Re: เด็กทุ่งเมื่อรุ่งเช้า
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
29 เมษายน 2024, 06:02:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เด็กทุ่งเมื่อรุ่งเช้า  (อ่าน 23876 ครั้ง)
rit sriduang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 65
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 39



« เมื่อ: 02 มกราคม 2012, 10:32:PM »

มีเรื่องราวของเด็กทุ่งคนหนึ่ง ชื่อสายชล
กับการลาบ้านเข้าไปทำงานในเมืองหลวง

สายชล
๑.แสงตะวันทาบผ่านสะพานไผ่
เกลื่อนใบไม้กรอบแห้งสีแดงฉาน
แล่นไปเถิดสองล้อจักรยาน
ไปบอกลาวันวาน..อาคารไม้

ลานโรงเรียนเตียนร้างและว่างเปล่า
ธงยอดเสาล้าแรงจะแกว่งไหว
ราวรับรู้การลาคำอาลัย 
ของผู้ไปไขว่คว้าชะตาตน

ผนังห้องเรียนไม้แตกลายเก่า
วันที่เขามาหยุดสุดถนน
เพื่อนบ้างอยู่บ้างย้ายไปหลายคน 
แต่สายชลฝันสลายเมื่อปลายเทอม

เพราะความฝันดุจดาวอันวาววับ
มามอดดับโดยพลันมิทันเริ่ม
การเดินทางสิ้นสุดที่จุดเดิม
เมื่อเชื้อเติมเรี่ยวแรงมาแห้งเลือน

เขาไม่ได้เรียนต่อจาก ม.สาม
จึงติดตามลมฟ้ามาหาเพื่อน
กว่าสามปีที่เพียรมาเวียนเยือน
บัดนี้เรือนเรียนร้างไปทั้งโรง

เพื่อนเรียนจบ ม.ปลายกันไปหมด
อนาคตรุ้งสายคงฉายโค้ง
อาจจะไกลเกินเอื้อมไปเชื่อมโยง
แต่ลานโล่งยังกรุ่นด้วยฝุ่นลอย

จักรยานผ่านเนินเคยเดินเท้า
รอยเท้าเก่าหายไปมิใช่น้อย
รอยเท้าใหม่มากมายอีกหลายรอย
ต่างทยอยปรากฏขึ้นทดแทน

เหลืองรวงข้าวอีกเดี๋ยวคงเกี่ยวข้าว
ก่อนลมหนาวพัดใจไปไกลแสน
ไปเถิดจักรยานกับอานแบน
ปั่นสู่แดนทุ่งทองทานตะวัน

น้องจะขึ้น ม.สี่ในปีหน้า
จงสานต่อปรารถนาและกล้าฝัน
จงเรียนต่อให้ได้อย่าพ่ายมัน
กี่หมื่นพันพี่จะหาเป็นค่าเรียน

อย่าหวังเงินที่ได้จากขายข้าว
เพราะทุกคราวต้องเจียดกระเบียดกระเสียร
ที่เหลือจากใช้หนี้ไม่กี่เกวียน
ก็จวนเจียนร่อยหรอไม่พอใช้….


๒.จักรยานคันเก่าที่เขาขับ
ได้หวนกลับมาบนสะพานไผ่
มองสายน้ำไหลผ่านสะพานไป
จะสื้นสุดที่ใดยังไม่รู้

มีความฝันมากมายในกระเป๋า
สองบ่าเขาแบกไว้จนไหล่ลู่
ขอเมืองหลวงได้โปรดเปิดประตู
ต้อนรับผู้ไส้กิ่วและผิวนิล….


๓.สองล้อจอดหยุดหมุนใต้ถุนบ้าน
ดอกอ้อบานลอยไกลสุดไพรผิน
จะเติบโตเมื่อละอองเจ้าต้องดิน
แต่ไม่เคยคืนถิ่นจนสิ้นลม   

สิ้นแสงสูรย์ขอบฟ้าตะวันตก
เสียงหมู่นกคืนรังก็ดังขรม
ดวงตะวันแดงส้มรูปทรงกลม
ค่อยค่อยจมจบวันที่คันนา

ดอกโสนเด็ดรอในหม้อต้ม
หอมแกงส้มปลาช่อนยังร้อนฉ่า
พอพ่ออิ่มข้าวสุกก็สูบยา
ผ้าขาวม้ากวัดไกวคอยไล่ยุง

แม่นั่งข้างสายชลอยู่บนเถียง
แขวนตะเกียงตามไฟไว้ใกล้ยุ้ง
หลังคาเถียงเป็นเพิงที่เพิ่งมุง
อยู่ข้างคุ้งสำหรับนั่งนับดาว

ฟ้ามีดาวดาษดื่นในคืนนี้
แม่จึงชี้ให้ดูดวงสีขาว
ดวงที่ทอดทอแสงสุกสกาว
เยือกเย็นราวน้ำค้างกลางใบไม้

แม่ว่าดาวนี้นามว่า..ความหวัง
ถ้าบางครั้งลูกล้มและร้องไห้
ดาวจะนำทางลูกตลอดไป
แม้วันวัยโชติช่วงและล่วงเลย

เขาเอนร่างหนุนพักบนตักแม่
ไม่มีแม้คำใดจะให้เอ่ย
ตักของแม่อบอุ่นและคุ้นเคย
ช่วยชดเชยเรี่ยวแรงที่แหว่งเว้า

แม่บอกว่าสายน้ำที่ไหลหลั่ง
คือความหวัง..คือนิยามของนามเจ้า
น้ำย่อมเริ่มจากดินและรินเบา
กระทั่งเท่ากับกว๊านธารนที

มีเม็ดทรายบนโลกกี่ล้านเกล็ด
มีกี่เม็ดกันบ้างที่ต่างสี
มีกี่เม็ดเป็นอัญมณี
แหละจะมีกี่เม็ดเป็นเพชรแท้ 

บนหนทางที่ถมด้วยคมหนาม
ผู้เดินข้ามย่อมพร้อยด้วยรอยแผล
หนามจะกรองตะกอนที่อ่อนแอ
จะคัดแร่จนเหลือแต่เนื้อดี…..


๔.ฟ้าในเมืองพรุ่งนี้คงสีหม่น
มีอีกคนบนลาดบาทวิถี
เขาจากบ้านลานข้าวเขียวขจี
เข้ามาทำหน้าที่ของพี่ชาย

มีสมุดเก่าวิ่นกับดินสอ
ซึ่งคงพอใช้จดเขียนจดหมาย
เมืองที่มีเสาไฟฟ้าทางม้าลาย
ลูกคงคล้ายก้อนกรวดกลางยวดยาน

หากจดหมายไปรษณีย์ไม่ตีกลับ
แม่ได้รับขอแค่ให้แม่อ่าน
ตอบว่าอยู่สุขสันต์หรือกันดาร
คนไกลบ้านอย่างลูกยังอยากรู้

จะมองดาวความหวังทุกครั้งค่ำ
คำแม่พร่ำยังก้องทั้งสองหู
คำนั้นแทรกทุกเยื่อเนื้ออณู
จารึกอยู่ในจินต์ดวงวิญญา

ไม่ว่าโลกจะค่ำหรือย่ำสาย
ดาวไม่เคยสูญหายจากใต้ฟ้า
ยังสาดแสงส่องลอดตลอดเวลา
ซึ่งหัวใจ..ใช่ตารู้ว่ามี
…………………………………….


๖.รถขนแกลบแหนบเก่าแต่เพลาแกร่ง
ทิ้งฝุ่นแดงพาโค้งผ่านโรงสี
ขณะบ้านลับตาเพียงนาที
ขณะที่ความเหงาคลอเบ้าตา…..

๑ มกราคม ๒๕๕๕






 

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

รัตติกาล, สุนันยา, สุวรรณ, รัตนาวดี, บ้านริมโขง, บูรพาท่าพระจันทร์, อริญชย์, เปรียว, panthong.kh, สะเลเต, พี.พูนสุข, Prapacarn ❀, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 13 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s