พิมพ์หน้านี้ - ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

จิปาถะ => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: พยัญเสมอ ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 10:23:PM



หัวข้อ: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 10:23:PM


ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสนใจเขาไหม
หรือว่าจะสนใจเฉพาะคนที่มีกลอนอย่างเดียวเท่านั้น   emo_47

"มีโคลงก็นับเป็นน้อง  มีกลอนก็นับเป็นพี่
โคลง-กลอนไม่มี  ทั้งน้องทั้งพี่ไม่สนใจ"


ในสังคมกวีนี่จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า   ถ้ามีโคลงกลอนมานำเสนอก็พอคุยกันได้
ถ้าไม่มีโคลงกลอนมาด้วยเอ็งไปไกลๆ  ดูๆแล้วเหมือนคนที่คบกันเพราะทรัพย์สมบัติเลยเนาะ
พอไม่มีทรัพย์สินติดตัวแล้วก็หมดค่า    มันเป็นแบบนั้นใช่หรือเปล่า  หือม์...ชาวกวี  emo_47
ถ้าเป็นแบบนี้จริงผมจะได้ร้องเพลงตัดใจลาซะ....







หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: Prapacarn ❀ ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 10:30:PM
ท่านพี่ถามก็ดีแล้วค่ะ..
แซมก็สงสัยอยู่เหมือนกันค่ะ...
 emo_82


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 10:51:PM
   ข้าฯ ผู้น้อยเพิ่งเข้าบ้านกลอนฯ ไม่ถึงครึ่งปี พรรษายังต่ำมากเมื่อเทียบกับท่านพี่อื่นๆ มีเรื่องจะเล่าให้ฟังสองเรื่อง
 
   เรื่องแรกมีอยู่ว่า
   ครั้งหนึ่งอดีตพระเอก น็อต นุติ เขมะโยธิน เขาเป็นผู้หนึ่งที่หลงใหลดนตรีและเล่นกีตาร์ได้ในระดับเทพ ได้เดินทางไปที่สหรัฐฯ และมีโอกาสพบกับ แหลม มอริสัน หนึ่งในเทพแห่งกีตาร์ เมื่อน็อตเข้าทักทายแนะนำตัวเสร็จ คำแรกที่แหลม มอริสันพูดก็คือ "เราจะพูดคุยกันแต่เรื่องดนตรีกับกีตาร์เท่านั้น" และนั่นคือกฎเกณฑ์ที่น็อตยอมรับและพูดคุยเฉพาะสองเรื่องนี้เท่านั้น

   เรื่องที่สอง
   มีสโมสรแห่งหนึ่งติดป้ายไว้ว่า "เฉพาะสำหรับผู้ที่ชมชอบดื่มและพูดคุยแต่เรื่องไวน์เท่านั้น"
   มีนักการเมืองคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องกฎหมายที่เขาเสนอญัตติเข้าสู่สภา จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
   
   มีตำรวจคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องคดีที่เขาทำแล้วเจอตอ จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเขาเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

   มีอาจารย์คนหนึ่ง เครียดจากเรื่องนักศึกษาที่เขาสอนอยู่ที่ไม่สนใจเรียน จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

   มีนายธนาคารคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องทำเป้าเงินฝากและเงินกู้ที่เขาทำไม่เข้าเป้า จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

    มีพ่อค้าเพชรพลอย.................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
    มีนัก..................................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
    มีนัก..................................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
   .......................... ...ฯลฯ


   สองเรื่องนี้เป็นคำถามเปิด...ช่วยตอบที
 
   ด้วยจิตคารวะ
 
   สนอง เสาทอง
  (รักษาการแทน choy)
   เนื่องจากเธอไม่ถนัดเรื่องดังกล่าวนี้


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 11:08:PM

ห้องนั่งเล่น
คุยได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องกลอนก็ได้ อะไรน่าสนใจก็โพสคุยกันจ้าา

ที่บ้านกลอนแห่งนี้ มีมากมายหลายห้อง และมีห้องหนึ่งคือ ห้องนั่งเล่น ใครจะคุยเรื่องอะไรก็ได้(แต่คงไม่เหมาะที่จะพูดคุยเรื่องการเมือง ถ้าใครถนัดก็เชิญไปสนุกให้เต็มเหนี่ยวตามเวบการเมืองนั้นเถิด)
การพูดคุยกันให้สนุกสนาน ก็คือทั้งคนพูดและคนที่จะเข้าไปสนทนาด้วยนั้น เขาก็ต้องดูก่อนว่า จะไปคุยด้วยดีไหม? จะคุยกันถูกคอหรือเปล่า? หรือถ้าคุยกันแล้ว ก็จะทำให้เพิ่มความหงุดหงิดรำคาญ เขาก็จะไม่เข้าไปใกล้ อยู่ห่างๆเข้าไว้ดีกว่า แต่ถ้าสนทนากันอย่างออกรสชาด พูดคุยกันด้วยความถูกคอ เหมือนกับคนรสนิยมไปด้วยกันได้ ก็จะเพิ่มความสุขสนุกสนาน สมกับการเข้ามาพักผ่อน จึงอยู่ที่ดุลย์พินิจของแต่ละคนนั่นเอง ไม่ใช่ว่า ไม่มีโคลงไม่มีกลอนเข้าก็จะไม่คุยด้วย ท่านใดมีอะไรดีๆมาเล่าสู่กันฟังก็เชิญเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องเคร่งเครียด เคร่งครัดกับการเขียนกลอนต่างๆที่จะต้องให้ถูกฉันทลักษณ์หรือถูกกับกฏเกณฑ์ของกลบทนั้นๆ

ลุงไพร


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พิมพ์วาส ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 11:23:PM


เหมือนกับที่คุณช้อยบอก (ไม่ทราบอ่านว่าอ่านถูกไหมต้องขออภัยค่ะ ส่วนตัวไม่นิยมเขียนภาษาไทยปนภาษาอังกฤษค่ะ)
เรื่องที่อ่านจากคุณช้อย สำหรับตัวเองแล้วตีประเด็นออกมาได้ว่า 'เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม'
ก็เหมือนกับเมื่อเจอสังคมกลอนก็ย่อมจะคุยสนทนาทักทายกันเป็นกลอนเป็นธรรมดา

สุภาษิตข้างตนหมายความว่า "ที่แห่งใดเขาประพฤติตามเขาไปด้วย  อย่าไปประพฤติขัดแย้งกับเขา"
ดังนั้นเมื่อเราขึ้นชื่อว่า 'บ้านกลอนไทย' ก็ย่อมเป็นนักเขียนกลอนอยู่แล้ว
แต่ในบ้านกลอนไทยก็มีหมวดต่างๆให้เลือกว่าจะเขียนกลอนแนวไหน จะทำอะไรก็มีที่ให้สนทนากัน
หรือเข้าห้อง สนทนา ไปคุยกันเลยก็ได้ ทางเว็บก็มีให้

ส่วนตัวจะเป็นอะไรก็ได้ค่ะที่ไม่เกี่ยวกับการรำพึงเพ้อพบ พรรณนาเพ้อพร่ำต่างๆ ไม่เป็นเรื่อง
ที่อ่านแล้วงงมึน ตีความสุดฤทธิ์ก็ยังงง (ไม่รวมแคนโต้ เก็บเซนริวนะคะ)
เพราะตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเล่า เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ความรู้รอบๆตัว
ส่วนตัวเองแล้วก็ชอบที่จะอ่านนะคะ (เลือกนิดหนึ่ง)

ที่ว่ารำพึงรำพันไม่รู้เรื่อง อาจจะเป็นเพราะเราคิดไม่ถึงเช่น (เขียนเองงงเอง ของเก่าค่ะ ไม่เคยลง)

เธอสวยเหมือนดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ใช่! ใช่!
นั่นแสง ไม่ๆๆๆ ฉันเป็นดอกไม้เธอเป็นแสง เธอให้ความอบอุ่นฉัน ฉันจะบานให้เธอดู

--- ก็เข้าใจนะคะที่เขียน เขียนแบบไม่รู้เรื่อง เอ่อ...แบบไหน แบบนี้หรือเปล่า

'ฉันรักเธอเหลือเกินแม่ดอกไม้ริมทาง ฉันจะคว้าเธอมาเพื่อเชยชมก็แสนง่าย
แต่ฉันจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะฉันรักเธอ ถ้าหากฉันเด็ดเธอมาเชยชมประเดี๋ยวเพียงชั่วครู่ชั่วยามเธอก็จะจากฉันไป
แต่ถ้าเธออยู่ที่ริมทางนั้น ฉันก็จะได้เชยชมเธอไปได้อีกนานกว่าเธอจะโรย เธอถามว่าฉันเป็นใครฉันเป็นสายลมของเธอ'

ย้ากกกกกกกกกกกก เขียนไม่เป็น ขออภัยค่ะ นอกประเด็นไปไกล ประเด็นของตัวเองอยู่ด้านบนค่ะ

ป.ล. พิมพ์นานไปสักหน่อยสมาชิกหลายท่านแซงต่อกระทู้ก่อนเสียแล้ว สุดเศร้าใจ





หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 11:45:PM


ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสนใจเขาไหม
หรือว่าจะสนใจเฉพาะคนที่มีกลอนอย่างเดียวเท่านั้น   emo_47

"มีโคลงก็นับเป็นน้อง  มีกลอนก็นับเป็นพี่
โคลง-กลอนไม่มี  ทั้งน้องทั้งพี่ไม่สนใจ"


ในสังคมกวีนี่จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า   ถ้ามีโคลงกลอนมานำเสนอก็พอคุยกันได้
ถ้าไม่มีโคลงกลอนมาด้วยเอ็งไปไกลๆ  ดูๆแล้วเหมือนคนที่คบกันเพราะทรัพย์สมบัติเลยเนาะ
พอไม่มีทรัพย์สินติดตัวแล้วก็หมดค่า    มันเป็นแบบนั้นใช่หรือเปล่า  หือม์...ชาวกวี  emo_47
ถ้าเป็นแบบนี้จริงผมจะได้ร้องเพลงตัดใจลาซะ....







(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)
 
ขออนุญาต ถามครับว่า คุณมือขวาชอบแบบไหน และไม่ชอบแบบไหน
เพื่อว่า จะขอโอกาส เป็นมิตรกัน ครับ

ด้วยใจจริงครับ
สายใย
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)



หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 02:07:AM


ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสนใจเขาไหม
หรือว่าจะสนใจเฉพาะคนที่มีกลอนอย่างเดียวเท่านั้น   emo_47

"มีโคลงก็นับเป็นน้อง  มีกลอนก็นับเป็นพี่
โคลง-กลอนไม่มี  ทั้งน้องทั้งพี่ไม่สนใจ"


ในสังคมกวีนี่จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า   ถ้ามีโคลงกลอนมานำเสนอก็พอคุยกันได้
ถ้าไม่มีโคลงกลอนมาด้วยเอ็งไปไกลๆ  ดูๆแล้วเหมือนคนที่คบกันเพราะทรัพย์สมบัติเลยเนาะ
พอไม่มีทรัพย์สินติดตัวแล้วก็หมดค่า    มันเป็นแบบนั้นใช่หรือเปล่า  หือม์...ชาวกวี  emo_47
ถ้าเป็นแบบนี้จริงผมจะได้ร้องเพลงตัดใจลาซะ....







([url]http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif[/url])
 
ขออนุญาต ถามครับว่า คุณมือขวาชอบแบบไหน และไม่ชอบแบบไหน
เพื่อว่า จะขอโอกาส เป็นมิตรกัน ครับ

ด้วยใจจริงครับ
สายใย
([url]http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif[/url])





ชอบแบบที่คุณสายใยเป็นนี่แหละครับ คืออันไหนที่อ่านแล้วก็กดก็กดปุ่มให้กำลังใจกับทุกคนไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ไม่ชอบคนที่จริงจังกับปุ่มขอบคุณมากเกินไป  คือไปยึดติดซะมากเกินไปว่า  กระทู้นี้ไม่ใช่กลอนฉันยกนิ้วให้ไม่ได้
กลอนนี้แต่งไม่เลิศเลอเพอร์เฟคฉันยกนิ้วให้ไม่ได้  ฉันจะยกนิ้วให้เฉพาะกับคนที่แต่งได้ดีเลิศเท่านั้น
บอกตามตรงครับว่าคนเราทุกคนนั้นล้วนต้องการกำลังใจ  ไม่ว่าจะทำพูดสิ่งใดก็ล้วนต้องการให้คนมาสนใจ มารับรู้
รับทราบกันทั้งนั้นครับ  ถ้าเรื่องใดมันไม่ผิดพลาดหนักสาหัสจริงๆก็กดให้กำลังใจสักนิด  ถือว่าเป็นการบอกให้ผู้โพสต์
ได้รู้ว่าอ่านแล้ว  รับรู้รับทราบแล้ว  เท่านั้นแหละครับ
 ดังนั้นสิ่งที่คุณสายใยเป็นอยู่นี้  จึงเป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้ว  ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรนะครับ

 emo_85





หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 02:15:AM

ห้องนั่งเล่น
คุยได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องกลอนก็ได้ อะไรน่าสนใจก็โพสคุยกันจ้าา

ที่บ้านกลอนแห่งนี้ มีมากมายหลายห้อง และมีห้องหนึ่งคือ ห้องนั่งเล่น ใครจะคุยเรื่องอะไรก็ได้(แต่คงไม่เหมาะที่จะพูดคุยเรื่องการเมือง ถ้าใครถนัดก็เชิญไปสนุกให้เต็มเหนี่ยวตามเวบการเมืองนั้นเถิด)
การพูดคุยกันให้สนุกสนาน ก็คือทั้งคนพูดและคนที่จะเข้าไปสนทนาด้วยนั้น เขาก็ต้องดูก่อนว่า จะไปคุยด้วยดีไหม? จะคุยกันถูกคอหรือเปล่า? หรือถ้าคุยกันแล้ว ก็จะทำให้เพิ่มความหงุดหงิดรำคาญ เขาก็จะไม่เข้าไปใกล้ อยู่ห่างๆเข้าไว้ดีกว่า แต่ถ้าสนทนากันอย่างออกรสชาด พูดคุยกันด้วยความถูกคอ เหมือนกับคนรสนิยมไปด้วยกันได้ ก็จะเพิ่มความสุขสนุกสนาน สมกับการเข้ามาพักผ่อน จึงอยู่ที่ดุลย์พินิจของแต่ละคนนั่นเอง ไม่ใช่ว่า ไม่มีโคลงไม่มีกลอนเข้าก็จะไม่คุยด้วย ท่านใดมีอะไรดีๆมาเล่าสู่กันฟังก็เชิญเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องเคร่งเครียด เคร่งครัดกับการเขียนกลอนต่างๆที่จะต้องให้ถูกฉันทลักษณ์หรือถูกกับกฏเกณฑ์ของกลบทนั้นๆ

ลุงไพร



ผมเข้าใจที่ลุงพูดทุกสิ่งทุกประการครับ


 emo_126


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 02:33:AM
เข้าใจละ แต่ถ้าไม่กดให้ ก็แปลว่า ไม่เข้าใจนะครับ อิ อิ  emo_100


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 02:42:AM
   ข้าฯ ผู้น้อยเพิ่งเข้าบ้านกลอนฯ ไม่ถึงครึ่งปี พรรษายังต่ำมากเมื่อเทียบกับท่านพี่อื่นๆ มีเรื่องจะเล่าให้ฟังสองเรื่อง
 
   เรื่องแรกมีอยู่ว่า
   ครั้งหนึ่งอดีตพระเอก น็อต นุติ เขมะโยธิน เขาเป็นผู้หนึ่งที่หลงใหลดนตรีและเล่นกีตาร์ได้ในระดับเทพ ได้เดินทางไปที่สหรัฐฯ และมีโอกาสพบกับ แหลม มอริสัน หนึ่งในเทพแห่งกีตาร์ เมื่อน็อตเข้าทักทายแนะนำตัวเสร็จ คำแรกที่แหลม มอริสันพูดก็คือ "เราจะพูดคุยกันแต่เรื่องดนตรีกับกีตาร์เท่านั้น" และนั่นคือกฎเกณฑ์ที่น็อตยอมรับและพูดคุยเฉพาะสองเรื่องนี้เท่านั้น

   เรื่องที่สอง
   มีสโมสรแห่งหนึ่งติดป้ายไว้ว่า "เฉพาะสำหรับผู้ที่ชมชอบดื่มและพูดคุยแต่เรื่องไวน์เท่านั้น"
   มีนักการเมืองคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องกฎหมายที่เขาเสนอญัตติเข้าสู่สภา จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
   
   มีตำรวจคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องคดีที่เขาทำแล้วเจอตอ จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเขาเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

   มีอาจารย์คนหนึ่ง เครียดจากเรื่องนักศึกษาที่เขาสอนอยู่ที่ไม่สนใจเรียน จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

   มีนายธนาคารคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องทำเป้าเงินฝากและเงินกู้ที่เขาทำไม่เข้าเป้า จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

    มีพ่อค้าเพชรพลอย.................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
    มีนัก..................................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
    มีนัก..................................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
   .......................... ...ฯลฯ


   สองเรื่องนี้เป็นคำถามเปิด...ช่วยตอบที
 
   ด้วยจิตคารวะ
 
   สนอง เสาทอง
  (รักษาการแทน choy)
   เนื่องจากเธอไม่ถนัดเรื่องดังกล่าวนี้


                       สำหรับเรื่องของ น็อต  นุกติ เขมโยธิน  กับ  แหลม  มอริสัน  ที่คุณสนองได้นำมาเล่าให้ฟัง
อ่านครั้งแรกผมต้องยอมรับว่าอึ้งครับ  พูดอะไรไม่ออก  จำนนด้วยเหตุผล  แต่หลังจากมาคิดทบทวนดูดีๆแล้ว
ผมก็กลับมีความคิดว่า  ทั้งแหลม มอริสัน  ทั้งน็อต นั้น  เขาทั้งสอง  ไม่ใช่ญาติกัน  ไม่ใช่เพื่อน  ไม่ใช่คนรู้จัก
ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน  ทั้งสองกระทั่งเป็นคนชาติเดียวกันก็ยังไม่ใช่  ดังนั้นมันจะแปลกอะไรที่ แหลม มอริสัน
จะตั้งกติกากับ น็อต นุติ เขมโยธินแบบนั้น  กติกาที่ แหลมตั้งเป็นเขื่อนไขในการพูดคุยกับน็อต  จึงเป็นแค่  กติกา
ที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งตั้งเป็นเงื่อนไขให้กับคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่แม้แต่คนชาติเดียวกัน
เพียงแต่บังเอิญ
มาชอบดนตรีเหมือนกันเท่านั้น   จะเอากฏกติกาแบบนั้นมาใช้กับสังคมคมออนไลน์อย่างบ้านกลอนไทยที่ถือคติว่า
อยู่กันอย่างเสมือนพี่เสมือนน้อง เสมือนเพื่อนได้อย่างไร   อย่างน้อยที่สุดสมาชิกบ้านกลอนไทย ก็เป็นคนไทยเหมือนๆกันคือเป็น
เพื่อนร่วมชาติ พูดภาษาเดียวกัน และเมื่อมาอยู่รวมกัน  ก็ต้องเจอกันทุกวันในเว็บ  อย่างน้อยก็ต้องคุ้นเคยกับชื่อเสียงนามกันบ้าง
จึงนับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า(แม้จริงๆแล้วจะไม่เคยพบกันมาก่อนก็ตามที)  จะเอาไปเปรียบกับการปฏิบัติตัวของ
 แหลม มอริสัน และ น็อต  นุติเขมโยธินไม่ได้หรอกนะครับ  มันต่างกันมาก
ถ้าหากจะยึดหลักปฏิบัติว่า ที่นี่คือเว็บกลอน  ดังนั้นจะพูดจะคุยกันก็ต้องเฉพาะในเรื่องกลอนตามชื่อเว็บเท่านั้น  
แบบนี้มันก็ไม่ใช่การอยู่กันแบบพี่แบบน้อง  แบบลุงป้าน้าอา  หรือแบบเพื่อน  จริงไหมครับ








หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 03:20:AM



                  ที่นี้มาถึงเหตุผลที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาถามก็เนื่องมาจากว่าเห็นพฤตืกรรมของสมาชิกหลายคนที่ไปยึดมั่นถือมั่นกับปุ่มขอบคุณมากเกินไป
เพียงเพราะว่าปุ่มนี้เขียนว่า  ถูกใจใช่เลยหรือยอดเยี่ยม  ดังนั้นถ้ามันไม่ยอดเยี่ยมก็ไม่กดให้เอาซะเลย  ประมาณว่าถ้ากลอนไหนแต่งไม่
ดีฉันก็จะไม่กดให้นะ   มันก็เลยกลายเป็นเหมือนว่า ให้การยอมรับแต่เฉพาะคนที่แต่งเก่ง  แต่งดี เท่านั้น  ส่วนคนที่แต่งไม่เก่ง
หรือแต่งไม่ดี  ไม่เลิศเลอเพอร์เฟคก็ไม่ได้รับการยอมรับ  กลายเป็นนับถือ หรือยอมรับเฉพาะคนที่เก่งกว่า ส่วนคนที่ไม่เก่งก็ไม่ได้รับความสนใจ
ยิ่งไม่ต้องไปกล่าวถึงกระทู้ที่โพสต์เรื่องธรรมดาที่ไม่ใช่กลอน    ก็เลยมานึกว่า  ถ้าทุกคนพากันมีความคิดเห็นแบบนี้กันหมด ก็แสดงว่า
ทุกครั้งที่เราเข้าเว็บมา  ก็คงจะต้องมีโคลงกลอนดีๆที่ยอดเยี่ยมติดไม้ติดมือมาด้วยทุกครั้ง  เขาถึงจะสนใจใยดีเรา
ถ้าวันไหนเผื่อว่า เราไม่ได้มีกลอนที่ดีเลิศติดมาด้วย  เราก็คงไม่ต่างกับคนไร้ค่าคนหนึ่งที่ไม่มีใครเหลี่ยวแล  คิดขึ้นมาแล้วก็ให้สะท้อนอกสะท้อนใจ
(แต่ยังโชคดีที่มีสมาชิกส่วนหนึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับปุ่มกดที่มีคำว่ายอดเยี่ยมมากจนเกินไปนัก  ดังนั้นเราจึงได้เห็นกระทู้ที่
ผู้แต่งกลอนดีบ้างไม่ดีบ้าง มีคนมากดให้กำลังใจ  ให้คนแต่งได้รู้ว่ากลอนเขายังมีผู้อ่านอยู่)
                   คุณรู้ไหมว่า  เพราะกติกาที่นับถือแต่เฉพาะคนเก่ง  และเว็บกลอนต้องพูดเรื่องกลอนนี่แหละที่ทำให้หลายคนหมดกำลังใจ
และหายหน้าหายตากันไปเท่าไหร่แล้ว  เพราะใช่ทุกคนหรอกนะครับที่จะแต่งกลอนได้ดีและเก่ง  แม้แต่คนเก่งเองก็ใช่ว่าจะแต่งได้ทุกวัน
ของแบบนี้มันก็มีบางวันที่คิดไม่ออกบ้าง  บางคนกว่าจะคิดกลอนดีๆได้สักบทก็นานๆครั้ง  แล้วถ้าเรายังมีความคิดอยู่ว่า ต้องยกนิ้วให้เฉพาะ
คนที่แต่งดีเลิศเท่านั้น  แล้วคนที่คิดกลอนไม่ออก  หรือแต่งกลอนได้ไม่ดี จะมีหน้าโผล่เข้ามาในเว็บได้อย่างไร  เพราะเข้ามาก็เปรียบ
เสมือนเป็นส่วนเกิน  ไม่ได้รับความสนใจ เพราะไม่มีกลอนจะมาอวดต่อใครๆเขา
ผมจึงไดตั้งคำถามว่า สังคมกวีนี้ให้ความสนใจเฉพาะคนที่มีกลอนเท่านั้น  ส่วนคนไหนที่ไม่มีกลอนก็ไม่ให้ความสนใจหรืออย่างไร(โชคดีที่ไม่
ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด  ยังมีคนให้ความสนใจอยู่ แม้กลอนไม่ดีดลิศไม่หรูหรา)
ดังนั้นผมจึงได้แต่งเลียนเนื้อเพลงว่า "เราจะให้สังคมชาวกวีเป็นแบบ


"มีโคลงก็นับเป็นน้อง   มีกลอนก็นับเป็นพี่
โคลงกลอนไม่มี   ทั้งน้องทั้งพี่ไม่สนใจ"

คือถ้ามีโคลงกลอนมานำเสนอก็พอพูดคุยกันได้  ถ้าไม่มีโคลงกลอนติดมือมาก็เชิญไปให้ไกล  เพราะอยู่ไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก"  หรืออย่างไร ??
จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไร  เพียงแต่มานึกเอนจอนาถใจตัวเองว่า  ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีบทกลอนดีๆมานำเสนอ  เราก็คงเป็นแค่ไอ้หมาหัวเน่าตัวหนึ่ง  emo_47










หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: รัตนาวดี ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 03:57:AM

 emo_50  โอ๊ย...พี่มือขวาคะ... ทะเลาะกับเมียมา หรือว่าโดนเมียทิ้งคะ

แหม..เห็นเหมือนว่าคุณกำลังน้อยใจ และกำลังเรียกร้องความเห็นใจ ถ้าเดาเฉียดไป ก็ขออภัยด้วยนะจ๊ะ!

ไม่มีอารมณ์แต่งกลอน ก็เข้ามาเม้าท์กัน หรือเล่าอะไรให้ฟังกัน หรือจะแบ่งปันความรู้ดีๆ ก็ไม่มีใครขัดนะ

จะลองจีบสาว หาเรื่องให้คนอื่นเขาหมั่นไส้บ้าง ก็แก้เซ็งได้ดีนะคะ   emo_34

หากเครียดเวลาไหน ไม่มีที่ไป ก็เข้ามาปล่อยแก่บ้างก็ดี มิงั้น อัดอั้นใจตายโดยหาสาเหตุมิได้แน่ค่ะ emo_26

เพียงไม่แต่งกลอนก็เล่าเรื่องสู่กันฟังก็ดีค่ะ

รัตน์คิดว่า ตอนนี้ไม่มีผู้ใดที่ไม่ติดใจคุณหรอก.. emo_15

อย่าคิดมากและ อย่าเครียดนะ โลกนี้เป็นของข้า(ในบางคราต้องเข้าข้างตัวเองบ้างค่ะ) emo_05

ก็เคยบอกมาแล้วว่า ...สามคนเขาไม่รักเรา แต่อีกสามสิบคนกำลังรักเรานะคะ

คุณทำได้ค่ะ   emo_54

ชอบใจคุณเป็นกำลังใจให้ตลอดเลย แม้บางครั้งลืมกดถูกใจใช่เลยให้  emo_20


ราตรีสวัสดิ์ก่อนนะคืนนี้


รัตน์ค่ะ emo_86 emo_95 emo_60 emo_126


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 04:41:AM


เหมือนกับที่คุณช้อยบอก (ไม่ทราบอ่านว่าอ่านถูกไหมต้องขออภัยค่ะ ส่วนตัวไม่นิยมเขียนภาษาไทยปนภาษาอังกฤษค่ะ)
เรื่องที่อ่านจากคุณช้อย สำหรับตัวเองแล้วตีประเด็นออกมาได้ว่า 'เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม'
ก็เหมือนกับเมื่อเจอสังคมกลอนก็ย่อมจะคุยสนทนาทักทายกันเป็นกลอนเป็นธรรมดา

สุภาษิตข้างตนหมายความว่า "ที่แห่งใดเขาประพฤติตามเขาไปด้วย  อย่าไปประพฤติขัดแย้งกับเขา"
ดังนั้นเมื่อเราขึ้นชื่อว่า 'บ้านกลอนไทย' ก็ย่อมเป็นนักเขียนกลอนอยู่แล้ว
แต่ในบ้านกลอนไทยก็มีหมวดต่างๆให้เลือกว่าจะเขียนกลอนแนวไหน จะทำอะไรก็มีที่ให้สนทนากัน
หรือเข้าห้อง สนทนา ไปคุยกันเลยก็ได้ ทางเว็บก็มีให้

ส่วนตัวจะเป็นอะไรก็ได้ค่ะที่ไม่เกี่ยวกับการรำพึงเพ้อพบ พรรณนาเพ้อพร่ำต่างๆ ไม่เป็นเรื่อง
ที่อ่านแล้วงงมึน ตีความสุดฤทธิ์ก็ยังงง (ไม่รวมแคนโต้ เก็บเซนริวนะคะ)
เพราะตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเล่า เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ความรู้รอบๆตัว
ส่วนตัวเองแล้วก็ชอบที่จะอ่านนะคะ (เลือกนิดหนึ่ง)

ที่ว่ารำพึงรำพันไม่รู้เรื่อง อาจจะเป็นเพราะเราคิดไม่ถึงเช่น (เขียนเองงงเอง ของเก่าค่ะ ไม่เคยลง)

เธอสวยเหมือนดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ใช่! ใช่!
นั่นแสง ไม่ๆๆๆ ฉันเป็นดอกไม้เธอเป็นแสง เธอให้ความอบอุ่นฉัน ฉันจะบานให้เธอดู

--- ก็เข้าใจนะคะที่เขียน เขียนแบบไม่รู้เรื่อง เอ่อ...แบบไหน แบบนี้หรือเปล่า

'ฉันรักเธอเหลือเกินแม่ดอกไม้ริมทาง ฉันจะคว้าเธอมาเพื่อเชยชมก็แสนง่าย
แต่ฉันจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะฉันรักเธอ ถ้าหากฉันเด็ดเธอมาเชยชมประเดี๋ยวเพียงชั่วครู่ชั่วยามเธอก็จะจากฉันไป
แต่ถ้าเธออยู่ที่ริมทางนั้น ฉันก็จะได้เชยชมเธอไปได้อีกนานกว่าเธอจะโรย เธอถามว่าฉันเป็นใครฉันเป็นสายลมของเธอ'

ย้ากกกกกกกกกกกก เขียนไม่เป็น ขออภัยค่ะ นอกประเด็นไปไกล ประเด็นของตัวเองอยู่ด้านบนค่ะ

ป.ล. พิมพ์นานไปสักหน่อยสมาชิกหลายท่านแซงต่อกระทู้ก่อนเสียแล้ว สุดเศร้าใจ





                  พึ่งจะรู้ว่าคุณพิมพ์วาส ไม่ค่อยชอบกลอนแบบรำพึงรำพันที่ไม่มีเรื่องมีเรื่องราว
ก่อนอื่นอยากให้คุณทำความเข้าใจก่อนว่า สมาชิกส่วนมากไม่ได้เป็นนักเขียนมืออาชีพ
เป็นเพียงผู้มีใจรักในบทกลอนเท่านั้น  ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่นักถ่ายทอดเรื่องราว
หรือแต่งกลอนให้เป็นเรื่องเป็นราวแบบมืออาชีพได้  ดังนั้นเราจึงเห็นบทกลอนประเภท
รักนะ(แต่ไม่รู้รักใคร)  อกหักผิดหวัง(แต่ไม่รู้ว่าอกหักจากใคร  เรื่องอะไร  เมื่อไหร่ ที่ไหน)
ก็คนมันไม่ได้มีความรัก จะให้เขียนกลอนบอกรักได้ลึกซึ้งได้อย่างไร  แล้วกลอนอกหักนั่นก็อีก
ก็คนมันไม่ได้อยู่ในอารมณ์อกหัก  แล้วจะให้แต่งกลอนอกหักได้อย่างไร  มันจึงมีแต่กลอน
ที่บอกรัก  ว่าอกหัก ว่าเจ็บปวดรวดร้าว(แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร)อยู่แค่นั้น
คนที่จะเขียนผูกเรื่องให้มันดูสมจริงทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นจึงมีแต่นักเขียนมืออาชีพเท่านั้นถึงทำได้
                อนึ่งควรทราบว่ากลอนก็คือคำพูดชนิดหนึ่งเท่านั้น ก็เมื่อนเมื่อกลอนคือคำพูด
ดังนั้นมันจึงมีทั้งกลอนที่เพราะและไม่เพราะ  วันไหนคนแต่งอารมณ์ดีก็พูดรู้เรื่อง กลอนที่แต่งก็เพราะ
วันไหนคนแต่งอารมณ์ไม่ดี เครียด คิดอะไรไม่ออก ก็พูดไม่รู้เรื่อง  กลอนที่แต่งออกมาจึงไม่เพราะ
                  แล้วการที่จะพูดกันให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เนื้อหาสาระนั้น มันก็ต้องมีประเด็นที่จะพูด
ซะก่อน มันถึงจะพูดได้เนื้อหาสาระ    แต่บางคนไม่มีประเด็นที่จะพูด  แต่อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องขอพูด
ซะหน่อย  ไม่พูดเดี๋ยวเปรี้ยวปากลงแดงตาย  ดังนั้นเมื่อไม่มีประเด็นอะไรที่จะพูด แต่ต้องการจะพูด
ให้ได้มันจึงกลายเป็นพูดบ่นเรื่อยเปื่อยไป  เอาเรื่องเอาราวหาสาระไม่ได้
การแต่งกลอนมันก็ดุจเดียวกัน ถ้าคนแต่งมีประเด็นที่จะแต่งชัดเจน กลอนที่แต่งมันก็ออกมาดี
มีเรื่องราว   แต่บางคนไม่มีประเด็นที่จะแต่งหรอก ไม่รู้ว่าจะแต่งเรื่องอะไรแต่ขอข้าได้แต่งไว้ก่อน
ดังนั้นกลอนที่ออกมามันจึงเป็นอย่างที่เห็น  คือคล้ายๆคนที่บ่นๆไปเรื่อยๆไม่มีเรื่องมีราวอะไร
เรื่องนี้ผมได้เคยตั้งกระทู้ชื่อ "เขียนกลอนตอนที่คิดไม่ออก"ซึ่งเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนกระทั่ง
ถูกลบไปเมื่อปีที่แล้ว
                   ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจว่า ก็คนมันไม่มีเรื่องจะพูด  แต่ต้องพูดให้ได้  แล้วจะให้
ทำอย่างไรได้เล่า  กลอนที่ออกมามันจึงเหมือนคนที่บ่นเพ้อไปวันๆ(ไม่ได้ว่าแต่ผู้อื่นหรอก ตัวผมก็เป็นด้วย
บางทีไม่รู้ว่าต้องการเขียนเรื่องอะไร  แต่ขอเขียนไว้ก่อน)








หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: Moo Dum ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 05:50:AM

(http://i1284.photobucket.com/albums/a572/Satjar/image_zps4ceda6a8.jpg)

อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

 emo_126 emo_126 emo_126   

เขียนไม่เก่ง  นึกไม่ออก

แต่ชอบกลอนอาจารย์บทนี้ครับ

Moo Dum

  emo_100



หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: panthong.kh ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 07:04:AM
emo_116 emo_116 emo_116

 emo_126 emo_126

ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง

ใจของคน ค้นยาก ไม่อยากอ่าน
แถมดักดาน บางที มีถือมั่น
ปากพูดอย่าง ใจอย่าง ต่างงงงัน
รู้ไม่ทัน เสียเปรียบ เหยียบให้จม

มนุษย์หนอ ก็เป็น เฉกเช่นนี้
ตัวเองดี ไปหมด งดงามสม
ส่วนอื่นใคร ไหนนั่น บั่นอารมณ์
ไม่นิยม ชมชอบ ตอบรับไว้

ยากจริงแท้ แง่ใจ ในมนุษย์
ยากจนสุด ขุดหา อัชฌาศัย
ฉาบด้วยหวาน ที่หน้า พูดจาไป
แต่ในใจ ใครรู้บ้าง ด่างดำปน

แท้ทุกสิ่ง ล้วนคล้าย อย่าหมายหมอง
จงจ้องมอง แต่ดี อย่าติบ่น
เดินสายกลาง เข้าใจ ในบางคน
ที่เกิดปน บนโลก อันโศกซ้อน

หยั่งอย่างไร ไม่ถึง ซึ่งที่กล่าว
อาจร้อนผ่าว หนาวกาย หน่ายทอดถอน
ด้วยจิตคน วนว่าย คล้ายละคร
จากบทตอน ย้อนยอก บอกระทม

ถึงไม่ซึ้ง แต่งไป ด้วยใจรัก
บางครั้งหัก ดวงจิต คิดไม่สม
ไม่มีใคร ในหล้า อย่าตรอมตรม
ทุกข์ขื่นขม ล้วนหลาก จากกระทำ
พันทอง
๘/๐๕/๕๖
วันนี้ขอเป็นการเป็นงานจ้า
 emo_126 emo_126 emo_126


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 08:16:AM
   ข้าฯ ผู้น้อยเพิ่งเข้าบ้านกลอนฯ ไม่ถึงครึ่งปี พรรษายังต่ำมากเมื่อเทียบกับท่านพี่อื่นๆ มีเรื่องจะเล่าให้ฟังสองเรื่อง
 
   เรื่องแรกมีอยู่ว่า
   ครั้งหนึ่งอดีตพระเอก น็อต นุติ เขมะโยธิน เขาเป็นผู้หนึ่งที่หลงใหลดนตรีและเล่นกีตาร์ได้ในระดับเทพ ได้เดินทางไปที่สหรัฐฯ และมีโอกาสพบกับ แหลม มอริสัน หนึ่งในเทพแห่งกีตาร์ เมื่อน็อตเข้าทักทายแนะนำตัวเสร็จ คำแรกที่แหลม มอริสันพูดก็คือ "เราจะพูดคุยกันแต่เรื่องดนตรีกับกีตาร์เท่านั้น" และนั่นคือกฎเกณฑ์ที่น็อตยอมรับและพูดคุยเฉพาะสองเรื่องนี้เท่านั้น

   เรื่องที่สอง
   มีสโมสรแห่งหนึ่งติดป้ายไว้ว่า "เฉพาะสำหรับผู้ที่ชมชอบดื่มและพูดคุยแต่เรื่องไวน์เท่านั้น"
   มีนักการเมืองคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องกฎหมายที่เขาเสนอญัตติเข้าสู่สภา จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
   
   มีตำรวจคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องคดีที่เขาทำแล้วเจอตอ จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเขาเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

   มีอาจารย์คนหนึ่ง เครียดจากเรื่องนักศึกษาที่เขาสอนอยู่ที่ไม่สนใจเรียน จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

   มีนายธนาคารคนหนึ่ง เครียดจากเรื่องทำเป้าเงินฝากและเงินกู้ที่เขาทำไม่เข้าเป้า จึงตั้งใจไว้ว่าจะไปนั่งดื่มที่สโมสรแห่งนั้นเพื่อจะได้พูดระบายความในใจให้คนอื่นๆ ฟังในเรื่องนี้ เมื่อเดินทางไปถึงและเข้าไปนั่ง ณ ที่แห่งนั้นมีแต่คนพูดคุยเรื่องไวน์ "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"

    มีพ่อค้าเพชรพลอย.................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
    มีนัก..................................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
    มีนัก..................................................................................... "เขาจึงพูดคุยเรื่องไวน์"
   .......................... ...ฯลฯ


   สองเรื่องนี้เป็นคำถามเปิด...ช่วยตอบที
 
   ด้วยจิตคารวะ
 
   สนอง เสาทอง
  (รักษาการแทน choy)
   เนื่องจากเธอไม่ถนัดเรื่องดังกล่าวนี้


                       สำหรับเรื่องของ น็อต  นุกติ เขมโยธิน  กับ  แหลม  มอริสัน  ที่คุณสนองได้นำมาเล่าให้ฟัง
อ่านครั้งแรกผมต้องยอมรับว่าอึ้งครับ  พูดอะไรไม่ออก  จำนนด้วยเหตุผล  แต่หลังจากมาคิดทบทวนดูดีๆแล้ว
ผมก็กลับมีความคิดว่า  ทั้งแหลม มอริสัน  ทั้งน็อต นั้น  เขาทั้งสอง  ไม่ใช่ญาติกัน  ไม่ใช่เพื่อน  ไม่ใช่คนรู้จัก
ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน  ทั้งสองกระทั่งเป็นคนชาติเดียวกันก็ยังไม่ใช่  ดังนั้นมันจะแปลกอะไรที่ แหลม มอริสัน
จะตั้งกติกากับ น็อต นุติ เขมโยธินแบบนั้น  กติกาที่ แหลมตั้งเป็นเขื่อนไขในการพูดคุยกับน็อต  จึงเป็นแค่  กติกา
ที่คนแปลกหน้าคนหนึ่งตั้งเป็นเงื่อนไขให้กับคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่แม้แต่คนชาติเดียวกัน
เพียงแต่บังเอิญ
มาชอบดนตรีเหมือนกันเท่านั้น   จะเอากฏกติกาแบบนั้นมาใช้กับสังคมคมออนไลน์อย่างบ้านกลอนไทยที่ถือคติว่า
อยู่กันอย่างเสมือนพี่เสมือนน้อง เสมือนเพื่อนได้อย่างไร   อย่างน้อยที่สุดสมาชิกบ้านกลอนไทย ก็เป็นคนไทยเหมือนๆกันคือเป็น
เพื่อนร่วมชาติ พูดภาษาเดียวกัน และเมื่อมาอยู่รวมกัน  ก็ต้องเจอกันทุกวันในเว็บ  อย่างน้อยก็ต้องคุ้นเคยกับชื่อเสียงนามกันบ้าง
จึงนับว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า(แม้จริงๆแล้วจะไม่เคยพบกันมาก่อนก็ตามที)  จะเอาไปเปรียบกับการปฏิบัติตัวของ
 แหลม มอริสัน และ น็อต  นุติเขมโยธินไม่ได้หรอกนะครับ  มันต่างกันมาก
ถ้าหากจะยึดหลักปฏิบัติว่า ที่นี่คือเว็บกลอน  ดังนั้นจะพูดจะคุยกันก็ต้องเฉพาะในเรื่องกลอนตามชื่อเว็บเท่านั้น  
แบบนี้มันก็ไม่ใช่การอยู่กันแบบพี่แบบน้อง  แบบลุงป้าน้าอา  หรือแบบเพื่อน  จริงไหมครับ



ตอบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ประเด็นของเรื่องแรก
   แหลม มอริสัน เป็นคนไทยครับ เป็นนักกีตาร์ระดับเทพรุ่นเดียวกับกิตติ กีตาร์ปืน และฯลฯ เป็นศิลปินเพื่อศิลปะ ไม่เคยก้มหัวให้กับเงินและวัตถุใดๆ
   ประเด็นเรื่องแรกที่ต้องการชี้คือ นี่คือปฏิสัมพันธ์ระดับปัจเจกบุคคล มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าคุณจะเป็นมหาเศรษฐีแบบบิล เกตส์ หรือยายไฮ (รวมแม่ยิ้ม) และมนุษย์มีเสรีเสมอในการไปมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในระดับปัจเจก แน่นอนว่าในการมีปฏิสัมพันธ์กันในระัดับปัจเจกนี้ก็จะมี "กติกาเฉพาะตัวระหว่างมนุษย์สองคน" ใช้รวมกัน และแตกต่างกันไปตามแต่ปัจเจกสองคนนั้นๆ จะกำหนดร่วมกัน เช่นดังอุทธาหรณ์เรื่องที่หนึ่งที่ยกมา

สำหรับเรื่องที่สอง
   ท่านมือขวาไม่ติดใจและไม่ตอบ ขอตอบสั้นๆ ว่า นี่คือปฏิสัมพันธ์ในระดับที่ใหญ่กว่าปัจเจกต่อปัจเจก คือในรูปของประชาคม เป็นเรื่องของคนหมู่มาก ดังนั้น กฎกติกาจึงย่อมต้องรองรับและเอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ตัวประชาคมเป็นตัวที่กำหนดกติกาทั้งหมด (เกิดจากความเห็นร่วมของสมาชิกผู้ก่อตั้งกำหนดขึ้น)" เมื่อแต่ละปัจเจกเห็นชอบกับกติกานั้นๆ ก็จะเดินเข้าไปในประชาคมนั้นเพื่อเป็นสมาชิกและปฏิบัติตามกฎกติกานั้นๆ เช่น บ้านกลอนไทย

   ***แต่ทั้งนี้ กฎกติกาของประชาคมก็ไม่ใช่ "ความจริงสูงสุด" ในระดับที่แตะต้องหรือวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ "กฎกติกาเกิดจากสมาชิก สมาชิกจึงมีสิทธิที่จะวิพากษ์กฎกติกา" แต่ส่วนที่เป็น "หลักการพื้นฐานอย่างยิ่งยวด" นั้นไม่ควรแตะต้อง เช่น บ้านกลอนไทย ชื่อและความหมายชัดเจนในตัว หากสมาชิกบางท่านหรือหลายๆ ท่านวิพากษ์และลงความเห็นว่าควรเปลี่ยนเป็น "บ้านกลอนประตู" เพื่อขายกลอนประตูบ้านอย่างเดียว เช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการทำลายหลักการพื้นฐานเดิมของการก่อเกิดบ้านกลอนไทยนั่นเอง

   ขอให้มือขวามีความสุขกับการแต่งกลอนต่อไป อย่าไปใส่ใจหรือตั้งคำถามอย่างกระทู้นี้เลย
   ชาวกวีทุกคนเป็นกวีด้วยตัวตน เลือดเนื้อ จิตใจ และวิญญาณ ไม่มีการลงสมัครรับเลือกตั้ง (รวมลากตั้ง) เพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากพอที่จะเป็นกวี

   สำหรับกระทู้นี้ ผมตอบเต็มแล้ว และจะไม่เข้ามาตอบอีกนะครับ

   ที่เขียนมาทั้งหมดเป็นเรื่องของการใช้ตรรกะเชิง "หลักการและเหตุผล" ทั้งสิ้น ไม่ได้มีอคติส่วนตัว ก็จะยังกดไลก์ให้กับมือขวา และคนร่วมประชาคมนี้ต่อไปเช่นเดิม

ด้วยจิตคารวะ

สนอง เสาทอง
(รักษาการแทน choy)
8 พฤษภาคม 56


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 08:53:AM


โฮะๆๆๆ   เป็นความผิดผมเองที่ความรู้น้อยเกินไป   จึงไม่รู้ว่า แหลม มอริสัน เป็นคนไทย
ทำให้วิเคราะห์ผิดไป  ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ (มิน่า ยังนึกแปลกใจว่าฝรั่งอะไร ทำไมชื่อคล้ายคนไทย  emo_45)

 emo_85    emo_68   emo_126




หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พิมพ์วาส ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 09:28:AM

                  พึ่งจะรู้ว่าคุณพิมพ์วาส ไม่ค่อยชอบกลอนแบบรำพึงรำพันที่ไม่มีเรื่องมีเรื่องราว
ก่อนอื่นอยากให้คุณทำความเข้าใจก่อนว่า สมาชิกส่วนมากไม่ได้เป็นนักเขียนมืออาชีพ
เป็นเพียงผู้มีใจรักในบทกลอนเท่านั้น  ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่นักถ่ายทอดเรื่องราว
หรือแต่งกลอนให้เป็นเรื่องเป็นราวแบบมืออาชีพได้  ดังนั้นเราจึงเห็นบทกลอนประเภท
รักนะ(แต่ไม่รู้รักใคร)  อกหักผิดหวัง(แต่ไม่รู้ว่าอกหักจากใคร  เรื่องอะไร  เมื่อไหร่ ที่ไหน)
ก็คนมันไม่ได้มีความรัก จะให้เขียนกลอนบอกรักได้ลึกซึ้งได้อย่างไร  แล้วกลอนอกหักนั่นก็อีก
ก็คนมันไม่ได้อยู่ในอารมณ์อกหัก  แล้วจะให้แต่งกลอนอกหักได้อย่างไร  มันจึงมีแต่กลอน
ที่บอกรัก  ว่าอกหัก ว่าเจ็บปวดรวดร้าว(แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร)อยู่แค่นั้น
คนที่จะเขียนผูกเรื่องให้มันดูสมจริงทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นจึงมีแต่นักเขียนมืออาชีพเท่านั้นถึงทำได้
                อนึ่งควรทราบว่ากลอนก็คือคำพูดชนิดหนึ่งเท่านั้น ก็เมื่อนเมื่อกลอนคือคำพูด
ดังนั้นมันจึงมีทั้งกลอนที่เพราะและไม่เพราะ  วันไหนคนแต่งอารมณ์ดีก็พูดรู้เรื่อง กลอนที่แต่งก็เพราะ
วันไหนคนแต่งอารมณ์ไม่ดี เครียด คิดอะไรไม่ออก ก็พูดไม่รู้เรื่อง  กลอนที่แต่งออกมาจึงไม่เพราะ
                  แล้วการที่จะพูดกันให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เนื้อหาสาระนั้น มันก็ต้องมีประเด็นที่จะพูด
ซะก่อน มันถึงจะพูดได้เนื้อหาสาระ    แต่บางคนไม่มีประเด็นที่จะพูด  แต่อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องขอพูด
ซะหน่อย  ไม่พูดเดี๋ยวเปรี้ยวปากลงแดงตาย  ดังนั้นเมื่อไม่มีประเด็นอะไรที่จะพูด แต่ต้องการจะพูด
ให้ได้มันจึงกลายเป็นพูดบ่นเรื่อยเปื่อยไป  เอาเรื่องเอาราวหาสาระไม่ได้
การแต่งกลอนมันก็ดุจเดียวกัน ถ้าคนแต่งมีประเด็นที่จะแต่งชัดเจน กลอนที่แต่งมันก็ออกมาดี
มีเรื่องราว   แต่บางคนไม่มีประเด็นที่จะแต่งหรอก ไม่รู้ว่าจะแต่งเรื่องอะไรแต่ขอข้าได้แต่งไว้ก่อน
ดังนั้นกลอนที่ออกมามันจึงเป็นอย่างที่เห็น  คือคล้ายๆคนที่บ่นๆไปเรื่อยๆไม่มีเรื่องมีราวอะไร
เรื่องนี้ผมได้เคยตั้งกระทู้ชื่อ "เขียนกลอนตอนที่คิดไม่ออก"ซึ่งเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนกระทั่ง
ถูกลบไปเมื่อปีที่แล้ว
                   ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจว่า ก็คนมันไม่มีเรื่องจะพูด  แต่ต้องพูดให้ได้  แล้วจะให้
ทำอย่างไรได้เล่า  กลอนที่ออกมามันจึงเหมือนคนที่บ่นเพ้อไปวันๆ(ไม่ได้ว่าแต่ผู้อื่นหรอก ตัวผมก็เป็นด้วย
บางทีไม่รู้ว่าต้องการเขียนเรื่องอะไร  แต่ขอเขียนไว้ก่อน)


ขอเน้นหนักๆสักหน่อย จากช่วงกลางที่บอกรสนิยมส่วนตัวในการเลือกอ่าน ตัวผู้บอกมิได้กล่าวถึงว่าเป็นเป็นคำประพันธ์ชนิดใด
แต่สิ่งที่กล่าวมาช่วงท้ายที่ยกตัวอย่าง บอกไว้แล้วหมายถึงคำประพันธ์ชนิดใด ว่าหากรำพึงรำพันเพ้อพบ
แล้วไม่มีเรื่องราวที่วาดโครงเรื่องที่จะดำเนินไว้ ตนจะอ่านไม่รู้เรื่องเพราะผู้เขียนไม่มีลำดับการเขียนเรื่องราว
คือพรรณนาเพ้อพบไปทั่ว โดยไม่รู้แก่นสารสาระว่าจะสื่อไปเรื่องใด (ใครๆก็อ่านนไม่รู้เรื่องทั้งนั้นแหละ ไม่เชื่อไปหาอ่านดู)
ในที่นี้ ผู้เขียนบอกรสนิยมหมายถึง จำพวก 'เรื่องสั้น' ข้อความประกอบบทความ คำโปรยที่โปรยแบบงงๆ

ส่วนตัวก็ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว ว่าเช่นแบบไหน
จากรสนนิยมที่บอกข้างต้นไม่ได้กล่าวถึง 'กลอน' เลย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องชี้แจงให้ฟังเพราะผู้บอกรสนิยมก็เขียนเช่นกัน
แต่เขียนในรูปแบบมีฉันทลักษณ์และความชอบของตัวเอง

ขอบคุณที่อ่านค่ะ โปรดเข้าใจด้วย
ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่บอกไป โปรดกลับไปอ่านทวนใหม่
ขอบพระคุณค่ะ





หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: รพีกาญจน์ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 10:59:AM
     
     ขอคุยบ้างครับ

     ผมหัดแต่งกลอนปี 2505 กำลังเรียนขั้นประถมปีที่ 5 ในหัวข้อว่า  " สักวา คราสอบ ขอมอบจิต "  พร้อมๆกับเขียนข้อความติดป้ายนิเทศ
หน้าห้องเรียน  " เทวดาหรือซาตาน  "  ความว่า...คุณมาจากประเทศที่ไม่เคยปลูกข้าวเจ้า แล้วคุณจะช่วยพัฒนาข้าวไทยได้อย่างไร?...
     ผมเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3  ได้แต่งกลอนส่งลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายสัปดาห์ และเขียนข่าวรายงานสังคม
     ผมเรียนระดับ ป.กศ. ส่งผลงานลงหนังสือพิมพ์ ได้รับค่าตอบแทนบทละ 10 บาท เก็บออมไว้เป็นค่าเทอม ผมอาศัยวัด กินข้าววัดครับ
     ผมเริ่มรับราชการ ปี 2515 มีครอบครัว ห่างเหินหยุดแต่งกลอนนานนับ 40 ปี กระทั่งปลายปี 2553 ลูกชายยกคอมพ์เก่า
ให้หัดจิ้มพิมพ์ และแนะนำรู้จักสมัครเป็นสมาชิกบ้านกลอนไทย ได้รื้อฟื้นแต่งกลอนอีกครั้งจนถึงวันนี้
     
     สิ่งที่ได้ตั้งใจเอาไว้
     1. จะพยายามอ่านทุกกระทู้ๆที่อ่านแล้วจะกดชมทุกครั้ง
     2. จะแต่งกลอนลงวันละ 1 กระทู้ เป็นอย่างน้อย
     3. จะให้คะแนนกระทู้หรือคนที่ชอบ ตามกำหนด ถ้าใครตอบต่อกลอน หรือให้คะแนน จะให้ตอบ
     4. จะเขียนเรื่อยไปจนกว่าคอมพ์หรือคน(ผม)ใช้การไม่ได้ หรือเวบมาสเตอร์อเปหิ
     5. ไม่หวงผลงาน ใครจะนำไปใช้หรือย่างไร เชิญตามสบาย ไม่ต้องบอกกล่าว

     ผมคุยอย่างนี้พอใช้ได้ไหมครับคุณมือขวา
     จาก...คนกดทุกปุ่ม  emo_20



หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: ...เป็ดน้ำ... ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 11:19:AM
ผมว่าความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ในนักกลอนส่วนใหญ่(หรือเปล่า)
แต่ผมคนนึงหัดแต่งกลอนครั้งแรกก็ปีกว่าๆ ตั้งกระทู้เอง ไปตอบเขามั่ง
แต่คงเพราะความอ่อนด้อยในฝีมือ ตั้งกระทู้ปุ๊บ แปปเดียวก็หายไปจากหน้าบอร์ด
ไปต่อกระทู้มั่ง ก็ไม่มีใครมาตอบต่อ แม้ตอนหลังจะพอเข้าใจว่าตอนนั้นกลอนเรามันไม่ดี
แต่ก็รู้สึกโดดเดี่ยวพอสมควร เพราะไม่มีใครฝึกหัดให้ ดังนั้นเข้าใจความเห็นท่านมือขวา
และความรู้สึกนักกลอนฝึกหัดทุกคน ว่าไม่มีกำลังใจ และไม่รู้จะแต่งไปทำไมเพราะไม่รู้มีคนอ่านหรือเปล่า !!


 emo_111 emo_111 emo_111


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: สมนึก นพ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 12:57:PM
จากแรงบันดาลใจที่ชอบอ่านพระอภัยมณี จึงอยากหัดลองแต่งกลอนดูบ้าง
ผลออกมาเป็นกลอนประตู กลอนหน้าต่าง ฯ ก็เขียนไปเรื่อยๆ ในหมู่เพื่อนๆที่ทำงาน
เขาก็ว่าเราเก่ง เพราะต่างก็รู้เพียงว่านำเสียงคล้องจองมาวางตำแหน่งสัมผัสก็ใช้ได้แล้ว
วันหนึ่งเพื่อนในเน็ตทิ้งลิ้งค์ www.klonthaiclub.com (http://www.klonthaiclub.com) ไว้ให้ ลองเข้ามาดู เจอระเบียบ
ข้อบังคับต่างๆ ก็ได้สมัครสมาชิกเข้ามา และคิดว่าเราก็หนึ่งในตองอู จึงนำกลอนตามแบบ
ที่เคยเขียนมาลง ผลปรากฏว่ามีหลายท่าน ชี้แจง แนะนำ แก้ไขผิดถูกอย่างไร กำลังใจ
ในขณะนั้นคือท่านเหล่านั้น โต้ตอบบทกลอนของเรา ซึ่งเท่ากับว่าคือการบ้าน แม้ปัจจุบันนี้ก็
กำลังศึกษาอยู่ไม่รู้จบ คิดว่าพยายามลงให้ได้ แม้วันละบทก็ยังดี แต่บังเอิญสถานการณ์ โรคภัย
ไข้เจ็บ และอีกจิปาถะที่ต้องระวัง แก้ไข จึงห่างๆไปบ้าง ครั้นห่างนานเข้า ยอมรับว่าเขียนไม่ออก
ไม่เป็นดังที่หวัง กลัวไม่เป็นที่ยอมรับจากหลายท่าน(คิดไปเอง) ซึ่งเขาเหล่านั้นอาจมีภารกิจอื่น ไม่ว่าง
ก็ซึมๆไปเหมือนกัน หลังจากนั้น 2-3 วันกลับมาดูใหม่ มันกลับไม่ใช่ดังที่คิด กำลังใจก็กลับมาใหม่
สื่อสัมพันธ์ในบ้านกลอน กลับทำให้มีความรู้สึกใหม่ขึ้นมา นั่นคือความห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน
ภาพแทนตัวก็ไม่ใช่ นามหรือนามแฝงก็ไม่เชิง แต่มันมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ สิ่งเหล่านี้ ผมได้รับจาก
บ้านกลอนไทยครับ........
นพ
8 พ.ค.56


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: กังวาน ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 01:21:PM
ผมขอเรียนเขียนตอบมอบมือขวา
เห็นคุณมากังวลทนมิไหว
เรื่องแต่งกลอนอ่อนอกเหมือนตกใจ
ขืนแต่งไปบ่นบ้าท่ามิดี

ณ บ้านกลอนตอนนี้ไม่มีเส้น
จะแต่งเล่นแต่งจริงอิงศักดิ์ศรี
จะแต่งเย้าแต่งหยอกหลอกก็มี
แต่ใจนี้จริงใจไม่เกลียดชัง

มิได้แข่งแบ่งยศจดทำแต้ม
ดอกไม้แย้มดอกไม้บานหว่านความหวัง
เพราะชีวิตคิดไปไม่จีรัง
ไยมานั่งกังวลหาคนแล

อยากจะแต่งแต่งไปไม่ก็อ่าน
กลอนเขาหวานหรือเฉาเราอย่าแถ
มิได้เกี่ยวกับเราก็อย่าวอแว
ถ้าดวงแดคิดรักเป็นนักกลอน

บ้านกลอนนี้มีผู้ใหญ่ไปจนเด็ก
ถ้ายังเล็กค่อยคิดอ่านผ่านอักษร
อาวุโสต้องเคารพจะพบพร
ขอวิงวอนท่านไตร่ตรองแล้วลองทำ

           ---กังวาน---


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: saknun ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 02:50:PM
สายกลาง กระจ่าง สดใส
หัวใจ  รับรู้ เสมอ
เคารพ ผู้ใหญ่ นะเธอ
อย่าเผลอ ความใน ให้ฟัง

อดคิด  คิดอด นะครับ
ขอปรับ เข้าใจ สักครั้ง
ปัญหา เคยเจอ เหมืองกัง(กัน)
ยั้บยั้ง  เก็บไว้  นะครับ

ขอแสดงความคิดเป็นส่วนตัวนิดนะครับ
วันนี้ผมอ่านข้อความหลายท่านที่ลงมา
เหมือนกับต่อว่า ท่านมือขวายังไงไม่รู้
แต่พออ่านต่อไปอีก มันเหมือนกับว่า
ถ้าใครไม่พอใจก็อย่ามาที่นี่ อะไรทำนองนี้แหละ
เอาเถอะครับ สำหรับผมคิดว่าอย่างไงก็ได้อยู่ทีตัวเรา
ความคิดของคนเรานั้น ย่อมแตกต่างกันได้ครับ
ท่านมือขวาท่านอาจจะคิดอย่างนั้นแล้วท่านก็เขียนความคิดนั้นลงมา
บังเอิญว่า ท่านผู้ใหญ่ผู้รู้แสดงความคิดเห็นตอบกลับ ฟังแล้ว
อ่านแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ เป็นธรรมดาของมนุษย์เราครับจบ

                    saknun


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 04:20:PM

                  พึ่งจะรู้ว่าคุณพิมพ์วาส ไม่ค่อยชอบกลอนแบบรำพึงรำพันที่ไม่มีเรื่องมีเรื่องราว
ก่อนอื่นอยากให้คุณทำความเข้าใจก่อนว่า สมาชิกส่วนมากไม่ได้เป็นนักเขียนมืออาชีพ
เป็นเพียงผู้มีใจรักในบทกลอนเท่านั้น  ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่นักถ่ายทอดเรื่องราว
หรือแต่งกลอนให้เป็นเรื่องเป็นราวแบบมืออาชีพได้  ดังนั้นเราจึงเห็นบทกลอนประเภท
รักนะ(แต่ไม่รู้รักใคร)  อกหักผิดหวัง(แต่ไม่รู้ว่าอกหักจากใคร  เรื่องอะไร  เมื่อไหร่ ที่ไหน)
ก็คนมันไม่ได้มีความรัก จะให้เขียนกลอนบอกรักได้ลึกซึ้งได้อย่างไร  แล้วกลอนอกหักนั่นก็อีก
ก็คนมันไม่ได้อยู่ในอารมณ์อกหัก  แล้วจะให้แต่งกลอนอกหักได้อย่างไร  มันจึงมีแต่กลอน
ที่บอกรัก  ว่าอกหัก ว่าเจ็บปวดรวดร้าว(แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร)อยู่แค่นั้น
คนที่จะเขียนผูกเรื่องให้มันดูสมจริงทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นจึงมีแต่นักเขียนมืออาชีพเท่านั้นถึงทำได้
                อนึ่งควรทราบว่ากลอนก็คือคำพูดชนิดหนึ่งเท่านั้น ก็เมื่อนเมื่อกลอนคือคำพูด
ดังนั้นมันจึงมีทั้งกลอนที่เพราะและไม่เพราะ  วันไหนคนแต่งอารมณ์ดีก็พูดรู้เรื่อง กลอนที่แต่งก็เพราะ
วันไหนคนแต่งอารมณ์ไม่ดี เครียด คิดอะไรไม่ออก ก็พูดไม่รู้เรื่อง  กลอนที่แต่งออกมาจึงไม่เพราะ
                  แล้วการที่จะพูดกันให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เนื้อหาสาระนั้น มันก็ต้องมีประเด็นที่จะพูด
ซะก่อน มันถึงจะพูดได้เนื้อหาสาระ    แต่บางคนไม่มีประเด็นที่จะพูด  แต่อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องขอพูด
ซะหน่อย  ไม่พูดเดี๋ยวเปรี้ยวปากลงแดงตาย  ดังนั้นเมื่อไม่มีประเด็นอะไรที่จะพูด แต่ต้องการจะพูด
ให้ได้มันจึงกลายเป็นพูดบ่นเรื่อยเปื่อยไป  เอาเรื่องเอาราวหาสาระไม่ได้
การแต่งกลอนมันก็ดุจเดียวกัน ถ้าคนแต่งมีประเด็นที่จะแต่งชัดเจน กลอนที่แต่งมันก็ออกมาดี
มีเรื่องราว   แต่บางคนไม่มีประเด็นที่จะแต่งหรอก ไม่รู้ว่าจะแต่งเรื่องอะไรแต่ขอข้าได้แต่งไว้ก่อน
ดังนั้นกลอนที่ออกมามันจึงเป็นอย่างที่เห็น  คือคล้ายๆคนที่บ่นๆไปเรื่อยๆไม่มีเรื่องมีราวอะไร
เรื่องนี้ผมได้เคยตั้งกระทู้ชื่อ "เขียนกลอนตอนที่คิดไม่ออก"ซึ่งเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนกระทั่ง
ถูกลบไปเมื่อปีที่แล้ว
                   ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจว่า ก็คนมันไม่มีเรื่องจะพูด  แต่ต้องพูดให้ได้  แล้วจะให้
ทำอย่างไรได้เล่า  กลอนที่ออกมามันจึงเหมือนคนที่บ่นเพ้อไปวันๆ(ไม่ได้ว่าแต่ผู้อื่นหรอก ตัวผมก็เป็นด้วย
บางทีไม่รู้ว่าต้องการเขียนเรื่องอะไร  แต่ขอเขียนไว้ก่อน)


ขอเน้นหนักๆสักหน่อย จากช่วงกลางที่บอกรสนิยมส่วนตัวในการเลือกอ่าน ตัวผู้บอกมิได้กล่าวถึงว่าเป็นเป็นคำประพันธ์ชนิดใด
แต่สิ่งที่กล่าวมาช่วงท้ายที่ยกตัวอย่าง บอกไว้แล้วหมายถึงคำประพันธ์ชนิดใด ว่าหากรำพึงรำพันเพ้อพบ
แล้วไม่มีเรื่องราวที่วาดโครงเรื่องที่จะดำเนินไว้ ตนจะอ่านไม่รู้เรื่องเพราะผู้เขียนไม่มีลำดับการเขียนเรื่องราว
คือพรรณนาเพ้อพบไปทั่ว โดยไม่รู้แก่นสารสาระว่าจะสื่อไปเรื่องใด (ใครๆก็อ่านนไม่รู้เรื่องทั้งนั้นแหละ ไม่เชื่อไปหาอ่านดู)
ในที่นี้ ผู้เขียนบอกรสนิยมหมายถึง จำพวก 'เรื่องสั้น' ข้อความประกอบบทความ คำโปรยที่โปรยแบบงงๆ

ส่วนตัวก็ได้ยกตัวอย่างไปแล้ว ว่าเช่นแบบไหน
จากรสนนิยมที่บอกข้างต้นไม่ได้กล่าวถึง 'กลอน' เลย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องชี้แจงให้ฟังเพราะผู้บอกรสนิยมก็เขียนเช่นกัน
แต่เขียนในรูปแบบมีฉันทลักษณ์และความชอบของตัวเอง

ขอบคุณที่อ่านค่ะ โปรดเข้าใจด้วย
ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่บอกไป โปรดกลับไปอ่านทวนใหม่
ขอบพระคุณค่ะ






ต้องขอโทษคุณพิมพ์วาส(ผิดเอง)ด้วยครับ   เข้าใจผิดอย่างแรง.... emo_85
ก็ทีแรกผมเห็นคุณพิมพ์วาส(ผิดเอง) บอกว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม  ที่นี่ในเมื่อมีชื่อว่า"เว็บบ้านกลอนไทย"
ก็ต้องพูดเรื่องกลอน  ผมก็เลยนึกว่าที่คุณพิมพ์วาส(ผิดเอง)พูดมาทั้งหมดนั้นคือเรื่องกลอนล้วนๆ
ใครจะไปนึกว่าคุณจะเฉไฉไปพูดถึงบทประพันธ์ประเภทอื่น  ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ

 emo_68




เหมือนกับที่คุณช้อยบอก (ไม่ทราบอ่านว่าอ่านถูกไหมต้องขออภัยค่ะ ส่วนตัวไม่นิยมเขียนภาษาไทยปนภาษาอังกฤษค่ะ)
เรื่องที่อ่านจากคุณช้อย สำหรับตัวเองแล้วตีประเด็นออกมาได้ว่า 'เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม'
ก็เหมือนกับเมื่อเจอสังคมกลอนก็ย่อมจะคุยสนทนาทักทายกันเป็นกลอนเป็นธรรมดา

สุภาษิตข้างตนหมายความว่า "ที่แห่งใดเขาประพฤติตามเขาไปด้วย  อย่าไปประพฤติขัดแย้งกับเขา"
ดังนั้นเมื่อเราขึ้นชื่อว่า 'บ้านกลอนไทย' ก็ย่อมเป็นนักเขียนกลอนอยู่แล้ว
แต่ในบ้านกลอนไทยก็มีหมวดต่างๆให้เลือกว่าจะเขียนกลอนแนวไหน จะทำอะไรก็มีที่ให้สนทนากัน
หรือเข้าห้อง สนทนา ไปคุยกันเลยก็ได้ ทางเว็บก็มีให้

ส่วนตัวจะเป็นอะไรก็ได้ค่ะที่ไม่เกี่ยวกับการรำพึงเพ้อพบ พรรณนาเพ้อพร่ำต่างๆ ไม่เป็นเรื่อง
ที่อ่านแล้วงงมึน ตีความสุดฤทธิ์ก็ยังงง (ไม่รวมแคนโต้ เก็บเซนริวนะคะ)
เพราะตัวเองก็ทำได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องเล่า เรื่องสั้น นิยาย นวนิยาย ความรู้รอบๆตัว
ส่วนตัวเองแล้วก็ชอบที่จะอ่านนะคะ (เลือกนิดหนึ่ง)

ที่ว่ารำพึงรำพันไม่รู้เรื่อง อาจจะเป็นเพราะเราคิดไม่ถึงเช่น (เขียนเองงงเอง ของเก่าค่ะ ไม่เคยลง)

เธอสวยเหมือนดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้ใช่! ใช่!
นั่นแสง ไม่ๆๆๆ ฉันเป็นดอกไม้เธอเป็นแสง เธอให้ความอบอุ่นฉัน ฉันจะบานให้เธอดู

--- ก็เข้าใจนะคะที่เขียน เขียนแบบไม่รู้เรื่อง เอ่อ...แบบไหน แบบนี้หรือเปล่า

'ฉันรักเธอเหลือเกินแม่ดอกไม้ริมทาง ฉันจะคว้าเธอมาเพื่อเชยชมก็แสนง่าย
แต่ฉันจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะฉันรักเธอ ถ้าหากฉันเด็ดเธอมาเชยชมประเดี๋ยวเพียงชั่วครู่ชั่วยามเธอก็จะจากฉันไป
แต่ถ้าเธออยู่ที่ริมทางนั้น ฉันก็จะได้เชยชมเธอไปได้อีกนานกว่าเธอจะโรย เธอถามว่าฉันเป็นใครฉันเป็นสายลมของเธอ'

ย้ากกกกกกกกกกกก เขียนไม่เป็น ขออภัยค่ะ นอกประเด็นไปไกล ประเด็นของตัวเองอยู่ด้านบนค่ะ

ป.ล. พิมพ์นานไปสักหน่อยสมาชิกหลายท่านแซงต่อกระทู้ก่อนเสียแล้ว สุดเศร้าใจ








หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: choy ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 06:05:PM

นี่แหละกวี
(และวิบากชะตากรรม)

ชะตากรรมคนกวีนั้นมหันต์
เพียรถักร้อยปั้นฝันผ่านคำถ้อย
เฉกแม่เรือนประณีตประดิดประดอย
ตัดปะเนียนค่อยค่อยเย็บชุนความ

ฝันเขียนกวีพลิ้วงามอย่างล้ำลึก
กลั่นจากผลึกบึ้งใจใครวาบหวาม
แม้ยลยินต้องมนต์ลุ่มหลงตาม
ระบือคามคมคำอันดื่นรมย์

จึงพากเพียรเรียนงานบุรพกวี
ถอดหอมศรีรหัสนัยคล้ายยาขม
เสพเพรื่อพร่ำดักดานจิตจ่อมจม
แล้วเพียรก้มนฤมิตจินตกานท์

จรดปากกาสลักเสลารุ้งจำหลัก
ติดหล่มปลักตมคำอยู่งุ่นง่าน
เกลาถ้อยดินถ้อยทรายด้วยดวงมาน
เป็นถ้อยดาวแย้มบานหอมลานกวี

วิบากกรรมคนกวียังไม่สิ้น
ถ้อยคำหมิ่นวิจารณ์งานบัดสี
ไร้คุณค่าวรรณศิลป์ฝุ่นธุลี
คมคำขยี้ดอกกวีร่วงลานดิน

กรีดน้ำตากอบเก็บกลีบดอกช้ำ
ค่อยเรียงร้อยช่อคำอันยับวิ่น
หอบดอกกวีกลีบเยินอันพังภินท์
ฝังบึ้งใจของกวินทร์อยู่เงียบงัน ฯ

สนอง เสาทอง
8 พฤษภาคม 56


*มอบให้มือขวา (ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนบทนี้)
คนรุ่นผมล้วนผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดเช่นนี้ทั้งสิ้น ไม่มีสื่อออนไลน์มารองรับเช่นรุ่นคุณ

**กวีคุณภาพอย่าง โกศล อนุสิม ได้ประกาศวาทะเด็ดอย่างน้อย 2 สำนวนเท่าที่จำได้ คือ

“บทกวีไม่ได้มีไว้ขาย มีไว้แจกจ่าย และแบ่งปัน”

และที่น่าจะโดนใจมือขวา (รวมทั้งกวีหลายๆ คน รวมผมด้วย)

“ข้าพเจ้าเขียน ท่านอ่าน, ท่านไม่อ่าน ข้าพเจ้ายังเขียน”



หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: ดุลย์ ละมุน ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 07:27:PM
คุยด้วย...

ดุลย์ ละมุน...   ชายหนุ่มลุ่มเจ้าพระยา   ผิวสีชา   ในตาสีเหล็ก   ชอบเด็กสาวๆเป็นชีวิตจิตใจ
ระยะการกินไกล 500 เมตร(ไกลกว่านี้มองไม่เห็นสายตาสั้น) ชีวิตเรียบง่าย   อาชีพรับราชการ
เมียสองลูกสาม   ยามว่างปลูกผักเลี้ยงชีวี   เป็นหนี้สหกรณ์   ผ่อนยันเกษียณ   เขียนกลอนเพื่อคลายความเศร้า
เมาบ้างเป็นครั้งคราว   หนาวใจเป็นบางหน   ถนนบางสายผ่านไม่ได้(เป็นหนี้)  มีสุภาษิตประจำใจเป็นภาษาจีนว่า
" หง๋วย  เซี๊ยะ  เงี๊ยะ  ซ้วย  กึง  ซั่ว " แปลเป็นไทยได้ว่า " มีเมีย ไม่มีน้องเมีย ตายเสียดีกว่า "


555ขอให้รอยยิ้มจงอยู่คู่กับทุกท่านชาวบ้านกลอน
 emo_85


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: panthong.kh ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 07:35:PM
คุยด้วย...

ดุลย์ ละมุน...   ชายหนุ่มลุ่มเจ้าพระยา   ผิวสีชา   ในตาสีเหล็ก   ชอบเด็กสาวๆเป็นชีวิตจิตใจ
ระยะการกินไกล 500 เมตร(ไกลกว่านี้มองไม่เห็นสายตาสั้น) ชีวิตเรียบง่าย   อาชีพรับราชการ
เมียสองลูกสาม   ยามว่างปลูกผักเลี้ยงชีวี   เป็นหนี้สหกรณ์   ผ่อนยันเกษียณ   เขียนกลอนเพื่อคลายความเศร้า
เมาบ้างเป็นครั้งคราว   หนาวใจเป็นบางหน   ถนนบางสายผ่านไม่ได้(เป็นหนี้)  มีสุภาษิตประจำใจเป็นภาษาจีนว่า
" หง๋วย  เซี๊ยะ  เงี๊ยะ  ซ้วย  กึง  ซั่ว " แปลเป็นไทยได้ว่า " มีเมีย ไม่มีน้องเมีย ตายเสียดีกว่า "


555ขอให้รอยยิ้มจงอยู่คู่กับทุกท่านชาวบ้านกลอน
 emo_85

emo_45 emo_45 emo_45
 emo_45 emo_45 emo_45

สุดยอดจ้า

 emo_45 emo_45 emo_45
 emo_45 emo_45 emo_45


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 08:52:PM

อยากเขียนอะไรก็เขียนไปเถิด ถ้าสิ่งที่เราเขียนมีคนเข้ามาอ่าน นั่นแสดงว่างานของคุณน่าสนใจ หรืองานของบางคนที่รักการเขียน แต่มันอาจจะผิดเพี้ยนไปบ้าง ก็จะมีรุ่นพี่เข้ามาแนะนำ ถ้าคุณไม่ใจแคบเกินไป เปิดใจให้กว้างรับคำติเพื่อก่อนั้น เพื่อปรับปรุงงานของคุณ และคุณก็ควรจะเรียนรู้กฎ ข้อบังคับ หรือฉันทลักษณ์ของ แต่ละโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน แล้วคุณจะรู้สึกสนุกกับมันเหมือนกับการที่คุณจะไปเชียงใหม่ คุณก็ต้องเรียนรู้เส้นทาง ใหม่ๆก็ค่อยๆคลานไปเรื่อยๆ แต่พอชำนาญแล้ว เราก็สามารถไปถึงที่หมายได้อย่างง่ายดาย
เราเข้ามาบ้านกลอนเพราะรักการอ่าน การเขียนกลอน เข้ามาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ได้รู้จักกับเพื่อนๆโดยที่ไม่เคยเห็นหน้า และรู้จักกับการเข้าไปอ่าน ไปกดยกมือให้คนอื่นๆบ้าง แล้วเขาก็จะเข้ามาอ่านงานของคุณเอง ผมอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ผมว่าที่บ้านกลอนแห่งนี้อบอุ่นมากนะ ถ้าเรารู้จักการให้ โดยที่ไม่หวังผลตอบแทน แล้วสิ่งที่หวนคืนมาหาเรานั้น คาดไม่ถึงจริงๆ

ลุงไพร
 


หัวข้อ: Re: ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่คนหนึ่งเอาแต่ชวนคุยอย่างเดียว โดยไม่ค่อยจะแต่งกลอนพวกคุณจะสน
เริ่มหัวข้อโดย: เพรางาย ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 09:18:PM
ขอบคุณเพื่อนนักกลอนทุกคนที่มีกำลังเขียนกลอนมาให้อ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าจะอ่านบ้าง  ไม่อ่านบ้าง  กดชื่นชมบ้าง  ไม่ได้กดบ้าง  ให้คะแนนบ้าง  และไม่ให้คะแนนบ้างก็ตาม
จำได้ว่าคุณงายก็ถูกบางคนกล่าวถึงในเรื่องการกดชมเชยยากเย็น
แต่ยืนยันว่าไม่ได้เลือกกดเฉพาะบทกลอนนะคะ  ร้อยแก้วที่ถูกใจก็กดให้เหมือนกัน
ก็...ปุ่มตอนนี้คือ  ถูกใจใช่เลย
ถ้าถูกใจก็ยินดีกดให้โดยไม่รับสินบนใดๆ
แต่ถ้าอ่านแล้วไม่ถูกใจก็ขอสงวนสิทธิ์ที่จะให้หรือไม่ให้

คุณงายจะชื่นชมกลอนที่แสดงความคิดสร้างสรรค์
หรือใช้สำนวนที่อ่านแล้วแปลกใหม่หรือชวนประทับใจเป็นพิเศษ
ถ้าสำนวนนั้นมีผิดพลาดบ้าง แต่เนื้อหาดีเด่นก็จะเลือกใช้วิธีส่งข้อความไปชื่นชม
วิธีการแต่งนั้นปรับปรุงไปได้
แต่ความคิดสร้างสรรค์ และสำนวนที่แหวกความธรรมดาออกมาให้ปรากฏนั้น
มันวูบวาบจับตาน่าชื่นชม

ขอบคุณเพื่อนนักกลอนทุกคนที่ช่วยกันเรียงร้อยความฝันมาแบ่งปัน
เพียงแค่เห็นความเคลื่อนไหวของกระทู้
ให้รับรู้ว่ายังมีคนรักกลอนอยู่อีกกลุ่มก้อนใหญ่ก็ชื่นใจนักหนา
(รำพึงรำพันยาวเหยียดตามประสาผู้สูงวัยค่ะ)

ชื่นชมเพื่อนๆ ที่ตั้งกระทู้ใหม่ๆ กันได้บ่อยๆ
และมีแรงกำลังตอบต่อกระทู้กันยืดยาว
ข้าน้อยขอคารวะจากใจ

ช่วงนี้กำลังวุ่นวายกับการทำมาหากินเลี้ยงชีวิต
ห่างเหินการเขียนกลอนบ้าง
แต่ยังแว้บเข้ามาอ่านนะคะ

เพรางาย (มดส้มตัวหนึ่ง)

 emo_60