ผ่านทุ่งแฝก แพรกหญ้า คาขนัด
มาพบปะ กับดง วงศ์ไม้ใหญ่
มะค่าคูน พะยูงสัก มะพลับไทร
เต็งรักใหญ่ ไข่เน่า กันเกรารัง
กระโดนกร่าง ยางกว้าว ช้างน้าวฝาง
แดงแข้งกวาง จันทร์ตะโก โพธิ์มะสัง
ต่างสูงเสียด เบียดแข่ง แย่งแสงกัน
ดูแล้วพรั่น หวั่นใจ ให้พิกล
พอเลยพ้น ดงไม้ น้ำลายสอ
เห็นหว้ายอ ตะคร้อปรู พรูดอกผล
มะเฟืองใกล้ มะไฟหวาน มะปรางมะยม
ฝรั่งกลม ส้มสาลี่ มีมากมาย
พันธุ์มะม่วง นวลแตง งาแดงล่า
คำจำปา กาละแม แลไสว
คุมันแห้ว แก้วลืมคอน ทองทวาย
ทูลถวาย สายฝน ปนลูกกลม
ผลไหนงอม หอมหวาน ซาบซ่านจิต
ลิงค่างปลิด บิแบ่ง แย่งกันขรม
ผลไหนอ่อน ค่อนดิบ จิกไม่ลง
เขวี้ยงทับถม จมดิน ทิ้งมากมาย
หมู่นกกา ถลาร้อง ก้องไพรป่า
โฉบกินหว้า เสียงจ้าขรม สมใจหมาย
กวางเหลียวหลัง หันดู หมูเกือกทราย
เจ้าลายใกล้ กรายย่อง จ้องมองกวาง
หมีหมาป่าย ไต่คบ พบรวงผึ้ง
กระชากดึง ทึ้งกิน ชิมรสหวาน
มดแดงเขลา เฝ้าชะแง้ แลอยู่นาน
พลาดรสหวาน ฝันค้างคอย พลอยเสียดาย
ผ่านไม้ผล ดงใหญ่ ใคร่ทรุดเข่า
มองเห็นเขา ยาวยืด เป็นพืดสาย
ตระหง่านล้ำ ค้ำฟ้า สุราลัย
ทำไฉน ให้หนักใจ ไปทีเดียว
ถึงเขาขวาง แต่สองท่าน ไม่พรั่นหยุด
ต่างเร่งรุด บุกตะกาย ไต่ลดเลี้ยว
มือเหนี่ยวน้าว เท้าถีบยัน เข้ากันเชียว
เพียงประเดี๋ยว เดียวเผ่น ไม่เห็นเลย
พอหลุดผา เห็นเบื้องหน้า พาตระหนก
แสนวิตก อกใจ ใคร่เฉลย
ผืนทรายห้อม ล้อมปิด ทุกทิศเลย
ยากจักเอ่ย เผยปาก ลำบากทน
สองมหา ฝ่าฟัน ประจัญบุก
ผ่านทะลุ ทุกด่าน พลางสุขสม
ถึงสมุทร สุดไกล ไร้ผู้คน
จึงหยุดลง ปลงบริขาร สำราญใจ
นั่งชายหาด อาบลม ชมเกลียวคลื่น
ฟังเสียงครืน ชื่นจิต พิสมัย
ความลำบาก ตากตรำ ที่กรำกาย
ก็มลาย หายหลุด ช่างสุขจริง
พอกำลัง วังชา กลับมาหมด
จึงกำหนด จดใจ ในกสิณ
จ้องเขม็ง เพ่งไป ในวาริน
คลื่นม้วนกลิ้ง พลันนิ่งแยก แตกเป็นทาง
เกิดมรรคา แทรกผ่า มหาสมุทร
สองสงฆ์บุก รุดไป ไม่เกรงขาม
พอคล้อยผ่าน น้ำบรรจบ กลบหลังตาม
ถึงกึ่งกลาง ชลาลัย ให้ลานตา
เห็นสัต พิธรัตน์ ประดับปราสาท
งามพิลาส วาบวาว พราวแสงจ้า
ไพฑูรย์เพชร เกล็ดทับทิม กลิ้งกลอกตา
ทองประพาฬ มุกดาเงิน ชวนเพลินมอง
ซุ้มทวาร บานใหญ่ วิไลนัก
แกะสลัก ยักษ์ลิง สิงห์ไกรสร
เหมราช นาคกบิล กินนร
เทพอัปสร มกรม้า สัมพาที
โตพารณ พรหมพงศ์ ดุรงค์พยัคฆ์
วิรูปักษ์ ทักทอ นรสีห์
ติณสีหะ สดายุ ครุฑอินทรี
ต่างเปล่งสี มีประกาย ลวดลายบัน
ผ่านทวาร ถึงกลาง ปรางค์ปราสาท
ใจหายวาบ เห็นซากมี บนที่นั่ง
ผอมแห้งเหลือ เสื้อผ้าขาด ขัดตะหมาดภวังค์
พริ้มตานั่ง บัลลังก์ทอง ผ่องอำไพ
สองครูบา หันมา สบตาคิด
ก่อนจักปริ ปากเอ่ย ภิเปรยไข
ถึงโทษทัณฑ์ ท่านมุนี มีติดกาย
เนื่องมิได้ ใกล้หมู่ อยู่สามัคคี
อาวุโส ขาดอุโบสถกับสงฆ์
มาปลีกองค์ ปลงกาย คล้ายหน่ายหนี
เช้าจดค่ำ นั่งสบาย ใต้นที
ลืมหน้าที่ พี่น้อง ครรลองธรรม
จึงสงฆ์เห็น เป็นผิด ติดอาบัติ
ต้องโทษปรับ เข้าผลักมาร จ้องหยามหยัน
อย่าให้กวน ป่วนที่ พิธีกรรม
ขอองค์ท่าน รับคำ แล้วดั้นจร
อรหันต์ ลือลั่น สนั่นฤทธิ์
ฟังครูบา ตำหนิ จิตคลายถอน
ออกสมาธิ พิศมหา เพ่งตามอง
ไม่ยอกย้อน ยอมความ ตามกลับไป
ถึงวันงาน งามฤกษ์ เปิดสโมสร
พสกนิกร พร้อมพรั่ง ต่างหลั่งไหล
รอเสด็จ นโรดม พระทรงชัย
ณ ลานใหญ่ ใกล้ปะรำ ทำพิธี
ได้เวลา ยาตรพล สถลมารค
อโศกราช อาจอง สมศักดิ์ศรี
ห้อมล้อมด้วย ทวยอำมาตย์ ปราชญ์มากมี
ดุจโกสีย์ เทวราช มากเดชา
ริ้วขบวน ส่วนหน้า กองม้าแกร่ง
แต่งชุดแดง แกมชมพู ดูสง่า
ถัดสังคีต ดุริยางค์ ย่างตามมา
งามเจิดจ้า ชุดผ้าขาว ก้าวบรรเลง
พลเดินเท้า พราวระยับ ช่างจับจิต
เกราะสัมฤทธิ์ สนิทกาย เลื่อมพรายเห็น
มือกุมดาบ พาดบ่า น่ายำเกรง
ตบเท้าเน้น เด่นสะท้าน กังวานไกล
ราชรถ โสฬสม้า ตามมาห่าง
เว้นช่องว่าง รถสมภาร อาจารย์ใหญ่
บริพาร นางกำนัล คันถัดไป
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
พอถึงหน้า พลับพลา รถม้าหยุด
นริศลุก ผุดลง ตรงเข้าหา
แท่งเจดีย์ ที่สลัก หลักธัมมา
จุดบูชา ประทีปเสร็จ เสด็จปะรำ
นั่งประธาน งามเด่น เห็นสง่า
ปวงประชา หน้าระรื่น ชื่นสุขสันต์
เปลวเทียนไข สยายแสง แรงแข่งกัน
เหมือนหนึ่งดัง ธรรมเรืองโรจน์ โชติตระการ
ณ เวลาเดียวกัน เบื้องชั้นฟ้า
เทพราชา มาราธิราช ปราศสุขศานต์
ตั้งแต่พ่าย องค์บพิตร พิชิตมาร
ก็ฟุ้งซ่าน พล่านจิต คิดเอาคืน
ครั้นทราบกาล งานพิธี มีกำหนด
ธ ปรารภ สบถไป ใจครึกครื้น
ครั้งนี้แล จักขอแก้ แพ้กลับคืน
เปลี่ยนพลิกฟื้น คืนเห็น เป็นมีชัย
จึงวันงาน พานแผลง สำแดงเดช
ยังอาเพศ เสกลม ฮือโหมใส่
ฟ้ามืดมัว สลัวแสง แห่งเทียนชัย
มวลไม้ใหญ่ สะบัดไกว ไปตามลม
สายวิชชุ ปะทุแตก แลบพรึบพรับ
ตามสลับ กับฟ้าก้อง คะนองขรม
บัดเดี๋ยวเปรี้ยง เสียงฟาด วาบจ้าจน
ไท้ผู้คน อลหม่าน พลุ่งพล่านใจ
บัดนั้น…
พระอุปคุต ผุดผ่อง ผู้ต้องโทษ
มองฟ้าโกรธ พิโรธผ่า น่าสงสัย
จึงกำหนด จดจิต เพ่งพิศไป
เห็นมารใหญ่ ในนิมิต คิดก่อกวน
พระคุณเจ้า เฝ้ามาร พาลสับปลับ
ทรงตบะ เดชะยิ่ง ศีลครบถ้วน
พลันออกโอษฐ์ โจษแก้ ลมแปรปวน
ขอจงหวน ทวนกลับ หายดับไป
กาลบัดนั้น ฟ้ามืดดำ ฉับพลันขาว
พร่างสกาว วาวงาม อร่ามใส
แสงเทียนที่ หรี่คล้อย พลอยกลับกลาย
เปลี่ยนเป็นใหญ่ ประกายเปล่ง เด่นกว่าเดิม
มวลประชา เห็นลมบ้า ล้าสงบ
คลายวิตก อกใจ ให้ฮึกเหิม
ก้องไชโย โห่รับ กลับเหมือนเดิม
ต่างรื่นเริง เพลินงาน สำราญใจ
ท้าวพาลา หน้าฉงน พิกลแท้
ใครหนอแน่ แก้มนต์ ของตนได้
เห็นสงฆ์เจ้า เฝ้าประจัน พลันเข้าใจ
จึงโกรธใหญ่ ร้องท้าไป ได้เห็นกัน
บัดนั้น พญามาร พลุ่งพล่านจิต
บันดาลฤทธิ์ นิมิตกาย ให้กลายผัน
เป็นโคถึก คึกกระโดด โลดแล่นพลัน
ควบตะบัน ดุดันบ้า ฝ่าพิธี
องค์เถระ พรักพร้อม ไม่ยอมช้า
แปลงกายา ถลาติด ประชิดรี่
เป็นพยัคฆ์ สกัดขวาง ทางคาวี
โคบัดสี หันรีเบ้ เหทิศทาง
เจ้าเสือโคร่ง โฮ่งคำราม โจนตามติด
วััวตีนขวิด จิตสั่น พรั่นเกรงขาม
สะดุดพื้น ลื่นถลอก ออกนอกทาง
วิ่งตาลาน หางชี้ หนีห่างไกล
มารเคืองแค้น แปลงเห็น เป็นพญานาค
ส่ายผงาด วาบเพชร เกล็ดวาวใส
มีเจ็ดเศียร เวียนสลับ ฉกกลับไป
พยัคฆ์ใหญ่ ไวเหลือใจ กลายสุบรรณ
ครุฑสยาย คลายปีก หลีกเลี่ยงหลบ
นาคเวียนฉก ประกบตาม ไม่ห่างหลัง
กาศยป ผงกพลิก จิกศอพลัน
นาคาพลั้ง ถลำพลาด ถูกคาบไป
ห้อยนภา ถลาร้อง ท้องเกลียวบิด
ปากครุฑจิก ติดถึงโคน เลือดข้นไหล
หมดแรงดิ้น สิ้นแรงสู้ งูกลับกลาย
เป็นยักษ์ร้าย กายป่อง พองนัยน์ตา
ควงกระบอง ทองแดง กวัดแกว่งโผน
ก้องตะโกน โจนถึง ขมึงหน้า
ไม่เอ่ยคำ รำไหว้ ให้เสียเวลา
เพียงพริบตา ยักษากราด ฟาดระนาว
ท้าวเวนไตย ไถลหาย กลายยักษ์บ้าง
สูงตระหง่าน กร่างพอง ถึงสองเท่า
โถมเข้าหา ยักษามาร พลางฟาดเอา
ด้วยแท่งเสา ยาวใหญ่ ใส่กบาล
ยักษาเตี้ย เสียขวัญ ไม่ทันหนี
ถูกหวดตี ศีรษะลั่น สั่นทั้งร่าง
ทรุดทาบดิน สิ้นกำแหง แปลงกลับมาร
นั่งหน้าม้าน ทนหยามหลู่ อดสูใจ
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน |
05 ธันวาคม 2024, 02:00:AM | |||
|
ผู้เขียน | หัวข้อ: วสวัตตีมาราธิราช(ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย (อ่าน 2546 ครั้ง) |
| ||||||||||
Email: