O อุปาทานรูป .. O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
01 พฤศจิกายน 2024, 06:37:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O อุปาทานรูป .. O  (อ่าน 3375 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
12 กันยายน 2018, 06:38:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« เมื่อ: 12 กันยายน 2018, 06:38:AM »
ชุมชนชุมชน







๑๔
O ชลพินธุรินภวะละหลั่ง
นภะฝั่งก็พร่างไฟ-
ด้วยดาริกาสมะสมัย
รุจิไล้ประโลมหลัว
O เย็นรื่นเพราะคลื่นวตะระลอก
ขณะหมอกก็หม่นมัว
เผยร่าง .. ระหว่างพรรณะระรัว-
พะ-เหยาะยั่ว .. กะเยียบเย็น
O คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัย
ก็ประไพประภาพเพ็ญ
ยามชายชม้ายพิศะ บ เร้น-
นยะเต้นขจ่างตา


O เกิดแต่เมื่อเดือนฉายที่ปลายช่วง-
ดาวเลื่อนดวงหันเห .. ลับเวหา
แทนที่ด้วยคำมั่นคำสัญญา-
ขึ้นค้ำฟ้าแทนช่วง .. ของดวงไฟ
O เกิดแต่เมื่อชาติภพบรรจบรูป
เมื่อเปลวเทียนควันธูป .. ลอยวูบไหว
ภาพแววตาสั่นรัว .. คล้ายหัวใจ-
ต้องเลศนัยแรงชู้เข้าจู่โจม
O เสียงธรรมพระ .. จะแจ้งสำแดงสอน
เพื่อดับร้อนข่มทุกข์ที่ลุกโหม
ในอกผู้สั่นระทึกเสียงครึกโครม
ฤๅอาจโซรมให้ซบ .. เพียงสบธรรม ?
O คำพระว่า .. ตามองสบต้องรูป
ใจอาจวูบวาบเผลอ .. ถึงเพ้อพร่ำ
ด้วยรูปการหวานหอม .. ช่วยน้อมนำ-
พาเหยียบย่ำเวทนา .. สู่อาวรณ์
O คำพระว่า .. อารมณ์หากข่มไหว
จงข่มไว้ด้วยธรรมท่านพร่ำสอน
ตาสบรูป .. ภพชาตินั้นอาจทอน-
ให้ขาดตอนขาดช่วง .. จนล่วงรอย
O เสียงพระเทศน์ยังแว่วไม่แล้วล่วง
เพื่อคอยหน่วงเหนี่ยวโลกพ้นโศกสร้อย
หากแววตาใครหนอเหมือนรอคอย-
เหลือบ .. ชม้อยชม้ายสู่ .. ให้รู้ความ
O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว
เมื่ออกใจเสพทราบ .. รสวาบหวาม
รูปพักตร์เอย .. โลมรุกเข้าคุกคาม-
จักข่มข้ามบ่ายเบี่ยงเอาเยี่ยงไร ?
O จนสิ้นเสียงพระเทศน์, แววเนตรนั้น-
จากลอบเหลือบสบกัน .. ค่อยสั่นไหว
คล้ายเลือดซับแก้มก่ำ .. อยู่รำไร
เมื่ออาลัยอาวรณ์ สุดผ่อนลง
O เมื่อนันทิ .. ผลิเล่ห์ในเวทนา
จนอุปาทานขับ .. ขึ้นรับส่ง
สร้าง-ภพชาติเป็นกรรมขึ้นดำรง
แรงจำนงก็เผยแล้วผ่านแววตา
O อธิษฐาน .. เยี่ยงไรหนอใจนั่น
ให้-ผูกพันเฝ้าคอยละห้อยหา ?
หรือ-ชาติใดพานพบเพียงสบตา-
ให้รองรับเสน่หาทุกคราครั้ง ?
O ครั้งนั้น .. คงตั้งจิตอธิษฐาน-
จึงสืบผ่านถ้อยคำด้วยน้ำหลั่ง-
ลงให้พื้นปฐพินทร์ได้ยิน .. ฟัง-
จนรับรู้กำลัง .. ความตั้งใจ
O จึงวันนี้ .. รูปน้อยเหมือนคอยอยู่
คอย-รับรู้ .. รับรองความผ่องใส
ปรากฎขึ้นเทียบค่าความอาลัย-
กับรูปในความฝันจากวันเพรง
O เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย
ก็คลับคล้ายรูปนิมิตเคยพิศเพ่ง
จันทร์เคยทอแสงปลั่งกลางวังเวง
ก็ยังเปล่งปลั่งงาม .. จนยามนี้
O จันทร์ที่ลอยกลางสรวง .. ยังดวงเดิม
รูปต่ายเติมแต้มลงยังคงที่
เช่นรูปในแววตา .. กอปรท่าที-
แห่งใยดีอาวรณ์ .. ออดอ้อนนั้น
O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า-
แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น
สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน
ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง
O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว
เมื่ออาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์
เริ่มเร้ารุกคุกคาม-ตั้งจำนง-
ต่อรูปองค์เบื้องหน้าอย่าท้าทาย
O เหมือนแว่วธรรมพุทธา, เมื่อตาจ้อง
เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย
แต่บัดนั้นอุปาทานก็พานกาย
เมื่อดวงเนตรนั้นชม้ายเหลือบชายมา
O สิ้นเสียงธรรม, นันทิ-กลับผลิช่วง-
ขึ้นในดวงจิตคอยละห้อยหา
เติมแต้มรูปอภินันท์ ลงสัญญา
ชี้, บัญชาให้สำทับชั่วกัปกาล
O เสียงพระเทศน์พ้นผ่านไปนานแล้ว
ลมยังแผ่วยังพลิ้วเป็นริ้วผ่าน
เมื่อ .. ดวงตาพรับพริ้ม เผยยิ้ม .. ปาน-
ช่วยเหยียบโลกทรมาน .. ให้ .. ลาญลบ !

O เสียงไก่ขันแว่วฝ่าอุษาสมัย
บอกจันทร์ให้งำรอยแล้วถอยหลบ
เพื่อเปิดฟ้าแรกวันให้ครันครบ-
การบรรจบรูปธรรมแสนอำพน
O ลมหนาวพลิ้วผ่านอยู่แต่ตรู่สาง
หมอกก็คลี่ม่านพรางทั่วทางถนน
หนาวเนื้อตัว, หนาวในหัวใจคน-
นั้น-หนาวจนถวิลอุ่น .. ไว้หนุนทรวง
O เม็ดน้ำค้างวางหยาด .. เรียงหยาดรับ-
การทอดทับแต้มแต่งด้วยแสงสรวง
จึงเห็นรูปเพชรพลอย .. นั้นลอยดวง-
พร้อมรูปหวงพร่างแพร้วในแววตา
O แววระยับวามช่วง .. ในดวงเนตร
ค่อยเผยเลศนัยเผดียง บอกเดียงสา
ทั้งพฤติ, รูปนาม .. ย่อมล่ามอา-
รมณ์ .. ผู้อุปาทานขับ แนบกับใจ
O มุขมณีน้ำระยับ .. ย่อมจับจิต-
ผู้เพ่งพิศ-อภิรมย์, ฤาข่มไหว
เห็นแต่เพียรจับจ้องหมายมองไป
เสพรูปนามเพ็ญพิไล .. หวัง-ไขว่คว้า
O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น
กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า
ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา
เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย
O เห็นงามคุกคามฝ่า .. แววตาสบ
ย่อมบรรจบลุกลามเป็นความหมาย
ถวิลแต่คุณค่าอันพร่าพราย
ที่โชนฉายแววมณีเป็นสีเดียว
O ทุกพื้นเหลี่ยมมุมรัตน์ .. จำรัสแสง
เหลื่อมสำแดงรูปรอยให้พลอยเหลียว
ผ่านแววตาแฝงเร้น .. ราวเส้นเกลียว-
เคลื่อนเส้นเข้ารัดเหนี่ยว .. พันเกี่ยวใจ
O แล้วม้วนเส้นม้วนปลายเก็บปลายเงื่อน
จนสุดเคลื่อนสุดคลาย .. ต้น-ปลาย .. ไหว
เพื่อเสพรับอุ่นอายจากภายใน-
อุ่นอาลัยให้ระรุม .. คอยสุมลน
O แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย
แววตาคล้ายจำนรรจ์นับพันหน
กระนั้นแล้ว .. หวั่นไหว .. และใจคน
จักหลุดพ้นพรากได้เยี่ยงไรกัน
O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต
ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ
เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน
ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร
O คะเนนึกคะนึงอยู่แต่ตรู่สาง
ที่แววอางขนางเห็นเกินเร้นซ่อน
ที่แสงในแววตาผู้อาทร
สบ-เว้าวอน .. เพรียกถวิลเพรียกจินตนา
O คะเนนึกคะนึงอยู่ไม่รู้สิ้น
เปลี่ยวเหงาย่อมพังภินท์จนสิ้นท่า
เมื่อแสงวามผ่องแผ้วในแววตา
เผยต่อหน้าพาโลกพ้นโศกซม
O แววมณีงามเพ็ญ .. เมื่อเต้นตอบ-
โลกโดยรอบเคยระยับก็ลับ .. ล่ม
เหลือเพียงงามเบื้องหน้าให้ปรารมภ์
รอขับข่มทุกมณี ในที่นั้น
O เม็ดน้ำค้างทุกหยาด .. บำราศแล้ว
เหลือเพียงแก้วมณีพราย .. ยังส่ายสั่น
ครองภาวะโชนช่วง .. เมื่อดวงวัน-
ราวจักบรรลัยล่วง ด้วยดวงตา !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=09&group=11&gblog=650

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
17 กันยายน 2018, 06:50:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #1 เมื่อ: 17 กันยายน 2018, 06:50:AM »
ชุมชนชุมชน




O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O







O เจ้าโบกปีกเบาบางที่กลางฟ้า
เอาเวหาห้อมตัวเร้ารัวเสียง
ปีกโล้ลมคลี่สยายอยู่รายเรียง
ก่อนบ่ายเบี่ยงลิ่วคว้างเส้นทางจร
O จะผ่านฝนสู่หนาวอีกคราวแล้ว
เมื่อดอกแก้วกรุ่นล้อมกลิ่นหอมอ่อน
กางเขนดงโผกระหยับลงจับคอน
เมื่ออาวรณ์วูบวับลงจับใจ
O ถวิลดวงดอกฟ้าโน้มมาสู่
พร้อมแรงชู้สุมซ้อนด้วยอ่อนไหว
จังหวะปีกโบกฟ้า .. เช่นอาลัย-
เมื่อโบกโบยความนัยออกไหววน
O ท่วงทำนองพร้องพร่ำ .. นกร่ำเสียง
หวังร้อยเรียงความปวง .. ผ่านห้วงหน-
บรรจงมอบความนัยแห่งใจคน
หวังปรุงปรนหอมละมุนให้คุ้นเคย
O ปลายพรรษา .. ลมล่องเมฆฟ่องฟ้า
รอดวงตาอ่อนน้อย .. เจ้าคล้อยเผย-
แววอาวรณ์นิรมิต .. ให้ชิดเชย
ร่วมยั่วเย้ยปฏิพัทธ์ให้หยัดรอย
O ลมเอย..ฝากพรมผ่าน..เอาหวานหอม-
เข้าเห่กล่อมฤดีเดียว .. ที่เปลี่ยวหงอย
อาจเอื้อมพจน์บรรสาร-เนิ่นนานคอย
แทนอ้อมอกอันละห้อย .. โอบร้อยนวล
O กล่อมเอย .. กล่อมงาม .. ฝ่าสามโลก
เพื่อโบยโบกปฏิพัทธ์รำบัดหวน
หัวอกเอย .. ต้องเสน่ห์จนเรรวน-
คำนึงล้วนรูปถนอม ..ในอ้อมทรวง
O ปีกนกคงคลี่กาง .. ที่กลางฟ้า
ละม่อมหน้ารูปแพง .. รอบแรงหวง-
คล้ายคลี่กางโอบอุ้มใจพุ่มพวง
พร้อมเงื่อนบ่วงอาวรณ์ .. สุมซ้อนลง
O ต้องแรงลมปลายปีก .. ฤๅหลีกหลบ
เช่นบรรจบต้องงาม .. ย่อมลามหลง
ร้อยรัดคลื่นรมยา .. รูปอ่าองค์
ที่บรรจงจบบทด้วยรสสุมาลย์
O ต้องแรงลมปีกโผ .. ขึ้นโล้ล่อง
เหมือนเมื่อต้องรูปละม่อม .. อันหอมหวาน
ใดเล่าจักเห่รับอยู่นับนาน
มิใช่ห้วงดวงมานดอกหรือไร
O ปีกนกยังโบกบิน .. ผ่านถิ่นแนว
เนตรโชนแววเล่าบิน .. ถึงถิ่นไหน ?
รูปหนึ่งกอปรเลือดเนื้อ .. พร้อมเยื่อใย-
แสนอ่อนไหวยังคง ..จำนงรอ
O จะผ่านฝน .. สู่หนาวอีกคราวแล้ว
หวังจิตแผ้วผ่องดวง, บำบวงขอ-
มนต์ทิพให้รุมเร้าพะเน้าพะนอ
เฝ้าลามล้อแรงชู้ .. ให้รู้ชม
O เมื่อสิ้นฝน .. ต้นหนาวจักหนาวยิ่ง
หวังแอบอิงออดซุกให้สุขสม
ก็แต่ร่วมเสน่หาเฝ้าปรารมภ์
ให้อกห่มห้อมกาย .. แต่ถ่ายเดียว !
O เมื่อสิ้นฝนเข้าหนาว .. คาบหนาวนี้
ควรหรือที่ต้องชะแง้ .. เฝ้าแต่เหลียว-
หาแววตาสบสื่อ .. พร้อมมือเรียว-
เอื้อมมาเกี่ยวก้อยกลางเส้นทางเดิน
O กล่อมเอย .. กล่อมงาม .. ฝ่าสามภพ
จวบครันครบปฏิพัทธ์, เพื่อ-ขัดเขิน-
ในห้วงอกโหมระลอกคอยหยอกเอิน-
ให้สะเทิ้นสะท้านอยู่ .. ไม่รู้แล้ว !
O กล่อมเอย .. กล่อมโลก .. ให้ยกผ่าน-
ความออดอ้อนอ่อนหวาน .. อันซ่าน .. แผ่ว
เพื่อดวงตาพริ้มพรับ .. เมื่อวับแวว
แขนเรียวจักไม่แคล้ว .. โอบแล้ว .. รอ !
.
.
เพื่อดวงตาอ่อนโยน .. เมื่อโชนแวว
แขนเรียวโอบรั้งแล้ว .. สุดแล้วลา !


https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2014&date=08&group=11&gblog=579

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
09 ธันวาคม 2018, 07:08:AM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #2 เมื่อ: 09 ธันวาคม 2018, 07:08:AM »
ชุมชนชุมชน



O เมื่ออุษาสาง .. O






O เพียงลมเช้าเฉื่อยโชย .. อย่างโผยแผ่ว
พายวาดแล้ว-อ่อยเอื่อย, เรือเรื่อยไหล
คลื่นน้ำพลิ้วโยนระลอก .. แผ่ออกไป
พร้อมริ้ววงน้ำไหว .. คือใจรอ
O บรรจงหยิบจับของประคองถวาย
นอบน้อมกายมอบสู่ท่านผู้ขอ
หมายนัยธรรมผ่านเสียง .. จะเพียงพอ-
ช่วยเติมต่อภูมิธรรมลงย้ำใจ
O ภาพ-พระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย-
กับงามหนึ่งรูปรอย .. ที่ค่อยไหว-
ค้อมคอลงรับคำ .. พากย์ธรรมนัย
พาเงื่อนเหตุอาลัย .. พลอยไหววน
O แสงเช้านั้นรองเรืองที่เบื้องหน้า
เมื่อสบตาปลาบปลั่ง .. อีกครั้งหน
ช่อดอกไม้, ขันข้าว, เนตรวาวจน-
สะท้อนพื้นสายชล-วาบ-วนเวียน
O จวบแว่วเสียงสาธุ .. บรรลุโสต
เช่นกาลโชติช่วงแสงเข้าแปลงเปลี่ยน
คือใจตรองธรรมพากย์ .. พลอยพากเพียร-
เอาปัญญาตัดเตียน .. บ่งเสี้ยนแซม
O ชื่นเช้ากับนัยธรรม .. จากคำพระ
เมื่อสุดผละแววตา .. จากหน้า-แก้ม
พาอ่อนหวานรำบายลงก่ายแกม
ก่อนป่ายแต้มพักตร์พิไลติดนัยน์ตา
O จึงเช้าชื่น .. ด้วยหมอก, ปวงดอกไม้-
น้อมแนบไว้ด้วยละห้อยเฝ้าคอยหา
ช่วงเช้านี้ลมเห่ .. กาลเวลา
เกสรา-ภุมรินก็บินล้อม
O ไหว้พระ .. อธิษฐานเพื่อกาลหน้า
สืบคุณค่าตั้งรอ .. ร่วมหล่อหลอม
รูปหน้าหรือนัยธรรม .. หนอ-ด่ำดอม
จนดูเหมือนจำยอม .. อย่างพร้อมใจ
O กราบพระ .. บำบวงผ่านห้วงสินธุ์
หวังบรรลือแรงถวิล .. จนสิ้นได้
จังหวะพายจ้ำจ้วง .. หวัง-ทรวงใคร-
จักหวามไหวตามระยะจังหวะแรง
O กราบพระ .. บำบวงผ่านท่วงที
แววตาที่อ่อนโยนเริ่มโชนแสง
พร้อมความหวานหอมล้ำ .. ที่สำแดง
ลงเติมแต่งโลกธรรม .. ล้อมรำบาย
O ภาพ-กุศลสืบสาน, ดอกมาลย์หอม
ก็งามพร้อมแสงสรวงขึ้นช่วงฉาย
ความอ่อนหวานอ่อนไหว .. หัวใจชาย-
ก็กำจายฝากคลื่น .. แนบผืนน้ำ
O ร่ำรอภาพ-บุญกุศลให้วนกลับ
เพื่อสำหรับปลาบปลื้ม .. แสนดื่มด่ำ-
จักวนรอบเวียนรับ .. ลำดับกรรม
เอาหยั่งย้ำอาวรณ์ .. แนบนอนทรวง
O ภาพสาวน้อย .. ละม่อมหน้า .. ที่ท่าน้ำ
ค่อยตอกย้ำอกใจพลอยไห้หวง
กราบพระดูแช่มช้อย, คำถ้อย-ปวง-
หวังผ่านล่วงถึงใคร .. หนอใจนั้น .. ?
O น้ำกระทบกราบเรือ, แสงเรื่อส่อง-
ก็เหลื่อมต้องผ่านแต้มสองแก้มนั่น
ตากระทบรูปเยาว์, เมื่อเช้าวัน-
ก็เฝ้าฝันใฝ่อยู่ .. ไม่รู้แล้ว
O คล้ายเสียงธรรมล้อมโลก .. เข้าโบกโบย
เมื่อลมเช้าเฉื่อยโชย .. ยังโผยแผ่ว
ใจคนฤๅต้องสาป .. เมื่อภาพแวว-
ตาผ่องแผ้วผ่านนัย .. รอไขว่คว้า
O ก่อนเสียงธรรมจางหายกับสายลม
เมื่อปรารมภ์มุ่งมั่นขอฟันฝ่า
หมายเอื้อมเหนี่ยวพวงพะยอมให้น้อมมา
ร่วมรับรองคุณค่า .. แรงอาลัย
O ลมเช้ายังเฉื่อยโชยอย่างโผยแผ่ว
เมื่อดวงแก้วบนฟ้าทาบทา .. สมัย
ปลายปีกนกผกบินสู่ถิ่นไกล
เมื่อหัวใจถวิลเห็นไม่เว้นวาง
O ภาพพระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย-
เหมือนดั่งคอยเฝ้าอุบัติขึ้นขัดขวาง
พร้อมรูปมือเรียวงามอยู่ท่ามกลาง-
ม่านหมอกพรางขุ่นขาวแห่งเช้าวัน
O ผมหล่นล้อมวงหน้า .. เมื่อหน้าก้ม
มือประนมคอค้อมอยู่พร้อมนั่น
ด้วยรูปและโดยใจของใครกัน-
แต่งเป็นสัญญาร่าง .. ขึ้นขวางไว้
O ภาพ-จีวร, ลำเรือ, แดดเรื่อส่อง,
พักตร์ผุดผ่องรูปขวัญ, เช้าวันใหม่-
ก็เคลื่อนบทบาทล้อมเข้าย้อมใจ
กลางลมไหววาดวี .. ในที่นั้น
O ภาพ-จีวร, ลำเรือ, ผิวเนื้อเนียน,
เนตรวกเวียนเหลือบชะม้าย, น้ำส่ายสั่น-
ก็เคลื่อนผ่านวูบไหวดั่งไฟควัน-
แทรกส่วนสัญญารูป .. โลมลูบใจ
O จนเสียงธรรมจางหายกับสายลม
เหลือเพียง-เนตร, เส้นผม .. เกินข่มไหว-
เข้ารายล้อมดวงตา .. เกินฝ่าไป-
พ้นผ่านรูปเพ็ญพิไล .. ของใครแล้ว !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=11-2015&date=04&group=11&gblog=643

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s