เสียดายจังเลยที่อุตส่าห์เรียนบาลีอยู่ถึง๓พรรษา ร่ำๆจะสอบ ปธ๓ อยู่แล้วเชียว แต่ก็ต้องลาสิกขาออกมาซะก่อน พอลาสิกขาออกมาแล้ว ก็ต้องออกมาทำมาหากินห่างวัดห่างวาไป จนกระทั่งไปทำงานในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา อีก๓๐กว่าปี จึงยิ่งห่างไปไกลใหญ่เลย แม้จะเข้าไปใน เวบลานธรรมเสวนาบ้าง แต่ก็เข้าไปอ่านเฉพาะสนทนาธรรมกันเท่านั้น ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาบาลีกันเท่าไหร่ นอกจากอ้างอิงแล้วก็มีคำแปลให้เรียบร้อย ยิ่งร้ายไปกว่านั้น ผมไม่เคยได้สัมผัสลิลิตยวนพ่าย หรือลิลิตใดๆเลย จึงหมดปัญญาที่จะสังสรรค์เสวนากับชาวเราได้อย่างเต็มที่ จะมีวรรคของคุณ เพรางาย...
มาช่วยสงสัย
บรรทัดที่สงสัยที่สุดคือ
เบญจาพิชานาง คฌาเณศ
เข้าใจว่ามาจากคำว่า
เบญจ+อวิชาน+องค์ฌาณ+ ศ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมาย
วิชานนะ น. ความรู้, ความเข้าใจ
ดังนั้นเมื่อเติม อ เข้าไป อวิชาน(นะ) ก็ย่อมหมายถึง ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ
กับความเห็นของคุณ มุนีน้อย...
แต่ถ้าจะคิดว่า "นาง" ผู้แต่งต้องการให้เป็นบาลีเช่นกัน คำที่น่าจะไกล้เคียงสุด ก็น่าจะมาจาก อวิชานน+ องฺค (ตามความหมายคุณ เพรางาย)
ก็จะแยกได้ว่า ปญฺจ + อวิชานน + องฺค สำเร็จรูปเป็น ปญฺจาวิชานนงฺค ภาษาไทย(ตามที่ผู้แต่งใช้)ก็น่าจะเป็น เบญจาพิชานางค หรือ -นาง(ตามนั้น)
อันนี้ไม่ผิดหลัก สนธิกิริโยปกรณ์ เพราะทีฆะ อะ เป็น อาได้ ลบสระหน้า ทีฆะ สระหลัง (สระ อะ ตรงปัญจะ, สระหลัง ตรง อะวิช เป็น อาวิช หรืออาพิ-)
"มุนีน้อย"
อันนี้ผมสนับสนุนว่า เมื่อสมาสคำเหล่านี้ออกมาก็จะเป็น เบญจาพิชานาง...ได้นะครับ
ส่วนอื่นๆ ก็เห็นตามนั้น และขอชื่นชมท่านทั้งหลายที่ได้ใช้ความรู้เข้ามาสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์อย่างดียิ่ง ขออนุโมทนานะครับ
ไพร พนาวัลย์






ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
บันทึกการเข้า