Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
26 เมษายน 2024, 10:41:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด  (อ่าน 22079 ครั้ง)
toshare
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 303
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,362



« เมื่อ: 12 พฤศจิกายน 2013, 01:10:PM »

ข้อห้ามในกลอนแปด ท้ายวรรค น่าจะมาจาก ปฐยาวัตตฉันท์ ในคัมภีร์วุตโตทัย นะครับ ขอนำประวัติที่มาของ กลอน มาลงให้อ่าน
และพิจารณาดูว่า เป็นไปได้ไหม

ที่มาของ “กลอน”
          หลวงธรรมาภิมณฑ์ ( ถึก ) เชื่อว่า กลอน มีที่มาจากคำฉันท์ในหมวดวิสมพฤตมีกำหนด
 วรรคละ 8 คำ แต่ไม่กำหนด ครุ – ลหุ แบบฉันท์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา ได้สนับสนุนแนวคิดนี้ โดย สันนิษฐานว่า กลอนแปด
น่าจะมาจาก ปฐยาวัตตฉันท์ ในคัมภีร์วุตโตทัย

กลอน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.กลอนสำหรับอ่าน  เช่น  กลอนเพลงยาว
2.กลอนสำหรับขับร้อง เช่น กลอนบทละคร, กลอนเสภา, กลอนสักวา, กลอนดอกสร้อย

กลอน น่าจะมีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาตอนต้น แต่ยังขาดหลักฐานที่แน่นอน เช่น กลอนเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา,
“กลอนกลบทสิริวิบุลกิติ” ของหลวงศรีปรีชา ( เซ่ง ), กลอนเพลงยาวเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร
กลอน บทหนึ่งมี 2 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคหนึ่งมี 6 – 7 – 8 คำ ( ถ้าเป็นกลอนเสภา วรรคหนึ่งมีได้ถึง 9 คำ ) มีทั้งสัมผัสนอก, สัมผัสใน,
สัมผัสระหว่างบท
 ตัวอย่าง   กลอนเพลงยาว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
         ........................                                                โฉมหอมหอมเหิรเวหาหวล         
         แต่โหยหามิได้เว้นทิวาครวญ                                  ............................................
 กลอนเพลงยาว จะขึ้นต้นด้วย วรรคที่ 2 ของคำกลอน เหมือนกับ กลอนนิราศ

ที่มาของ “โคลง”
                        โคลง มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พ.ศ. 1893 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
( พระเจ้าอู่ทอง ) ได้พัฒนามาจากร่ายโบราณ ที่มีคำสร้อย ( คำสร้อยนั้นสามารถส่งสัมผัสได้เพียงแต่ส่งกระโดดข้ามไปวรรคหนึ่ง )
เรียกว่า “โคลงมณฑกคติ” หรือกบเต้น เช่น โคลงมณฑกคติ ในลิลิตโองการแช่งน้ำ

                        นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์                      จักร่ำจักรวาฬเมื่อไหม้
                        กล่าวถึงตระวันเจดอันพรุ่ง                 น้ำแล้งไข้ขอดหาย

      พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำโคลงบทนี้มาวางแผนผังใหม่ในแบบโคลงโบราณที่เป็นกลบท เรียกว่า
“กลบทเก็บบท” (ซึ่งยังไม่เคร่งครัดเรื่องสัมผัสและคำเอกคำโท)

                                    นานาอเนกน้าว                        เดิมกัลป์
                        จักร่ำจักรวาฬ                                      เมื่อไหม้
                        กล่าวถึงตระวันเจด                               อันพรุ่ง
                        อันพรุ่งน้ำแล้งไข้                                 ขอดหาย

       โคลงที่เก่าที่สุดของเมืองเหนือ คือ โคลงอุสสบารส แต่งเมื่อประมาณ พ.ศ. 1900 หลังจากมีโคลงมณฑกคติ มา 7 ปี
 ( จาก “มหากาพย์ท้าวบาเจือง : การศึกษาเชิงวิเคราะห์” ดร.ประคอง นิมมานเหมินทร์, วิทยานิพนธ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530 )

            ประเภทของโคลง โคลงแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
(1.) โคลงโบราณ มี 8 ชนิด ได้แก่   1. วิชชุมาลี    2. มหาวิชชุมาลี  3. จิตรลดา  4. มหาจิตรลดา
                                      5. สินธุมาลี     6. มหาสินธุมาลี     7. นันททายี     8. มหานันททายี
(2.) โคลงดั้น มี 4 ชนิด ได้แก่  1. โคลงสองดั้นวิวิธมาลี       2. โคลงสามดั้นวิวิธมาลี
                                         3. โคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี           4. โคลงสี่ดั้นบาทกุญชร
(3.) โคลงสุภาพ มี 8 ชนิด ได้แก่   1. โคลงสองสุภาพ       2. โคลงสามสุภาพ 
                                              3. โคลงสี่สุภาพ           4. โคลงห้า      5. โคลงจัตวาทัณฑี   
                                              6. โคลงตรีพิธพรรณ     7. โคลงกระทู้   8. โคลงกลบท
ตัวอย่าง โคลงกลบทเก็บบท
                                    กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาด                  ฟองหาว
                        ฟองหาวดับเดโช                                ฉ่ำหล้า
                        ฉ่ำหล้าปลาดิ้นดาว                              เดือนแอ่น
                        เดือนแอ่นลมกล้าป่วน                          ไปมา    ( จากลิลิตโองการแช่งน้ำ )
ตัวอย่าง  โคลงโบราณมหาวิชชุมาลี   ( ที่มีลักษณะข้อบังคับของโคลงดั้น )
                                    บุญเจ้าจอมโลกเลี้ยง               โลกา
                        ระเรื่อยเกษมสุขพูน                             ใช่น้อย
                        แสนสนุกศรีอโยธยา                            ฤๅร่ำ  ถึงเลย
                        ทุกประเทศชมค้อยค้อย                       กล่าวอ้างเยิรยอ  ( จากลิลิตพระลอ )
(คำโท 2 ที่ เป็นบัญญัติของโคลงดั้น ลักษณะของโคลงดั้นเคร่งครัดในเรื่อง จำนวนคำ, สัมผัส, และเอกโท ทำให้แต่งได้ยาก )
ตัวอย่าง โคลงจัตวาทัณฑี
                                    โคลงหนึ่งนามแจ้งจัต                         วาทัณ  ฑีนา
                        บังคับรับกันแสดง                                           อย่างพร้อง
                        เลบงแบบแยบยลผัน                                        แผกชนิด  อื่นเอย
                        ที่สี่บาทสอดคล้อง                                           ท่อนท้ายบทประถม
ที่มาของ “ ร่าย ”
ร่ายโบราณ ของไทยมีที่มาจาก ร้อยแก้วชนิดพิเศษ ที่มีจังหวะและมีสัมผัส ในศิลาจารึก
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยพัฒนามาเป็น “คัทยกาพย์” คือครึ่งร่ายครึ่งร้อยแก้ว
            ร่าย มี 4 ประเภทคือ    1. ร่ายโบราณ      2. ร่ายสุภาพ      3. ร่ายดั้น      4. ร่ายยาว   
วิธีดูประเภทของร่าย
1.ร่ายโบราณ  ถ้าร่ายบทใด ตอนจบไม่มีการเปลี่ยนสัมผัส ร่ายนั้นคือ ร่ายโบราณ
2.ร่ายดั้น  ถ้าร่ายบทใด ตอนจบไม่มีสัมผัส ( ลงแบบสองบาทท้ายของโคลงดั้นวิวิธมาลี ) ร่ายนั้น คือ ร่ายดั้น
3.ร่ายสุภาพ  ถ้าร่ายบทใด ตอนจบย้ายสัมผัส ( ลงแบบโคลงสองสุภาพและเป็นวรรณยุกต์โท
คือย้ายจากการส่งสัมผัสจากตัวที่ 1 – 2 – 3 ไปเป็นตัวที่ 5 และคำส่งสัมผัสเป็นคำโท
คำรับสัมผัส ก็เป็นคำโท ) ร่ายนั้น เรียกว่า ร่ายสุภาพ
4.ร่ายยาว ถ้าร่ายบทใด มีจำนวนคำในแต่ละวรรค มากกว่า 5 คำ ร่ายนั้นคือ ร่ายยาว
การสัมผัสของร่าย   มีการส่งสัมผัสท้ายวรรค และมีสัมผัสเชื่อมกับต้นวรรคหน้า ต่อไปเช่นนี้จนจบ
การส่งและรับสัมผัส ต้องเป็นคำชนิดเดียวกันเช่น ส่งคำเป็น ก็ต้องรับคำเป็น ส่งคำตาย ก็ต้องรับคำตาย
ส่งคำเอก รับคำเอก, ส่งคำโท รับคำโท ดังนี้เสมอไป ถ้าเป็นร่ายวรรคละ 5 คำ มักจะใช้รับกับคำที่ 1 – 2 – 3 คำใดคำหนึ่ง ของวรรคหน้า
( ที่มา “หลักภาษาไทย” พระยาอุปกิตศิลปสาร, 2514 หน้า 417 )

T.พรสรวง (คนเดิม)  http://www.vcharkarn.com/vcafe/210428

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

ชลนา ทิชากร, ไพร พนาวัลย์, รพีกาญจน์, พี.พูนสุข, รัตนาวดี, D, อริญชย์

ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กันยายน 2019, 04:17:AM โดย toshare » บันทึกการเข้า

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s