อืมม์....
จะว่าไปก็เป็นคำพูดที่มีเหตุและผลเพราะมีที่มาที่ไป อ้างอิงหลักฐานตำรา แต่อย่างไรก็ดีก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า
คำที่นำมาใช้นั้นต้องเป็นคำคู่กันที่ใช้พูดจนเป็นปกติอยู่แล้ว มีการได้ยินได้ฟังจนชินหู
ก็คือคำที่คนพูดกันติดปากจนเป็นปกตินั่นเอง อาทิเช่น ตะเกียกตะกาย ทุรนทุราย กระวนกระวาย สม่ำเสมอ สว่างไสว กระหืดกระหอบ
กระแอมกระไอ กระปรี้กระเปร่า ทุลักทุเล ลมเพลมพัด(ซึ่งคำทียกตัวอย่างมานี้คือคำพูดทั่วไปที่ใช้พูดจนติดปากชินหูนั่นเอง
มิใช่คำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่) ผู้แต่งจำต้องอาศัยไหวพริบในการสรรหาคำเหล่านี้แหละ
มาประกอบในการแต่งกลอน มิใช่มาประดิษฐ์หรือใส่เข้าไปตามใจชอบพอแต่ให้ถูกหลักการ
จึงจะถือว่าเป็นกลบทแท้ ไม่เช่นนั้นคำจะเป็นแค่คำที่ถูกยัดเยียดเข้าไปพอให้ถูกต้องตามตำราเท่านั้น
หาความเป็นธรรมชาติมิได้ และไม่เข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นกลบท(เป็นแค่ข้อคิดเห็นส่วนตัว)

เหตุผลประกอบการคิดเห็น เราจะต้องมาวิเคราะห์กันว่าคนโบราณเขาคิดกลบทนี้มาเพื่ออะไร ?
คงไม่ใช่อยู่ๆจะมาบัญญัติหลักการขึ้นมาเป็นแน่ คนโบราณจะต้องเล็งเห็นแล้วคำคู่เหล่านี้สามารถนำมาประกอบ
เป็นการเล่นคำได้ จึงบัญญัติกลบทชนิดนี้ขึ้น จุดมุ่งหมายอยู่ที่การประลองไหวพริบว่าใครจะสามารถค้นคว้าและสรรหา
คำประเภทนี้มาใช้ในกลอนได้มากที่สุดและกลมกลืนที่สุดคนนั้นก็จัดเป็นผู้เต็มเปี่ยมด้วยไหวพริบ
ตรงกันข้ามผู้ประดิษฐ์และใส่คำตามใจชอบของตนโดยไม่คำนึงถึงคำคู่ที่มีอยู่จริงย่อมไม่แสดงถึงเชาวน์ปัญญา
เปรียบอุปมาเหมือนเพชรแท้กับเพชรสังเคราะห์ เพพชรแท้คือสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเป็นสิ่งที่หาได้ยากและมีราคา
ส่วนเพชรสังเคราะห์นั้นประดิษฐ์ตามใจตัวเอง จะทำมากเท่าไรก็ได้
อีกประการหนึ่งอยากให้คำนึงถึงธนบัตรแท้กับการผลิตธนบัตรเอง ความยากและง่ายต่างกันให้เห็นชัดเจนอยู่
คนผลิตแบงค์ใช้เองเป็นเช่นไรย่อมรู้กันอยู่
ที่กล่าวทั้งหมดนี้ใช่ว่าจ้ำจี้จ้ำไชต้องการเพียงชนะ แต่อยากให้คำนึงถึงหลักการและความเป็นจริง
ตลอดถึงที่มาที่ไป การเล่นกลบทนี้จึงจะเข้าถึงแก่นแท้ หากทำแบบลวกๆ กลบทจะกลายเป็นแค่กลอนพิกลพิการบทหนึ่งเท่านั้น
ไม่มีความแปลกและพิศดารชวนอัศจรรย์เหมือนเช่นที่กลบทควรจะเป็น
หากการแสดงความคิดเห็นนี้เป็นการล่วงเกินแต่ประการใดต้องขออภัยิย่างสูง
ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาโดยแท้จริง มิได้มีเจตนาอื่น






ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :
บันทึกการเข้า