
๐วาสนาข้าน้อยต่ำต้อยนัก ต้องขลุกขลักขวยขวายคลายตัณหา
เพิ่งเริ่มต้นมนตราภาวนา กรรมเก่ามากัดกร่อนบั่นทอนบุญ
๐วาดหวังไว้เจ็ดวันจะมั่นหมาย เช่นชาติชายอุบาสกปิฎกหนุน
ประพฤติธรรม์กรรม์ไสวเป็นใบบุญ แต่ต้นทุนกุศลเหมือนฝนแล้ง
๐ที่ทำงานประสานมาถึงข้าน้อย ไม่อาจคอยเจ็ดวันเหมือนท่านแกล้ง
ให้ลาเพียงหกวันลดหลั่นแรง อย่าหน่ายแหนงหนีไกลคนไข้รอ
๐ก็นี่เดือนกุมภาฯท่านว่างั้น เป็นเดือนสั้นราชการจึงวานขอ
ลาเท่านี้นิพิทพักจิตพอ แล้วรีบถ่อสังขารทำงานพลัน
๐โอ้เอกองค์พระสรรเพชรเสด็จโปรด อภัยโทษผิดสัจจะบาปมหันต์
ข้าน้อยมีอุปปีฬกกรรม์* มาบีบคั้นข่มเข็ญบำเพ็ญเพียร
๐จึงลาแล้วกุฎีคีรีพฤกษ์ ดนูนึกน้อยใจในบุญเศียร
กราบลาท่านคณะสงฆ์บรรจงเวียน วางธูปเทียนท่องนโมพุทโธพรม
๐กรรมฐานท่านสอนแต่ตอนต้น ยังไกลผลผลาญกิเลสอันเลศถม
แต่ขอถึงไตรรัตน์จรัสปม ปัจจัยบ่มบุญกรรมชำนะมาร
๐แม้นบุญมีปีหน้าข้าน้อยหวัง กลับมายังวัดนี้วิเศษศาส์น
ถึงเวลากราบลาท่านอาจารย์ กลับสู่งานช่วยคนพ้นโรคาฯ
เชิงอรรถ(กระผมอ้างอิงจากหนังสือกรรมทิปนี ของท่านป.อ. ปยุตโต ที่เคยอ่านมาครับ)
(อุปปีฬกกรรม=อุบ-ปะ-ปี-ละ-กะ-กรรม คือ กรรมมีหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นเข้าไปทำร้ายหรือบีบคั้นกรรมอื่นที่มีสภาพตรงกันข้าม ซึ่งมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล เป็นผลให้กรรมฝ่ายตรงกันข้ามอ่อนกำลังลงเสื่อมลง)
-กระผมมีวาสนาน้อย จึงได้มีโอกาสนอนวัดเพียงเท่านี้และสวัสดีมวลมิตรอีกครั้งครับ






ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
บันทึกการเข้า