Re: วิจารณ์เทพนิยายกันเถิดเจ้าค่ะ มะ มาช่วยดูหน่อยค่ะ
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
27 เมษายน 2024, 11:56:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: วิจารณ์เทพนิยายกันเถิดเจ้าค่ะ  (อ่าน 5850 ครั้ง)
พิมพ์วาส
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 422
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 806


Pretending is the beginning of changes.


« เมื่อ: 09 มกราคม 2014, 10:33:AM »


          “ไปกันเถอะพ่อลมราชาผลไม้ แหวะ…กลิ่นแย่ชะมัด” ลมผู้เป็นยานพาหนะพาร่างสูงโปร่งกระสับกระส่ายไปตามแรงของตนด้วยความงอนกับประโยคเมื่อครู่
          “อย่างอนไปเลยพ่อนกเหยี่ยว ฉันจะพานายไปแปลงพันธุ์ อ้าว…ไม่เอาหรอกหรือพ่อลมราชาผลไม้” ผู้เป็นเจ้าของพาหนะหยอกล้อผู้ทำท่างอน แล้วยิ้มอย่างขันๆเมื่อเอ่ยคำแกล้ง แล้วใช้ดวงตาสีองุ่นม่วงดูพืชพันธุ์รอบข้างลู่ใบลงแล้วพลันหนักใจ จึงพยักหน้าใหสายลมผู้มารับตนเพื่อเป็นสัญญาณเริ่มการเดินทาง
          “อย่าแอบดูกันสิพ่อปักษาสวรรค์” ว่าแล้วนิ้วเรียวก็บดขยี้กลีบดอกหญ้าอันมีเมล็ดนัยน์ตาแหลกคามือ
          นัยน์ตาสีม่วงองุ่นจ้องไปยังดวงจันทร์ด้านหน้าแล้วเผยยิ้มจากปากรูปกระจับอันสมทรง ลมราชาผลไม้แบกร่างสูงโปร่งขึ้นหลังแล้วกระโจนขึ้นกลีบเมฆบาง
          ผู้นั่งบนโลงแก้วภายใต้ต้นมะฮอกกานี เปิดเปลือกดวง เผยดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้จ้องมองนิ่งเนิ่นนาน ภาพบนโลงแก้วฉายเหตุการณ์ใต้ต้นมุจจลินทร์ปรากฏแล้วหยุดลงฉับพลัน
          “เอมิลช่างมีความสุขจริงนะ ว่าแต่จะทำอะไรน่ะราชสีห์” หนูสีขาวเผือกวิ่งลงมาจากต้นมะฮอกกานี ที่ริมฝีปากเปื้อนคราบเนยอยู่
          “ไปกินดอกเห็ดเนยอีกแล้วล่ะสิ ดื้อจริงนะ” เสียงขี้เล่นเอ่ยเย้าหยอก
          หนูสีขาวเผือกทำท่าฮึดฮัดแล้ววิ่งกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหนังที่อกซ้าย
          “ในใจผมรอเธอมานานแล้วนะ ตอนนี้เพียงได้แต่รอเวลาเท่านั้น” เสียงขี้เล่นเอ่ย ดวงหน้าคมคายจ้องมองไปบนผืนกำมะหยี่สีดำเนิ่นนาน ก่อนจะหย่อนตัวเข้าโลงแก้ว ดวงหน้าหล่อเหลากับสันจมูกโด่งอยู่ภายใต้วงหน้าหลับพริ้ม หนูสีขาวเผือกผู้เป็นบริวารปิดโลงแก้วสนิทพร้อมกับวางช่อดอกไฮยาซินท์ไว้บนโลง ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปร
          ขณะที่ดวงดาราระบำเพลงแสงอันมีฤทธิ์น้อยนิด เจ้าของดวงตาสีแดงผลึกเพชร วาดนิ้วเรียวคล้ายใช้พู่กันบรรจงวาดศิลปะชั้นสูงออกมาจากพิณทำให้เกิดเสียงไพเราะ พิณสีดำขลิบทองสายสีขาวปลอดสะอาดดีดทำนองเป็นเพลงหวาน ซุยฟงเชิดดวงหน้าขึ้นจ้องมองแสงอันอ่อนแรงของดาวดวงน้อย แล้วริมฝีปากสีแดงสดอวบอิ่มก็เปิดยิ้มอ้าออก ดวงตาคมมองไปเบื้องหน้า
          “ใครกันปลอบตะวันอันรอนฤทธิ์ มอบจุมพิตหวามหวั่นแด่จันทร์เจ้า ใครกันมอบความรักอันภักดิ์เนา มอบแด่เรานั้นหรือ…คือไม่มี” ว่าแล้วผมสีดำสนิทตั้งแต่โคนจรดปลายก็ไหวตามจังหวะก้าวเดิน
          ดวงหน้างามแพร้ว เข้าใกล้ประชิดโลง หนูสีขาวเผือกนามราชสีห์แลเห็นดวงหน้างามแพร้วแล้วกระโจนลงมาบนโลงเบื้องหน้าหญิงสาวแล้วภายมือออกพร้อมส่ายหน้า
          “อะไรกันเจ้าบอกให้เราตัดใจงั้นหรือราชสีห์” เสียงไพเราะเอ่ยถามหนูตัวน้อยบนโลงแก้ว
          มันพยักหน้าแล้วส่ายหน้า
          “เจ้าตัวใจร้าย เจ้าก็รู้ว่าข้าคิด…เจ้ามันตัวใจร้ายจริงๆนั่นแหละราชสีห์” ดวงตาสีแดงผลึกเพชรปริ่มไปด้วยน้ำตาสีใส ดวงหน้างามแพร้วสะบัดหนีไป พลันลมใบไผ่ก็หมุนเข้าอุ้มร่างงามแพร้ววับใบทันใด
          หนูสีขาวเผือก ไต่ขึ้นไปบนไม้มะฮอกกานีแล้วดึงดอกแก้วลงมาโรยไว้รอบชานภาคพื้นเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนร่องรอย ขณะที่แสงแดดยาวอรุณใกล้ย่างเยื้องเข้ามา                   
          มะม่วงน้ำดอกไม้สีชมพูระย้าลงมากลางถ้ำ ละอองอ่อนของอรุณหยอกล้อหยาดเพชรกลางคืนอย่างสนุกสนาน มิทันเปลี่ยนกาลแสงจากดวงเดือนที่คอยโอ้ประโลมหริ่งเรไรพลันเร้นเสียงอันไพเราะยามราตรีผลุบสงัดเงียบแทนด้วยเสียงนกน้อย ดวงตะวันอันผุดผ่องฉายฤทธิ์อันรอนเมื่อยามอรุณ
          ใบไม้หมุนวนตามลมอ่อน เสียงแห่งลมอรุณโอบอุ้มดวงดอกไม้ให้บานสะพรั่ง ภูติตัวน้อยใต้เงาไม้โผขยับปีกน้อยๆ บินวนรอบเกสร วงหน้าจิ้มลิ้มเผยยิ้มแย้มงามสะคราญ ลมอรุณหมุนวนเข้าเคาะที่โลงแก้ว หนูสีขาวเผือกวิ่งมาเปิดโลง
          ดวงตากลมเล็กสีดำใสจ้องมองดวงหน้าหล่อเหลาของเจ้านายตนอย่างพอใจ ดอกไฮยาซินท์สีม่วงอมฟ้า ปล่อยกลีบน้อยโรยลงด้วยความอ่อนแรง
          “มารับผมหรอ” ผู้นิทราเมื่อคราดึกถึงรุ่งเปิดเปลือกตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ออก นิ้วเรียวอันสวมแหวนครบทั้งห้านิ้มมือ วางมือขวาลงบนขอบโลงแล้วดันตัวลุกขึ้น
          “ขอบใจมากราชสีห์ แต่ปิดผมไม่มิดหรอกนะ” เสียงทุ้มอบอุ่นกล่าวขอบคุณ แล้วทอดดวงตาลงดูกลีบดอกแก้ว ก่อนที่จะโดนลมอรุณแบกขึ้นหลังไป หนูสีขาวเผือกกระโจนขึ้นบ่าแข็งแรง ทันทีที่ลมอรุณกระโจน ผ้าคาดเอวสีน้ำเงินขาบพลิ้วไหว กางเกงสีเทากับเสื้อหนานุ่มสีไข่มุกลู่ตามอกและท่อนขาแกร่ง ผมสีเงินประกายทองต้องแสงอรุณยามเช้า
          “พาผมไปที่บ้านคุณหมอพีชที่ครับ” เจ้าของผมสีเงินงามเอ่ยบอกลมอรุณ หนูตัวเล็กซึ่งวิ่งลงมาในกระเป๋าเสื้อ ดูท่าหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเจ้านายของตนเอ่ยเช่นนั้น
          “ไม่อยากพูดได้งั้นหรือราชสีห์ วันนี้ผมจะพาไปรับกล่องเสียงแล้วนะ” ยิ้มเผยบนดวงหน้าหล่อเหลา หนูตัวน้อยมีท่าทีหวาดวิตกในคำ
          ลมอรุณพากระโจนข้ามฟากไปยังทุ่งทานตะวันทางลัดไปยังถ้ำน้ำตกสายรุ้งกลางป่าลึก ดอกสีเหลืองอร่ามผันวงหน้าสวยเข้าหาแสงอาทิตย์ยามเช้า ขณะที่ราชินีผึ้งโอโลมลูกน้อยก่อนที่จะส่งจูบให้เหล่าทหารหญิงเพื่อเป็นสัญญาณเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนปีกน้อยบินออกจากรังไปหาอาหาร
          ดวงตาสีเปลือกไม้ทอดลงมอง ในนัยน์ตาฉายประกายแห่งความสุข
          “ผมจะได้พบคุณแล้ว” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา
          ทันทีที่ลมอรุณพุ่งลงไปยังเนินเขาเวลาซึ่งเป็นที่กำเนิดทุกสรรพสิ่ง ไกรสรราชสีห์ก็พลันกระโจนเข้ามาตัดหน้า ดวงหน้าหล่อเหลาหาได้ฉายแววตกใจ
          “ขอบใจคุณมาก เดี๋ยวผมจะลงเดินต่อไปเอง” เสียงทุ้มอบอุ่นเอ่ยบอกกับลมอรุณเมื่อเห็นว่าผู้ที่อุ้มตนอยู่หยุดชะงัก เขายิ้มสิ่งให้เป็นการบอกว่าไม่เป็นอะไร ลมอรุณหมุนวนเข้าจูบกิ่งพฤกษารอบข้างเป็นวิสัยของตน แล้วเหินกลับเร้น
          “ผมมาดี” เสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นเอ่ยบอก ดวงตาสีเปลือกไม้สบกับดวงตาผู้ที่จ้องตนเขม็ง
          “คุณต้องการอะไรจากผม” ทันทีที่ผู้ประจันหน้าเอ่ยถาม ไกรสรราชสีห์ก็ส่ายหน้า แล้วเปิดทางให้
          “ขอบคุณมากครับที่กรุณาเปิดทางให้ผม” ผมสีเงินประกายทองน้อมลงตามศีรษะที่โน้มตัวลงคำนับเป็นการขอบคุณ
          ร่างสูงโปร่งบางเหมือนจะไร้น้ำหนักเดินจากไป เสียงจี๊ดๆจากกระเป๋าเสื้อซึ่งเก็บอาการตื่นเต้นไม้อยู่ดังขึ้น เจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาเพียงได้แต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น 
          “ช่างกล้าดีแท้พ่อหนุ่ม” เสียงหัวเราะท้ายประโยคอันพึงพอใจของไกรสรราชสีห์ผู้คุมประตูทางเข้าดินแดนบุปผาศักดิ์สิทธิ์ดังก้อง ทันที่ที่เสียงหัวเราะดังสินธุปักษีพลันโฉบลงมา
          “มีเรื่องอันใดน่ายินดีกันพ่อยอดรัก” สินธุปักษีเอ่ยถามพร้อมเข้าแนบข้างกายคนรักของตน
          “ไม่หรอกแม่ยอดรัก เรื่องน่ายินดีที่ใกล้เข้ามาถึงเท่านั้นเอง” พอพูดจบลมแห่งสรรพสัตว์พลันโฉบร่างทั้งสองหายไป
          ดอกนาฬิกาแห่งแดนบุปฝาศักดิ์สิทธิ์ตีดังสะท้อนไปสามภพ ดวงตาสีทับทิมแก่ยังคงปิดประทับไม่เปิดเปลือกตาออกอยู่เช่นเคย ใต้แกนเวลาอันพันธนาการร่างเอาไว้ยังคงดำเนินต่อไปเช่นทุกกาลที่ผ่านเวียน 
                                                             
จบบทเกริ่น นำบทเกริ่นมาให้วิจารณ์ค่ะ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

ความผกผันของเวลา  เฉือนเจตนาของอารมณ์

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s