O ชั่วฟ้าดินดับ .. O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
18 เมษายน 2024, 07:04:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O ชั่วฟ้าดินดับ .. O  (อ่าน 5017 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
25 สิงหาคม 2018, 06:10:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« เมื่อ: 25 สิงหาคม 2018, 06:10:PM »
ชุมชนชุมชน





O ลมเช้าลูบแผ่นน้ำ - - - กระเพื่อมวง
เมื่อรุ่งแสงเริ่มผจง - - - จับฟ้า
เลื่อนรอบแล่นริ้วดรงค์ - - - โรยกระทบ ฝั่งเนอ
แสงแรก, ลมอ่อนล้า - - - ลูบ, โน้มนำ-คะนึง ฯ

O คำนึงวกย้อนสู่ - - - ยามสาง นั้นนา
ลมร่ำ, ผืนพลอย-วาง - - - หยาดล้อม
จีวร, บาตร, รูป-กลาง - - - กุศลบท
กรรทบ, ปรุงแต่ง-พร้อม - - - แวดล้อมประนอมขวัญ ฯ

O รูปจีวร-ก้าว, ย่าง - - - หยุด, รอ
รูปพักตร์พริ้มเพราลออ - - - นอบ, ไหว้
ข้าวหอมกรุ่น, แดดทอ - - - กระทบรูป
หน้าจบน้อม, แดดไล้ - - - ลูบเนื้อเนียนถนอม ฯ

O คำข้าว, ช่อดอกไม้ - - - ถวายพระ
น้อมรูป, เชิญสัจจะ - - - จบเกล้า
น้อมจิต, รับพุทธะ - - - ธรรมท่าน แล้วแฮ
ภาพงดงามยามเช้า - - - อยู่, เชื้อเชิญประชัน ฯ

O รูปจีวร-ก้าวผ่าน - - - พ้นสมัย
เหยียบโลก, ย่ำอาลัย - - - ล่มล้าง
รูปเนตรเหลือบ, หฤทัย - - - โยกแกว่ง
สบ, นิ่ง, ใจล่องคว้าง - - - สุดคว้า, สุดขืน ฯ

O รูปจีวรล่วงพ้น - - - เพียงตา
อีกรูป-งำลีลา - - - ลอบชม้าย
ธรรมพระแว่ว, เพทนา - - - แนบอก
สบเนตร, แววเนตรคล้าย - - - ข่มสะเทิ้น, ครวญธรรม ฯ

O หลังภาพ-ผมหล่นล้อม - - - รูปพักตร์,
ธรรมพระ, สัมมามรรค, - - - เนตรชม้อย,
บาปบุญ, จดจำหลัก - - - ลงจิต
คือโลกบัดนั้นคล้อย - - - เคลื่อนเร้าแรงถวิล ฯ

O เช้านั้น, นันทิ-ตั้ง - - - ตอบกาล
ลมร่ำ, รูปรำบาญ, - - - รูปเจ้า
บุญส่ง, บาปสืบสาน - - - สบแม่ ฤาแม่
สบเนตร, เนตรจึ่งเร้า - - - เร่งให้เสน่หา ฯ

O คง-บุญพาผ่านพ้อง - - - พบกัน
แววเนตรจึงล่ามพัน - - - ผูกไว้
บาปสร้างแต่เบื้องบรรพ์ - - - สุดบิด เบือนแม่
ลบรูป, ลบรอยได้ - - - แต่ด้วยชีพสูญ ฯ

O หล่นลงแล้วรุ่งเรื้อง - - - รมยา
ล่มรูปรอยทรมา - - - มอดเชื้อ
รูปนาม, รูปจริต, ปรา- - - - กฎแวด ล้อมเนอ
จักขุ, แดด-โอบเนื้อ - - - อุ่นเนื้อทะนุถนอม ฯ

O แผ่วลมเช้าป่ายริ้ว - - - โลมวัลย์
อีกรูปนามโลมขวัญ - - - ฝากชู้
แดดเช้า, เลศนัย-บรร- - - เจิด, ส่อง, สื่อเนอ
เมิน-ข่มยิ้ม, รับรู้ - - - ร่วมเชื้อเชิญอรุณ ฯ

O แดดยามสายรุ่งเรื้อง - - - รัศมี
เมื่อรูปนามเริ่มลี- - - - ลาศคล้อย
แววเนตร, กอปรท่วงที- - - - เมิน, หลบ
โลกแวดล้อม, เนตรชม้อย - - - หยุดสิ้น, พันธนา ฯ

O ช่อมาลย์อวลกลิ่นไล้ - - - ลมยอ
พลิ้วผ่านเหมือนร่ำรอ - - - แวดล้อม
รื่นหอม, รูปงาม-พะนอ - - - แนบจิต พี่แม่
จึงบัดนั้นพรั่งพร้อม - - - ห่วงละห้อย-หวาน, หอม ฯ

O ช่อเรียวรูปเด็ดไว้ - - - ในมือ
กลีบบอบบางถนอมถือ - - - กริ่งช้ำ
ใจเอยหวั่นไหวฤๅ - - - จึงระส่ำ เต้นนา
แต่เมื่อแววเนตรล้ำ - - - ล่วง-เชื้อเชิญใจ ฯ

O ภาพก้านช้อยช่อขึ้น - - - พะนอลม
ซ้อนทับภาพเนตรคม - - - เหลือบค้อน
ให้เพ่งผาด-ปรารมภ์ - - - รุมอก
รุม-ว่าคือออดอ้อน - - - ออดให้นิวรณ์กระเหิม ฯ

O ปรุงปรนสีกลิ่นเรื้อง - - - รมยา
ลอยล่องลานเพ-ลา - - - สู่รุ้ง
กลีบกรองละลานตา - - - เตรียบค่า ควรเนอ
หอมย่อมเกินเขตคุ้ง - - - ครอบฟ้าครองขวัญ ฯ

O เพรางายปฐมะเรื้อง - - - รังสิมันต์
มัทนะชมพูบรร- - - - เจิดช้อย
เตรียบพักตร์, ผุดผ่องวรร- - - - โณภาส เทียมฤๅ
เพียงเนตรเจ้าเหลือบชม้อย - - - มากน้อยประเมินไฉน ฯ

O กลิ่นเกลี้ยงกุสุมะรู้ - - - รวยริน
อบร่ำคร่ำครวญถวิล - - - หวั่นร้าง
หอมเอยหล่อเลี้ยงจิน- - - - ตภาพแต่ แม่นา
รูป-กลิ่น-ใจ-ล่องคว้าง - - - ระหว่างห้วงหวานหอม ฯ

O เพราพรายโอภาสเมื้อ - - - เมฆบน
เหลื่อมละลานอำพน - - - แผ่นฟ้า
เมื่อหอมกลิ่นเสาวคน- - - - ธะรสจู่ ใจนา
ล่มลบถ้วน, เหลือหน้า- - - - หนึ่งหน้านางเดียว ฯ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&group=159

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ระนาดเอก, วลีลักษณา, @free, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 ตุลาคม 2018, 07:24:PM
สดายุ
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 15
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 185



« ตอบ #1 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2018, 07:24:PM »
ชุมชนชุมชน



O อุปาทานรูป .. O





๑๔
O ชลพินธุรินภวะละหลั่ง
นภะฝั่งก็พร่างไฟ-
ด้วยดาริกาสมะสมัย
รุจิไล้ประโลมหลัว
O เย็นรื่นเพราะคลื่นวตะระลอก
ขณะหมอกก็หม่นมัว
เผยร่าง .. ระหว่างพรรณะระรัว-
พะ-เหยาะยั่ว .. กะเยียบเย็น
O คู่ดาวอะคร้าวรหัสะนัย
ก็ประไพประภาพเพ็ญ
ยามชายชม้ายพิศะ บ เร้น-
นยะเต้นขจ่างตา


O เกิดแต่เมื่อเดือนฉายที่ปลายช่วง-
ดาวเลื่อนดวงหันเห .. ลับเวหา
แทนที่ด้วยคำมั่นคำสัญญา-
ขึ้นค้ำฟ้าแทนช่วง .. ของดวงไฟ
O เกิดแต่เมื่อชาติภพบรรจบรูป
เมื่อเปลวเทียนควันธูป .. ลอยวูบไหว
ภาพแววตาสั่นรัว .. คล้ายหัวใจ-
ต้องเลศนัยแรงชู้เข้าจู่โจม
O เสียงธรรมพระ .. จะแจ้งสำแดงสอน
เพื่อดับร้อนข่มทุกข์ที่ลุกโหม
ในอกผู้สั่นระทึกเสียงครึกโครม
ฤๅอาจโซรมให้ซบ .. เพียงสบธรรม ?
O คำพระว่า .. ตามองสบต้องรูป
ใจอาจวูบวาบเผลอ .. ถึงเพ้อพร่ำ
ด้วยรูปการหวานหอม .. ช่วยน้อมนำ-
พาเหยียบย่ำเวทนา .. สู่อาวรณ์
O คำพระว่า .. อารมณ์หากข่มไหว
จงข่มไว้ด้วยธรรมท่านพร่ำสอน
ตาสบรูป .. ภพชาตินั้นอาจทอน-
ให้ขาดตอนขาดช่วง .. จนล่วงรอย
O เสียงพระเทศน์ยังแว่วไม่แล้วล่วง
เพื่อคอยหน่วงเหนี่ยวโลกพ้นโศกสร้อย
หากแววตาใครหนอเหมือนรอคอย-
เหลือบ .. ชม้อยชม้ายสู่ .. ให้รู้ความ
O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว
เมื่ออกใจเสพทราบ .. รสวาบหวาม
รูปพักตร์เอย .. โลมรุกเข้าคุกคาม-
จักข่มข้ามบ่ายเบี่ยงเอาเยี่ยงไร ?
O จนสิ้นเสียงพระเทศน์, แววเนตรนั้น-
จากลอบเหลือบสบกัน .. ค่อยสั่นไหว
คล้ายเลือดซับแก้มก่ำ .. อยู่รำไร
เมื่ออาลัยอาวรณ์ สุดผ่อนลง
O เมื่อนันทิ .. ผลิเล่ห์ในเวทนา
จนอุปาทานขับ .. ขึ้นรับส่ง
สร้าง-ภพชาติเป็นกรรมขึ้นดำรง
แรงจำนงก็เผยแล้วผ่านแววตา
O อธิษฐาน .. เยี่ยงไรหนอใจนั่น
ให้-ผูกพันเฝ้าคอยละห้อยหา ?
หรือ-ชาติใดพานพบเพียงสบตา-
ให้รองรับเสน่หาทุกคราครั้ง ?
O ครั้งนั้น .. คงตั้งจิตอธิษฐาน-
จึงสืบผ่านถ้อยคำด้วยน้ำหลั่ง-
ลงให้พื้นปฐพินทร์ได้ยิน .. ฟัง-
จนรับรู้กำลัง .. ความตั้งใจ
O จึงวันนี้ .. รูปน้อยเหมือนคอยอยู่
คอย-รับรู้ .. รับรองความผ่องใส
ปรากฎขึ้นเทียบค่าความอาลัย-
กับรูปในความฝันจากวันเพรง
O เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย
ก็คลับคล้ายรูปนิมิตเคยพิศเพ่ง
จันทร์เคยทอแสงปลั่งกลางวังเวง
ก็ยังเปล่งปลั่งงาม .. จนยามนี้
O จันทร์ที่ลอยกลางสรวง .. ยังดวงเดิม
รูปต่ายเติมแต้มลงยังคงที่
เช่นรูปในแววตา .. กอปรท่าที-
แห่งใยดีอาวรณ์ .. ออดอ้อนนั้น
O ยังอ่อนโยนอ่อนหวาน .. จนปานว่า-
แววในตาลอบชม้ายยังส่ายสั่น
สั่งชี้จิตวิญญาณจากวานวัน
ก่อนครั้งสัญญาชาติจักขาดวง
O เปลวเทียนและควันธูปยังวูบไหว
เมื่ออาลัยพิสวาดิด้วยชาติหงส์
เริ่มเร้ารุกคุกคาม-ตั้งจำนง-
ต่อรูปองค์เบื้องหน้าอย่าท้าทาย
O เหมือนแว่วธรรมพุทธา, เมื่อตาจ้อง
เรียวรูปนิ้วจับของประคองถวาย
แต่บัดนั้นอุปาทานก็พานกาย
เมื่อดวงเนตรนั้นชม้ายเหลือบชายมา
O สิ้นเสียงธรรม, นันทิ-กลับผลิช่วง-
ขึ้นในดวงจิตคอยละห้อยหา
เติมแต้มรูปอภินันท์ ลงสัญญา
ชี้, บัญชาให้สำทับชั่วกัปกาล
O เสียงพระเทศน์พ้นผ่านไปนานแล้ว
ลมยังแผ่วยังพลิ้วเป็นริ้วผ่าน
เมื่อ .. ดวงตาพรับพริ้ม เผยยิ้ม .. ปาน-
ช่วยเหยียบโลกทรมาน .. ให้ .. ลาญลบ !

O เสียงไก่ขันแว่วฝ่าอุษาสมัย
บอกจันทร์ให้งำรอยแล้วถอยหลบ
เพื่อเปิดฟ้าแรกวันให้ครันครบ-
การบรรจบรูปธรรมแสนอำพน
O ลมหนาวพลิ้วผ่านอยู่แต่ตรู่สาง
หมอกก็คลี่ม่านพรางทั่วทางถนน
หนาวเนื้อตัว, หนาวในหัวใจคน-
นั้น-หนาวจนถวิลอุ่น .. ไว้หนุนทรวง
O เม็ดน้ำค้างวางหยาด .. เรียงหยาดรับ-
การทอดทับแต้มแต่งด้วยแสงสรวง
จึงเห็นรูปเพชรพลอย .. นั้นลอยดวง-
พร้อมรูปหวงพร่างแพร้วในแววตา
O แววระยับวามช่วง .. ในดวงเนตร
ค่อยเผยเลศนัยเผดียง บอกเดียงสา
ทั้งพฤติ, รูปนาม .. ย่อมล่ามอา-
รมณ์ .. ผู้อุปาทานขับ แนบกับใจ
O มุขมณีน้ำระยับ .. ย่อมจับจิต-
ผู้เพ่งพิศ-อภิรมย์, ฤาข่มไหว
เห็นแต่เพียรจับจ้องหมายมองไป
เสพรูปนามเพ็ญพิไล .. หวัง-ไขว่คว้า
O เห็นงามก็ว่างามไปตามเห็น
กับแฝงเร้นกรณีทุกทีท่า
ดั่งดวงแก้วเหลื่อมประกายต่อสายตา
เพื่อร่ำรอเสน่หาจากตาชาย
O เห็นงามคุกคามฝ่า .. แววตาสบ
ย่อมบรรจบลุกลามเป็นความหมาย
ถวิลแต่คุณค่าอันพร่าพราย
ที่โชนฉายแววมณีเป็นสีเดียว
O ทุกพื้นเหลี่ยมมุมรัตน์ .. จำรัสแสง
เหลื่อมสำแดงรูปรอยให้พลอยเหลียว
ผ่านแววตาแฝงเร้น .. ราวเส้นเกลียว-
เคลื่อนเส้นเข้ารัดเหนี่ยว .. พันเกี่ยวใจ
O แล้วม้วนเส้นม้วนปลายเก็บปลายเงื่อน
จนสุดเคลื่อนสุดคลาย .. ต้น-ปลาย .. ไหว
เพื่อเสพรับอุ่นอายจากภายใน-
อุ่นอาลัยให้ระรุม .. คอยสุมลน
O แต่บรรจบก็ลุกลามเป็นความหมาย
แววตาคล้ายจำนรรจ์นับพันหน
กระนั้นแล้ว .. หวั่นไหว .. และใจคน
จักหลุดพ้นพรากได้เยี่ยงไรกัน
O เห็นมณีน้ำระยับงามจับจิต
ย่อมต้องคิดหมายปอง ตระกองขวัญ
เพื่อยึดโยงปักปลูกความผูกพัน
ไปชั่วกัปชั่วกัลป์พุทธันดร
O คะเนนึกคะนึงอยู่แต่ตรู่สาง
ที่แววอางขนางเห็นเกินเร้นซ่อน
ที่แสงในแววตาผู้อาทร
สบ-เว้าวอน .. เพรียกถวิลเพรียกจินตนา
O คะเนนึกคะนึงอยู่ไม่รู้สิ้น
เปลี่ยวเหงาย่อมพังภินท์จนสิ้นท่า
เมื่อแสงวามผ่องแผ้วในแววตา
เผยต่อหน้าพาโลกพ้นโศกซม
O แววมณีงามเพ็ญ .. เมื่อเต้นตอบ-
โลกโดยรอบเคยระยับก็ลับ .. ล่ม
เหลือเพียงงามเบื้องหน้าให้ปรารมภ์
รอขับข่มทุกมณี ในที่นั้น
O เม็ดน้ำค้างทุกหยาด .. บำราศแล้ว
เหลือเพียงแก้วมณีพราย .. ยังส่ายสั่น
ครองภาวะโชนช่วง .. เมื่อดวงวัน-
ราวจักบรรลัยล่วง ด้วยดวงตา !

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2016&date=09&group=11&gblog=650


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : รพีกาญจน์, ไผ่เดียวดาย

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s