!!!กลอนซ่อนกล!!!
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
18 พฤษภาคม 2024, 12:09:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: !!!กลอนซ่อนกล!!!  (อ่าน 6555 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
24 มกราคม 2011, 09:49:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« เมื่อ: 24 มกราคม 2011, 09:49:PM »
ชุมชนชุมชน



แสนคิดถึงหนึ่งน้องปองใจหนอ
ไหวหวั่นก็ขอใครอยู่ใกล้พี่
ไม่สมดั่งหฤทัยที่ใฝ่ดี
เพราะรักนี้มอบให้เพื่อได้ครอง...นาง

คิดเอ่ยคำพร่ำไว้ในวันนี้
คิดอีกทีโอ้ฉันหวั่นแล้วบ้าง
คิดไขออกบอกกันเราท่านพลาง
คิดอยู่อย่างอย่าแห้วไม่แกล้วเิกิน...ไป

จึงร้อยเรียงเลี่ยงให้ใครลองคิด
อ่านพินิจแล้วตรองถ่องแท้ได้
หากไม่แจ่มจนหมองต้องผ่านไป
ไม่ยากไซร้เรื่องแก้แค่ให้ลอง...ดู
ข้อความนี้ มี 16 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

24 มกราคม 2011, 11:15:PM
พรายม่าน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 548
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 556


Praiman CharlesTep CharlesTep
เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 มกราคม 2011, 11:15:PM »
ชุมชนชุมชน


แสนคิดถึงหนึ่งน้อง     ปองใจ
ไหวหวั่นก็ขอใคร         อยู่ใกล้
ไม่สมดั่งหฤทัย             ที่ใฝ่
เพราะรักนี้มอบให้         เพื่อได้ครองนาง

คิดเอ่ยคำพร่ำไว้              วันนี้
คิดอีกทีโอ้ฉัน                   หวั่นแล้ว
คิดไขออกบอกกัน             เราท่าน
คิดอยู่อย่างอย่าแห้ว           ไม่แกล้วเกินไป

จึงร้อยเรียงเลี่ยงให้              ใครลอง
อ่านพินิจแล้วตรอง                ถ่องแท้
หากไม่แจ่มจนหมอง             ต้องผ่าน
ไม่ยากไซร้เรื่องแก้                 แค่ให้ลองดู


พรายม่าน
สันทราย
๒๔.๐๑.๕๔
ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

24 มกราคม 2011, 11:23:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #2 เมื่อ: 24 มกราคม 2011, 11:23:PM »
ชุมชนชุมชน


คิดเอ่ยคำพร่ำไว้   ในวัน


แหม...ไอ้เราก็กะเก็บไว้ก่อน...ให้คิดกันเล่นๆ

แต่ไหนๆคุณพรายม่านเฉลยมาแล้ว ก็แล้วกันไปละกัน(เลยตามเลย โฮ่ะ ๆๆๆ

เอาไว้วันหลังจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง... หัวเราะยิ้มๆ
ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

24 มกราคม 2011, 11:29:PM
พรายม่าน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 548
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 556


Praiman CharlesTep CharlesTep
เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 มกราคม 2011, 11:29:PM »
ชุมชนชุมชน

ประทานโทษ ก๊อปมาแล้วตัดคำผิดไปหน่อย
ก็ท่านเชี่ยวโคลงขนาดนั้น

เล่าสู่กันฟังก็ดี จะรอ

พรายม่าน
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

25 มกราคม 2011, 05:58:AM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #4 เมื่อ: 25 มกราคม 2011, 05:58:AM »
ชุมชนชุมชน




        ที่มาที่ไปของการซ่อนโคลงเอาไว้ในกลอน

        ความจริงแล้วที่มาที่ไปของกลอนซ่อนกล(ตามหัวข้อ)ก็ไม่ได้มีอะไรลึกลับพิศดาร
เป็นแต่ความสงสัยที่เคยคิดมานานแล้วว่าถ้าเรานำโคลงสี่ กับกลอนมาผสมกันโดยแต่งให้อ่านได้
ทั้งแบบกลอนแปดธรรมดา กับเมื่อถอดความออกมาแล้ว(โดยตัดคำบางคำออกไป)ก็จะสามารถ
อ่านเป็นโคลงสี่ได้ด้วย จะเป็นเช่นไร  เรื่องนี้เคยสงสัยและประสงค์จะทำมานานแล้วแต่เนื่องด้วย
ความสามารถที่มีอยู่จำกัดจึงไม่อาจทำได้สักที
        จนกระทั่งเมื่อสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกบ้านกลอนไทยนั้น จึงได้เห็นสมาชิกท่านอื่นๆต่างก็มี
ความสามารถต่างๆนานา บ้างเก่งทั่งโคลง ฉันท์  กาพย์ กลอน  บ้างเก่งกลบทประเภทต่างๆ
เมื่อมาคิดๆดู  เรามีฝีมืออยู่เพียงเท่านี้ หากคิดจะไปเทียบกับคนๆอื่นๆ มันคงจะเทียบกันไม่ได้
ฉะนั้น จำเราจะต้องมีฝีมือที่เป็นความสามารถเฉพาะตัวสักอย่าง 
         ด้วยเหตุนี้นั่นเองจึงได้มีความคิดในอันจะแต่งกลอนแบบพิเศษขึ้น  โดยนำทั้งหลักเกณฑ์
ของกลอนแปด กับหลักการแต่งโคลงสี มารวมไว้ในบทเดียวกัน
         จุดมุ่งหมายทีแรก คือต้องการซ่อนโคลงสี่ไว้ในกลอนแปด โดยต้องการให้ใจความของ
กลอนแปดเป็นอีกอย่างหนึ่ง เมื่อถอดออกมาเป็นโคลงสี่ ก็มีเนื้อหาอีกแบบหนึ่ง แต่จนใจที่ไม่อาจกระทำได้
สิ่งที่ทำได้จึงเป็นเพียงการแต่งร้อยกรองให้ควบลักษณะของโคลงสีซ่อนไว้ในกลอนแปดอีกทีหนึ่งเท่านั้น
โดยที่เนื้อหาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ได้เป็นดั่งใจที่ตั้งไว้แต่ทีแรก

        วิธีการเขียน
          วิธีการเขียนก็ไม่มีอะไรมาก เพียงผู้แต่ง แต่งเป็นทั้งกลอนแปด ทั้งโคลงสี่ก็ใช้ได้
แต่ความยุ่งยากจะอยู่ตรงที่ เราไม่อาจจะเขียนเป็นโคลงสี่เตรียมไว้ จำเป็นต้องแต่งพร้อมกันไปเลยในทีเดียว
เรื่องนี้นับว่ายากเอาการ เพราะการเขียนกลอนแปดก็แบบหนึ่ง  การแต่งโคลงสี่ก็แบบหนึ่ง
 
        ความยุ่งยากในการเขียน
     ความยุ่งยากในการเขียนก็คือ  เราต้องคอยระวัง ไม่ให้ผิดพลาดทั้งกลอนแปดและโคลงสี่
เมื่อถึงจุดที่ต้องสัมผัสสระแบบกลอนแปดก็ต้องเขียนไปตามนั้น  ในขณะที่ถึงจุดบังคับ เอกโท ตามผัง
ของโคลงสี่ ก็ต้องใส่เอกโท เข้าไป  เมื่อถึงหางของโคลงสี่ ยังต้องคอยระวังสัมผัสของกลอน กับต้อง
ไม่ให้มีรูปวรรณยุกต์ตามหลักของโคลงอีก แล้วจึงตบท้ายให้เต็มด้วยคำที่แปด ใหถูกต้องตามหลักของกลอนแปด
(ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายว่าต้องใช้ยังไง)   ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ แค่บาทแรกเท่านั้น

        เมื่อขึ้นบาทที่สอง  คำที่สองจะต้องเป็นเสียงเอก ตามหลักของโคลงสี่ ขณะที่คำที่สาม จะต้องลง
สัมผัสสระของกลอนแปดเข้าไปอีก คำที่สี่ก็ต้องสัมผัสกับคำที่สาม และคำที่ห้า ยังต้องเป็นเสียงสามัญ
หรือเสียงสูง กับต้องมีสระสัมผัสกับคำที่เจ็ดของบาทแรก(ตามลักษณะของโคลงสี่)ขณะที่คำที่หกและเจ็ด
จะต้องใช้เสียง เอกโท ตามข้อบังคับของโคลงสี่ กับต้องมีสระสัมผัสของกลอนแปดในขณะเดียวกัน
เสร็จแล้วจึงตบท้ายด้วยคำที่แปด ตามหลักข้อบังคับของกลอนแปดเข้าอีก

          เหนื่อย........
        นี่เพียงแค่สองบาทเท่านั้นก็นับว่ายุ่งยากเอาการ  ส่วนการแต่งบาทที่สามกับสี่จะไม่พรรณนาให้มากไป
เพราะยึดหลักเกณฑ์เดียวกันคือ ขณะแต่งต้องนึกแต่งทั้งกลอนแปดทั้งโคลงสี่ไปพร้อมๆกัน  ปัญหาก็จะมีอยู่เล็กน้อยคือ
ในบาทที่สี่นั้นจะมีอยู่เก้าคำ  การจะดัดแปลงให้เป็นกลอนเก้า กลับจะยิ่งยากกว่าจะปล่อยหางไว้เฉยๆ
เพราะต้องผจญกับทั้งเรื่องสัมผัสของกลอน กับเรื่องวรรณยุกต์เอกโท ของโคลง  คิดดูแล้ว ปล่อยให้มันเป็นส่วนเกินไป
จะเป็นดีที่สุด

        ข้อสำคัญ
    ต้องแต่งให้เป็นกลอนแปดและโคลงสี่ตามข้อบังคับ  และเมื่ออ่านเป็นกลอนแปดต้องไม่สะดุด  ขณะที่เมื่อถอด
ใจความออกมาเป็นโคลงสี่แล้ว ต้องไม่เสียใจความของภาษาด้วย คือเนื้อความต้องสมบูรณ์ไม่ว่าจะอ่านแบบไหน


             บันทึกกลอนท่อนนี้มีโคลงซ่อน
             เป็นบทกลอนซ่อนโยงโป่งไว้หนา
             เชิญท่านช่วยจรรโลงให้โล่งตา
             เพราะเสาะหายากไซร้ไม่สู้มี...แล      (เต็มฝืน-อ่านแบบกลอนแปด)

             บันทึกกลอนท่อนนี้มีโคลงซ่อน
             เป็นบทกลอนซ่อนโยงโป่งไว้หนา
             เชิญท่านช่วยจรรโลงให้โล่งตา
             เพราะเสาะหายากไซร้ไม่สู้มี...แล      (เน้นสี-เพื่อให้เห็นส่วนที่เป็นโคลง)

                บันทึกกลอนท่อนนี้      มีโคลง
             เป็นบทกลอนซ่อนโยง    โป่งไว้
             เชิญท่านช่วยจรรโลง      ให้โล่ง
             เพราะเสาะหายากไซร้    ไม่สู้มีแลฯ       (ถอดใจความแล้วเขียนแบบโคลงสี่)


        ถามว่าแล้วมีประโยชน์อะไร ?   ไม่สู้มีประโยชน์นัก นอกจากท้าทายความสามารถสำหรับพวกที่ชอบทำอะไร
ที่มันยากๆและท้าทาย เช่นการแต่งพวกกลบทต่างๆเป็นต้น สำหรับผมคงไม่แล้ว  ที่ทำ ทำพอเป็นกระสายยา
คงไม่คิดเอาดีในทางแต่งโคลงรวมกับกลอน เนื่องจากมันเป็นการฝืนธรรมชาติมากเกินไป  ถึงแต่งได้ผลที่ออกมา
ก็ไม่สู้ดีเท่าไร  เพียงแต่นำมาบันทึกไว้ว่า..ครั้งหนึ่ง เคยมีคนที่ทำได้ และทำไว้แล้ว.........................................
ข้อความนี้ มี 10 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

25 มกราคม 2011, 03:09:PM
Lจ้าVojกaoนบทนี้*
Special Class LV4
นักกลอนรอบรู้กวี

****

คะแนนกลอนของผู้นี้ 270
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #5 เมื่อ: 25 มกราคม 2011, 03:09:PM »
ชุมชนชุมชน

       
          ต้องยอมรับว่าผมเองรู้สึกอึ้งและแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้อ่านโพสต์ของคุณกามนิตในหัวข้อ
ด้วยจิตคารวะ(โคลงกลอน-กลอนโคลง)  กับแบบตัวอย่างที่ท่านได้กรุณาแต่งมาให้ดู  ถึงแม้ในโพสต์
ท่านจะกล่าวในท่าทีคล้ายยอมรับว่า กลอนซ่อน เป็นรูปแบบที่ผมได้คิดสรรค์สร้างขึ้นมาเองก็ตาม
แต่มื่อท่านมายก โคลงกลอน กลอนโคลง ของท่าน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์  ขึ้นมาโดยท่าน
ไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่าง ระหว่าง โคลงกลอน กลอนโคลง กับ กลอนซ่อนกล(ที่ผมเป็นคนตั้ง)
เช่นนี้  ผมเองหวั่นเกรงว่า จะต้องตกเป็นเชลยของสังคม ในข้อ วัดรอยเท้าครูบาอาจารย์  แอบซุ่มอ่าน
งานเขียนของท่านแล้วเอามาแอบอ้างเป็นผลงานของตนได้(ซึ่งที่จริงมันไม่ใช่)
          ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกให้ทราบว่า   ผมไม่ได้อยู่ในแวดวงวรรณกรรม วรรณศิลป์ หรือชมรมกวี
ต่างๆแต่อย่างใด  ที่แต่งได้นั้นเกิดด้วยความพยายามด้วยใจรักทั้งสิ้น  เพราะฉะนนั้น งานกวีของผมส่วน
ใหญ่จึงเลือกใช้แต่คำพื้นๆที่ใช้พูดกันอยู่ทั่วไป  ไม่ค่อยจะมีภาษากวีมากนักหรือเรียกว่าไม่มีเลยก็ว่าได้
ในบทกลอน-โคลงที่ผมแต่ง เน้นการใช้ภาษาพื้นๆที่ใช้พูดทั่วไปในปัจจุบันเป็นหลัก
          ส่วนผลงานกวี ของท่าน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์  ที่เคยเห็นผ่านตามาบ้างแต่ก็นานหลายปี ก็มีเล่มเดียว
คือคำหยาด  ด้วยเหตุนั้น ผลงานที่เรียกว่า ชักม้าชมเมืองนั้น  ผมจึงไม่ได้เคยอ่านหรือเคยผ่านตามาเลย
เป็นความสัตย์
        ส่วนเรื่องการซ่อนโคลงสี่ไว้ในโคลงนั้น  กฏหรือวิธีการเขียนนั้นผมได้กล่าวไว้ชัดแจ้งแล้วใช้กฏของ
กลอนแปดกับกฏของโคลงสี่สุภาพมาประกอบกัน  ซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า กฏทั้งสองนั้นล้วนเป็นของที่มีมา
แต่ครั้งโบราณกาล ที่ท่านปรมาจารย์ โคลง กลอน ท่านได้คิดบัญญัติไว้  โดยที่ผมหาใช่เป็นผู้คิดค้นไม่
การแต่ง กลอนซ่อนกล(ตามชื่อที่ผมตั้ง)จึงเป็นแค่การนำกฏทั้งสองมาประยุกต์ผนวกกันเท่านั้นไม่ใช่การคิดขึ้นใหม่
        ส่วนเรื่องที่บังเอิญไปละม้ายคล้ายคลึงกับ โคลงกลอน กลอนโคลง ของท่าน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
นั้น ขอยืนยันอีกครั้งไว้ ไม่เคยทราบมาก่อน  แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผู้เรียนรู้ในสิ่งเดียวกัน(คือ โคลงสี่สุภาพ
กับกลอนแปด) จะบังเอิญมามีความคิดที่เหมือนๆกันได้  แม้ว่าจะต่างที่ ต่างเวลากันก็ตาม
          ความจริงไม่มีสิ่งใดจะไปยืนยันได้ว่าผมไม่เคยทราบเรื่องงานเขียนของท่าน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์มาก่อน
นอกจากคำที่กล่าวไว้ในที่มาของ กลอนซ่อนกล ที่ว่า

                " นี่เพียงแค่สองบาทเท่านั้นก็นับว่ายุ่งยากเอาการ  ส่วนการแต่งบาทที่สามกับสี่จะไม่พรรณนาให้มากไป
เพราะยึดหลักเกณฑ์เดียวกันคือ ขณะแต่งต้องนึกแต่งทั้งกลอนแปดทั้งโคลงสี่ไปพร้อมๆกัน  ปัญหาก็จะมีอยู่เล็กน้อยคือในบาทที่สี่นั้นจะมีอยู่เก้าคำ  การจะดัดแปลงให้เป็นกลอนเก้า กลับจะยิ่งยากกว่าจะปล่อยหางไว้เฉยๆ
เพราะต้องผจญกับทั้งเรื่องสัมผัสของกลอน กับเรื่องวรรณยุกต์เอกโท ของโคลง  คิดดูแล้ว ปล่อยให้มันเป็นส่วนเกินไป
จะเป็นดีที่สุด"
มี
                ดังนี้ จะเห็นได้ว่า ถ้ามีการได้ทราบหรือได้อ่านงานเขียนของคุณเนาวรัตน์พงษ์ไพบูลย์มาก่อนมาก่อน ก็คงจะไม่มี
การบ่นหรือยอมรับว่าจนปัญญาในลักษณะนี้

                           ชี้ให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง กลอนซ่อนกล กับ โคลงกลอน กลอนโคลง
               บทประพันธ์ทั้งสองแบบนี้ เขียนกันโดย ต่างบุคคล ต่างที่  ต่างกาลเวลา  โดยที่ต่างคนต่างคิด หาใช่การ
ลอกเลียนกัน แต่ประการใดไม่  เพียงแต่อาจจะมีบางส่วนที่จะมาพ้องกันโดยบังเอิญ  แต่ก็มีส่วนต่างที่เห็นได้ชัด
                          ความเหมือน: เป็นการแต่งบทประพันธ์ให้อ่านได้ทั้งกลอนแปด และ โคลงสี่สุภาพ โดยใช้หลักการแต่ง
                                                กลอนแปด กับ หลักการแต่งโคลงสี่สุภาพมาประยุกใช้เหมือนกัน
                           ความต่าง:   กลอนซ่อนกล  กับ โคลงกลอน  กลอนโคลง  มีความแตกต่างกันที่เห็นได้ชัด  ดังจะชี้ให้เห็น
                                                เป็นข้อๆดังต่อไปนี้(ผู้รู้พิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นข้อแตกต่าง)

  กลอนโคลง โคลงกลอน: 1.มีลักษณะตัดและเก็บคำ  คือ  ตัดเอาคำที่แปดของบทกลอนบาทที่หนึ่งแล้วเก็บเอาไปใส่ไว้ใน
                                            บาทที่สองของบทโคลงสี่ เลย  ซึ่งนับเป็นความอัจฉริยะของท่านผู้แต่งได้  ในการเก็บทุกถ้อย
                                             คำไว้ โดยไม่ต้องทิ้งไป  ถือว่า คำทุกคำที่มีในบทกลอน เมื่อแปลงเป็นบทโคลงแล้ว ทุกคำยังคง
                                             มีอยู่ครบไม่ได้ขาดหายไปไหน
                                           2. มีลักษณะเปิดเผย คือ ผู้แต่ง ทำการเฉลยให้ผู้อ่านได้ทราบตั้งแต่ทีแรก  คือแสดงให้ดูทั้งส่วน
                                              ที่เป็นโคลงสี่  และส่วนที่เป็น กลอนแปด  ดังตัวอย่าง

     กลอนโคลง

พิเศษสารเสกสร้างรังสรรค์สาร
ประจงจารฉันทภาคพริ้งพรายฉาย
เฉกเพชรพรรณเพราเฉิดเลิศแลลาย
ระยับสายสะอิ้งส่องสร้อยกรองทรวง

ดวงดอกไม้มิ่งแก้วโกมุทมาศ
 เอี่ยมสะอาดพิสุทธิ์ฉ่ำซึ้งคำหลวง
โรจน์รุ่งดุจดาวฤกษ์เบิกราดวง
ประดับรวงผึ้งร่ำน้ำคำกวี

ชีวิตนิดหนึ่งน้อยน้ำหนักนัก
ปราชญ์ประจักษ์หลักแน่ล้วนหน่ายหนี
 ทุกข์สุขศักดิ์สรรพทั่วชั่วกาลดี
ใช่ดีถี่ถ้วนเท็จล้วนเลศนัย

 ใช่ชีพนี้ชี้เช่นเป็นแบบบท
 ประจงจดแนบเนื่องร้อยเรื่องไข
 หลากข้อแยบยลคิดจิตฤาใจ
จักสอดใส่สร้อยสว่างไว้ทางกวี

      โคลงกลอน
 
 พิเศษสารเสกสร้าง           รังสรรค์   
 สารประจงจารฉันท-           ภาคพริ้ง   
 พรายฉายเฉกเพชรพรรณ           เพราเฉิด  เลิศแล   
ลายระยับสายสะอิ้ง           ส่องสร้อยกรองทรวง   
               
 ดวงดอกไม้มิ่งแก้ว           โกมุท   
 มาศเอี่ยมสะอาดพิสุทธิ์           ฉ่ำซึ้ง   
 คำหลวงโรจน์รุ่งดุจ           ดาวฤกษ์  เบิกรา   
 ดวงประดับรวงผึ้ง           ร่ำน้ำคำกวี   
               
 ชีวิตนิดหนึ่งน้อย           น้ำหนัก   
  นักปราชญ์ประจักษ์หลัก           แน่ล้วน   
  หน่ายหนีทุกข์สุขศักดิ์           สรรพทั่ว ชั่วกาล   
 ดีใช่ดีถี่ถ้วน           เท็จล้วนเลศนัย   
               
 ใช่ชีพนี้ชี้เช่น           เป็นแบบ   
 บทประจงจดแนบ           เนื่องร้อย   
 เรื่องไขหลากข้อแยบ           ยลคิด  จิตฤา   
 ใจจักสอดใส่สร้อย           สว่างไว้ทางกวี 

                                              (จะเห็นได้ว่ามีการเก็บคำสุดท้ายของกลอนไปไว้ในบาทที่สองของโคลง  ซึ่งในกลอนซ่อนกลนั้น
                                             จะใช้วิธีลบไปเฉยๆโดยไม่ได้เก็บไว้ โดยที่โคลงยังคงมีความหมายอยู่ดุจเดิม)

 
  กลอนซ่อนกล:                         1.เป็นการแต่งโดยอาศัยหลักของกลอนแปดกับโคลงสี่สุภาพควบคู่กันไป เมื่อถึงจุดที่ต้องใช้สัมผัส
                                           แบบกลอนก็แต่งแบบกลอน  เมื่อถึงจุดที่บังคับตำแหน่ง เอกโท ตามแบบโคลงสี่ก็แต่งแบบโคลงสี
                                           2.เมื่อถอดความเป็นโคลงสี่ มีการลบคำบางคำออกไป  โดยที่ยังคงความหมายเดิมไว้ได้ คือความหมาย
                                            ไม่ได้เสียเพราะตัดบางคำออกไป
                                           3. มีลักษณะซ่อนเร้น คือผู้แต่งไม่ได้ต้องการเปิดเผยให้ทราบแต่ทีแรก เป็นแต่ต้องการให้ผู้อ่านได้อ่าน
                                            แล้วทายกันเอาเอง ใครตาดีก็ทราบ ใครตาไม่ถึงก็มองผ่านไป
                                           4.เมื่อนำมาเรียงแบบกลอนแปด แล้วแยกทีละวรรค จะเห็นถึง สัมผัสของกลอนแปดอย่างชัดเจน ดังตัวอย่าง
         
                                                 แสนคิดถึง หนึ่งน้อง   ปองใจหนอ
                                                 ไหวหวั่นก็   ขอใคร    อยู่ใกล้พี่
                                                 ไม่สมดั่ง      หฤทัย      ที่ใฝ่ดี
                                                  เพราะรักนี้   มอบให้   เพื่อได้ครอง...นาง

                                                 คิดเอ่ยคำ     พร่ำไว้    ในวันนี้
                                                 คิดอีกที     โอ้ฉัน      หวั่นแล้วบ้าง
                                                  คิดไขออก   บอกกัน    เราท่านพลาง
                                                 คิดอยู่อย่าง   อย่าแห้ว     ไม่แกล้วเกิน...ไป

                                                 จึงร้อยเรียง    เลี่ยงให้    ใครลองคิด
                                                 อ่านพินิจ     แล้วตรอง   ถ่องแท้ได้
                                                 หากไม่แจ่ม   จนหมอง    ต้องผ่านไป
                                                 ไม่ยากไซร้    เรื่องแก้      แค่ให้ลอง...ดู

                                                  แต่เมื่อตัดบางคำออกไปแล้ว นำมาเรียงรูปใหม่จะกลายเป็น โคลงสี่ ดังนี้

                                                  แสนคิดถึงหนึ่งน้อง     ปองใจ
                                                 ไหวหวั่นก็ขอใคร          อยู่ใกล้
                                                 ไม่สมดั่งหฤทัย              ที่ใฝ่
                                                 เพราะรักนี้มอบให้        เพื่อได้ครองนางฯ

                                                 คิดเอ่ยคำพร่ำไว้          ในวัน
                                                 คิดอีกทีโอ้ฉัน             หวั่นแล้ว
                                                 คิดไขออกบอกกัน      เราท่าน
                                                 คิดอยู่อย่างอย่าแห้ว     ไม่แกล้วเกินไปฯ

                                                 จึงร้อยเรียงเลี่ยงให้       ใครลอง
                                                 อ่านพินิจแล้วตรอง       ถ่องแท้
                                                 หากไม่แจ่มจนหมอง     ต้องผ่าน
                                                 ไม่ยากไซร้เรื่องแก้        แค่ให้ลองดูฯ

                                                  ดังที่คุณพรายม่านได้กรุณาถอดความไว้ข้างบนนั้น   ดังนี้จะเห็นได้ว่ามันมีหลักการบางส่วน
                                                  ที่แตกต่างกันอยู่  ไม่ใช่เหมือนกันทั้งหมด  หรือลอกเลียนกันมาแอบอ้างเพื่อตู่เอาผลงานกัน
                                                  แต่ประการใด
                       ที่ผมต้องยอมเสียเวลาอธิบายมายืดยาวดังนี้ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด มิตรกลอนหรือผุ้อ่านบางท่าน ที่ไม่ได้พิจารณา
                       ให้ถ่องแท้ อาจเข้าใจผิดในตัวผมทำให้ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม ในข้อหา คิดลบล้างครูบาอาจารย์ โดยตู่เอาความคิด
                       ท่านมาเป็นของตัวเองได้  ผมจึงต้องออกมาอธิบายให้ทราบว่า ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ เป็นแต่มาพ้องกันโดยบัง
                       เอิญ อีกอย่างหนึ่งก็ คือ ผมกับ ท่าน เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ แต่ประการใด ไม่ว่าจะ
                       โดย ฐานะครูอาจารย์ หรือโดยฐานะ คนรู้จักกันก็ตาม  ผมเพียงทราบว่าท่านเป็นกวีที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งของเมืองไทย
                       เท่านั้น  แล้วท่านก็ไม่ได้ทราบแต่ประการใดว่ามีผมอยู่ในโลกด้วยคนหนึ่ง  แต่เท่าที่ต้องกล่าวพาดพิงถึงท่านอยู่บ่อยครั้ง
                       ใช่จะคิดก้าวร้าวล่วงเกิน  แต่สืบเนื่องมาจาก คุณ กามนิต ได้ยก บทประพันธ์ของท่านขึ้นมาอ้างนั่นเอง
                                      สุดท้ายนี้ ถ้าสิ่งที่ผมพูดไป จะมีคำพูดใดที่ล่วงละเมิดต่อท่าน ผมต้องขออภัย มา ณ ที่นี้

                                                          Mayawin
                                                       ๒๕ มกราคม  ๒๕๕๔
ข้อความนี้ มี 9 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

26 มกราคม 2011, 11:18:AM
ทอฝัน
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 455
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,502

...ทอฝัน ขะรับ...ทอฝัน...!!!


« ตอบ #6 เมื่อ: 26 มกราคม 2011, 11:18:AM »
ชุมชนชุมชน

...ในยามที่มิตรกวีเค้าถกกัน
มักจะเกิดวรรณกรรมที่สร้างสรรค์น่าจดบันทึก
แม้บางครั้งคล้ายบั่นทอนความรู้สึก
แต่สุดท้ายเมื่อตกผลึกแล้วมันคือ...ตำรา...


.........ขออนุญาตบันทึกไว้ในตำนานของบ้านกลอนไทยนะคะ.....//ทอฝัน
ข้อความนี้ มี 7 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หัวโขมย...เรียงร้อยจากห้วงใจ มิตรภาพยิ่งใหญ่ ไร้กาลเวลา
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s