O พุทธ ..? O
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
19 เมษายน 2024, 02:44:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: O พุทธ ..? O  (อ่าน 11110 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
28 มิถุนายน 2014, 06:26:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« เมื่อ: 28 มิถุนายน 2014, 06:26:PM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2012&date=02&group=41&gblog=33






1..
O โอ-ศรัทธาบ้าบอด..ราวทอดเงา-
รอคอยให้สองเท้าย่างเข้าหา-
เพื่อย่ำเหยียบ..ย่ำยีด้วยลีลา-
ของผู้ใช้ปัญญาอีกคราครั้ง !
O ในโบสถ์รูปองค์พระ..แสงสะท้อน
แว่วเหมือนคำบวงวอน, คำสอนสั่ง-
เผยบทบาทแทรกปนให้ทนฟัง-
โมหะการณ์คลุ้มคลั่ง..ที่หลั่งริน !

2..
O กราบพระพร้อมคิดย้ำในคำนึง
องค์ผู้ซึ่งล่มตนเสียป่นสิ้น
แผ่องค์ธรรมโอบแคว้น..อาบแผ่นดิน
กล่อมจิตดิ้นรนส่ายให้คลายร้อน
O แจงองค์ธรรมล้ำลึก..ให้ศึกษา
ล่มบอดบ้าโง่เขลาให้เพลา..ผ่อน
จุดแสงในแววตา..ด้วยอาทร
แม้ผู้นอนหลับใหล..ยังได้รู้ !
O จนวันเดือนปีเปลี่ยนหมุนเวียนรอบ
ไย - เกณฑ์กรอบครอบเอาทุกเหล่า..หมู่
กรรม, วาท, วัตร..บิดเบือนไม่เหมือนครู-
ย่างเหยียบสู่หนทางล่มล้างตน
O ใบไม้ร่วงหล่นคว้างที่กลางป่า
เมื่อปัญญาแจ้งเลศ..ปวง-เหตุผล
สายวารีเลื่อมไหล..เมื่อใจคน-
ผ่านช่วงยามหลุดพ้น..จาก-วนเวียน
O คืนนั้น..จันทร์ทรงเพ็ญลอยเด่นฟ้า
พร้อมอัตตาตัวตน..ผ่านพ้น..เปลี่ยน
คืนนั้น..สายน้ำหลาก..ใจพากเพียร-
ก็กร่อนเกรียนทุกข์ทน..ไปพ้นทาง
O ที่ด้านบนกิ่งโพธิ์..เหมือนโล้..ลู่-
กิ่งก้านรู้นบนอบอยู่รอบข้าง
สายน้ำยังเอื่อยไหล..เมื่อใครวาง-
ตัวตนทิ้งคาค้าง..ที่กลางจร
O ครั้งนั้น..เนรัญชลา..ไหลบ่าสาย
พร้อมจันทร์ฉายแสงพลอด..ลงออดอ้อน
โพธิ์คงระบัดใบ..หากไฟฟอน-
ในอกร้อนรนทุกข์..ไม่ลุกโชน
O ครั้งนั้น..สายวารี..คงรี่ไหล
บางจิตใจ..กรอบ-กัก..กลับหักโค่น
ตัวตนถูกถอดถอน, ความอ่อนโยน-
ก็ถ่ายโอนออกแล้ว..ผ่านแววตา
O ที่โคนไม้ร่มพฤกษ์..ค่ำดึกนั้น-
มีแสงจันทร์อ่อนละมุน..พร้อมคุณค่า-
แห่งความเป็น..ความมี..เริ่มลีลา-
ล่มมิจฉาการณ์ปวง..ลับล่วงตอน
O แทบบัลลังก์โคนพฤกษ์..ค่ำดึกนั้น-
ความยึดมั่นในโลกถูกโยกถอน
ถ้วนสิ้นความปรารถนาเคยอาวรณ์-
กลับถูกทอนถ่ายบท..จนหมดรอย
O จากอุษากาล-พ้น..สู่สนธยา
ถ้วนมิจฉาการณ์สรรพ..ก็ยับย่อย
การตีความ..ใคร่ครวญก็ล้วนพลอย-
ช่วยปลดปล่อยสภาพธรรม..เคยค้ำยัน
O ล้วนบทบาท..อวิชชาค้ำคาใจ
จนพาให้คอยประพฤติแต่..ยึดมั่น
จำแนกการตีความ..ไว้ล่ามพัน
แล้วสร้างฝันแทรกซ้อนไว้ผ่อนพิง
O ที่บัลลังก์โคนโพธิ์..ภิญโญญาณ-
นั้น - เบ่งบานล้อมใจจนใหญ่ยิ่ง
รูปนามเคยโน้มแนบเข้าแอบอิง-
ก็หล่นกลิ้งเกลือกภาวะอารมณ์
O ปราศเชิงชั้นช่อฟ้า..ให้ตาเห็น
เพียงจันทร์เพ็ญแสงอยู่..เมื่อรู้สม-
มุติ..สัตย์..เท็จ..ต่าง..เหมือน..รู้เงื่อนปม-
การห้อมห่มรูปจริตให้ติดคา

3..
O โอ นั่นเสียงพากย์วอน..นัยอ้อนออด-
เอาบุญบาปก่ายกอด..ความบอดบ้า
ล้อมหัวใจเต็มพิกัด..ด้วยศรัทธา
เหนี่ยวจูงพาชาติภพ..บรรจบ-วน
O วัตถุธรรมล้ำเลิศ..บรรเจิดนัย-
ก็ผ่านให้ลูบคลำอยู่ซ้ำหน
ช่อฟ้าช้อยยอดเฟื้อย..ก็เลื้อยจน-
จะพุ่งพ้นหลังคา..สู่ฟ้าไกล
O กระเบื้องเหลือบแสงสูรย์..จำรูญสี
เมื่อความมี..ความเป็น..มองเห็นได้
ธูป, เทียน, บุษบัน..พร้อมควันไฟ-
ก็ก่อรูปขับไขสู่นัยน์ตา
O นั่น-รูปเศียรก้มหมอบอยู่รอบด้าน
พร้อมศัพท์เสียงบนบานที่ด้านหน้า
วางความเชื่อบนคำ..ให้นำพา-
ด้วยศรัทธาคลุมครอบอยู่รอบใจ
O เสียงพร่ำพร้องบาปบุญก็หนุนเนื่อง
เชิดชูเรื่องกล่าวรับเกินนับไหว
ยอโลกหน้าโลกนู้นที่พู้นไกล
รองรับความฝันใฝ่..ที่ในตน
O หนึ่งรูปนามทรงกาย..ริมสายน้ำ
ตรึกตรองธรรมจนรู้..เหตุสู่ผล
จิตใคร่ครวญแยบคาย..ก็ว่าย-วน
ผ่านสู่ความหลุดพ้น..ล้าง-หม่นมัว
O มีหรือโบสถ์งามลออ..ชั้นช่อฟ้า
ในที่ราตรีกาลคลี่ม่านหลัว-
ลงคลุมครอบโมหันธ์..จนสั่นรัว-
ก่อนคลายตัวเคลื่อนพ้น..อย่างอลเวง
O โอ ลวดลายพัดยศ..กำหนดรูป
กลางควันธูปแสงเทียนเฝ้าเวียน..เพ่ง
เย้ยสายตา, หยอกยั่ว..ให้กลัวเกรง-
การเร้าเร่งสั่นรัวของตัวตน
O แย้มยิ้มรับศรัทธา..ร่วมปราศรัย
แววตาไหวตอบรับ..ก็สับสน
ปฏิพากย์แอบอ้าง..ก็ต่างปรน-
เปรอ-ดวงใจดิ้นรน..ในหนทาง
O ที่ไหนเล่าพากย์ถ้อย..การปล่อยลง
เห็นเพียงสงสารกรรมเขานำอ้าง
สืบทอดรูปวัตถุธรรมเพื่ออำพราง-
การก่อสร้างรูปนิมิตให้พิสดาร
O พระ-จำพรากเวียงวังแต่ครั้งก่อน
ก็เพื่อสอนจิตหลง..ละ-สงสาร
ใช่เพื่อศักดิ์ภิญโญ..ยศโอฬาร
แต่เพื่อผลาญเผาฆ่า..ธรรมารมณ์
O กลับมาไหว้วัตถุ..สาธุเสียง-
ก้มกราบกันพร้อมเพรียง..ขับเสียงขรม
บัวใต้น้ำงอพับอยู่กับตม
ฤๅ-อาจชมแสงเรื่อ..ที่เหนือน้ำ ?
O ดูนั่นเถิด..รูปวิจิตร..เขาปิดทอง
ปากลิ้นฟ้องทุกข์โศกแห่งโลกต่ำ
องค์พระรูปงามลออ..เขา ก็นำ-
แผ่นทองคำปิดครอบอยู่รอบองค์
O สรวงสวรรค์ชะลอลงที่ตรงหน้า
หรือ-บอดบ้ากอดกุมความลุ่มหลง ?
กี่รอบเดือนปีเปลี่ยน..ยังเวียนวง-
อยู่ในสงสารวัฏฏ์..ยากตัดใจ
O ยากจริงหนอ..โลกพิสุทธิ์สมมุติสร้าง
จักปล่อยวาง..รอบวงความหลงใหล
หรือ..กรอบเกณฑ์พิธีกรรม..อาจนำไป-
สบความใสสว่างรู้..แม้..ครู่เดียว ?
.
.
หรือ..กรอบเกณฑ์พิธีกรรม..อาจนำไป-
สบความใสสว่างรู้..สัก..ผู้เดียว ?

ข้อความนี้ มี 13 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
02 กรกฎาคม 2014, 09:11:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #1 เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2014, 09:11:PM »
ชุมชนชุมชน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=03-2011&date=04&group=41&gblog=21



O แด่ .. อริยะภาวะ .. O






O แล้วดวงดาวอีกดวงก็ร่วงหล่น
ร่วงลงบน .. อนิจจังแห่งสังขาร
ให้ผู้คนจดจำเป็นตำนาน-
ผู้ล่มลาญวงวัฏฏ์ .. ล้างอัตตา
O อีกภาพการหล่นร่วง ..ใต้ดวงสูรย์
เพรียกโอดอื้นอาดูร .. เพียบพูนหน้า
ละภาพผ่านเลื่อนลั่นในสัญญา
ล้วนคุณค่าแนบในหัวใจชน
O สิ้นภพชาติ .. บรรดาเคยปรากฎ
เพียงกำสรดโศกปวง ..ค่อยร่วงหล่น-
ลงทับถมอาลัย .. ของใจคน-
ผู้ยังวนเวียนว่าย .. เมื่อปลายวัน
O ภาพรูปองค์บรรทมกลางร่มไม้-
พร้อมอาลัยอาดูรเพียบพูนขวัญ-
ผู้แวดล้อมโหยไห้กลางไพรวัลย์-
ก็ฉับพลัน .. วาบสู่ให้รู้คิด
O ว่า .. ย่อมคืออนิจจังแห่งสังขาร
ที่ล่มลาญดับล่วง .. พร้อมดวงจิต
ตามกฎเกณฑ์ท่วงทีของชีวิต
ด้วยเกินบิดเบือนเบี่ยง .. หรือเลี่ยงพ้น
O จึง .. ภาพธรรมในกาลเมื่อผ่านช่วง
คือภาพยามชีพปวง .. นั้นร่วงป่น
ภาพ .. ใบไม้ร่วงตกพลิ้ว .. วก-วน
ต่างฤๅภาพตัวตน .. เมื่อหล่นคว้าง ?
O ใบไม้หล่นคว้างปลิว .. พลิก .. พลิ้วรูป
ลมผ่านวูบ .. เรียวใบร่อนไปห่าง
กลางแวดล้อมเปล่าเปลี่ยว .. ในเที่ยวทาง
กลาดเกลื่อนใบไม้บาง .. ก็วางตน
O กลางรูปธรรมเงียบเหงา .. ความเปล่าเปลี่ยว-
ย่อมกรากเชี่ยวกำลัง .. ทุกครั้งหน
ใบไม้ร่วงทับถม .. สายลมบน-
ก็พาวนเวียนไหวอยู่ในยาม
O นั่น .. หล่นพลิ้วพลิกคว้าง .. อีกบางใบ
หล่นรูปให้น้อมนำสู่คำถาม
ที่ .. รอบกาลโหมรุก .. เข้าคุกคาม
ใครเล่าอาจหักห้าม .. ได้ตามใจ
O อีกแล้ว-อีกบางใบ .. ร่วงในที่
ด้วยท่วงทีเฉกกัน .. เช่นนั้นได้
อีกหนึ่ง-รอบ .. หล่นคว้าง .. ของบางใบ
ทุกหนึ่งนั้น .. เช่นในหัวใจเรา
O หล่นรูปร่วงแผ่ราบ .. ระนาบดิน
เพื่อยอกลิ่นสร้อยโศก .. สุมโลกเหงา
สิ้นสุดปลายเส้นทาง .. เพียงร่างเงา-
เหลืออยู่เฝ้าดินต่ำ .. เป็นธรรมดา
O หล่นร่วงแห่งดวงแก้ว .. ครั้งแล้ว-เล่า
จนความเปล่าเปลี่ยวห้อม .. เข้าล้อมหา
นานแค่ไหน-หล่นคว้าง .. อาจร้างลา
หรือ-กี่กาละจะพ้น .. การหล่นลง ?
O ชั่วเพียงสิ้นโบกบ่ม .. จากลมร่ำ
ก็ตอกย้ำ .. ลำดับ .. การรับส่ง
มองเห็นไหม .. ช่องว่างที่กลาง-วง
หรือมั่นคงก้านขั้ว .. ของตัว-ใบ ?
O ฤๅจะยังหล่นคว้าง .. ณ กลางหน
ที่ว่างจน .. ลับล่ม .. แรงลมไหว
ที่อาจหล่นร่วมวิถี .. จะมีใด
ก็เพียงใจ .. ว่าง-วนของตนเอง
O พญาโศกคร่ำครวญ .. เสียงหวนไห้
แทนอาลัยเศร้าสร้อยที่ค่อยเบ่ง-
บานภาวะสุมสั่ง .. กลางวังเวง
เพื่อฉุดเร่งอารมณ์ .. สู่ตรมตรอม
O ศัพท์เสียงความคร่ำครวญ .. ก็ล้วนแต่-
ตอบรับความผันแปร .. ที่แห่ห้อม
กลางสายลมโรยริน .. ผู้ยินยอม-
เข้าแวดล้อมอาดูร .. เพียบพูนแล้ว !
O แล้วอีกดาวแสงช่วงกลางห้วงหน-
ก็ร่วงหล่นลับล่มกลางลมแผ่ว
ตรึงวาท, วัตรผ่องใสอยู่ในแวว-
ตาคู่วามผ่องแผ้ว .. ทุกแววตา
O ร้างสิ้นโบสถ์เจดีย์ .. ในที่นั้น-
จักเสกสรรค์ปั้นแต่งสำแดงค่า
ยินแต่ถ้อย .. แห่งธรรมผู้สัมมา-
ประพฤติ .. ปฏิปทา .. ค้ำคาใจ
O แทนเชิงชั้นงามลออ .. ของช่อฟ้า
คือศรัทธาปวงชนค่อยล้นไหล-
ลงแวดล้อมกาลลา .. ด้วยอาลัย-
ครั้งสมัยรูปขันธ์ .. จักอันตรธาน
O ล้วนคือหลักแห่งธรรม .. ชี้นำทาง
ให้ยกย่างเหยียบก้าว .. อย่างห้าวหาญ
คือองค์ธรรมรั้งฉุด .. แต่พุทธกาล-
ฉุดวิญญาณตื่นรู้ .. น้อมสู่ธรรม !









ให้เผาศพในบริเวณเขาพุทธทอง โดยปักเสาสี่มุมและคาดผ้าขาวเป็นเพดานเท่านั้น นี่เป็นเจตนาของท่าน
ที่ต้องการให้งานศพของท่านเป็นแบบอย่างเหมือนสมัยพุทธกาล โดยมุ่งหวังให้สงฆ์รุ่นหลังยึดถือปฏิบัติ
ต่อไปในภายหน้า

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
03 กรกฎาคม 2014, 08:04:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #2 เมื่อ: 03 กรกฎาคม 2014, 08:04:PM »
ชุมชนชุมชน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2011&date=25&group=41&gblog=29



O บัวดอกนั้น...O





O ด้วยว่าบัวจักบานเมื่อก้านโผล่-
พ้นน้ำ-โล้ลมลูบ .. อวดรูปโฉม
 กลีบดอกแย้มยั่วภู่ .. ให้จู่โจม-
ลงตฤปโลมหวานหอมที่น้อมรอ
O คลี่เรียวดอกรับแสงที่แรงร้อน
 ให้เกสรเชิดสร้อยขึ้นลอยล่อ-
เรณูหวานซ่านหอมก็ย่อมพอ-
เพียง-สานต่อสืบเหง้า .. คงเผ่าพันธุ์
O พุ่งฝ่าพื้นสินธู .. เชิดชูสิทธิ์-
เอื้อชีวิต .. เป็นมีด้วยสีสัน
 ช้อยกลีบบาน .. ผึ้งภู่ .. ฤๅ-รู้ทัน-
หวานหอมนั้น .. อวลกลิ่นให้บินวน
O เพียงลมและแสงสรวงที่ช่วงโชน
 ฤๅ-รู้กลิ่นตม-โคลน .. ที่โคนต้น ?
เยี่ยงปูปลาทั้งหลายที่ว่าย-วน
 กลางฝุ่นดินขุ่นข้นแสนหม่นมัว
O โอ้งาม .. ราวจะงามไปสามโลก
 พร้อมลมโบกบ่าระลอกราวหยอกยั่ว
 ใบขาบเขียวแผ่บาน .. และก้านบัว-
คล้ายโยกตัวล้อน้ำอยู่ร่ำไร
O ดอกตูมอันเกลือกโคลนที่โคนต้น
 สุดฝ่าน้ำขุ่นข้นขึ้นพ้นได้
 เรียวกลีบจะอาจบาน .. ณ กาลใด
 เมื่อหรุบดอกหลับใหลอยู่เช่นนั้น
O โองาม .. ที่จะงามไปสามโลก
 เห็นแต่เพียงเปียกโชก .. คอยโยกสั่น-
อยู่เรี่ยตมติดดินตราบสิ้นวัน
 จักกี่พันแสงภาส - ฤๅอาจ .. โลม ?
O ฝุ่นดินโคลนปลิวป่าย .. รำบายหมอง
 แทนเรื่อรองแสงรุ้งเข้าปรุงโฉม
 ยังว่าหม่นหมองรูปที่จูบโจม
 อาจยังโสมนัสสู่ .. เต่า ปู ปลา
O ขลุกคอยสมาคม .. กับตมโคลน
 ดอกก้านโอนเอนอยู่ .. ราวรู้ว่า-
แสงบนสรวงลิบพู้นเกื้อกูลมา
 ไม่อาจฝ่ามืดดำกลางน้ำริน
O ร่ำรมย์รสตมดินในถิ่นล่าง
 ช่อดอกตูมแช่ค้างอยู่กลางสินธุ์
 ฤๅ-จะอาจรับรู้ .. ผึ้งภู่-บิน
 และลมรินรวยสู่ .. ฤดูกาล
O จุดประทีปโคมไฟ .. ขึ้นไขแสง
 มืดย่อมแฝงรอยสิ้น .. พรากถิ่นฐาน
 ภาพบัว-ผ่านจิตเพ่ง .. นั้นเบ่งบาน
 แสงวันก็โลมผ่าน .. ดอกก้านใบ
O กลางประทีปโคมทอง .. อันรองเรื่อ
 ภาพที่เหลือ-บัวต่ำ, สายน้ำไหล
 เต่าปูปลากัดกินจนสิ้นไป
 เหลือก้านดอกเศษใบ .. อยู่ใต้น้ำ
O ดวงไฟเต้นเปลวปะ .. รูปพระแผ้ว
 กระทบแก้วนัยน์ตาทั่วหล้าต่ำ
 สะท้อนแววตอบรับ .. ลำดับธรรม
 เช่นบัวสัมผัสรู้ .. ฤดูลม
O ดวงไฟเต้นเปลวปะ .. รูปพระพุทธ
 บริสุทธิ์บัวหมู่ .. ก็รู้ฉม
 เอื้อมเด็ดดึงคุณค่าควรปรารมภ์-
กุมดอกก้มกราบลง .. หน้าองค์พระ !
 

ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
04 กรกฎาคม 2014, 08:47:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #3 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2014, 08:47:PM »
ชุมชนชุมชน



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=11-2010&date=05&group=41&gblog=11


O แด่..เธอผู้พายเรือ...O






O แว่วยินคลื่นน้ำฟาดเสียงกราดเกรี้ยว
กลางค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว..กรากเชี่ยวไหล
เห็นแผ่นผืนน้ำพลิ้วเป็นริ้วไป
ล้อลมไหววาดคลื่นอยู่ครื้นเครง
O เกลื่อนฟ้านั้น..จันทร์ดาวแสงพราวพร่าง
แสนไกลห่างมีสิทธิ์เพียงพิศเพ่ง
เสียงฟองคลื่นโถมถั่ง..ล้อวังเวง
แทนพาทย์เพลงกล่อมคืนให้ตื่นตัว
O โครมครืนเสียงคลื่นน้ำในค่ำดึก
โหมแรงฮึกเหิมบนความหม่นหลัว
เรือลำน้อยหนึ่งลำในค่ำมัว
คลื่นทิ่มแทงสั่นรัวไปทั่วลำ
O ฝ่าไปบนคลื่นน้ำ, เสียงจ้ำพาย-
พาเรือว่ายแหวกคลื่นผ่านคืนค่ำ
จึงเห็นสองมือเรียว..ถูกเคี่ยวกรำ-
กลางสายน้ำวาดพาย..อยู่ท้ายเรือ
O เห็นเธอทอดสายตา..มองหาฝั่ง
เกลียวคลื่นคลั่งโถมแทง..ก็แรงเหลือ
พาย..คัด..วาด..ค้ำ..หนุน..คอยจุนเจือ
ด้วยหยาดเหงื่อ..ใจแกร่งสู้แรงน้ำ
O วาดลำเรือลอยฝ่า..ถึงท่าเทียบ
ก้าวก็เหยียบย่างหาอยู่คลาคล่ำ
เท้าคู่น้อยหนีบนอบอยู่รอบลำ
รอพายจ้ำจ้วงอยู่เสียงกรูเกรียว
O พาเรือน้อยลอยลำ..พายจ้ำจ้วง
ผ่านทุกช่วงจังหวะ..น้ำชะเชี่ยว
เห็นเธอวาด..พายค้ำ..เรือลำเรียว
อยู่กลางสายชลเปลี่ยว..อย่างเดียวดาย
O จนเรือโยนลำยก..แล้ววกต่ำ
ก่อนวูบด่ำดิ่งไปน่าใจหาย
ฝ่าน้ำเชี่ยวคลื่นซัด..มือคัดพาย-
อยู่ที่ท้ายเรือนั้นอย่างมั่นคง
O มือน้อยน้อยเกาะเกร็ง..ตาเพ่งพิศ
มองสู่ทิศสำหรับการรับส่ง
มองมือวาดพาย..คัด..ก่อนงัดลง
แววตาบ่งบอกรู้..มือ-ผู้ใด
O โอ..แววตาวับวาว..แสน-กร้าวแกร่ง
รอจ้วงพายทิ่มแทงสู้แรงไหล-
อันกรากเชี่ยวของน้ำอยู่ร่ำไป
หวังเพียงได้พาคน..ข้ามพ้นน้ำ
O งามยิ่งงาม..ก็ระยับอยู่กับโลก
ปรุงปรนหอมบ่ายโบกโลมโลกต่ำ
เมื่อปรารมภ์งดงาม, ทุกความ..คำ-
ย่อมยกงามขึ้นย้ำเป็นธรรมดา
O มือเรียววาดพาย-วนกลางชลเปลี่ยว
ทุกส่วนเสี้ยวใจรู้..ย่อมรู้ว่า-
คลื่นสาดซัดโหมหนัก..กลางมรรคา
ต้องหัวใจแกร่งกล้าไม่ล้าโรย
O ร่างน้อยน้อยนั่งมองตาจ้อง-เพ่ง
ใจคร่ำเคร่งเรี่ยวแรง..ก็แห้งโหย
แม้นคลื่นน้ำลมโลก..คอยโบกโบย
ผ่านพ้นโดยมือเรียว..คอยเคี่ยวกรำ
O ปีแล้ว..และปีเล่า..ที่เจ้าเป็น
ฝ่าร้อยเข็ญ..พันโศกแห่งโลกต่ำ
ด้วยจิตด้วยสำนึก..งามลึกล้ำ
พาย..งัด..ค้ำ..เรือน้อยล่องลอยไป
O ละเที่ยวพาย..จ้วงจ้ำ..ฝ่าน้ำเชี่ยว
ค่อยค่อยเคี่ยวกรำสอน..อาทรให้-
ลูกศิษย์น้อยคล้อยหลัง..สู่ฝั่งไกล
ด้วยน้ำใจไหลเชี่ยว..ด้วยเรี่ยวแรง
O พายเรือน้อยลอยล่อง..ฝ่าฟองคลื่น
เสียงโครมครืนก้องรัว..อยู่ทั่วแหล่ง
ด้วยสองมือคัดท้าย-วาดพาย..ทะแยง
พาหัวเรือทิ่มแทง..ถ้วนแหล่งน้ำ
O คัดท้ายพายเรืออยู่..เพื่อผู้อื่น
ฝ่ากระแสลมตื่น..เกลียวคลื่นคร่ำ-
ครวญระงมห่มห้อม..อยู่ล้อมลำ-
เรือน้อยคอยพลิกคว่ำ..จมลำเรือ
O ภาพเด็กน้อยจำพราก..พ้นฟากฝั่ง
มือเรียววาดพายยัง..อีกฝั่งเพื่อ –
รับส่งอีกทุกรุ่น..ช่วยจุนเจือ-
ภาพงดงามให้หลงเหลือ...ในแผ่นดิน..!

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
06 กรกฎาคม 2014, 04:53:PM
สุวรรณ
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 565
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,487


หวังทุกชีวิต สถิตไว้แต่สิ่งดี


« ตอบ #4 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2014, 04:53:PM »
ชุมชนชุมชน

ผ่อง,เพ็ญภาพพิสุทธิ์ชาวพุทธพร้อม
เกศก้มประณตน้อม ใจยอมสิ้น-
กิเลส ขันธ์ ตัณหา ดับราคิน
ขับมลทินคลายเคลื่อนจากเรือนใจ

แม้เพียงน้อยชะรอยบุญค่อยหนุนเนื่อง
ให้ประเทืองผ่องผุดวิมุติใส
บุญนิดน้อยค่อยค่อยซ้ำสำทับไป
จนบ่อยเข้า,หทัยคลายหม่นมัว

ช่วยบรรเทาความหลงโลก วิโมกข์พ้น
เงื่อนชีวิตที่หมองหม่นจนสลัว
ให้ใจตื่นรับรู้อยู่กับตัว
ละเกลือกกลั้วอบาย คลายทุกข์ลง


ขออนุญาตยืมคำ "ผ่อง เพ็ญภาพ" นะคะ
จำไม่ได้ว่าเคยอ่านพบที่ไหน
 เคารพรัก
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
07 กรกฎาคม 2014, 03:40:PM
toshare
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 303
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,361



« ตอบ #5 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2014, 03:40:PM »
ชุมชนชุมชน

...ธรรมพุทธ(ะ)องค์อริยสัจ............มุขจัดกิเลสสิง
กาลามสูตร(ะ)ชะละอิง.................ระบุชัดอนัตตา

...เมตตาผดุงสุขสงบ.................สิริภพพิสุทธ์หล้า
ผองชนประจักษ์จิตประภา.............ตถตากระจ่างใจ

...ธรรมพุทธ(ะ)ล้ำรุจิระเลิศ..........สุประเสริฐพิสุทธิ์ใส
น้อมนำประกาศวจนะชัย..............ดุจ(ะ)หลักพิทักษ์ชน

...มรรคามุมุ่งอริยสัจ..................ปฏิบัติลุหลุดพ้น
จงธรรม(ะ)ค้ำมน(ะ)สกล.............สุข(ะ)ผลประเจิดจริง
ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
11 กรกฎาคม 2014, 10:07:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #6 เมื่อ: 11 กรกฎาคม 2014, 10:07:PM »
ชุมชนชุมชน


http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=05-2010&date=27&group=41&gblog=7


O ช่อมาลัย...O







O เห็นเขาเก็บดอกไม้ที่ปลายสวน
กลิ่นหอมอวลจับร้อยเป็นสร้อยสี
เรียงเป็นช่อมาลัย...บ่วงไมตรี
แทนไยดีส่งมอบ..รับตอบกัน
O มาลัยหอมจับต้องประคองถวาย-
องค์พระพร้อม-รำบายความหมายมั่น
ผ่านห้วงจิตใจลูกเฝ้าผูกพัน
หวังยกธรรมารมณ์ ...พ้นหล่มดิน
O ช่อเรียงชั้นมาลัย...แทนนัยพุทธ
บริสุทธิ์ด้วยหอมรายล้อมถิ่น
เมื่อสัมพันธ์พหุเภทด้วยเจตจินต์
ก็เมื่อนั้นรอบประทิ่นร่ำรินรส
O สดับเถิดความหมายอันหลายหลาก
ล้วนเชี่ยวกรากอหังการ์ทุกปรากฏ
และตรองเถิดมนุสธรรม..ผองคำพจน์
พร่ำอยู่ไม่รู้หมด..เกินจดจำ
O ขับตัวตนเวียนว่าย..รำบายถ้อย
ความก็ลอยข้ามภพให้ขบขำ
คือเดิมเดียวอาตมัน..คอยหมั่นนำ-
ขึ้นตอกย้ำสังคมให้งมงาย
O คือ..วิญญาณบอดบ้า..ท่องฝ่าภพ
แต่ขันธ์ลบชีพล่วง..ยังช่วงฉาย-
เสพสุข-ทุกข์-รมย์-ร้อน-ไม่ผ่อนคลาย
ในกระแสเวียนว่ายแห่งวงวัฏฏ์
O ภพเบื้องหลังรั้งมา..พรรณนาถ้อย
ให้เคลิ้มคล้อยคิดเห็นว่าเป็นสัจจ์
มิจฉาการณ์แฝงเร้น..นั้น-เด่นชัด
โบกสะบัดร่มเงา..บังเขลาไว้
O เบื้องแรก-ที่แทรกเท็จลงเสร็จสรรพ
เพราะหยิบจับเลือกหา..คิดว่า-ใช่
เบื้องหลัง..ก้านบัวต่ำ-ปลา-น้ำ-ใจ
ร่วมภาวะหลากไหลเป็นนัยเดียว
O เบื้องต่อมา-ใช่แค่กระแสน้ำ
แต่เป็นธรรมมิจฉา..อันบ่าเชี่ยว
อุโฆษกึกก้องกันเสียงลั่นเชียว
แทรกทุกเสี้ยวส่วนเขลา..ที่เฝ้ารอ
O เบื้องหน้า – พยับฝนคลุมหนหาว
แสงพร่างพราวสิ้นไปเมื่อไรหนอ
วิชชุแลบฟ้าร้อง..เสียงก้องพอ-
สร้างภาพล้อรับช่วง..แทนดวงวัน
O เพียงแวบเดียววูบดับจนลับหาย
วิชชุว่าย-วนฟ้า..ฉาบทาฝัน
ก็เพียงชั่วมัวเมายั่วเย้ากัน
กับโลกฝันนิรมิตในจิตมี
O เห็นเขาเก็บดอกไม้ที่ปลายสวน
กลิ่นหอมชวนจับร้อยเป็นสร้อยสี
ใช้กลีบดอกเป็นพวง..ผ่านท่วงที-
อัญชลีกราบก้ม..ว่า – พรหมจรรย์ !

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
21 กรกฎาคม 2014, 09:01:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #7 เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2014, 09:01:PM »
ชุมชนชุมชน



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=04-2012&date=03&group=41&gblog=34


O สีซอให้ .. ควายฟัง O







-1-
O แว่วเสียงลมฟืดฟาด .. ดังบาดหู
เมื่อคอเอี้ยวเหลียวดู .. ก็รู้เห็น
ล้วนควายเจ้าของปล่อย .. เชือกร้อยเอ็น
ให้ลมเย็นพัดต้อง .. ยืนมองมา

-2-
O ยกความเชื่อยากพิสูจน์ .. มาพูดต่อ
อกใจหนอ-วนคิด .. แต่มิจฉา
พูดวิญญาณที่อุบัติ .. เป็นอัตตา
ลอยล่วงฝ่าข้ามภพ .. บรรจบใจ

O จึงว่าศัพท์แซ่ซ้อง .. ทำนองเรื่อง
ว่าง-เปล่าเปลืองคุณค่า .. หวังอาศัย
ร้างสิ้นความคลับคล้าย .. จุดหมายใด
จะรอให้ปรากฎ .. เข้าทดลอง

O เมื่อสืบสาวราวเรื่องแต่เบื้องหลัง
เห็นทุกครั้งทุกเที่ยว .. ที่เกี่ยวข้อง
ล้วนเป็นเรื่องตอกย้ำ .. ท่วงทำนอง-
ของมิจฉาฟูฟ่อง .. ให้มองดู

O นำความนัยยากพิสูจน์ .. มาพูดต่อ
ยกศรัทธาชูรอ .. เข้าต่อสู้
ล้มตัวเอาชีวาตม์ลงลาดปู
เพื่อสมสู่ด้วยเงาอันเปล่าปลาย

O เมื่อมีใจใฝ่เชื่อจนเหลือฉุด
ปล่อยเถิดให้เร่งรุด .. สู่จุดหมาย
อย่าได้พลอยละเหี่ย .. มัวเสียดาย
กับงมงายโง่เขลา .. เป็นเต่านั้น

O ไหนเล่าถิ่นงดงาม .. ดั่งความว่า
มีแต่หน้าโง่งม .. ผู้ซมสั่น-
ที่ความคิดถูกบีบจนตีบตัน
ถูกปิดกั้นบิดเบือน .. เกินเคลื่อนย้าย

O จึงเห็นฝูงอดโซ .. เดินโผเผ
ค่อยค่อยเร่สองตีนเข้าปีนป่าย
สู่คุณค่าโลมพลอดที่ยอด-ปลาย
ดูเถิดช่าง .. ขวนขวายไม่หน่ายเลย

O เช่นตาบอดคลำช้าง .. ทั้งร่างแล้ว
ปากจึงแจ้วเจื้อยดังให้ฟังเผย
ย่อมต้องยกคำเทียบขึ้นเปรียบเปรย
แบน .. กลม .. ยาว .. เฝ้าเอ่ย .. ยั่วเย้ยกัน

O เช่นตาบอดตาถั่ว .. ภาพมัวหม่น
แม้นยินยลยังประณีต .. ต่างขีดขั้น
ยิ่งตาบอดในเบ้า .. ที่เมามัน-
บรรยายธรรมารมณ์ .. กลางหล่มดิน

O กับความหมายแตกต่าง .. แต่งสร้างขึ้น
คลี่ทะมึนหมองมัวคลุมทั่วถิ่น
ส่งมิจฉาการณ์มอบให้กอบกิน
จนต่างดิ้นขลุกขลัก .. ในปลักโคลน

O เมื่อความหมายพล่ามเอ่ย .. ไม่เคยเห็น
เขาพูดเล่นกลับพลอยเข้าห้อยโหน
ยิ่งกว่าถ่อยการเมือง .. คือเรื่องโจร-
คอยหักโค่นหลักธรรม .. ด้วยคำเท็จ

O จักกลบเสียงโง่งม .. ต้องถ่ม .. ถุย
ให้ความเขลาเปื่อยยุ่ย .. เป็นปุ๋ย-เป็ด
จนกว่าแสงพราวพร้อยแห่งพลอยเพชร
จะอาจเล็ดลอดผกาย .. สบสายตา

O จริงหรือว่า .. มีบัวอยู่ทั่วแหล่ง
รอพันแสงเรื่อรอง .. สาดส่องหา
จริงหรือว่า .. กลีบบัวบานยั่วตา
ต้องพุ่งฝ่ามืดคล้ำ .. กลางน้ำริน

O จริงหรือว่า .. บางดอกไม่ยอมบาน
ด้วยสำราญยั่วหยอก .. ระลอกสินธุ์
อยู่ใต้น้ำออดอ้อน .. ด้วยขอนดิน
ฝากชีวินเกลือกอยู่ด้วยหมู่ปลา

O คงใช่แล้ว ..
จากเสียงแจ้วเจื้อยฟัง .. ก็ดังว่า
ความเชื่องเชื่อขั้นอุกฤษที่ติดคา
ล้วนบอดบ้าแผดดัง .. เสียทั้งนั้น !

O ใช่แน่นอน ..
แน่ะ - ฟังย้อนมุสาธรรม .. หมายห้ำหั่น
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" .. เอาถู-ดัน
แต่กูนั้นมั่นใจ .. ว่าใช่มึง !

O ไอ้โง่เอ๋ย ..
มา-จะเผยความนัย .. ควรใฝ่ถึง
สัจจะแท้แก่นธรรม .. ควรคำนึง
มีเพียงหนึ่งทางเลือก .. ใช่เปลือกกระพี้ !

-3-
O แว่วสังคีตอ้อยอิ่ง .. หวานยิ่งนัก
จังหวะชักคันรอ .. คล้ายซอ-สี
ฝูงควายเริ่ม .. สับสนฟังดนตรี
ก่อนหัวหางวาดวี .. ควบหนีไป


ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
24 กรกฎาคม 2014, 08:42:PM
aasdang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 91
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 197



« ตอบ #8 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2014, 08:42:PM »
ชุมชนชุมชน




http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sdayoo&month=14-06-2010&group=41&gblog=8



O นามธรรม - หลอน...! O








O อารามอร่ามเรื้อง - - - องค์พระ
กรรมพิธีวาทะ - - - ท่วมท้น
สนทนาวิสาสะ - - - เสนาะอยู่ พ่อเอย
ตาบอดคลำช้างด้น - - - ดุ่มหน้าสาธยาย ฯ

O เสียงบาลีเจื้อยแจ้ว..ยังแว่วอยู่-
กล่อมใจผู้หลงโลก..ทอนโศก-สลาย
ไพเราะความนัยคำท่านรำบาย-
เพื่อปัดป่ายทุกข์ร้อนให้ผ่อนแรง
O โอภาสแห่งดวงวันในชั้นฟ้า
ฤๅ-ช่วงกว่าธรรมพากย์..ท่านฝากแฝง
เมื่อแววตารื้นน้ำ..คล้ายสำแดง-
ความซาบซึ้งเติมแต่ง..ลงแฝงรอย ?
O ทองอร่ามองค์พระ..ราวจะเตือน-
ความเลอะเลือนแห่งธรรม..ผ่านคำ-ถ้อย
ดูเถิด..แววตากระพริบ..นั้น-ปริบปรอย-
คล้ายเลื่อนลอยว่างเปล่า..คล้ายเข้าใจ
O กลางโบสถ์หม่นมืดครึ้ม..เสียงงึมงำ-
ก็ถูกคำคอยฉุด..เกินหยุดไหว
เอ่ยเสียงตามเสียงอยู่..เหมือนรู้นัย-
ธรรมนั้น..เอาโลมไล้..หัวใจตน
O ครั้งเมื่อท่านละทิ้ง..ทุกสิ่งนั่น
พรากฐานันดรศักดิ์จนหักป่น
ย่อมเพื่อความอัตคัด..ในบัดดล
ใช่เพื่อขวนขวายสร้างแต่อย่างใด !
O มองดูเถิดรอยทาง..ท่านย่างเหยียบ
แล้วลองเปรียบเทียบย่าง..ทุกย่างให้-
เห็นถึงความล้าเลื่อน..บิดเบือนไป-
จากแนวทางวางไว้..ของนัยพุทธ
O โอ นั่นยอดช่อฟ้า..เฟื้อยฝ่าสวรรค์
จากมิจฉาเผ่าพันธุ์ช่วยกันฉุด
กระเบื้องแดงเขียวห่ม..ด้วยสมมุติ
ต้านแสงวันดวงพิสุทธิ์..เพื่อหยุดร้อน
O ร้อนโอภาสดวงวัน..แห่งวันนี้
จากรังสีทอดสู่ไม่รู้ผ่อน
ลมรื่นเย็นวาดวี..ผ้าจีวร-
ฤๅ-อาจย้อนผ่านรื่นล้อมผืนใจ ?
O โอ รอยยิ้มแย้มอยู่..ท่านผู้ขอ-
เหมือนอยู่รอวัตถุธรรม..ชี้นำให้-
ยกขึ้นประดับประดา..เพื่อว่าใคร-
มองเห็นแล้วแจ่มใสแก่นัยน์ตา
O ครั้งเมื่อท่านละทิ้งทุกสิ่งนั่น
พรากฐานันดรศักดิ์อันหนักค่า
ก็เพื่อล่มภพชาติ..จึงยาตรา-
เข้าห้ำหั่นอัตตา..ให้ล้าตัว
O หากตรงหน้าเห็นหมู่..ท่านผู้ขอ-
เหมือนอยู่รอป่ายแต้ม..รอยแย้มหัว
ให้ตัวตนทั้งนั้น..คอยสั่นรัว-
เข้าเกลือกกลั้วสภาพธรรม..อยู่ค่ำเช้า
O ใช่แน่หรือ..พรหมจรรย์ทางบั่นทอน-
ความอาดูรเร่าร้อน..ทุกข์ก่อนเก่า
เห็นแม่ปูเดินส่าย..ดูคล้ายเมา-
หะการณ์แห่งรูปเงา..ทุกก้าวเดิน
O ทิวแถวท่านผู้ขอ..เคลื่อน..รอ..หยุด
แบกนัยพุทธสาธก..อยู่งกเงิ่น
วิญญาณพราหมณ์เคลือบคำ..ก็จำเริญ-
ขึ้นหยอกเอินปรารถนาในอารมณ์
O จึงเห็นความเลอะเลือน..นั้นเกลื่อนแวว-
ตาบ้องแบ๊วสำหรับ..เพื่อขับข่ม-
สัมมาการณ์สุจริตให้ติดตม-
กลางห้วงหล่มถ้อยคำ..ธารน้ำลาย
O เหนี่ยวสวรรค์..ดึงนรก..ขึ้นปกป้อง-
ตรรกะของเดียรถีย์..เป็นที่หมาย
จึงล่มล้าง..โลกพิสัยที่ในกาย-
แล้วเวียนว่ายวงวัฏฏ์..ในบัดดล
O มืดจริงหนอ..ในวันที่พันแสง-
แม้นผ่านแรงร้อนช่วงโลมห้วงหน
ยังไม่อาจผ่านต้อง..ตาของคน-
ที่มืดมัวหมองหม่น..คลุมบนแวว
O โอ คล้ายเสียงในหัว..ค่อยรัวดัง
เหมือนระฆังกังวานเสียงหวานแว่ว
พร้อมโอภาสพันแสง..แต้มแต่งแนว-
ล้อมทิวแถวผู้ขอ..อย่างรอรี !
O แว่ว-คล้ายเสียงสั่นรัว..ใจตัวเอง
ชวนพิศเพ่งเปล่งปลั่งแสงรังสี
ผู้ห่มจีวรเหลือง..ท่านเยื้องลี-
ลาศฝ่าความเป็นมี..สู่ที่ใด ?

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s