หัวข้อ: O ผู้หลงโลก..? O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 12 มีนาคม 2014, 08:10:PM วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O รองเรืองเมลืองชุติพิจิตร ก-ละ-พิศพิมานบน โล่งลิบระยิบ, ทิพะสถล- ดุจะหล่น..ละลิ่วรอ O เจดีย์, พิถีวัตระประพฤติ จิตะยึดและยกยอ โมหันธ์ถวัลยะ ฤ พอ- คณะขอจะอาจขืน ? O บุญบาปและลาภขณะประนอม- บทะย้อม ฤ อาจยืน- หยัดจิตะคิดพิริยะฝืน- ระอุตื่น ณ ในตน O เห็นแต่จะแผ่วุฒิวิภาค อติพากยะเพียบพล กล่อมขวัญ, สวรรค์ก็อนุสน- ธิพิกลพิการสอน O บุญบาปกระหนาบพิษะกระหน่ำ ก็ระส่ำระสายตอน ชาติภพตระหลบอุระสะท้อน ฤ จะผ่อนพลังหลง O แว่วเสียงก็เพียงจะเยาะจะเย้ย- มรรคะเอย..ฤ แอบองค์ ไป่ทอดตลอดระยะ, บ สง- เคราะหะบงกะชาติบัว O พรรณนาเหมาะสาวกะจะรู้ ธรรมะตู่..ก็เป็นตัว โอภาสจะพาดภวะสลัว ฤ เยาะยั่วและพร้อมหยัน ? O ไตรรัตน์สมรรถพละ ฤ ฉุด นยะพุทธะรัดพัน- จิตสู่ประตูอริยะนั้น ทะนุนันทิรูปนาม O โดยภาษประกาศพระชินวร ระบุสอนระบิลความ ต้นกลางลุปลาย..วุฒิพิราม ยุติทราม บ สืบสาย O โอ หนอ ฤ พอจิตะขจัด กิจะวัตระวุ่นวาย ท่วงทีพจีนยะสยาย บุญะถ่ายสิทั่วถึง O กราบหมอบ ฤ ตอบมุหะจริต มุประดิษฐะเพื่อดึง- สายตาประดา..พิศะจะซึ้ง- บทะซึ่งจะคอยสรรค์ O แบบบุญจะหนุนภพะประสาร- วิญ(ะ)ญาณะค้ำยัน ศรัทธาสถาปนะสวรร- คะถวัลยะในทรวง O บิดเบือนเขยื้อนมุสะสยาย เกาะอุบายะบำบวง- ศักดิ์สิทธิ์และฤทธิ์อุตริปวง นิระห่วงจะเสียหาย O บัวต่ำเพราะสัมผัสะกะตม ฤ จะชม..ระลมชาย สบทราบประภาพสุริยะฉาย- รุจิบ่ายประโลมบัว ? O โดยตรรกและหลักอริยะวาท อธิชาติชมชัว เพื่อตัดขจัดมุหะระรัว- อัตะกลั้ว, ปลาตการณ์ O โดยตรรกและมรรคะปฏิบัติ เหมาะ, สมรรถะดวงมาน เงื่อนเหตุ..กิเลศ..สมะสมาน จะทะยาน - ก็อาจยั้ง O เดี๋ยวนี้..และที่ขณะระลึก สติตรึกและตรองฟัง โลกนี้..และที่ระยะจะหวัง ทิฐิตั้งประคองตน O เท่านี้..พิถีจิตะประพฤติ เหมาะจะยึดและตามยล เพียงใด..เพราะใจนะอนุสน- ธิกะลมระลอกสาย O เพียงนั้น..จะบันดละสมา- ธิสภาวะในกาย เงียบงาม ณ ยาม วตะระบาย สุขะศานติซ่านซ้อน O ปลงเปลื้องละเมืองก-บิ-ล-พัสดุ์ พระ-เลาะลัดพเนจร ป่นเหตุกิเลศ..ประทุษะถอน- ทุขะรอนปลาตร้าง O กิ่งโพธิ์เพราะโผ..วตะระลอก- ระดะหยอก-ก็ไกว..กาง ไหวสั่นกระนั้น..เฉพาะจะขวาง- และมล้างพลังลม O คือใจพิจัยธรรมะสภาพ ระบุทราบกะอารมณ์ รู้ครวญชนวนทุขะระทม พิษะถมกระทบถึง O ที่ไหน..ไสวเพราะพลุลุแล่น- รุจิแสนยะตราตรึง ที่นั้น..จะฝันสุญะระรึง ขณะหนึ่ง บ พึงหมาย O ที่ไหน..พิสัยชนะสมา- คมะวาระวุ่นวาย ที่สุด..วิมุติภวะจะหมาย- เฉพาะขายกะหมู่เขลา ! O แว่วดัง..ก็สังคิตะประดิษฐ์ นิรมิตะมอมเมา- จิตหลง..มุสงเคราะหะและเร้า- สติเฝ้าประโลมฝัน O เสียงซอ..ฤ พอจะเสาะจะสี พิเราะคีตะล้อมพัน- ต้นธาตุ..พระชาติพระอรหันต์ ละสวรรคะรับเสียง ! O เสียงซอ..ฤ พอจะเสาะจะสี เสนาะคีตะคล้อยเคียง- ต้นธรรม..เหมาะสัมผัสะเจรียง- พฤติเบี่ยงประโคมบุญ ! O ซอสี..ก็สีปะเหลาะประโลม ทะนุโสมนัส, จุน- เจือวัตรวิบัติกระแดะและหนุน- ธนะ-ทุน..นะคือ..ธรรม ! http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=08-2010&date=07&group=41&gblog=10 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=08-2010&date=07&group=41&gblog=10) หัวข้อ: Re: O ผู้หลงโลก..? O เริ่มหัวข้อโดย: aasdang ที่ 14 มีนาคม 2014, 06:19:AM O นามธรรม - หลอน...! O
O อารามอร่ามเรื้อง......องค์พระ กรรมพิธีวาทะ.............ท่วมท้น สนทนาวิสาสะ.............เสนาะอยู่ พ่อเอย ตาบอดคลำช้างด้น......ดุ่มหน้าสาธยาย ฯ O เสียงบาลีเจื้อยแจ้ว..ยังแว่วอยู่- กล่อมใจผู้หลงโลก..ทอนโศก-สลาย ไพเราะความนัยคำท่านรำบาย- เพื่อปัดป่ายทุกข์ร้อนให้ผ่อนแรง O โอภาสแห่งดวงวันในชั้นฟ้า ฤๅ-ช่วงกว่าธรรมพากย์..ท่านฝากแฝง เมื่อแววตารื้นน้ำ..คล้ายสำแดง- ความซาบซึ้งเติมแต่ง..ลงแฝงรอย ? O ทองอร่ามองค์พระ..ราวจะเตือน- ความเลอะเลือนแห่งธรรม..ผ่านคำ-ถ้อย ดูเถิด..แววตากระพริบ..นั้น-ปริบปรอย- คล้ายเลื่อนลอยว่างเปล่า..คล้ายเข้าใจ O กลางโบสถ์หม่นมืดครึ้ม..เสียงงึมงำ- ก็ถูกคำคอยฉุด..เกินหยุดไหว เอ่ยเสียงตามเสียงอยู่..เหมือนรู้นัย- ธรรมนั้น..เอาโลมไล้..หัวใจตน O ครั้งเมื่อท่านละทิ้ง..ทุกสิ่งนั่น พรากฐานันดรศักดิ์จนหักป่น ย่อมเพื่อความอัตคัด..ในบัดดล ใช่เพื่อขวนขวายสร้างแต่อย่างใด ! O มองดูเถิดรอยทาง..ท่านย่างเหยียบ แล้วลองเปรียบเทียบย่าง..ทุกย่างให้- เห็นถึงความล้าเลื่อน..บิดเบือนไป- จากแนวทางวางไว้..ของนัยพุทธ O โอ นั่นยอดช่อฟ้า..เฟื้อยฝ่าสวรรค์ จากมิจฉาเผ่าพันธุ์ช่วยกันฉุด กระเบื้องแดงเขียวห่ม..ด้วยสมมุติ ต้านแสงวันดวงพิสุทธิ์..เพื่อหยุดร้อน O ร้อนโอภาสดวงวัน..แห่งวันนี้ จากรังสีทอดสู่ไม่รู้ผ่อน ลมรื่นเย็นวาดวี..ผ้าจีวร- ฤๅ-อาจย้อนผ่านรื่นล้อมผืนใจ ? O โอ รอยยิ้มแย้มอยู่..ท่านผู้ขอ- เหมือนอยู่รอวัตถุธรรม..ชี้นำให้- ยกขึ้นประดับประดา..เพื่อว่าใคร- มองเห็นแล้วแจ่มใสแก่นัยน์ตา O ครั้งเมื่อท่านละทิ้งทุกสิ่งนั่น พรากฐานันดรศักดิ์อันหนักค่า ก็เพื่อล่มภพชาติ..จึงยาตรา- เข้าห้ำหั่นอัตตา..ให้ล้าตัว O หากตรงหน้าเห็นหมู่..ท่านผู้ขอ- เหมือนอยู่รอป่ายแต้ม..รอยแย้มหัว ให้ตัวตนทั้งนั้น..คอยสั่นรัว- เข้าเกลือกกลั้วสภาพธรรม..อยู่ค่ำเช้า O ใช่แน่หรือ..พรหมจรรย์ทางบั่นทอน- ความอาดูรเร่าร้อน..ทุกข์ก่อนเก่า เห็นแม่ปูเดินส่าย..ดูคล้ายเมา- หะการณ์แห่งรูปเงา..ทุกก้าวเดิน O ทิวแถวท่านผู้ขอ..เคลื่อน..รอ..หยุด แบกนัยพุทธสาธก..อยู่งกเงิ่น วิญญาณพราหมณ์เคลือบคำ..ก็จำเริญ- ขึ้นหยอกเอินปรารถนาในอารมณ์ O จึงเห็นความเลอะเลือน..นั้นเกลื่อนแวว- ตาบ้องแบ๊วสำหรับ..เพื่อขับข่ม- สัมมาการณ์สุจริตให้ติดตม- กลางห้วงหล่มถ้อยคำ..ธารน้ำลาย O เหนี่ยวสวรรค์..ดึงนรก..ขึ้นปกป้อง- ตรรกะของเดียรถีย์..เป็นที่หมาย จึงล่มล้าง..โลกพิสัยที่ในกาย- แล้วเวียนว่ายวงวัฏฏ์..ในบัดดล O มืดจริงหนอ..ในวันที่พันแสง- แม้นผ่านแรงร้อนช่วงโลมห้วงหน ยังไม่อาจผ่านต้อง..ตาของคน- ที่มืดมัวหมองหม่น..คลุมบนแวว O โอ คล้ายเสียงในหัว..ค่อยรัวดัง เหมือนระฆังกังวานเสียงหวานแว่ว พร้อมโอภาสพันแสง..แต้มแต่งแนว- ล้อมทิวแถวผู้ขอ..อย่างรอรี ! O แว่ว-คล้ายเสียงสั่นรัว..ใจตัวเอง ชวนพิศเพ่งเปล่งปลั่งแสงรังสี ผู้ห่มจีวรเหลือง..ท่านเยื้องลี- ลาศฝ่าความเป็นมี..สู่ที่ใด ? |