คนจะรวย  รวยศีลทาน  ใช่บ้านโต


ความไพเราะของกลอนนี้ไม่ใช่จะอยู่ที่แต่งแบบเป็นกลบทอย่างเดียว  แต่อยู่ที่การู้เคล็ดของการแต่งกลอนเก้าจึงทำให้กลอนออกมาดีฟังแล้วไพเราะ
ไม่ยืดไม่อืด   ตรงบริเวณกลางวรรคที่ผมได้ใส่สีไว้  คือ  สีน้ำเงินนับเป็นคำหนึ่ง  สีแดงนับเป็นอีกหนึ่งคำ  รวมเป็นสองคำสามพยางค์
ถึงแม้ว่าคำว่า น้ำใจ  จะเป็นคำสองคำ คือ น้ำ  กับใจ  ก็ตาม  แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วได้ความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งแสดงถึงสิ่งๆเดียวก็ต้องนับเป็นคำๆเดียว  แม้ในคำอื่นๆที่มีลักษณะเช่นนี้ก็ดุจเดียวกัน  ตัวอย่างเช่น



จะก้าวเดิน  เผชิญโลก  แม้โศกเศร้า
จะก้าวเข้า สู่ภยัน   ด้วยหรรษา
จะก้าวข้าม ห้วงมหิทธิ์  ด้วยฤทธา
จะก้าวฝ่า  อุปสรรค   ที่ดักทาง


จะร้อยรส พจนา  เพื่อหาหลัก
จะทอถัก  ถ้อยกวี  ไม่หนีห่าง
จะคอยย้ำ  น้ำคำไว้  ไม่เจือจาง
จะสะสาง ความเข้าใจ  ในกวี

จะคอยชัก  อักขระ  สารพัด
จะคอยจัด  ทุกอักษร  เป็นกลอนศรี
จะคอยช่วย  อำนวยเชิด ให้เกิดมี
จะคอยวัน  ทีฉันนี้  ตีแตกกลอน

ทุกวันนี้  ศึกอะไร  ยังไม่ห่วง
ทุกวันนี้  ศึกที่ลวง  คือทรวงหลอน
ทุกวันนี้  ศึกที่ล้า  คืออาวรณ์
ทุกวันนี้  ศึกที่อ่อน  คือชั้นเชิง


ดังนี้  จะเห็นได้ว่าตรงบริเวณที่ผมใส่สีฟ้า  กับแดงไว้นั้น  ตรงสีฟ้าก็นับเป็นหนึ่ง  ตรงสีแดงก็เป็นคำหนึ่ง  รวมแล้วเป็นสองคำสามพยางค์
บางคำนั้นเป็นคำๆเดียวที่มีสามพยางค์เลยก็มี(ตรงที่ใส่แดงสีเดียว)  ถึงแม้ในช่วงหลังๆจะดูด้อยลงโดยพิจารณาผิวเผินแล้วดูเหมือนเป็นสามคำ
แต่เมื่อพิจารณาจากความหมายแล้วก้คงได้แค่สองคำ  จึงต้องนับเป็นสองคำสามพยางค์ไปด้วย
          ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นเคล็ดลับที่สำคัญในการแต่งกลอนเก้าให้ดูกระชับ  มีความไพเราะ ฟังดูเป็นธรรมชาติ  ไม่ยืดและไม่อืดจนขาดความไพเราะไป

          ความจริงผมอยากจะเขียนและอธิบายให้มากกว่านี้แต่่เนื่องจากข้อจำกัดบางประการจึงอยากฝากให้ท่านที่สนใจในบทกวีและยังไม่ทราบ
ถึงเคล็ดลับสำคัญอันนี้ได้ลองไปพิจารณาและทดสอบดูด้วยตนเอง  ผมคิดว่าจะต้องเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในการแต่งกลอนเก้าคราวต่อไป
ส่วนท่านที่ทราบดีอยู่ผมต้องขออภัยถ้าอาจจะเอามะพร้าวมาขายสวน
         สุดท้ายนี้ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมได้ทราบเคล็ดลับและคำตอบอันนี้  ผมก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนท่านได้นอกจากนำเอา
ความรู้ที่ได้นี้มาถ่ายทอดให้กับผุ้ที่ยังไม่ทราบได้  และจะได้บวกคะแนนให้กับทุกท่านที่มีส่วนช่วยท่านละ 1  ตามที่ได้บอกไว้ตั้งแต่ต้น
        ผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้เล่าถ่ายทอดมานี้คงมีประโยชน์กับทุกๆท่านที่ได้อ่านจนจบ  สิ่งใดที่ผิดพลาดและขาดตกบกพร่องไปผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูง

                               Mayawin


                          ๖   กุมภาพันธ์   ๒๕๕๔



            
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

06 กุมภาพันธ์ 2011, 05:57:PM
ข้าพเจ้า
Special Class LV5
นักกลอนแห่งเมืองหลวง

*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 142
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 447


หมื่นคำหวานมิสู้หนึ่งใจรัก


« ตอบ #31 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2011, 05:57:PM »
ชุมชนชุมชน


จากการที่ผมอ่านศึกษาและวิเคราะห์มา

กลอนเจ็ดก็คือกลอนเจ็ด
กลอนแปดก็คือกลอนแปด
กลอนเก้าก็คือกลอนเก้า

ส่วนมากนิยมแต่งกลอนแปด

เสียงมีความสั้นและยาว  แล้วแต่ถ้อยคำที่เราเลือกใช้ การอ่านกลอนนั้นสมัยก่อนอ่านเป็นทำนองเสนาะ
การกำหนดจำนวนคำที่ใช้ จึงหมายถึงการกำหนดความพอดีของเสียง สำหรับกลอนนั้นๆ

ยกตัวอย่างกลอนแปด เพราะกลอนแปดชอบมีปัญหา กับเจ็ด,เก้าอยู่เสมอๆ  ถ้าใช้คำที่มีเสียงยาวเยอะ ก็ใช้เจ็ดคำ
ถ้าใช้เสียงสั้นเยอะก็เก้าคำ ทั้งนี้เป็นการลดและเพิ่ม เพื่อคงไว้ซึ่งความสม่ำเสมอของเสียงการขับร้อง

เปรียบเทียบกับเพลง จะเห็นว่าบางท่อน คำเท่ากัน แต่มีการเอื้อนเสียงเพื่อให้เต็มห้องเสียงหนึ่ง หรือ ปล่อยอีกคำ ให้โดดไปอีกห้องหนึ่ง
 ทั้งนี้เพราะ เพลงกำหนดจังหวะมา แต่เสียงที่ต้องร้องกลับ ขาดหรือเกินทำนองของเพลง จึงต้องร้องแบบนั้น

สำหรับกลอนเก้า อ่านอย่างทำนองกลอนเก้าสิครับ ที่บ้างว่าเยิ่นเย้อ เพราะเอาทำนองกลอนแปดมาวัดหรือเปล่า เพราะหรือไม่ก็แล้วแต่คนแต่งด้วย
กลอนเก้ากำหนดไว้เก้าคำ ทำนองย่อมยาวกว่ากลอนแปด อาจจะใช้แปดคำเสียงยาว หรือสิบคำเสียงสั้น แค่แต่งให้ครบทำนองก็ถือว่าเป็นกลอนเก้าแล้วครับ


ก้านกล้วย

  ป.ล.การวัดทำนองอ่านเป็นทำนองเสนาะดูครับ แต่ละท่อนสั้นยาวใกล้เคียงกันก็น่าจะใช้ได้ (อิอิ มั่วเอา)



ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

ทอดร่างอุทิศชีวิตไว้
เอื้อมไปทะเลปุจฉา
เสพสมอักษรศรัทธา
จำหลักวาจาแดนดิน
06 กุมภาพันธ์ 2011, 06:59:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #32 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2011, 06:59:PM »
ชุมชนชุมชน



ถ้าจะว่าโดยทิษฎีแล้วก็คงต้องเป็นอย่างที่ว่าละครับ คือ
 
             กลอนเจ็ดก็คือกลอนเจ็ด
          กลอนแปดก็คือกลอนแปด
          กลอนเก้ากลอนก็คือกลอนเก้า       คงไม่มีใครไปลบล้างได้

แต่โดยทางปฏิบัติแล้วระหว่างกลอนแปดกับกลอนเก้านั้นมักจะพัวพันกันไม่มากก็น้อย  คนที่เคยแต่งกลอนมามากๆก็จะทราบด้วยตัวเอง
ว่าบางครั้งเราแต่งกลอนแปดแต่กลับถูกความจำเป็นทางภาษาบังคับให้กลอนวรรคนั้นๆต้องกลายเป็นกลอนเก้าไป
ผิดกับกลอนนเจ็ดกับกลอนแปด  ที่เราสามราถแต่งกลอนแปดโดยไม่ต้องไปข้องแวะกับกลอนเจ็ดเลยก็ได้
ฉะนั้นผมจึงได้หยิบยกข้อเปรียบเทียบว่าระหว่างกลอนแปดกับกลอนเก้านั้น เหมือนพี่น้องฝาแฝดที่ตัดกันไม่ได้
แยกกันไม่ออก(โดยพิจารณาจากเวลาที่แต่งจริง)ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญระดับไหนเวลาที่แต่งกลอนไปแล้วจะต้องมีซักครั้ง
ที่แต่งกลอนแปดแล้วจำเป็นต้องปล่อยให้บางวรรคเป็นกลอนเก้า  ผมเชื่อว่าจะต้องเจอกับทุกคน  เพราะความจำเป็นทาง
ภาษามันบังคับ ถ้าไม่ปล่อยให้เป็นไปอาจสื่อความหมายไม่ได้อย่างที่ต้องการก็ได้
อีกอย่างคือบทประพันธ์ที่นำทั้งกลอน ๖,๗,๘,๙,มายำรวมกันนั้น มีมากมายเห็นได้อยู่ทั่วไป
การที่ใครสักคนแต่งกลอนแปดแล้วปล่อยให้มีกลอนเก้าเข้ามาปนนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ(ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา)
         ยังไงก็ขอบคุณที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ  ไอ้ครั้นจะพูดมากไปเดี๋ยวมันจะกลายเป็นโต้กันไปโต้กันมาเปล่าๆ
อันนี้แล้วแต่ใครชอบครับไม่ว่ากัน   ส่วนเรื่องที่ผมได้นำมาบอกเล่าข้างบนนั้นก็ถือเป็นเครื่องประดับความรู้ในทำนองรู้ไว้ใช่ว่าครับ
ส่วนจะผิดถูกเอย่างไรเป็นเรื่องที่ผู้สนใจจะได้ทดลองและพิจารณาดูด้วยตนเองอีกที  ใครจะลองนำไปใช้ดูก็ไม่เสียหาย
ใครไม่ชอบหรือเห็นว่าไม่ถูกเราไม่ว่ากัน เป็นเรื่องนานาจิตตังครับ


                         Mayawin

                   ๖  มกราคม  ๒๕๕๔
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:31:PM
พรายม่าน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 548
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 556


Praiman CharlesTep CharlesTep
เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:31:PM »
ชุมชนชุมชน


นักปราชญ์ราชกวีสมัยก่อน ท่านคงเสียดายศัพท์ที่เป็นอักษรนำ คำสนธิ และคำประสมจำนวนมิใช่น้อย
ซึ่งส่วนใหญ่คำเหล่านั้นมักจะมีความไพเราะอยู่ในตัวเอง ครั้นจะจับไปไว้เฉพาะ ต้น หรือปลายวรรคในบังคับของกลอนแปด ก็อาจจะทำให้เจตนาแห่งกระทงความเลือนไป ก็เลยประดิษฐ์กลอนเก้าขึ้นมา เพื่อให้กวีมีอิสระพร่างพรายร่ายอักษรได้เต็มที่ เราซึ่งเกิดมาในยุคหลัง อาจจะมิทันได้เข้าใจอุบายนั้น ไปใช้คำโดดธรรมดาในกลอนเก้า ก็เลยรู้สึกว่ามันเกินๆไปพิกล ไม่ลื่นไหลไพเราะ  ความหมายเดียวกันแต่งเป็นกลอนแปดก็ได้

เหตุนี้อีกประการหนึ่ง ที่เป็นข้อสังเกตุ
 
กลอนเก้าต้องมีอะไรที่กลอนแปดไม่มี มิฉะนั้น กวีท่านจะตั้งมาตราของกลอนเก้าไว้ทำไม?
แหละเช่นเคย ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวครับ

แต่ก็ยินดีที่คุณ มายาวิน ค้นพบเคล็ดที่จะทำให้กลอนเก้าไพเราะขึ้น

พรายม่าน
สันทราย
๐๖.๐๒.๕๔
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

11 กุมภาพันธ์ 2011, 09:27:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #34 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2011, 09:27:PM »
ชุมชนชุมชน



อืมม์......ต้องยอมรับที่คุณกามนิตได้กรุณายกตัวอย่างมาและทำให้ดูนั้น  นับว่ามีความรอบรู้ลึกซึ้งกว้างขวางจริง  สมกับที่เป็นผู้คงแก่เรียนได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎี  หรือการเดาก็ตาม  ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อคิดเห็นทั้งสิ้น  ทฤษฎี แท้จริงแล้วมาจากคำว่า ทิฏฐิ แปลว่า ความเห็น หรือความคิด

เห็น   ซึ่งมีทั้งเห็นถูก และเห็นผิด   ทฤษฎี คือความเห็นที่ตั้งอยู่บนหลักการแล้วนำไปสู่การหาข้อพิสูจน์  ส่วนการเดาไม่ต้องรอพิสูจน์ใดๆ เดาแล้ว

ก็เป็นอันจบ   โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อที่ว่า กลอนเจ็ดนั้นน่าจะพัฒนามาจากกลอนหกได้จริง  แล้วเติมคำในท่อนสดท้ายเป็นเจ็ดคำ

ก็กลายเป็นกลอนเจ็ดดังนี้   กลอนหก    00  00  00
                               กลอนเจ็ด  00  00 000 (สีแดงคือคำที่เพิ่มเข้ามา)

โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าทั้งกลอนหก,กลอนเจ็ด น่าจะเกิดหลังกลอนแปด   โดยเฉพาะกลอนเจ็ดนั้นน่าจะเป็นลูกผสมระหว่างกลอนหกกับกลอน

แปดด้วยซ้ำ  ไม่ใช่กลอนแปดพัฒนาต่อยอดมาจากกลอนเจ็ดแต่ประการใด

ส่วนระหว่างกลอนหกกับกลอนแปด  ผมกลับมีความเชื่อว่ากลอนแปดเกิดขึ้นมาก่อนกลอนหก  และไม่ได้พัฒนามาจากกลอนหกแต่ประการใด

ส่วนเหตุุที่ผมมีความเชื่อดังนั้น พอจะสรูปมาเป็นข้อๆได้ดังนี้

         ๑.  กลอนแปดนั้น  มีคำสัมผัสระหว่าง  ท้ายวรรคของกลอนสดับ ลงกับคำที่สามของกลอนรับพอดี   กับคำท้ายวรรคกลอนรองลงที่คำที่สาม

            ของกลอนส่งพอดี  ดังนี้ (สังเกตที่สีแดง)

                                ถึงบางพูด  พูดดี  เป็นศรีศักดิ์           มีคนรัก  รสถ้อย  อร่อยจิต
                                แม้นพูดชัว  ตัวตาย    ทำลายมิตร         จะชอบผิด  ในมนุษย์  เพราะพูดจา   (สุนทรภู่)

           จะเห็นได้ว่าคำสัมผัสบังคับนั้นลงที่คำที่สามพอดี  ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีจังหวะสาม  ในขณะที่กลอนหกนั้นมีจังหวะสอง ดังนี้

                   ใครรัก  ใครชัง   ช่างเถิด
                  ใครเชิด ใครแช่ง  ช่างเขา
                  ใครเบื่อ  ใครบ่น   ทนเอา
              ใจเรา  ร่มเย็น   เป็นพอ              (จากศาล พราะเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)

             ถ้ากลอนแปดพัฒนามาจากกลอนหกจริงทำไมถึงไม่รักษาตำแหน่งสัมผัสของกลอนหกไว้ดังนี้

                อันกลอนนี้  ดีนัก  รักษ์อักษร
                    ทุกตอนช่วง  ควรชม สมศักดิ์ศรี
                  ให้กล้าแกร่ง  แห่งหลัก  นักกวี
                  ช่วยชี้ซึ้ง   หนทาง   สว่างไป               (มายาวิน   ๑๑ กพ.๒๕๕๔  แต่งเพื่อประกอบคำพูด)

           ซึ่งถ้าแต่งดังนี้จะเห็นได้ว่าเป็นการรักษาตำแหน่งสัมผัสแห่งกลอนหก  อันเป็นกลอนที่มีจังหวะสอง  ทำไมท่านไม่วางสัมผัสดังนี้

            แต่กลับไปลงสัมผัสเอากับคำที่สาม  ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่า กลอนแปดนั้น มีจังหวะที่สามคำอยู่แล้ว  โดยไม่ได้พัฒนามาจากกลอนหก

         ที่มีจังหวะสองคำแต่ประการใด   การที่แสดงเหตุผลว่าปราชญ์โบราณท่านได้เพิ่มคำด้านหน้า (ดูที่สี)

                           000   00   000
                           000   00   000
                           000   00   000
                           000   00   000

        ดังนี้  มันก็เป็นแต่การยกเข้ามาเพื่อจะเป็นข้อสนับสนุนความเห็นและความเชื่อของตนว่า กลอนแปดมีรากฐานมาจากกลอนหกเพื่อให้ฟัง

        ดูมีน้ำหนักเท่านั้น

       ๒. ถ้ากลอนแปดพัฒนามาจากกลอนหกจริง เหตุไฉนเราจึงเห็นแต่วรรณกรรม  หรืองานประพันธ์ที่เป็นกลอนแปดเป็นส่วนใหญ่และเป็นหลัก

         เหตุไฉนจึงไม่มีโอกาสได้เห็นงานประพันธ์หรือวรรณกรรมที่เป็นกลอนหกแบบเป็นชิ้นเป็นอันบ้างเลย  ที่เคยผ่านตามามักจะเป็นงานประเภท

        กระเรี่ยกระราดและก็น้อยกว่าน้อยเต็มที  ธรรมดาของสิ่งเก่าแก่ที่มีมาก่อน มันควรจะมีผู้สร้างสรรค์ผลงานไว้ให้ดูบ้างและก็ควรจะเป็นชิ้นเป็น

      อันด้วยโดยเฉพาะงานเก่าแก่  แต่เท่าเห็นนั้น มักจะเป็นแทรกๆกันอยู่ระหว่างกลอนหกกับกลอนเจ็ดและอาจรวมไปถึงกลอนแปดด้วย อาทิเช่น

      งานเสภาต่างๆรวมไปถึงบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ของล้นเกล้า รัชกาลที่ ๒(ข้อนี้ผมยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ที่รู้น้อย การแสดงความคิด

      เห็นต่างๆอาจจะผิดไปจากความเป็นจริงก็ได้)  คำถามคือ ถ้ากลอนหกมีมาก่อนจริง ทำไมเราไม่ได้เห็นววรณกรรมที่เป็กลอนหก ?

                     ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมด  ผมจึงมีความเชื่อว่า กลอนแปดกลอนเก้าน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เดิม  ส่วนกลอนหกนั้นน่าจะเป็น

       สิ่งที่ดัดแปลงไปจากกลอนแปดหรือกลอนเก้าเสียด้วยซ้ำ   อย่างไรก็ดีนี่ก็เป็นแต่ข้อคิดเห็นเท่านั้น  ผมไม่ได้มีความปรารถนาที่จะเอาแพ้เอา

     ชนะกันด้วยเรื่องกลอนหก,เจ็ด,แปด,เก้า,ว่าอะไรเกิดก่อนกัน  เนื่องจากเกิดไม่ทัน  และความรู้ก็ยังน้อยนัก  ที่ยกมาทั้งหมดจึงเป็นแค่การแสดง

      ความเห็นเป็นส่วนตัว

      ๓. ข้อสุดท้าย  อยากฝากไว้เป็นข้อไว้เป็นข้อคิด  ถึงสิ่งที่ตัวผมเองได้ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติก็คือ"บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือ

       โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ครูบาอาจารย์นั้น เป็นผู้ที่เราจะต้องเคารพเทิดทูน  การแสดงความคิดเห็นโดยการหยิบยกเอาครูบาอาจารย์หรือ

     บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพของบุคคลทั่วไปขึ้นมาอ้างนั้น  ผมจะต้องแน่ใจเสียก่อน ว่าบุคคลที่เราสนทนาหรือแสดงความคิดเห็นด้วย  

     จะต้องเป็นผู้ที่มีความเชื่อหรือมีความเคารพศรัทธาในสิ่งเดียวกัน หรือในตัวบุคคลเดียวกัน  ผมจึงจะยกหรือดึงท่านขึ้นมาอ้าง

      เพราะหากว่าเราหยิบเอาครูบาอาจารย์ขึ้นมาอ้างหรือลากเอาท่านเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่จำเป็นแล้ว  มันอาจทำให้ครูบาอาจารย์หรือ

     บุคคลที่มีชื่อเสียงท่านนั้นต้องพลอยโดนดูถูกเหยียดหยามให้เสื่อมเสียเกีรติ์ศักดิ์ศรี และต้องมัวหมองไปด้วย  ถ้าคู่สนทนาไม่ได้มีความเชื่อถือ

     หรือเคารพนับถือในสิ่งเดียวกันหรือในตัวบุคคลคนเดียวกัน

             ผมเคยเห็นตัวอย่างมาเยอะ  พวกลูกศิษย์ที่ไร้สมอง มีปากสักว่านับถือ  ชอบลากเอาครูบาอาจารย์ของตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

      โดยหมายจะข่มฝ่ายตรงข้ามให้อยู่หมัดและยอมแพ้  ถ้าเจอกับคนที่นับถือศรัทธาในสิ่งเดียวกันหรือในบุคคลคนเดียวกันก็ดีไป  แต่ถ้าไปเจอ

      เอาบุคคลประเภทพาลหรือเขาไม่ได้นับถือศรัทธาในสิ่งเดียวกัน ก็กลับจะทำให้ครูบาอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือต้องได้รับการดูถูกดูหมิ่น

       โดยไม่จำเป็น  ผลสุดท้ายก็กลายเป้นความขัดแย้ง  ตนเองก็ต้องมานั่งเจ็บใจที่ครูบาอาจารย์ถูกคนอื่นดูถูก  ครูบาอาจารย์ก็ต้องมาพลอยมัว

       หมองทั้งๆไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย

               ด้วยเหตุนั้น ถ้าไม่แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นมีความเชื่อและเคารพศรัทธาในสิ่งเดียวกับเราหรือเปล่าผมมักจะละไว้ไม่ดึงครูบาอาจารย์

      หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือเข้ามาเกี่ยวข้อง  ไหนๆมันจะแปดเปื้อนแล้วก็ให้มันแปดเปื้อนแต่ตัวเรา  ไม่ควรจะดึงบุคคลที่เคารพ

       เข้ามาแปดเปื้อนไปด้วย  ถ้าจะยกท่านขึ้นมาอ้างก็ต้องแน่ใจเสียก่อนว่าบุคคลผู้นั้นเขาก็มีความเคารพนับถือในท่าน(ครูบาอาจารย์)เช่นเดียว

       กับเรา  ซึ่งจะทำให้ครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือได้รับการยกย่องจากผู้นั้น  ซึ่งเป็นการเชิดชูเกียรติครูบาอาจารย์ของเราไปด้วย

                                   และนี่คือข้อที่ผมได้ยึดถือและปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์มาอย่างสม่ำเสมอ

        หวังว่าการแสดงเหตุผลแบบตรงไปตรงมาแบบนี้จะไม่ถูกมองว่าเป็นการก้าวร้าวหรืออันธพาลไป  เพราะผมก็คนมีเหตุผล  และเคารพใน

      เหตุผลของตนเองและผู้อื่น จะไม่เชื่อสิ่งใดเพียงเพราะว่าฟังอย่างเดียว(ยกเว้นว่าสิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอีกต่อไปผมก็จะเชื่อโดยไม่มี

      ข้อแม้หรือข้อโต้แย้งใดๆ)พูดง่ายๆคือผมเป็นที่ทั้งเชื่อง่ายและเชื่อยากในคนๆเดียวกัน  แต่ไม่เคยเชื่อใครเพียงเพราะว่าเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียง

     และก็ไม่เคยสยบต่อบุคคลที่มีชื่อเสียงใดๆถ้ามันไม่มีเหตุผลที่สมควรจะต้องเชื่อ


    
                                                                                           ด้วยความเคารพ

                                                                                              Mayawin
                                                                                         ๑๑  กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


                
ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

11 กุมภาพันธ์ 2011, 09:55:PM
nnn
LV5 ศิลปินเอกแห่งตำบล
*****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 16
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 82



« ตอบ #35 เมื่อ: 11 กุมภาพันธ์ 2011, 09:55:PM »
ชุมชนชุมชน

พวกท่านเจ๋งอย่างหนักหน่วงจริงๆ
ทั้งทฤษฎีและการแผดคำก็เก่งจนผมต้องตอบเสียให้ได้...
มิใช่เพราะอยากเทียบเปรียบเปรย
แต่เพราะชื่นชมจนอดไม่อยู่

กลอนหก  หกคำ  นำจิต
จะผิด จะถูก ปลูกฝัง
ให้ได้  ครบหก  เช่นดัง
จับหยั่ง  แล้ววาง  อย่างดี

กลอนเจ็ด  ยังเจ็ดคำ  นำจิต
ตรองคิด  พินิจ  ขมันมี
ได้เจ็ด  ครบเจ็ด  เสร็จพิธี
ดังบทนี้  ครบเจ็ด  เสร็จปอง

กลอนแปด  ยังแปดคำ  ให้ซ้ำจิต
ยังคิด  ยังพินิจ  ไม่ผิดหาย
ให้ได้แปด  ครบแปด  ระแวดวาย
ไม่มากเกิน  มิเพลิน  น่าเมินไป

พอกลอนเก้า  ก็เข้าบท  ดังจทย์ว่า
คล้องทุกสาม  ตามทุกรับ  สดับไหน
ไม่ว่ารอง  ก็ลองส่ง  คงตามนัย
ดุจดั่งใจ  ให้สำคัญ  มันเป็นแกน
ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

"พรสวรรค์ หรือจะสู้ การแสวงหา
      ลิขิตฟ้า หรือจะสู้ มานะตน"
12 กุมภาพันธ์ 2011, 09:13:AM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #36 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2011, 09:13:AM »
ชุมชนชุมชน



ผมต้องขอโทษคุณกามนิตจริงๆที่อาจจะแปรเจตนาของคุณผิดไปและต้องขอขอบคุณที่กรุณาให้ความรู้เรื่องประวัติที่มาของกลอนต่างๆ
แต่อย่างไรก็ตามการแสดงความคิดเห็นนั้นก็เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจไม่ใช่เพื่อการมุ่งเอาชนะใดๆทั้งสิ้น


                                                      Mayawin
                                                  ๑๒ กุมภาพันธ์  ๒๕๕๔



ปล.ใจจริงก็อยากจะขอโทษคุณตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เพราะโพสต์ข้อความไปแล้วค่อยนึกได้ว่าอาจจะแปลเจตนาคุณผิดไปก็ได้  แต่ไหนๆก็ไหนแล้ว
รอให้คุณได้แสดงความคิดเห็นเสียก่อนดีกว่าจึงได้รอจนถึงวันนี้ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะครับ
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

12 กุมภาพันธ์ 2011, 09:26:AM
ยามพระอาทิตย์อัสดง
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 691
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,437


~ ทุกถิ่นแถนแดนอักษร ~


เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2011, 09:26:AM »
ชุมชนชุมชน



สวัสดีท่านเจ้าของกระทู้และมิตรรักนักกลอนทั้งหลาย
อัสดง ขอบคุณมากสำหรับการบอกเล่าถึงการเขียนบทกลอนให้ไพเราะ
ความคิดเห็นขอแต่ล่ะท่านเป็นบทเรียนที่ดี ที่จะทำให้เข้าใจถึงความหมาย
ในการแต่กลอนให้ไพเราะ น้องอัสดง คงได้นำเอาไปใช้ในวันข้างหน้า
น้องรู้สึกว่าความคิดก็คือความคิดไม่มีใครผิด คิดเหมือนกันก็ไม่ผิด
คิดต่างกันก็ไม่ผิด เพราะอัสดง เชื่อว่าแต่ล่ะความคิดที่เสนอมาได้กลั่นออกมาจากใจ
และมีจิตใจที่ดีคิดดีกันทุกท่าน ขอบคุณอีกครั้งที่ได้เสนอสิ่งดีๆมาให้อ่านได้เรียนรู้

พระอาทิตย์อัสดง
ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

อัสดง..ขอขอบคุณภาพสวยๆจากอินเตอร์เนต..
http://noisunset.blogspot.com/
Thinking about you makes me smile...
หน้า: 1 [2]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s