1.
ข้าพเจ้าหลับอยู่มิรู้ตื่น
ใช่ชั่วคืนชั่วเดือนหากเหมือนกัป
จะเนิ่นนานปานใดมิได้นับ
เฝ้าไล่จับความฝันอันงามงด
ในฝันนั้นข้าฯผันพรากจากถิ่นฐาน
เที่ยวท่องผ่านเทือกเขายาวจรด
ปลายโพ้นฟ้าผืนนทีที่เคี้ยวคด
งามเกินพจมานจะหว่านคำ
บรรลุยังเมืองน้อยกลางดอยสูง
ล้วนเพื่อนฝูงมากหน้าเห็นคลาคล่ำ
ต่างสรวลเสเฮฮาว่าลำนำ
ไมตรีจิตเลอล้ำประจำไป
จิบสุราชมจันทร์รังสรรค์สรวง
มิรุกล่วงโลกียวิสัย
ทั้งอ่อนน้อมถ่อมยิ่งหาชิงชัย
เรื่องน้อยใหญ่รู้อภัยด้วยใจจริง
มิแบ่งเผ่าแบ่งพันธุ์ชั้นวรรณะ
วิสาสะในทีไมตรียิ่ง
พร้อมดูแลแผ่เผื่อเอื้อพักพิง
มิทอดทิ้งผู้ทุกข์ยากลำบากทน
2.
ข้าพเจ้าท่องไปในความฝัน
ผ่านคืนวันหฤหรรษ์อันเข้มข้น
มิรู้เหนือใต้ใดในสกล
หากเปี่ยมล้นความสุขทุกอณู
ริ้วอรุณอุ่นอาบทาบแผ่นผิว
ทุ่งทองปลิวลมพาหญ้าเอนลู่
หอมพฤกษาผกาพันธุ์กลั่นกลิ่นกรู
นกขันคูไพเราะเสนาะนาน
ใต้หุบเขาเหนือลำน้ำท่ามคลื่นหมอก
ล้อระลอกธารเมฆาฟ้าประสาน
ธรรมชาติวาดเห็นเด่นตระการ
กล่อมวิญญาณมวลมนุษย์ได้หยุดพัก
ละวางสิ้นทุกสิ่งทั้งจริงเท็จ
เพาะเมล็ดพันธุ์เอื้อเพื่อเป็นหลัก
แตกกิ่งก้านร่มเงาเฝ้าฟูมฟัก
รอความรักผลิบาน ณ.ลานใจ
3.
ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นคืนสู่โลก
เสียงกรรโชกก่นทอก็แว่วไหว
ความโกรธเกลียดเคียดขึ้งอื้ออึงไกล
ใช่แล้วใช่!!นี่คือโลกของเรา
การแบ่งแยกแตกร้าวยังก้าวต่อ
แม่กับพ่อน้องกับพี่ผีไม่เผา
ตาต่อตาฟันต่อฟันต่างมันเมา
คือเรื่องเศร้าของสังคมอุดมการณ์
ไฟแห่งความชิงชังยังถูกจุด
ศพมนุษย์กองก่ายคล้ายสุสาน
ศาสนาพร่าเลือนเหมือนตำนาน
มือหนึ่งกรานมือหนึ่งกรีดมีดฆ่ากัน
4.
ข้าพเจ้าจึงหลับต่อไม่ขอตื่น
ใช่ชั่วคืนงดงามของความฝัน
แต่ขอหลับมิรู้ตื่นทุกคืนวัน
กว่าหมอกควันความเกลียดชังจะจางลง
ข้าพเจ้าหลับอยู่มิรู้ตื่น
ใช่ชั่วคืนชั่วเดือนหากเหมือนกัป
จะเนิ่นนานปานใดมิได้นับ
เฝ้าไล่จับความฝันอันงามงด
ในฝันนั้นข้าฯผันพรากจากถิ่นฐาน
เที่ยวท่องผ่านเทือกเขายาวจรด
ปลายโพ้นฟ้าผืนนทีที่เคี้ยวคด
งามเกินพจมานจะหว่านคำ
บรรลุยังเมืองน้อยกลางดอยสูง
ล้วนเพื่อนฝูงมากหน้าเห็นคลาคล่ำ
ต่างสรวลเสเฮฮาว่าลำนำ
ไมตรีจิตเลอล้ำประจำไป
จิบสุราชมจันทร์รังสรรค์สรวง
มิรุกล่วงโลกียวิสัย
ทั้งอ่อนน้อมถ่อมยิ่งหาชิงชัย
เรื่องน้อยใหญ่รู้อภัยด้วยใจจริง
มิแบ่งเผ่าแบ่งพันธุ์ชั้นวรรณะ
วิสาสะในทีไมตรียิ่ง
พร้อมดูแลแผ่เผื่อเอื้อพักพิง
มิทอดทิ้งผู้ทุกข์ยากลำบากทน
2.
ข้าพเจ้าท่องไปในความฝัน
ผ่านคืนวันหฤหรรษ์อันเข้มข้น
มิรู้เหนือใต้ใดในสกล
หากเปี่ยมล้นความสุขทุกอณู
ริ้วอรุณอุ่นอาบทาบแผ่นผิว
ทุ่งทองปลิวลมพาหญ้าเอนลู่
หอมพฤกษาผกาพันธุ์กลั่นกลิ่นกรู
นกขันคูไพเราะเสนาะนาน
ใต้หุบเขาเหนือลำน้ำท่ามคลื่นหมอก
ล้อระลอกธารเมฆาฟ้าประสาน
ธรรมชาติวาดเห็นเด่นตระการ
กล่อมวิญญาณมวลมนุษย์ได้หยุดพัก
ละวางสิ้นทุกสิ่งทั้งจริงเท็จ
เพาะเมล็ดพันธุ์เอื้อเพื่อเป็นหลัก
แตกกิ่งก้านร่มเงาเฝ้าฟูมฟัก
รอความรักผลิบาน ณ.ลานใจ
3.
ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นคืนสู่โลก
เสียงกรรโชกก่นทอก็แว่วไหว
ความโกรธเกลียดเคียดขึ้งอื้ออึงไกล
ใช่แล้วใช่!!นี่คือโลกของเรา
การแบ่งแยกแตกร้าวยังก้าวต่อ
แม่กับพ่อน้องกับพี่ผีไม่เผา
ตาต่อตาฟันต่อฟันต่างมันเมา
คือเรื่องเศร้าของสังคมอุดมการณ์
ไฟแห่งความชิงชังยังถูกจุด
ศพมนุษย์กองก่ายคล้ายสุสาน
ศาสนาพร่าเลือนเหมือนตำนาน
มือหนึ่งกรานมือหนึ่งกรีดมีดฆ่ากัน
4.
ข้าพเจ้าจึงหลับต่อไม่ขอตื่น
ใช่ชั่วคืนงดงามของความฝัน
แต่ขอหลับมิรู้ตื่นทุกคืนวัน
กว่าหมอกควันความเกลียดชังจะจางลง
เห็นด้วยกับหลับต่อแต่ต้องรอตื่น
พรุ่ง,มะรืนหากลมเย็นอาจเห็นบุหรง
เหง้ากระทือหรือหัวอื่นคืนป่าดง
เราพอคงได้กักตุนพันธุ์สมุนไพร
รากราคะของมนุษย์สุดจะกล่าว
ตั้งแต่เล็กจนเฒ่าไม่เข้าไหน
แค่บอกหลานหวานขมรสอย่างไร
ยังห่มใจด้วยคาวแล้วจึงเล่าความ
เนิน จำราย
พรุ่ง,มะรืนหากลมเย็นอาจเห็นบุหรง
เหง้ากระทือหรือหัวอื่นคืนป่าดง
เราพอคงได้กักตุนพันธุ์สมุนไพร
รากราคะของมนุษย์สุดจะกล่าว
ตั้งแต่เล็กจนเฒ่าไม่เข้าไหน
แค่บอกหลานหวานขมรสอย่างไร
ยังห่มใจด้วยคาวแล้วจึงเล่าความ
เนิน จำราย