อุยเอี๋ยนอุยเอี๋ยน (อังกฤษ: Wei Yan; จีนตัวเต็ม: 魏延; จีนตัวย่อ: 魏延; พินอิน: Wèi Yán; เวด-ไจลส์: Wei Yen) เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ขุนพลแห่งจ๊กก๊กรูปร่างสูงใหญ่ ชื่อรองบุ้นเตีย (จีน: 文長) ใช้ง้าวคู่เป็นอาวุธ ปรากฏบทบาทครั้งแรกที่เมืองเกงจิ๋ว เมื่อเล่าปี่ได้อพยพราษฎรจากซินเอี๋ยและอ้วนเสียข้ามน้ำมาจากการตามล่าของโจโฉขอให้ชาวบ้านอยู่ในเมืองด้วย พวกทหารและเสนาธิการจะแยกไปทันที แต่ชัวมอที่บังคับเล่าจ๋องอยู่ไม่ยอมเปิดประตูให้ อุยเอี๋ยนซึ่งเป็นทหารเกงจิ๋วกลับนำทหารส่วนหนึ่งมาเปิดประตูให้เล่าปี่ยกเข้าเมือง แต่บุนเพ่งแม่ทัพคนหนึ่งของเกงจิ๋วได้ออกมาขัดขวาง พร้อมด่าว่า เจ้าจะเป็นกบฏหรือ อุยเอี๋ยนกับบุนเพ่งจึงได้สู้กัน เล่าปี่อนาถใจที่เห็นทั้งคู่มาสู้กันเอง จึงยกทัพแยกไป
[แก้] ประวัติ
อุยเอี๋ยนมาสวามิภักดิ์เล่าปี่อีกครั้ง เมื่อครั้งที่ ฮองตง รบกับ กวนอู ตัวฮองตงแกล้งยิงเกาทัณฑ์พลาดเพื่อทดแทนบุญคุณกวนอู แต่กลับทำให้เจ้าเมืองคิดว่า ฮองตง เอาใจออกห่างจึงสังให้ประหารฮองตง ทำให้อุยเอี๋ยนไม่พอใจ นำพาทหารจับเจ้าเมืองฆ่า แล้วสวามิภักดิ์ต่อเล่าปี่ ซึ่งการมาสวามิภักดิ์ครั้งนี้ ทำให้ขงเบ้งไม่พอใจสั่งประหารอุยเอี๋ยน เพราะขงเบ้งคิดว่า "เป็นบ่าวกินข้าวนาย แต่ฆ่านาย เลี้ยงไว้จะเป็นภัย" แต่เล่าปี่ได้ห้ามไว้เพราะต้องการจะได้คนมีฝีมือมาใช้งาน แม้อุยเอี๋ยนจะมีฝีมือในการรบแต่ก็ไม่เคยเป็นที่วางใจเลยของขงเบ้ง ทั้งคู่มักโต้เถียงกันประจำในทางวางกลยุทธ์ และขงเบ้งมักให้หน้าที่อุยเอี๋ยนเป็นรองขุนพลคนอื่น ๆ เสมอ ๆ โดยเฉพาะตอนที่ยกทัพลงใต้ปราบเบ้งเฮ็ก ยังความไม่พอใจแก่อุยเอี๋ยนมาก แต่ยังไม่กล้าทำอะไรเพราะเกรงในสติปัญญาและบารมีของขงเบ้ง
เมื่อถึงคราวขงเบ้งทำพิธีต่อชะตาอายุตนเอง ในคืนวันที่ 7 พิธีจวนจะสำเร็จแล้ว หากตะเกียงไฟไม่ดับไปเสียก่อน สุมาอี้ได้ใช้ให้กองสอดแนมแสร้งทำว่าจะโจมตี ก็เป็นอุยเอี๋ยนที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามารายงานในกระโจม เป็นเหตุให้ลมพัดตะเกียงดับทันที เกียงอุยโมโหอุยเอี๋ยนมาก ชักกระบี่จะสังหารทันที แต่ขงเบ้งห้ามไว้ โดยบอกว่า เป็นชะตาข้าพเจ้าเอง ไม่เกี่ยวกับอุยเอี๋ยนหรอก ก่อนขงเบ้งจะตาย ได้สั่งเสียไว้หลายอย่าง และกล่าวกับหลายบุคคลว่า เมื่อเราตายไปแล้ว อุยเอี๋ยนจะเป็นกบฏ และได้วางแผนให้ที่จะกำจัดอุยเอี๋ยน โดยขณะที่ทัพจ๊กยกกลับเสฉวนนั้น เกียงอุยบอกว่า ขงเบ้งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองหลัง ยังความไม่พอใจแก่อุยเอี๋ยนมาก จึงประกาศไม่เข้าร่วมกับทัพจ๊กอีกต่อไป โดยมีม้าต้ายแสร้งทำเป็นแนวร่วมด้วย เมื่อได้ที อุยเอี๋ยนแหงนหน้าตะโกนขึ้นฟ้าด้วยความคะนอง 3 ครั้งว่า "ผู้ใดจะฆ่าข้า" ตามแผนของขงเบ้ง ก็เป็นม้าต้ายที่ขี่ม้าขนาบข้างอุยเอี๋ยนเป็นผู้สังหารเอง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%8B%E0%B8%A2%E0%B8%99สามก๊กตอนอุยเอี๋ยนเป็นกบฎ กว่าที่อุยเอี๋ยนจะรู้กล เอียวหงีและเกียงอุยก็ได้พากองทัพหลวงยกเข้าไปตั้งในเมืองหน้าด่านของเมืองฮันต๋งแล้ว อุยเอี๋ยนคิดกำเริบจะเข้ายึดเอาเมืองฮันต๋งและตีตลอดไปจนถึงเมืองเสฉวน ตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ จึงยกกองทัพเข้าประชิดเมืองหน้าด่านนั้น
ฝ่ายเอียวหงีและเกียงอุยเมื่อคุมกองทัพหลวงเข้าเมืองหน้าด่านได้แล้ว เอียวหงีได้มอบหมายการบังคับบัญชาทหารให้กับเกียงอุยตามคำสั่งเสียของขงเบ้ง เกียงอุยจึงคุมทหารขึ้นรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองมิได้ประมาท ด้วยคาดการณ์ว่าอุยเอี๋ยนจะต้องยกทหารติดตามมา
วันหนึ่งเกียงอุยเดินตรวจตรารักษาการณ์อยู่บนเชิงเทิน เห็นกองทัพอุยเอี๋ยนยกมาประชิดเมือง จึงปรึกษากับเอียวหงีว่าอุยเอี๋ยนนี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ แม้จะมีทหารน้อยแต่ประมาทมิได้เป็นอันขาด ทั้งบัดนี้ม้าต้ายก็แปรพักตร์เข้าสวามิภักดิ์ด้วยอุยเอี๋ยนแล้ว ท่านจะเห็นเป็นประการใด
เอียวหงีจึงว่า มหาอุปราชได้ทำกลอุบายไว้ในหนังสือลับ กำชับว่าเมื่ออุยเอี๋ยนเป็นกบฏแล้วยกทหารมาประชิดเมืองหน้าด่านเป็นที่คับขัน ก็ให้เปิดหนังสือลับออกอ่านดู ซึ่งท่านวิตกด้วยม้าต้ายนั้นอย่าได้กังวลเลย ที่ม้าต้ายไปอยู่กับอุยเอี๋ยนเป็นแผนการของมหาอุปราช เห็นจะมีแผนการประการใดสั่งไว้กับม้าต้ายเป็นมั่นคง
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ชอบที่ท่านแม่ทัพจะได้เปิดหนังสือลับของมหาอุปราชออกอ่านดู เอียวหงีจึงเอาซองหนังสือปิดผนึกของขงเบ้งฉีกออกดู เห็นมีหนังสือลับอยู่ชั้นในอีกฉบับหนึ่งปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา หน้าซองเขียนความไว้ว่าเมื่อจะยกไปรบกับอุยเอี๋ยนจึงค่อยฉีกซองหนังสือฉบับนี้
เกียงอุยทราบความดังนั้นก็มั่นใจว่า ขงเบ้งได้คิดอ่านแผนการล้ำลึกผนึกไว้ข้างในซอง จึงไม่ปรารถนาจะรู้ความสืบไป แล้วกล่าวกับเอียวหงีว่าเมื่อมหาอุปราชวางแผนกำกับมาดังนี้แล้วท่านจงเก็บซองหนังสือชั้นในนี้ไว้เถิด ข้าพเจ้าจะพาทหารออกไปรบกับอุยเอี๋ยนก่อน
ตกลงกันดังนั้นแล้วเกียงอุยและเอียวหงีจึงลงมาจากเชิงเทิน เกียงอุยจัดแจงทหารแล้วยกออกจากประตูเมือง ตั้งขบวนเผชิญหน้ากับกองทัพของอุยเอี๋ยน ฝ่ายเอียวหงีคุมทหารอีกกองหนึ่งหนุนตามเกียงอุยไป
เกียงอุยขี่ม้าออกไปข้างหน้าทหาร ร้องด่าอุยเอี๋ยนว่า เมื่อมหาอุปราชยังอยู่นั้น มิได้ทำหยาบช้าแก่มรึงประการใด เหตุไฉนมรึงจึงคิดกบฏดังนี้
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นจึงร้องโต้กลับมาว่า การทั้งนี้มิใช่เรื่องอันใดของมรึงเลย อย่าแส่ออกมาหาเรื่องจะดีกว่า ให้เรียกเอียวหงีตัวหัวโจกออกมาเจรจาด้วยเราจึงจะควรแก่ฐานะ
ในขณะนั้นเอียวหงีได้เปิดซองหนังสือลับของขงเบ้งออกอ่านดูเป็นใจความว่า การจะกำจัดอุยเอี๋ยนนั้นไม่จำต้องใช้กำลังทหาร ให้ร้องท้าอุยเอี๋ยนว่าถ้าสามารถร้องขึ้นดังดังสามครั้งว่าใครจะสามารถฆ่ากูได้ ก็จะยอมเข้าด้วยอุยเอี๋ยนและยกเมืองฮันต๋งให้แก่อุยเอี๋ยนด้วย คนซึ่งจะสังหารอุยเอี๋ยนอยู่ที่ข้างกายอุยเอี๋ยนแล้ว
เอียวหงีทราบความดังนั้นก็มีความยินดี รีบขี่ม้าออกไปข้างหน้าทหาร อุยเอี๋ยนเห็นเอียวหงีขี่ม้าออกมาดังนั้นจึงกล่าวว่า พวกเราล้วนเป็นทหาร ไฉนจะมาประหัตประหารกันเอง บัดนี้มหาอุปราชหาไม่แล้ว ชอบที่จะมาร่วมมือกันจึงจะควร
เอียวหงีได้ยินคำอุยเอี๋ยนก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่ามหาอุปราชรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่ามรึงจะเป็นกบฏ แต่ตัวมรึงนั้นขี้ขลาดตาขาว มหาอุปราชจึงมอบหมายให้ตัวกูควบคุมกองทัพไว้ หากตัวมรึงเป็นผู้กล้าลบล้างคำปรามาสของมหาอุปราชได้กูจึงจะยอมเข้าด้วย แล้วจะยกเมืองฮันต๋งให้แก่มรึง
อุยเอี๋ยนได้ยินคำเอียวหงีดังนั้นจึงว่า ซึ่งมรึงว่ากูขี้ขลาด มรึงจะลองออกมาสู้รบกับกูตัวต่อตัว หรือจะให้ทำการประการใดจึงจะยินยอมมาร่วมมือกัน
เอียวหงีจึงว่าถ้ามรึงกล้าร้องตะโกนขึ้นบนฟ้าให้ได้ยินกันทั่วทั้งสมรภูมิรบครบสามครั้งว่า ใครจะบังอาจฆ่ากูได้ กูก็จะยอมอ่อนน้อม ติดตามรับใช้ไปตลอดชีวิต
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าลูกผู้ชายต้องถือสัจจะ เอียวหงีได้ยินคำท้าของอุยเอี๋ยนจึงรีบตอบกลับไปว่า ลูกผู้ชายต้องถือสัจจะ
อุยเอี๋ยนจึงว่ามรึงจงฟัง กล่าวแล้วก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ร้องตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ใครจะบังอาจฆ่ากูได้ ใครจะบังอาจฆ่ากูได้
อุยเอี๋ยนยังไม่ทันร้องตะโกนครั้งที่สาม พลันได้ยินเสียงดังสนั่นดุจฟ้าถล่มสอดแทรกขึ้นมาว่า กูผู้มีฝีมือได้รับคำมหาอุปราชไว้ว่าจะฆ่ามรึง สิ้นเสียงเงากระบี่วาบปลาบแปลบ ห่าโลหิตสีแดงพุ่งตามออกมา ศีรษะของอุยเอี๋ยนพลัดออกจากร่างร่วงลงกับพื้น ในขณะที่ดวงตาของอุยเอี๋ยนยังคงลืมมองอยู่ในลักษณะตกตะลึง
สายตาทุกคู่ของทหารทั้งปวงจ้องไปที่ข้างม้าของอุยเอี๋ยน เห็นม้าต้ายกำลังเอากระบี่ซึ่งผ่านการเชือดคออุยเอี๋ยนมาสด ๆ เช็ดกับข้างลำตัวม้าแล้วสอดกระบี่เข้าฝัก ม้าต้ายเห็นคนทั้งปวงจ้องมองมาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด จึงร้องประกาศขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าก่อนจะสิ้นใจ มหาอุปราชได้สั่งเราว่าอุยเอี๋ยนนี้จะเป็นกบฏ ให้เราทำทีมาอยู่กับอุยเอี๋ยนและประกบตัวไว้อย่าได้ห่าง เมื่อใดที่ได้ยินอุยเอี๋ยนแหงนหน้าร้องตะโกนขึ้นฟ้าว่าใครจะบังอาจฆ่ากูได้แล้ว ก็ให้เอากระบี่เชือดคอหอยอุยเอี๋ยนเสีย การทั้งปวงเป็นไปดังแผนการของมหาอุปราชทุกประการ กล่าวแล้วม้าต้ายก็ร้องไห้รักรำลึกถึงขงเบ้ง ทหารทั้งปวงคลายจากตกตะลึงแล้วก็พากันร้องไห้ตาม
ภารกิจชิ้นที่สองของขงเบ้งหลังจากสิ้นบุญคือแผนการกำจัดอุยเอี๋ยนผู้กบฏได้สัมฤทธิ์ผลอย่างสมบูรณ์ คงเหลือภารกิจชิ้นที่สามที่คิดการเผื่อวันหน้าว่าวันเวลาใดที่เมืองเสฉวนถูกข้าศึกรุกรานไม่อาจต้านทานได้แล้ว จะปกป้องชีวิตราษฎรซึ่งสู้ทำนุบำรุงมาให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายของขงเบ้งหลังจากสิ้นลมปราณแล้ว
เอียวหงีและเกียงอุยเห็นดังนั้นก็มีความยินดี นึกสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาคิดอ่านการล่วงหน้าได้แม่นยำประหนึ่งเทพยดาเข้าดลใจ บรรดาทหารของอุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็พากันเข้าอ่อนน้อมกับเอียวหงีทั้งสิ้น
เอียวหงีจัดแจงเมืองหน้าด่านเป็นปกติแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองหน้าด่านเพื่อยกเข้าเขตเมืองฮันต๋ง ระหว่างทางสวนกับตังอุ๋น เมื่อได้คำนับกันตามประเพณีแล้ว ต่างฝ่ายต่างเล่าเนื้อความแก่กันและกันทุกประการ
ตังอุ๋นจึงว่าฮ่องเต้ทรงพระวิตกว่าอุยเอี๋ยนจะคิดการกำเริบ จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเกลี้ยกล่อมอุยเอี๋ยนเอาไว้ก่อน แต่เมื่ออุยเอี๋ยนตายด้วยแผนการของมหาอุปราชแล้ว ชอบที่ท่านจะเดินทางเข้าไปเมืองเสฉวนโดยเร็วเพื่อจะแต่งการพิธีศพของมหาอุปราชตามประเพณี
เอียวหงีได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ม้าต้ายและตังอุ๋นคุมศีรษะของอุยเอี๋ยนเดินทางล่วงหน้าเข้าไปเมืองเสฉวนเพื่อกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนก่อน เอียวหงีและเกียงอุยจะคุมขบวนศพขงเบ้งติดตามไป
ม้าต้ายและตังอุ๋นรับคำเอียวหงีแล้วจึงคำนับลา พาศีรษะของอุยเอี๋ยนเดินทางกลับเข้าเมืองเสฉวน แล้วกราบบังคมทูลความให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ทราบความแล้วจึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงว่า ชั่วชีวิตของอุยเอี๋ยนได้ทำราชการรับใช้พระราชบิดาและตัวเรามาช้านาน มีความชอบในราชการเป็นอันมาก ยามบั้นปลายของชีวิตคิดผิดก่อการกบฏ บัดนี้อุยเอี๋ยนก็ตายแล้ว ความผิดความชอบสองสถานประมาณกันเข้าแล้ว เห็นแก่ความดีในหนหลัง จึงพระราชทานอภัยโทษให้กับอุยเอี๋ยน ให้ปูนบำเหน็จความชอบแต่หนหลังแก่บุตรภรรยาของอุยเอี๋ยนเป็นอันมาก และให้แต่งการศพของอุยเอี๋ยนตามประเพณีขุนนางผู้ใหญ่ แล้วนำศพไปฝังไว้ในสุสานในเมืองเสฉวน
ฝ่ายเอียวหงีและเกียงอุยเมื่อคุมขบวนศพขงเบ้งผ่านแดนเมืองฮันต๋งเข้าแดนเมืองเสฉวนแล้ว จึงให้ม้าเร็วรีบนำความเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบวันเวลาที่ขบวนศพจะถึงเมืองหลวง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบความดังนั้น จึงมีหมายรับสั่งให้จัดขบวนและพิธีการต้อนรับศพขงเบ้งอย่างเอิกเกริก ถึงวันกำหนดนัดหมายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จประทับรถพระที่นั่งพร้อมขบวนอิสริยายศในชุดไว้ทุกข์เป็นขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคยกออกจากเมืองเอ๊กจิ๋วไปเป็นระยะทางกว่าสองร้อยเส้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าในการรับศพของขงเบ้งเข้าเมืองเสฉวนนี้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนกับขุนนางทั้งปวงแลอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงก็ร้องไห้รักทุกคน
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า เจ้าเหนือหัวองค์หลังนำคณะขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนสวมชุดขาวไว้ทุกข์เสด็จออกจากเมืองไปยี่สิบลี้รอรับหีบศพ เจ้าเหนือหัวองค์หลังทรงกันแสงเป็นการใหญ่ จากเบื้องบนถึงมหาเสนาบดี ต่ำลงมาถึงราษฎรชาวไร่ชาวเขา ทั้งชายหญิงทั้งเด็กน้อย ไม่มีผู้ใดมิได้ร้องไห้ด้วยความโศกศัลย์ เสียงอันรันทดใจสะท้านสะเทือนพื้นปฐพี
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรเห็นขบวนศพของขงเบ้งเคลื่อนมาแต่ไกล ก็ตรัสสั่งให้หยุดขบวนรถพระที่นั่ง ให้ทหารทั้งปวงตั้งเป็นกองเกียรติยศตามประเพณี แล้วเสด็จลงจากรถพระที่นั่งประทับยืนอยู่ข้างทาง ครั้นขบวนศพมาถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงกันแสง เสด็จเข้าไปกอดหีบศพขงเบ้ง น้อมพระเศียรคำนับโขกกับหีบศพ พลางตรัสว่าท่านพ่อ มหาอุปราชไม่น่าจะรีบจากไปเลย แต่นี้ไปใครเล่าจะปกป้องทำนุบำรุงราษฎรเมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนตรัสรำพึงรำพันด้วยความโศกเศร้าอยู่เป็นช้านาน ขุนนางทั้งปวงทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้เสียงระงม สายลมต้องใบไม้หวีดหวิวดังเหมือนเสียงคนร่ำไห้ทั่วทั้งแนวป่าเขา
ครู่หนึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงถอยออกมาจากโลงศพขงเบ้ง คุกเข่าถวายบังคมศพขงเบ้งด้วยถือว่าเป็นบิดาตามคำสั่งเสียของพระเจ้าเล่าปี่ พระโอษฐ์ก็อธิษฐานว่าขอท่านพ่อมหาอุปราชจงไปสู่สุคติบนสวรรค์นั้นเถิด
ถวายบังคมศพขงเบ้งเสร็จแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่เข้าประคองหีบศพขงเบ้ง และเคลื่อนขบวนกลับเข้าเมืองเอ๊กจิ๋ว ให้ตั้งการพิธีศพขงเบ้งไว้ที่จวนมหาอุปราช และให้จูกัดเจี๋ยมบุตรของขงเบ้งทำพิธีเซ่นไหว้ตามประเพณี
ถึงวันออกว่าราชการ เอียวหงีได้เข้าไปเฝ้าในท้องพระโรง กราบบังคมทูลถวายรายงานการสงครามกับวุยก๊กครั้งที่หก จนกระทั่งการนำขบวนศพขงเบ้งกลับถึงเมืองเสฉวนให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบทุกประการ
พระเจ่าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำกราบบังคมทูลก็ทรงกันแสง ขุนนางทั้งปวงก็ร้องไห้ตามเสียงระงมไปทั้งท้องพระโรง
เอียวหงีได้นำหนังสือพินัยกรรมของขงเบ้งขึ้นถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลว่า ก่อนจะสิ้นลมหายใจมหาอุปราชได้แต่งฎีกามอบให้ข้าพระองค์นำมากราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และสั่งเสียไว้ว่า เมื่อเสร็จพิธีศพแล้วให้นำศพไปฝังไว้ที่ข้างทางในซอกเขาเตงกุนสัน อย่าให้ก่อสุสานหรือทำพิธีเซ่นสรวงบวงกล่าวใด ๆ และให้แต่งทหารไปรักษาเส้นทางในซอกเขาตำบลอิมเป๋งไว้ เมืองเสฉวนก็จะไม่มีอันตราย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำกราบทูลดังนั้นก็ตกตะลึง มิทราบว่าขงเบ้งมีเจตนาหมายมุ่งประการใดจึงไม่ยอมให้ซากศพของตนเองได้นอนสงบนิ่งอยู่ในสุสานหลวงตามประเพณี มีทหารเฝ้าจุดตะเกียงหน้าศพตามตำแหน่งขุนนาง กลับสั่งให้เอาศพของตนเองไปฝังไว้ข้างทางในป่าเปลี่ยวซึ่งวันคืนไม่มีผู้คนผ่าน ครั้นทรงตรัสถามเอียวหงี เกียงอุย บิฮุย และลิฮก ซึ่งอยู่ในค่ายพักของขงเบ้งในขณะขงเบ้งสิ้นลมว่าที่ขงเบ้งสั่งเสียเช่นนี้เพื่อประสงค์สิ่งใด ก็หามีผู้ใดทราบความไม่
พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่าท่านพ่อมหาอุปราชเล็งการณ์กว้างไกล ทำการสิ่งใดรอบคอบสุขุมหนักแน่นมั่นคง ซึ่งสั่งเสียไว้ทั้งนี้จึงชอบที่ต้องปฏิบัติตาม จากนั้นจึงตรัสถามโหรหลวงให้กำหนดวันเวลาฤกษ์ฝังศพขงเบ้ง.