พิมพ์หน้านี้ - คนอมตะ

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => กลอนธรรมะ+กลอนสอนใจ+กลอนธรรมชาติ+กลอนปรัชญา => ข้อความที่เริ่มโดย: deja ที่ 24 มิถุนายน 2010, 07:25:AM



หัวข้อ: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 24 มิถุนายน 2010, 07:25:AM
คนอมตะ ๓. เจริญ วัดอักษร

“เจริญ วัดอักษร” วัดใจคน
เต็มฝั่งล้นแห่ง “บ่อนอก” บ่เกรงขาม
น้ำทะเลเต็มเปี่ยมเทียมทาบทาม
จิตงดงามจิต “เจริญ” เกินฟ้าไกล

เขาผู้เหยียบผืนทรายเต็มฝ่าเท้า
ผู้หวงเฝ้าผืนน้ำสีครามใส
ผู้ระวังท้องฟ้าเปื้อนพิษภัย
ผู้ห่วงใยชาวประชากว่าตนเอง

เปรียบเป็นปลาประจญปลามัจฉาใหญ่
อีกเภทภัยกระหน่ำคนทำข่มเหง
คลื่นกระแทกเรือน้อยลอยโคลงเคลง
อีกนักเลงรุมบัณฑิตคนคิดดี

“เจริญ” สู้ยิ่งกว่าปลาตัวน้อย
“เจริญ” ต่อยข้ามศักดิ์กับยักษี
“เจริญ” แกร่งยิ่งกว่าถ่านหินดี
“เจริญ” มียิ่งกว่านายทุนรวย

เสียงมะพร้าวหล่นลงบนชายหาด
เสียงอุบาทว์ลั่นปังบนฝั่งสวย
เสียงผู้คนแห่ง “บ่อนอก” ชอกระทวย
เสียงมอดม้วยดังทั่วไทยเมืองไมตรี

ลมทะเล “บางสะพาน” ลมรานร้าว
ช่วยบอกกล่าววิญญาณท่านจงสุขี
ตกตายสิบจักเกิดแสนแทนคนดี
แทนคนที่พลีกายตายเพียงตัว

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 11 กรกฎาคม 2010, 09:28:AM
คนอมตะ ๒. ดาวัลย์ จันทรหัสดี

เป็นแม่ค้าขายอาหารตามคำสั่ง
เป็นผู้ฟังคำลูกค้ามาอุดหนุน
เป็นแม่บ้านภรรยาผู้การุญ
กลับเทียบรุ่นนักสืบใหญ่ได้สำแดง

ป้ายประกาศบ่อบำบัดน้ำโรงงาน
ปลุกวิญญาณอนุรักษ์ที่แอบแฝง
ปลุกห่วงหวงชุมชนคนเบาแรง
เพราะเคลือบแคลงคลุมเครือเหลือเชื่อใจ

“ดาวัลย์” พบดารดาษเรื่องปกปิด
น้ำเปื้อนพิษจะทิ้งลงอสงไขย
“ดาวัลย์” เปลี่ยนเป็นดาราส่องแสงไป
นำทางให้คน “คลองด่าน” ผ่านทุกข์ภัย

จากแม่บ้านเป็นแม่ทัพจับศึกหนัก
สู้กับยักษ์นักการเมืองเปรื่องเฉไฉ
ไม้จิ้มฟันยันไม้ซุงมุ่งมีชัย
เพชรในใจเธอสูงค่ากว่าชีวิน

เธอผู้ล้มโครงการสามหมื่นล้าน
เธอสืบสานด่านอุดมสมบูรณ์สิน
ทรัพย์ในน้ำแหล่งชาวบ้านย่านทำกิน
เป็นทรัพย์สินสืบทอดนานเกินมารโกง

เมือง “สมุทรปราการ” ผ่านรานร้าว
เหยียบย่างก้าวกร้าวแข็งสู้แรงโหง
เมืองสมุทรไม่หยุดอยู่แค่เมืองโรง
เมืองเปิดโปงอย่างหาญกล้าด้วย “ดาวัลย์”

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 23 กรกฎาคม 2010, 08:41:AM
คนอมตะ ๕. พ.ต.อ. สมเพียร เอกสมญา

จากเด็กวัดเด็กกำพร้าผู้ขวายขวน
สู่สืบสวนนายตำรวจแห่ง “ยะหา”
จากผู้น้อยชั้นประทวน “บันนังสตา”
ได้ฉายาผู้ยิ่งใหญ่แห่ง “บูโด”

วีรกรรมกอบกู้สู้ผู้ร้าย
ทั้งเสี่ยงตายเสี่ยงพิการงานอักโข
เดินนำหน้าเดินไม่หวั่นมั่นมโน
ทั้งตอบโต้เหล่าโอหังคลั่งสงคราม
   
ร้อยปะทะร้อยต่อสู้รู้ครบรส
ทุกหยาดหยดเลือดน้ำตาทุกขวากหนาม
ทุกสะเก็ดทุกระเบิดทุกตูมตาม
ทุกเหล็กดามในกายใจไม่พรั่นพรึง

ทั้งติดดินติดตามติดอาวุธ
จรยุทธ์ทุกแห่งหนคนใจถึง
“กอลอแป” ถึง “ธารโต” โอ่อื้ออึง
เพชรน้ำหนึ่งสีกากีศรีกรมกอง

สี่สิบปีที่เขาสู้อยู่ห่างบ้าน
ลากสังขารพิการเท้าเฝ้าหม่นหมอง
ไม่กี่ปีที่ชีวิตเช่นจิตปอง
ตามครรลองครอบครัวครบหน้าตา

“จ่าสมเพียร” เพียรสมเรื่องร้องขอ
มากเกินพอให้แผ่นดินสิ้นปุจฉา
มากเกินไปสำหรับผู้สู้ทุกครา
มากเกินกว่าวัยเกษียณเพียรตรากตรำ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 01 กันยายน 2010, 07:13:PM
คนอมตะ ๑. สืบ นาคะเสถียร

“เขื่อนน้ำโจน” โจรปล้นชีวิตหนึ่ง
ชีวิตซึ่งรักษ์ป่าสัตว์ใหญ่น้อย
ชีวิตซึ่งล้ำค่าล้ำเลิศลอย
ชีวิตซึ่งยอมถอยให้ถ่อยคน

“เขื่อนเชี่ยวหลาน” เชี่ยวแรงกว่าแรงเขา
เขื่อนโง่เขลาเข้าทางคนฉ้อฉล
สัตว์เท่าไรตายไปในสายชล
สัตย์แห่งตนผจญมารจนวางวาย

“ห้วยขาแข้ง” ห้วยขาใหญ่ในวงการ
รับประทานไพรสณฑ์จนฉิบหาย
รับประทานวิญญูชนคนท้าทาย
ประทุษร้ายผู้กล้าแห่งอารัญ

เมื่อมุ่งมั่นจึงมากมายด้วยวาดหวัง
เมื่อภินท์พังจึงสังโยคกับโศกศัลย์
เมื่อมองเห็นหายนะแห่งไพรวัน
เมื่อทางตันจึงนำทางสู่ทางตาย

เขาชื่อ “สืบ” สืบทอดอุดมการณ์
เขาสืบสานผู้กล้าผู้สืบสาย
เขาฝังร่างฝังความหวังฝังใจกาย
ฝังมุ่งหมายพันธุ์ไม้แกร่งแห่งป่าไทย

เจ้ากวางผาน้ำตาไหลจนเหือดแห้ง
เจ้าวัวแดงด่าวดิ้นสิ้นเคลื่อนไหว
เสือลายเมฆลายหม่นด้วยอาลัย
“สืบ” สิ้นไปด้วยเหตุผลคนไม่พอ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 24 กันยายน 2010, 10:09:PM
คนอมตะ ๘. สุจิตรา อ่อนค้อม

“สุจิตรา อ่อนค้อม” น้อมใจกาย
ถวายองค์พระสัมมาสัมพุทธะ
ทุกหยาดเหงื่อเพื่อช่วยคนพ้นพันธะ
เพื่อชนะโลภโกรธหลงพงศ์เผ่ามาร

อุปัฏฐากรากฐานศาสนา
เจตนาให้พระสงฆ์คงประสาน
ฆราวาสไม่พลาดพันมั่นสัญญาณ
กรรมฐานกำกับใจให้ปัญญา

“มารา ละภันตุ โนกาสัง”
คือยับยั้งพวกบังหน้าพร่าภิกขา
ทำหน้าที่เป็นตำรวจผู้ตรวจตรา
“สุจิตรา” หายอมให้ใครย่ำยี

“วัดสามชุก” สุขสถานแห่งชาวพุทธ
ปรับมนุษย์ด้วยสุดยอดแห่งวิถี
เป็นตัวอย่างวัดวาพาคนดี
สถานที่ “สุจิตรา” พาเรียนใจ

“พุทธศาสน์อยู่ยงองค์กษัตริย์”
เล่มชี้วัดศรัทธาและเลื่อมใส
หลายร้อยปีที่เบื้องบนนำพ้นภัย
ปกครองไทยโดยธรรมประจำมา

“อิมินา ปุญญะกัมเมนะ”
อุตสาหะกระทำโดย “สุทัสสา”
ขอคำสอนคำประกาศศาสดา
อยู่คู่ฟ้าคู่สยามตามตั้งใจ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์ 


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 23 ตุลาคม 2010, 10:11:AM
คนอมตะ ๔. ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์

บนทางเดินชีวิตมืดมิดหมด
ร้าวรันทดดับดิ้นสิ้นวาดหวัง
ด้วยโรคร้ายรุกรานผลาญพลัง
ดังถูกฝังทั้งเป็นเซ่นขลาดกลัว

ถูกรังเกียจเหยียดเป็นเช่นเชื้อโรค
ถูกสับโขกสังคมกดข่มหัว
ถูกลดชั้นจากคนเป็นสัตว์ตัว
ถูกแบ่งขั้วพวกมั่วเพศติดเอดส์ตาย

จึงปรากฏนางฟ้าผู้ปราณี
นำวิถีบนทางมืดด้วยมุ่งหมาย
เป็นแสงส่องมองเห็นทุกท้าทาย
ไม่วางวายมีวาดหวังมียั่งยืน

เธอเพียรคิดผลิตยาผู้ติดเชื้อ
สู้กับเสือบริษัทเธอขัดขืน
เธอเดียวดายเด็ดเดี่ยวเธอกล้ำกลืน
เพื่อหยิบยื่นชีวิตใหม่ให้ทุกวัย

ทุกเม็ดยาราคาถูกปลูกความหวัง
ทุกกำลังทุ่มลงอสงไขย
ทุกชีวิตติดเชื้อทุกเยื่อใย
ราวเกิดใหม่ใต้ร่มเงาไม้มงคล

ไม้ที่หอมไม่หอมเท่า “กฤษณา”
เธออาสาถิ่นขาดแคลนแดนขัดสน
กาฬทวีปชีพเธอลูกผีคน
ยอดบุคคล “แมกไซไซ” จึงให้เธอ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 08:39:AM
คนอมตะ ๖. พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์

สลับสีสลับสวยเส้นเกศา
ประจำตราประจำตัวคุณหญิงหมอ
สืบจากศพสืบค้นถึงต้นตอ
ประจักษ์ต่อยุติธรรมค้ำเมืองไทย

“ดีเอ็นเอ” ดีร้ายพ่ายคุณหญิง
ดีเด่นจริงจิตใจไม่หวั่นไหว
แม้ยามถูกใส่ร้ายป้ายพิษภัย
ดีหนึ่งในหญิงไทยแกร่งแข็งเกินคน

ดุจเหล็กกล้าหางอหาโค้งไม่
ดุจน้ำใสไหลล้างทางฉ้อฉล
ดุจตาชั่งตั้งตรงคงศักดิ์ตน
ดุจเวหนนภาว่างสว่างตา

ฆาตกรรมอำพรางอำมหิต
สิ้นชีวิตติดสงสัยในกังขา
“สึนามิ” พิฆาตคนล้นพารา
เธอสืบหาพาวิญญาณผ่านพิธี

สู้เพื่อศพสู้บนคำครหา
สู้ยิบตาเรื่องร้ายเรื่องป้ายสี
สู้กับงานสู้แทบม้วยด้วยยินดี
สู้เพื่อผีสู้กับคนกุศลใจ

“หมอพรทิพย์” พรแห่งทิพยเนตร
ทุกสาเหตุต้นปลายคลายสงสัย
ทุกเงื่อนงำงุนงงแง่เหลี่ยมใด
เธอครวญใคร่ไล่เบี้ยไล่บี้แบน

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 24 พฤศจิกายน 2010, 10:58:AM
คนอมตะ ๗. สมชาย นีละไพจิตร

ทนายความทนายคนผู้จนด้อย
ทนายร้อยอาจมีหนึ่งซึ่งกล้าหาญ
ทะนงตัวไม่กลัวตายพ่ายภัยพาล
หนึ่งทะนานมีหนึ่งเม็ดดุจเพชรงาม

ประดับอยู่คู่ปลายแห่งด้ามขวาน
เรื่องร้าวรานรุมไฟไร้เกรงขาม
ชายแดนใต้ชายผู้นี้ที่ว่าความ
วับวาววามนามกระเดื่องเรื่องช่วยคน

ทุกคดีมีความตายเป็นของแถม
เขากล้าแหยมกล้ายุ่งมุ่งกุศล
ทุกกล่าวหาอาฆาตศาสน์เจือปน
เขากล้าชนกล้าสู้สู่เที่ยงธรรม

ถูกกล่าวหาร่วมกลุ่มก่อการร้าย
ถูกติดป้ายมีอสุภอุปถัมภ์
ห้าชีวิตติดบ่วงห้วงเหวดำ
เขาผู้นำแสงสว่างสร้างแนวทาง

เขาหายตัวหายไปในเมืองหลวง
เขาติดบ่วงผู้ล่าผู้กว้างขวาง
เขาสาบสูญสาบส่งความเป็นกลาง
เขาถูกล้างเพราะหยัดยืนฝืนศักดา

เสียงหายใจนักสู้ผู้หอบหืด
เสียงฝืนฝืดหายไปไร้กังขา
เสียงกระดูกร้องดังทั้งพารา
เสียงประชาร้องไห้ให้ “สมชาย”

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์ 


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 15 ธันวาคม 2010, 08:43:AM
คนอมตะ ๑๐. ยายไฮ ขันจันทา

ยายกับตาทำนาอยู่บนโคก
ตักน้ำใส่กะโหลกโขกที่หัว
ส่วนยาย “ไฮ ขันจันทา” ทำ “นาบัว”
สร้างอ่างมั่วทั่วผืนดินทำกินนาน

ให้ตักน้ำใส่กะโหลกโขกหัวใคร
ล้วนยิ่งใหญ่ราชการบริหาร
ยี่สิบเจ็ดปีผ่านไปใจทนทาน
ขอยืนกรานยืนหยัดงัดไม้ซุง

“ห้วยละห้า” หาใช่อ่างเก็บน้ำไม่
ข้าอาศัยทำนาหาข้าวหุง
กลับฉิบหายตายอดหมดไส้พุง
เก็บผักบุ้งในทุ่งนาบ้าไหมเอ็ง
   
ข้าไม่โขกแต่ขอทุบยุบเขื่อนเพี้ยน
ข้าขอเปลี่ยนระบบเก่าเฝ้าข่มเหง
ข้าขอย่ำกำแพงแห่งกลัวเกรง
ข้าขอเปล่งวาจา “ข้าใช่ควาย”
   
นาผืนนี้หยาดเหงื่อของพ่อแม่
ไม่อาจแปรอาจเปลี่ยนมุ่งมั่นหมาย
ลูกหลานมีกินใช้ไม่เปล่าดาย
ไม่อดตายหลายมื้อคือข้าวตน
   
ทุกรวงทองมองเห็นทุกข์ชาวนา
ทุกต้นกล้าทุกต้นทุนลุ้นดอกผล
ทุกคนไทยทุกหน่วยงานทุกกมล
ควรท่วมท้นล้นช่วยเหลือแทนเถือหนัง
 
ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์ 


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนุ่ม นิยมไพร ที่ 18 ธันวาคม 2010, 11:10:PM
ตายเพียงสิบเพียงหยิบมือ    แต่เขาคือคนระดับผู้บริหาร
อีกหลายหมื่นเป็นเพียงข้าบริพาน    ที่ทะยานจะเป็นใหญ่กันให้ตาย
คนน้อยนิดเพียงหยิบมือ    แต่เขาคือผู้สร้างผู้ยิ่งใหญ่
กว่าคนดังที่หน้าตามันเหมือนควาย    ไอ้ฉิบหายมึงไม่ทำให้เห็นเลย
ชั่วชี้ชัดเห็นกันว่าน้อยนิด    แต่ลองคิดแค่ขี้กองไว้เฉย
ก็ส่งกลิ่นอบอวนฉวยให้เลย    ไปส่วนใหญ่ให้ตายเถอะเหม็นตายห่า
มีคนดีแต่ไร้อำนาจ    ก็เหมือนขาดหลักมั่นให้พันขา
แต่คนชั่วมีอำนาจไร้จรรญา    ก็เหมือนห่าผักตบกลบเต็มคลอง
คนส่วนใหญ่ใช่ว่าจะเลวหมด    แต่ก็หมดปัญญาจะลองของ
ได้แต่หัวหดอยู่ในกระดอง    คนลองของเลยมีอันต้องตายห่า
ก็มันเป็นเยี่ยงนี้ละสังคม    ที่สะสมกองพูนสูงเสียดฟ้า
จะล้มให้พังยังไงนา    ในเมื่อฐานเหี้ยแรกมามันกว้างไกล


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 23 ธันวาคม 2010, 10:35:PM
บอกได้คำเดียว "แรง"


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 18 มกราคม 2011, 07:32:PM
วันนี้เมื่อสามปีที่แล้ว มีคนดีของสังคมท่านหนึ่งได้จากพวกเราไป

คนอมตะ ๙. นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์

วัน 14 ตุลาฯ วิปโยค
กลับมอบโชคมอบชัยให้ไทยผอง
อุดมการณ์ปลูกฝังดั่งเททอง
ลงสี่ห้องของหัวใจหมอใฝ่ดี
   
ปรับเวลารักษาโรคเหมาะโลกแท้
ช่วยรัฐแก้สมองไหลในวิถี
วางรากฐานการประกันสังคมมี
สุดทางที่ “สามสิบบาท” สามารถทำ
   
สิทธิเหนือสิทธิบัตรสิทธิบ้า
ตั้งราคายาจำเป็นเซ่นอิ่มหนำ
เหมือนไม่ใช่เพื่อนร่วมโลกร่วมตรากตรำ
พวกใจดำเจอใจกล้ายา “ซีแอล”
   
ปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงหมอ
ไม่ย่อท้ออุปสรรคขัดขวางแผน
ไม่หวั่นไหวใครกระหน่ำทำคลอนแคลน
ยึดมั่นแกนแก่นประโยชน์แห่งประชา
   
หมอ “สงวน นิตยารัมภ์พงศ์”
ผู้สืบวงศ์สืบวัฏฏะอารักขา
จรรยาแพทย์จรรยาบรรณจรรโลงมา
จรรโจษว่าหมอไทยเกียรติไพบูลย์
   
18 มกราฯ ปี 51
เป็นวันซึ่งผู้งามสรรพดับชีพสูญ
ทิ้งผลงานผลพหุกุศลมูล
เป็นฐากูรให้หมอใหม่ได้ตามรอย

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์ 


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 18 มกราคม 2011, 11:45:PM
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)


16 มกราปี 54
วันครูที่คนไทยใจเหงาหงอย
เมื่อวิญญาณพิสุทธิ์ต้องหลุดลอย
ด้วยมือถ่อยจกเปรตโจรเศษเดน

มันเข่นฆ่าคุณครูผู้มุ่งหวัง
จะปลูกฝังชาติไทยให้สูงเด่น
ถึงยากแสนสู้เสี่ยงไม่เอียงเอน
รักศิษย์เช่นลูกตนทุกคนไป

ไม่คิดแบ่งเชื้อชาติศาสนา
คิดเพียงพาอนาคตศิษย์สดใส
ไม่คิดถึงเหนื่อยหนักสักเพียงใด
เพียงหวังให้ศิษย์ตนเป็นคนดี

สิบหกมกราครูมาโนช
เหยื่อโจรโฉดใจสัตว์สุดบัดสี
สังเวยชีพเพื่อรัฐปัตตานี
สิ้นชีวีเพราะสงสารลูกหลานมัน

อยากบอกพวกจัญไรไปให้พ้น
...
แผ่นดินพ่อขอคนสมานฉันท์
แม้จะเกิดภาคไหนไทยด้วยกัน
รวมใจมั่นเพื่อพ่อหลวงของปวงไทย


(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 19 มกราคม 2011, 03:36:PM
นี่ก็แรง ... ขอบคุณทุกที่ร่วมแสดงอารมณ์ความรู้สึก

ขอบคุณทุกท่านที่ชมเชยครับ


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 08:30:AM
คนอมตะ ๑๑. จูหลิง ปงกันมูล
   
จากนางเอกหนังจีนนาม “จุ้ยหลิน”
จากยุพินผู้เก่งกาจสุดอาจหาญ
จากแผ่นฟิล์มสู่แผ่นดินถิ่นทนทาน
ปลายด้ามขวานมีครู “จูหลิง” นาม
   
เธอจับชอล์กตอกย้ำทำหน้าที่
เสี่ยงเป็นผีเสี่ยงไปไม่เกรงขาม
เธอยืนข้างกระดานดำย้ำข้อความ
แดนสยามแดนไทยใช่แดนกลัว
   
ปณิธานสานสู่ “กูจิงรือปะ”
เสียสละกว่าบุรุษไม่มุดหัว
เสียชีพไปไม่เสียศักดิ์ประจักษ์ตัว
เป็นดอกบัวบานเหนือเลือดเนื้อตน
   
เลือดเธอหยดรดลงตรงห้องเรียน
ที่พากเพียรสอนสั่งหวังเห็นผล
ลูกชาวบ้านหลานชาวใต้ในชุมชน
ยอมจำนนพายเรือจ้างบนทางปืน
   
จิตรกรรม “วัดคงคา” อาสาวาด
เหมือนสามารถรู้วิบากยากขัดขืน
ทศชาติพุทธองค์ทรงหยัดยืน
เธอกล้ำกลืนฝืนจนพ้นผ่านไป
   
จิตรกรรมชีวิตครู “จูหลิง” วาด
คือประกาศใจมั่นไม่หวั่นไหว
ยอมพลีชีพแม้หน้าที่มีเภทภัย
เพื่อเด็กไทยในขวานทองสมองดี

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 11 มีนาคม 2011, 12:54:PM
คนอมตะ ๑๒. พระครูอาทรประชานาถ

เมื่อโรคร้ายเกิดขึ้นในสังคม
ความโสมมในใจจึงเปิดเผย
มีรังเกียจเป็นแรงหนุนแม้คุ้นเคย
เซ่นสังเวยผีเปรต “เอชไอวี”

ไวรัสร้ายทำลายความเมตตา
ไวรัสห่าทำให้ใจเป็นผี
ไวรัสสร้างช่องว่างทางอัปรีย์
ไวรัสมีวิญญาณผลาญกมล

เมียทิ้งผัวกลัวติดเชื้อสยอง
พี่ทิ้งน้องทิ้งได้ด้วยขัดสน
พ่อแม่ทิ้งเลือดเนื้อเพราะอับจน
คนทิ้งคนจำนนให้ใจหวาดกลัว

เมื่อโรคร้ายเกิดกับคฤหัสถ์
ผู้อยู่วัดปัดเป่าเศร้าสลัว
อภัยทานอภัยให้ทุกหมองมัว
ทุกเหล่าบัวคือทุกศิษย์องค์อารี

พระคุณเจ้าช่วยคนเป็นคนไว้
มาอย่างไรไปอย่างนั้นสมศักดิ์ศรี
เป็นมนุษย์สุดแสนง่ายพ่ายโลกีย์
ชาติหน้ามีขอพระธรรมนำพ้นกาม

“พระอาทรประชานาถ” วาดภาพเตือน
อย่าบิดเบือนเพื่อนมนุษย์หยุดคำถาม
เขาเป็นคนเหมือนเราท่านหรือเพียงนาม
อย่าเหยียดหยามเพื่อร่วมทางทุกข์ท่วมใจ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 22 เมษายน 2011, 11:05:AM
คนอมตะ ๑๓. ว่าที่ ร.ต.วัชรัตน์ บุญฤทธิ์

ฝนกระหน่ำ “สงขลา” ราวฟ้ารั่ว
ทุกครอบครัวทุกอำเภอเจอทุกข์เข็ญ
ขาดหยูกยาอาหารสิ่งจำเป็น
เช้าจรดเย็นเห็นแต่ฝนคนคร่ำครวญ

กระแสน้ำเชี่ยวกรากหลากล้นฝั่ง
ร่วมไหลหลั่งคลั่งคลุ้มรุมชาวสวน
น้ำขวางขัดตัดถนนจนแปรปรวน
เรื่องเร่งด่วนล้วนลำบากยากกว่าเคย

“วัชรัตน์” วัดใจใหญ่ยอดยิ่ง
เขาไม่นิ่งดูดายไม่วางเฉย
เขาไม่คิดชีวิตตนพ้นสังเวย
เขายิ้มเย้ยหวาดหวั่นไม่พรั่นพรึง

“วัชรัตน์” วัดผลคนปลัด
ผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่มีใจถึง
แม้มืดค่ำน้ำกระหน่ำทำอื้ออึง
เขาคำนึงแต่ช่วยคนจนตัวตาย

ชาว “จะนะ” จะจดจำผู้ล้ำเลิศ
คนประเสริฐอันดับหนึ่งผู้ผึ่งผาย
น้ำยางข้นไม่ข้นเท่าเลือดในกาย
ของชาติชายแห่งวงการสีกากี

เป็นแบบอย่างราชการมหาดไทย
เป็นหัวใจผู้ปกครองต้องวิถี
เป็นมั่นเหมาะเพาะบ่มสังคมดี
เป็นผู้มีความคำนึงถึงส่วนรวม

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 29 เมษายน 2011, 05:06:PM
คนอมตะ ๑๔. สุทธิ อัชฌาศัย

มาบตาพุดมาบตาพิษชีวิตคน
ต้องทุกข์ทนสารเคมีที่ระเหย
ทั้งปกคลุมหุ้มห่อบ่คุ้นเคย
พ่อแม่เอ๋ยเมืองระยองนองน้ำตา

อีกน้ำใช้กลับไหลให้โรงงาน
ทั้งชาวบ้านชาวสวนล้วนกังขา
สองแสนล้านโครงการใหญ่คับนภา
ชาวประชามาทีหลังสังเวชใจ

“สุทธิ อัชฌาศัย” ได้มองเห็น
เรื่องยากเข็ญเป็นฐานรากยากแก้ไข
เขตควบคุมมลพิษติดเภทภัย
ประกาศไว้ให้ระวังให้ระแวง

รัฐบาลผ่านไปสี่คณะ
รวมระยะสี่ปีที่แสวง
มีศัตรูหลายฝ่ายหมายฆ่าแกง
ด้วยขัดแย้งผลประโยชน์โทษสำคัญ

๗๖ โครงการหยุดขยาย
นิมิตหมายหายนะจะอาสัญ
นิรโทษชาวเมืองฮิวิบากพันธุ์
ลดหวาดหวั่นอันตรายแม้สายเกิน

“คนค้นคน” มอบรางวัลให้นักสู้
ด้วยเป็นผู้ไม่อ่อนข้อขอสรรเสริญ
ไม่กลัวตายไม่ขายตนจำนนเงิน
มุ่งมั่นเดินบนทางยากฝากความดี

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 11 มิถุนายน 2011, 07:42:AM
คนอมตะ ๑๕. สมพร ชนะพล

คนอยู่ได้เมื่อป่ายังเขียวชุ่มฉ่ำ
ผืนดินดำล้ำเลิศเกิดพฤกษา
ทั้งใหญ่น้อยร้อยพรรณในพนา
อารักขาแหล่งน้ำแหล่งชีวิน

ป่าต้นน้ำต้นกำเนิดสารพัด
สร้างสมบัติธรรมชาติดาษดื่นสิน
ส่งความชื้นสู่นภาสู่แดนอินทร์
เพื่อแผ่นดินถิ่นงามยามฝนลง

คนกับป่าผูกพันผูกจิตใจ
รู้ซึ้งในกฎเกณฑ์ร่วมประสงค์
รักษาป่าต้นน้ำย้ำยืนยง
รักษาวงศ์พงศ์พันธุ์ปัญญามี

“คลองกระแดะ” กระดูกหลัง “บ้านห้วยหอย”
ถูกถดถอยลอยแพแพ้วิถี
ประกาศเขตอุทยานราญเสรี
ทับซ้อนที่ทำกินถิ่นสายชล

ผืนดินดำล้ำเลิศเกิดคนกล้า
มีนามว่า “สมพร” สมกุศล
เขาต่อสู้ต่อใจให้ชุมชน
ไม่จำนนทุกบีบคั้นไม่หวั่นใคร

เป็นไม้ใหญ่ไม่ลู่ลมไม่สมยอม
จึงพรั่งพร้อมศัตรูผู้ปองหมาย
๑ สิงหาถูกลอบฆ่ายิงจนตาย
สิ้นเพียงกายแต่ความดีมีชีพยาว

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

สมพร ชนะพล
เมื่อคืนวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ เวลาสามทุ่ม นายสมพร ชนะพล อายุ ๔๐ ปี ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าต้นน้ำคลองกระแดะ บ้านห้วยหอย หมู่ที่ ๙ ต.คลองสระ อ.กาญจนดิษฐ์ ถูกลอบยิงเสียชีวิตด้วยปืนลูกซองเข้าที่กกหูขวาทะลุลำคอหนึ่งนัด ขณะกำลังลุกออกจากห้องนอนเพื่อมาดื่มน้ำ
ชนวนสังหารครั้งนี้น่าจะมาจากการที่ผู้ตายเป็นแกนนำในการรักษาป่าต้นน้ำคลองกระแดะ และเป็นคณะทำงานจังหวัดของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน กรณีปัญหาเกี่ยวกับป่าไม้ของเครือข่ายป่าชุมชนภาคใต้
การที่นายสมพรหันมารักษาป่าต้นน้ำคลองกระแดะ ก็เพราะว่าป่าแถบนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน อีกทั้งนายสมพรเองก็เคยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในสมัยนั้น แม้ว่าไม่มากถึงกับเป็นสหายร่วมรบกับพรรคก็ตาม แต่ก็ทำให้นายสมพรรักและหวงแหนป่าแถบนี้ ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ทางระบบนิเวศน์อยู่มาก


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 22 มิถุนายน 2011, 09:35:PM
คนอมตะ ๑๖. แสงเดือน ชัยเลิศ

ช้างๆๆเคยเห็นช้างบ้างหรือเปล่า
โตไม่เบามีงวงงาตาโศกศัลย์
เจ้าร้องไห้เศร้าใจด้วยใครกัน
ทำสายพันธุ์คชาธารลาญแหลกไป

ถูกใช้งานสารพัดดัดดึงดัน
ถูกลงทัณฑ์ “ผ่าจ้าน” ต้านนิสัย
ถูกลดชั้นเป็นขอทานขอปัจจัย
ถูกผลักไสเป็นช้างอวดสิ้นลวดลาย

จึงปรากฏเธอผู้เห็นน้ำตาช้าง
เสียงครวญครางบาดใจไม่เหือดหาย
แผลฉกรรจ์คชาชาติอาจวางวาย
เธอทุ่มกายทุ่มชีวิตจิตเจือจาน

แบกกระเป๋าเข้าป่ารักษาช้าง
เป็นลูกจ้างบริการร้านอาหาร
ถูกสงสัยหลุดโลกโรครังควาน
อีกชาวบ้านนักการเมืองเคืองราวี

เดือนสว่างส่องทางยามค่ำมืด
เธอช่วยยืดสุขสวัสดิ์ให้หัตถี
เธอเปลี่ยนโซ่เปลี่ยนตะขอจ่อสับตี
คืนศักดิ์ศรีคชีไทยไร้ระทม

ผู้กล้าหาญแห่งเอเชีย “ไทม์” ยกย่อง
ชื่อเธอก้องเกียรติประวัติจัดเหมาะสม
นาม “แสงเดือน ชัยเลิศ” ประเสริฐชม
เธอเป็นร่มไม้ใหญ่ให้กุญชร

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


แสงเดือน ชัยเลิศ
นักอนุรักษ์ช้างหญิงไทย ผู้ก่อตั้งศูนย์บริบาลช้าง ตำบลกึ๊ดช้าง อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ เธออุทิศตนเองในการดูแลและอนุรักษ์ช้างมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ และควาญช้าง รวมทั้งอาสาสมัคร คอยดูแลรักษาช้าง ที่ได้รับบาดเจ็บหรือถูกทำร้ายในศูนย์ที่จัดไว้ให้เป็นที่พักฟื้น
ศูนย์บริบาลช้างแห่งนี้ มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ที่รับเอาช้างตัวแรกชื่อ “แม่เพิ่ม” มาดูแลรักษา จากการที่มีสารเคมีตกค้างอยู่ในร่างกายเป็นปริมาณสูง เนื่องจากเจ้าของเดิมที่นำไปเดินเร่ร่อนหากินในเมืองเอาผักที่มีสารเคมีตกค้างให้กิน จนกระทั่งมีการก่อตั้งศูนย์บริบาลช้างขึ้นมาทำงานอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรมในปี ๒๕๔๐ แต่มีการโยกย้ายสถานที่ไปมาหลายแห่ง จนสุดท้ายมาอยู่บนที่ดินประมาณสองร้อยไร่ในตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง โดยใช้เงินส่วนตัวในการดำเนินการดูแลช้าง และมีบางส่วนที่ได้รับการบริจาคมาจากกลุ่มผู้ที่รักช้างทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ แสงเดือน ยังเป็นหญิงไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Hero of Asia จากนิตยสารไทม์ เมื่อเธอสร้างผลงานการดูแลช้างที่ถูกใช้งานจนเจ็บป่วยหรือพิการมายาวนาน


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 06 กรกฎาคม 2011, 12:05:PM
คนอมตะ ๑๗. ฉวีวรรณ ปึกสูงเนิน

หญิงโคราชใจเด็ดมาแต่ไหน
หญิงยิ่งใหญ่ “ย่าโม” โต้ตอบศึก
ผู้นำทัพสัประยุทธ์สุดหาญฮึก
ด้วยสำนึกเกิดเพื่อไทยตายเพื่อไทย

ร้อยปีกว่าผ่านไปไม่เคลื่อนคลาด
หญิงโคราชยังกล้าหาญยังขานไข
“ฉวีววรณ ปึกสูงเนิน” เนินสูงใจ
ไม่หวั่นไหวภัยพาลรุกรานตน

ร้อยกว่าปีผ่านไปในกระแส
สังคมแปรแพ้กิเลสเหตุฉ้อฉล
เปลี่ยนสงครามข้ามชาติข้ามมณฑล
เป็นพิกลคนสยามสงครามกัน

“ฉวีววรณ” เป็นกองหน้าประชาชน
ไม่จำนนคนโกง “ขอรับฉัน”
ไม่ก้มหัวให้อำนาจทายาททัณฑ์
ไม่ไหวหวั่นอำนาจคนร่วมพารา

มิถุนาฯ ๔๔ มีเสียงปืน
เขาหยิบยื่นความตายให้หลานย่า
เขาลอบยิงแม่ลูกสองยิงมารดา
เขาผลาญพร่าคุณธรรมนำสังคม

“ย่าโม” หลั่งน้ำตาอาดูรแสน
นี่คือแดนฉันปกป้องประคมหงม
เพื่อลูกหลานเป็นไทไร้ระทม
ใช่ถอยจมไทยฆ่าไทยใจมืดดำ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

ฉวีวรรณ ปึกสูงเนิน
เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ ประจำองค์การบริหารส่วนตำบล นากลาง อ.สูงเนิน นครราชสีมา เป็น"กองหน้าประชาชน" ให้แก่หลายองค์กร ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับสากล
เนื่องจากฉวีวรรณเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา รักความถูกต้อง ทำงานโปร่งใสและไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลคนใดที่จะเก็บเกี่ยวเอาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบรังแกประชาชนได้ บวกกับเป็นแกนนำคนหนึ่งในการฟื้นฟูวิถีชีวิตวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ลักษณะการทำงานนางฉวีวรรณจึงสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาตลอด ทำให้นางฉวีวรรณหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขัดเส้นทางผลประโยชน์ของใครบางคน และถูกยิงตายขณะอายุ ๓๕ ปี เมื่อ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๔ 


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 12 กรกฎาคม 2011, 10:30:AM
คนอมตะ ๑๘. สารี อ๋องสมหวัง

สังคมนี้มีมากมายของกินใช้
ด้วยนิสัยทุนนิยมบ่มสร้างสม
ผลกำไรเป็นกอบกำทำนิยม
แต่เงื่อนปมซุกซ่อนซับซ้อนมี

บางพ่อค้าแม่ค้าหัวใสแจ๋ว
มุ่งย้อมแมวขายให้ใจภูตผี
ผลข้างเคียงเสี่ยงตายเสี่ยงชีวี
ทุกข์ทวีเกิดทุกคนทุกเชื่อวัน

จึงเกิดผู้คุ้มครองคนกินใช้
ไม่ว่าใครต้องจ่ายจับรับสุขสันต์
ไม่ว่าใครปัจจัยสี่มีครบครัน
เธอมุ่งมั่นปกป้องไม่มองเมิน

“สารี อ๋องสมหวัง” จริงจังจิต
แบบชีวิตพยาบาลห้องฉุกเฉิน
ทุกเจ็บป่วยอาจมอดม้วยด้วยสายเกิน
เธอดำเนินทุกรูปแบบอย่างแยบคาย

“ฉลาดซื้อ” คือผลงานรูปธรรม
สุดเลิศล้ำย้ำแนวคิดสิทธิ์ซื้อขาย
“ร้องทุกข์ครั้งดีกว่าบ่นพ่นน้ำลาย”
เธอมั่นหมายสังคมนี้มีเที่ยงตรง

ถูกขู่ฆ่าว่าระวังศพไม่สวย
หาว่ารวยล้นหลามตามประสงค์
ถูกด่าว่าเหยียบย่ำกดต่ำลง
เธอยังคงมุ่งทุกผู้รู้เท่าทัน

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

สารี อ๋องสมหวัง
อดีตพยาบาลห้องฉุกเฉินผู้รู้ว่าตัวเองเหมาะกับบทบู๊ จึงหันไปทำงานพัฒนาสาธารณสุข เน้นเรื่อง “ยาปลอดภัย” หนึ่งในผลงานสำคัญคือการถอดทะเบียนยาแก้ปวดตราหนึ่ง จากนั้นจึงมุ่งทำงานด้าน "คุ้มครองผู้บริโภค" อย่างเต็มตัว มีการเปิดศูนย์ร้องทุกข์ ทำหนังสือต่อต้านการเอาเปรียบ ตามแนวคิดที่เชื่อมาตลอดว่า "ร้องทุกข์ครั้งเดียวดีกว่าบ่นพันครั้ง" จนเป็นที่มาของนิตยสารไร้โฆษณา "ฉลาดซื้อ" ซึ่งวางแผงเล่มแรกปี ๒๕๓๖
สารีเห็นว่าคนไทยส่วนหนึ่งยังเพิกเฉยต่อการเอาเปรียบผู้บริโภค แต่ส่วนหนึ่งก็เปลี่ยนไป และเชื่อว่าคนส่วนมากที่ร้องเรียนเพราะอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้ยังไม่เกิดให้เห็นชัดเจนก็ตาม นอก จากนี้ ส่วนหนึ่งยังร้องเรียนเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้ไปทำกับผู้อื่น
สารีจึงเห็นว่าต้องทำให้ผู้บริโภคตระหนักว่าการร้องเรียนมีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นที่เธอเคยเจอ เด็กประถมสี่คนหนึ่งร้องเรื่องเปิดฝายาอมตราหนึ่งไม่ออก จึงส่งคำร้องเรียนไป ทำให้ทุกวันนี้ข้างกล่องมีคำอธิบายต้องใช้เหรียญบาทช่วยเปิด


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 31 กรกฎาคม 2011, 08:03:AM
คนอมตะ ๑๙. พิทักษ์ โตนวุธ

โรงโม่หินโม่ทุกอย่างที่ขวางหน้า
ทำลายป่าเขียวดกน้ำตกสวย
ทำลายถ้ำโบราณฐานอำนวย
สามารถช่วยบอกประวัติบอกเป็นมา

“เขาผาแดงรังกาย” เกือบตายสิ้น
ระเบิดหินระเบิดใจให้กังขา
เกิดเปรี้ยงปร้างอย่างไรไร้มาตรา
คงปิดตาฟ้าดินด้วยกินโกง

ผู้ “พิทักษ์ โตนวุธ” จึงขุดค้น
เขาสู้ชนคนร้ายจนตายโหง
ลูกกระสุนเก้านัดจัดลงโลง
มอบไข้โป้งให้ “พิทักษ์” พิทักษ์ธรรม

“บ้านชมพู” สู้ประจญตามคนกล้า
เผชิญหน้าเรื่องประหลาดพลาดถลำ
สร้างอ่างใหญ่ในป่าเขาเท่าก่อกรรม
ชาวบ้านช้ำชอกใจไร้แหล่งกิน

“อยู่ที่สูงก้มมองป่าอย่ากระทำ
จงจดจำเราทำได้ไร้ติฉิน”
ประโยคร้อนต้อนรับทุกชีวิน
คนต่างถิ่นร่วมงานสานอาลัย

เทียนหนึ่งเล่มอาจระงับดับได้ง่าย
เทียนมากมายจุดต่อไม่หวั่นไหว
อุดมการณ์แกร่งกว่ามิจฉาใจ
พิทักษ์ไว้เพื่อแผ่นดินเพื่อส่วนรวม

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

พิทักษ์ โตนวุธ เกิดเมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ คนบุรีรัมย์ผู้เป็นแกนนำและที่ปรึกษาเครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู ต.ชมพู อ.เนินมะปราง พิษณุโลก ดำเนินการคัดค้านโรงโม่หินในบริเวณเขาผาแดงรังกาย ภูเขาลูกเล็กที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าต้นน้ำ มีน้ำตกหลายแห่ง มีถ้ำเก่าแก่หลายแห่ง มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ และมีน้ำพุธรรมชาติ
พิทักษ์พยายามยื่นหนังสือร้องเรียนคัดค้านโรงโม่หิน จนเกิดการชุมนุมใหญ่เมื่อ ๔ มกราคม ๒๕๔๑ มีการตรวจสอบกระบวนอนุมัติที่ดิน การสวมรอยเขตระเบิดหิน จนสามารถเปิดเผยความจริงให้กระจ่าง
เมื่อมีกระแสข่าว อุตสาหกรรมจังหวัดพิษณุโลจะอนุญาตให้ต่อสัญญาและเพิ่มประทานบัตรแก่โรงโม่ใหม่อีกแปดโรง พิทักษ์และชาวบ้านจึงเตรียมเคลื่อนไหวคัดค้าน ทำให้เขาถูกคนร้ายสองคนขี่รถ จักรยานยนต์ตามประกบยิงจนเสียชีวิตข้างถนน ขณะกลับจากประชุมเจรจาหาข้อสรุป เมื่อ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔ เวลาบ่ายๆ

ท้ายนี้ขอไว้อาลัยผู้กล้าอีกท่าน ทองนาค เสวกจินดา อายุ ๔๖ แกนนำต่อต้านการขนส่งถ่านหินในพื้นที่ ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ผู้ถูกมือปืนสองนายบุกยิงเสียชีวิตหน้าบ้านพักเมื่อวันที่ ๒๘ ก.ค.ที่ผ่านมา


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: ...สียะตรา.. ที่ 31 กรกฎาคม 2011, 08:24:AM




......คารวะ..ทุกฤดี...ผู้พลีกล้า

...เฝ้ารักษาคณานับซึ่งทรัพย์สิน

...อันเป็นของมวลชน...บนแผ่นดิน

...แม้ต้องสิ้น...ร้าวระโหย..โดยจัณฑาล








หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 27 สิงหาคม 2011, 08:14:AM
คนอมตะ ๒๐. วัลลภ ตังคณานุรักษ์

มีเด็กไทยเกิดมาร้าวรันทด
ไม่รู้รสรื่นรมย์สมวัยใส
ไม่รู้รักอบอุ่นอ้อมกอดใด
ไม่มีใครใส่ใจให้แนะนำ

เด็กเร่ร่อนนอนข้างทางถนน
ต้องผจญตรากตรำย่ำขยำ
คนโรคจิตติดยาอาชญากรรม
กระหน่ำซ้ำเยาวชนหม่นหมองใจ

ลูกก่อสร้างร้างไร้ใครดูแล
ทั้งพ่อแม่แบกหามตามเงื่อนไข
หาตอนเช้ากินค่ำต่ำปัจจัย
พอยาไส้ไม่พอลูกเข้าเรียน

ครู “วัลลภ” ลบเลือนรอยเปื้อนเปรอะ
ล้างแผลเหวอะแผลชีวิตจากผิดเผียน
จัดคุณครูข้างถนนเฝ้าวนเวียน
เพื่อนักเรียนนอกระบบพบเรื่องควร

แบกเป้หลังหวังเด็กไทยได้แย้มยิ้ม
ของกินอิ่มของจำเป็นของเล่นสรวล
ตามสิทธิผู้เยาว์ตามกระบวน
ได้ครบถ้วนตามจำเป็นเช่นทั่วไป

ทั้ง “ครูหยุย” ทุกคนในมูลนิธิ
สร้างมิติคำครูผู้ขานไข
ข้างถนนข้างเสาไฟไม่เป็นไร
ข้างเคียงไหล่ให้เด็กรู้คือครูจริง

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

วัลลภ ตังคณานุรักษ์

อดีตครูโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก กาญจนบุรี ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งและเลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งว่า “มูลนิธิฯตระหนักเสมอว่าสังคมไทยยังมีเด็กๆ อีกมาก มายที่ประสบปัญหาอ การปล่อยปละละเลยให้เด็ก ๆเหล่านี้ถูกทอดทิ้ง ด้อยโอกาส เติบโตขึ้นมาตามยถากรรม ทำให้สังคม ไทยในอนาคตย่อมอ่อนแอ เต็มไปด้วยประชากรคุณภาพต่ำ มูลนิธิฯ จึงรวบรวมบุคคลที่มีความคิดและมีจิตตระหนักเรื่องนี้ ร่วมกันทำงานทั้งแบบเต็มเวลาและอาสาสมัคร เพื่อเป็นกลไกประสานน้ำใจจากประชาชน เข้าเกื้อกูลและสร้างฐานชีวิตที่ดีให้แก่เด็กๆด้อยโอกาส”
   
วัลลภยังเป็นผู้ริเริ่มโครงการ “ครูข้างถนน” เพื่อสำรวจเด็กเร่ร่อน คลุกคลีและสร้างสัมพันธ์ เมื่อเด็กยินยอมพร้อมใจก็จะพาเข้าบ้านเปิดหรือหน่วยงานที่เหมาะสม เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาในลำดับต่อไป นอกจากนี้ยังประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในลักษณะของเครือข่ายเพื่อร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนในภาพรวม 


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 24 กันยายน 2011, 09:02:PM
คนอมตะ ๒๑. หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ปี ๔๐ เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง
ทั้งเมืองยุ่งแย่ยากลำบากหลาย
ค่าเงินบาทลอยตัวหัวใจวาย
ฆ่าตัวตายหลายคนพ้นอัปรีย์

อุณหภูมิเมืองไทยป่วยไข้หนัก
แทบกระอักเลือดตายกลายเป็นผี
ร้อนธรรมาสน์อาสนะพระหวังดี
ท่านยอมพลีสงบสุขดับทุกข์ไทย

เกิด “ผ้าป่าช่วยชาติ” ศาสน์ประสาน
วัดกับบ้านร่วมต่ออายุขัย
พระกับคนร่วมงานต้านเภทภัย
สยามใช่ไร้พลังร่วมใจกาย

ทองคำหนักหมื่นสามกิโลกรัม
อุปถัมภ์ทุนสำรองคล่องค้าขาย
เงินสองหมื่นล้านบาทอาจเปรียบปราย
เราทั้งหลายให้ทุกหยาดเป็นชาติพลี

“หลวงตาบัว” ทำให้ไทยตระหนัก
พวกเรารักชาติยิ่งกว่าสุขี
แค่เงินทองของนอกกายฝ่ายโลกีย์
ล้วนยินดีสละให้ในยามแคลน

๓๐ มกราฯ ปี ๕๔
ปฐพีร่ำไห้อาลัยแสน
สมณะละสังขารจากขวานแดน
เหลือเพียงแก่นเตือนใจให้กลมเกลียว

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เป็นพระภิกษุนักวิปัสสนากรรมฐานในพุทธศาสนานิกายเถรวาท คณะธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุดรธานี และเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ท่านเป็นหนึ่งในศิษย์ของพระครูวินัยธรมั่น ภูริทัตโต ซึ่งได้มีโอกาสอุปฐากรับใช้หลวงปู่มั่นในช่วงปัจฉิมวัย และเป็นผู้หนึ่งที่ได้บันทึกประวัติของหลวงปู่มั่นโดยละเอียดในเวลาต่อมา
หลวงตามหาบัวเป็นที่รู้จักในฐานะพระนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานผู้มีปฏิปทาที่มั่นคง แน่วแน่ เด็ดขาด และจริงจัง จนสามารถบรรลุธรรมในระดับหนึ่ง และสำเร็จเป็นพระอรหันต์
หลังวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทยเมื่อปี ๒๕๔๐ ชื่อของหลวงตามหาบัวได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นทั้งในและนอกประเทศ จากการที่ท่านได้ดำเนินการทอดผ้าป่าทองคำและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใต้ชื่อ "โครงการผ้าป่าช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" เพื่อใช้เป็นทุนสำรองของประเทศไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้ได้ดำเนินการมาโดยตลอดในช่วงปัจฉิมวัยของท่าน


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 09 ธันวาคม 2011, 11:10:AM
คนอมตะ ๒๒. สันติพงษ์ มูลฟอง

หนูเป็นเด็กไร้สัญชาติขาดหลายสิทธิ์
มีชีวิตไม่ใช่ไทยใจกังขา
บ้านหนูอยู่ชายขอบรอบพารา
ไร้คุณค่าร่วมแผ่นดินถิ่นเติบโต

มองโรงเรียนมองไปใจละห้อย
ตนต่ำต้อยน้อยโอกาสขาดอักโข
เพื่อนยืนตรงให้ธงชาติมาดโอ้โฮ
หนูเดินโซเข้าโรงงานทำเช้าเย็น

เปรียบกล้าไม้ไร้น้ำดินอุดม
อยู่ในร่มในเงาแห่งทุกข์เข็ญ
ทั้งแสงแดดสายลมฝนกระเซ็น
ไม่เคยเห็นไม่เคยเจอเสมอไป

“แม่สามแลบ” บ้านนี้มีไม้ดัด
อัตคัด “บ้านโพซอ” รอแก้ไข
“บ้านสบเมย” ละเลยควรของเยาว์วัย
ผู้ห่วงใยไม่ปล่อยปละละทิ้งกัน

“สันติพงษ์ มูลฟอง” ของจริงแท้
เขาแน่วแน่แก้ปัญหาล่าสิ่งฝัน
เด็กมีบัตรประจำตัวเป็นสำคัญ
สิ้นปิดกั้นไทยชายขอบคนขอบแดน

วันเด็กปี ๕๑ จึงบังเกิด
ลดละเมิดเด็กหลังฉากลำบากแสน
สง่างามประดุจฝูงยูงรำแพน
ที่เมืองแมน “สาละวิน” อีกถิ่นไทย

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

สันติพงศ์ มูลฟอง
   
ชายหนุ่มนักสู้แห่งอำเภอสบเมย แม่ฮ่องสอน เป็นคนหนึ่งที่มองเห็นปัญหาเด็กต่างด้าวถูกใช้แรงงานข้ามวันข้ามคืน เป็นแรงผลักดันให้เขาดำเนินการเพื่อรักษาสิทธิ์และความเท่าเทียมของเด็กไร้สัญชาติอย่างจริงจัง

ในช่วงแรกของการทำงาน เขาพบปัญหามากมายเช่น กฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงานบนพื้นที่เชิงเขา ตลอด จนปัญหาจากการขาดข้อมูลความรู้ด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการดำเนินงาน เขาจึงเดินหน้าศึกษาข้อกฎหมายต่างๆอย่างจริงจัง เช่น พระราชบัญญัติสัญชาติ ระเบียบการศึกษา ควบคู่กับการสร้างเครือข่ายกับภาคีผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน จนสามารถจัดตั้ง “ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน” เพื่อขยายผลในการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
   
เช้าวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๑ สันติพงษ์และเด็กๆจากหมู่บ้านเก้าแห่ง รวมทั้งบ้านแม่สามแลบ บ้านแม่ดึ๊ บ้านโพซอ และใกล้เคียง จำนวนกว่าสองพันชีวิต ได้มาร่วมพิธีเปิดวันเด็กไร้สัญชาติ ครั้งที่หก บริเวณลานหาดทรายริมแม่น้ำสาละวิน ตัวแทนหมู่บ้านแม่สามแลบร้องเพลงชาติไทยนำ เมื่อร้องจบได้กล่าวว่า “การร้องเพลงชาติในครั้งนี้ร้องโดยบุคคลซึ่งไร้สัญชาติ”


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 07 มกราคม 2012, 10:36:AM
คนอมตะ ๒๓. พระสุพจน์ สุวโจ

“พุทธทาสศึกษา” พระรุ่นใหม่
“ธารน้ำไหล” เมืองไชยามาสู่ฝาง
สวนแห่งเมตตาธรรมนำปล่อยวาง
สวนผิดทางขัดประโยชน์โทษถึงตาย

ที่ดินกว้างหนึ่งพันห้าร้อยไร่
ตระเตรียมไว้เช่น “สวนโมกข์” มุ่งมั่นหมาย
เผยแผ่ธรรม “พุทธทาสฯ” อธิบาย
ชาว “สันทราย” แห่งเชียงใหม่ได้แบ่งปัน

ที่ผืนใหญ่ใจคนเท่าผืนหนัง
มืดมิดบังด้วยประโยชน์โทษมหันต์
สมณะถูกข่มขู่ถูกกดดัน
จงจัดสรรสันติแดนแผ่นดินธรรม

ฆราวาสอาจหาญภิกษุสงฆ์
มุ่งเจาะจงจาบจ้วงเนกขัม
ทั้งบุกรุกคุกคามหยามย้ำคำ
กล้ากระหน่ำแม้เป็นพระไม่ละวาง

๑๗ มิถุนาฯ ปี ๔๘
เลือดพระแปดเปื้อนดินถิ่นบาดหมาง
“พระสุพจน์” ถูกฆ่าตายทิ้งข้างทาง
ก่อนสรรค์สร้างศูนย์กลางใหม่ใช้ทำงาน

อะไรทำเมืองพุทธประทุษร้าย
ผู้พลีกายพลีใจผู้สืบสาน
อะไรทำคนเย็นเป็นคนพาล
ตามกล่าวขานอำนาจเงินเกินห้ามปราม

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


พระสุพจน์ สุวโจ

เกิด ๒๔ มิถุนายน ๒๕๐๙ อ.กันตัง จ.ตรัง เนื่องจากพ่อรับราชการอยู่กรมเจ้าท่า จ.สงขลา จึง ต้องย้ายมาอยู่กับป้าที่กรุงเทพฯเพื่อเรียนหนังสือ ในช่วงเป็นนักเรียน มีผลการเรียนในระดับดีมาก เมื่อเรียนจบมัธยมปลายจากโรงเรียนรัตนาธิเบศร์ ก็สอบเข้าเรียนต่อในคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์

หลังจบการศึกษาแล้วทำงานได้ระยะหนึ่ง จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ และได้เข้าร่วมการอบรมอานาปานสติที่สวนโมกขพลาราม สุราษฎร์ธานี ทำให้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม ในสวนโมกข์มานับแต่นั้น
   
คืนวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ มีกลุ่มคนจำนวนมากรุมทำร้ายพระสุพจน์ สุวจโน จนถึงแก่มรณภาพ โดยก่อนหน้านี้ มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ อนุมัติให้ทางคณะสงฆ์ใช้งบประมาณ เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ สำหรับย้ายสำนักงานมูลนิธิในส่วนกลาง เปิดสำนักงานใหม่ขึ้นในบริเวณสถานปฏิบัติธรรมอย่างเต็มรูปแบบ หลังการฉลองร้อยปีชาตกาลพุทธทาสภิกขุ ในปี ๒๕๔๙


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2012, 10:43:AM
คนอมตะ ๒๔. รศ.นพ. สภา ลิมพาณิชย์การ

มีคุณหมอมากมายหลายสำนึก
หมอตรองตรึกเวทนาค่ารักษา
หมอพาณิชย์คิดค่าตัวคั่วค่ายา
หมอพ่อค้าสร้าง “โรงบาล” บานตะไท

นั่นโรงหมอหรือโรงแรมแฉล้มหรู
นอกในดูเด่นสง่าน่าสงสัย
ค่าหาหมอหามาตลอดวัย
จะพอไหมใคร่คิดผ่อนก่อนใช้งาน

หมอล้านบาทมาดมุ่งผลกำไร
มองคนไข้ผู้ซื้อยื้อสังขาร
มองคนป่วยทำเป้าทำผลงาน
ทุกปีผ่าน “โบนัส” จัดบานเบือ

“หมอห้าบาท” มาดมุ่งจรรยาบรรณ
มีครบครันเมตตาจิตคิดช่วยเหลือ
ค่าปรึกษาค่ายาท่านจานเจือ
ท่านเอื้อเฟื้อคิดถูกกว่ายาอุทัย

หมอ “สภา ลิมพาณิชย์ฯ” จิตประเสริฐ
เป็นผู้เปิด “คลินิก” ห้องแถวไม้
เป็นผู้ลดช่องว่างสังคมไทย
เป็นผู้ใช้เงินบำนาญทานคนจน

มีคุณหมอมากมายควรเอาอย่าง
ควรเสริมสร้างวิญญาณหมอต่อกุศล
“ขออุทิศชีวิตข้าเพื่อปวงชน”
สาบานตนสาบานไว้ใจรู้ดี
 
ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

รศ.นพ. สภา ลิมพาณิชย์การ
หลังศึกษาจบจากคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ รศ.น.พ.สภาได้รับทุนของThe China Medical Board of New York Institute ไปฝึกงานทางMedical Photograply ที่The Johns Hopkins Hospital เมืองBaltimore จากนั้นกลับมารับราชการเป็นอาจารย์โท ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ หน่วยภาพการแพทย์ หัวหน้าหน่วยถ่ายภาพ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนเวชนิทัศน์ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล
อาจารย์หมอสภาเปิดคลินิกที่ซอยระนอง ๑ ตามคำชักชวนของเพื่อนเมื่อปี ๒๕๐๗ ทำไปได้สักพักเพื่อนก็ขอถอนตัว จึงทำต่อเพียงผู้เดียว โดยคิดเพียงค่ายาเพียง ๕-๗๐ บาท จนได้รับฉายา “หมอห้าบาท” อีกทั้งยังไม่คิดค่าตรวจ หากไม่มีเงินหรือมีเท่าไรก็เอาเท่านั้น ทำเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้ผู้ป่วยไปซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากไม่รู้ว่าตนแพ้ยาชนิดใด และการรับประทานยาโดยปราศจากคำแนะนำของแพทย์ทำให้ดื้อยาได้ ส่งผลเสียต่อการรักษา
ที่สำคัญ อาจารย์หมอสภาเน้นการให้คำแนะนำว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรจึงหายป่วย รวมทั้งไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่ายของคลินิก เดือนไหนเงินไม่พอจ่ายค่ายาก็นำเงินบำนาญของตนออกมาใช้ โดยอาจารย์หมอบอกว่าทำเช่นนี้เพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 11 มีนาคม 2012, 11:53:AM
คนอมตะ ๒๕. พรเพชร เหมือนศรี

ฉันกับแม่เคยมีที่ทำกิน
เป็นแผ่นดินสินทรัพย์นับคาดหวัง
ทำไร่นาข้าวงามตามกำลัง
พอประทังพอเพียงเลี้ยงชีพควร

ฉันกับแม่เจอฟ้าผ่าในหน้าแล้ง
ทางการแจ้งแหล่งประเภทเขตสงวน
“ทุ่งเขาพระ” ที่เลี้ยงสัตว์จัดจำนวน
ห้ามรบกวนครอบครองจับจองเอา

ฉันกับแม่แค่ชาวนาผู้ยากไร้
มีเพียงใจไม่หวั่นไหวไม่ขลาดเขลา
ปี ๑๑ ร้องเรียนเพียรผ่อนเบา
หวังพวกเขาเมตตาหาเหตุใด

ฉันกับแม่แพ้ทางข้อข้องขัด
การรังวัดจัดไว้ไม่โปร่งใส
หลอกชาวบ้านลงนามตามกันไป
สุดวิสัยชาวเรารู้เท่าทัน

ฉันกับแม่จากกันในวันหนึ่ง
แม่ผู้ซึ่งสู้ทนจนอาสัญ
หน่วยงานนี้งานโน้นโยนกลองกัน
จนผ่านผันผ่านนายกฯถึงสี่คน

ปี ๔๗ ฉันยังคงส่งจดหมาย
ยังมั่นหมายยุติธรรมนำส่งผล
กลับได้รับความตายจำหน่ายตน
เมืองสินบนปล้นชีวิตปลิดชีพเรา

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์


พรเพชร เหมือนศรี

ชื่อเดิม พรพิศ เหมือนศรี เกิด ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๘๐ ถูกลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตเมื่อ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ เป็นชาวนาผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกินจนได้รับรางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่นในปี ๒๕๓๑ เธอใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิตในการต่อสู้กับอำนาจรัฐและระบบราชการเพื่อรักษาที่ดิน มรดกชิ้นสุดท้ายที่พ่อกับแม่เธอทิ้งไว้ให้

การต่อสู้เริ่มตั้งแต่สมัยพ่อของเธอ นายพิม เหมือนศรี เมื่อรู้ว่าที่ดินตนซื้อมาและทำไร่ทำนาจนราชการยกให้เป็นไร่ตัวอย่าง ถูกประกาศให้เป็นที่ดินสงวน หวงห้ามสำหรับเลี้ยงสัตว์ (เขตสาธารณะเลี้ยงสัตว์ทุ่งเขาพระ) ซึ่งในการทำรังวัดนั้น ดำเนิน การอย่างไม่โปร่งใส และเจ้าหน้าที่บังคับให้ชาวบ้านลงนามในเอกสารที่ไม่มีข้อความใดๆ

จดหมายร้องเรียนฉบับแรก เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ พ.ค. ๒๕๑๑ โดยนางหนู เหมือนศรี แม่ของพรเพชร การร้องเรียนได้ผ่านกระบวนการราชการมากมาย จากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่ง ย้อนกลับไปกลับมา ผ่านนายกรัฐมนตรีถึงสี่คน จนกระทั่ง ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๗ พรเพชรส่งจดหมายถึงนายกสภาทนายความ เป็นการส่งเอกสารเพิ่มเติม เพื่อให้ช่วยส่งเรื่องพิพาทกรณีที่ดิน ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นจดหมายร้องเรียนฉบับสุดท้ายของเธอ ก่อนจะถูกลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตในอีก ๑๙ วันต่อมา รวมเวลาต่อสู้ ๓๖ ปี


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 25 มีนาคม 2012, 08:56:AM
คนอมตะ ๒๖. นายดาบตำรวจ วิชัย สุริยุทธ

เขาถูกว่าบ้าบอถูกหัวเราะ
ด้วยชอบเพาะต้นไม้ในแห่งหน
ไร้ผู้จ้างผู้วานใช่งานตน
เขาไม่สนไม่ใส่ใจไม่หยุดทำ

ว่างจากงานสำราญหว่านพฤกษา
ทุกครั้งคราทุกแห่งหนจนใจหนำ
เมล็ดพันธุ์ห้าร้อยเม็ดเสร็จประจำ
เขาผู้นำ “ปรางค์กู่” สู่เขียวงาม

ทุกวันที่หนึ่งเดือนห้าหน้าที่เริ่ม
มุ่งส่งเสริมวันแรงงานชาวสยาม
ควบ “มอไซ” คันเก่าเฝ้าติดตาม
ได้ฤกษ์ยามฝนฉ่ำพรำพืชพันธุ์

สามสิบปีที่เขาทำทุกเช้าเย็น
เขาผู้เป็นตัวอย่างทางสร้างสรรค์
สองล้านต้นด้วยคนหนึ่งซึ่งสามัญ
นับหมื่นวันมั่นคงตรงต่อใจ

“ให้ผมเล่นการเมืองไม่สนหรอก
แต่ขอบอกเรื่องบุญหนุนสดใส
ปลูกต้นไม้ยั่งยืนคืนปัจจัย
ลูกหลานไทยได้ใช้ค่าพฤกษาพรรณ”
 
ต้นยางนายางข้นล้นใจเขา
ต้นสะเดาสะท้อนผู้สู้ตามฝัน
อีกต้นคูนต้นตาลงานโจษจัน
ผู้คงมั่นนาม “วิชัย” ฤทัยทอง

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์



นายดาบตำรวจวิชัย สุริยุทธ

ผู้บังคับงานหมู่สอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ วัย ๕๘ ผู้ใช้ชีวิตร่วมยี่สิบปี ก้มหน้าก้มตาปลูกต้นไม้ทุกวันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โดยใช้เวลาว่างจากงานราชการ ออกปลูกต้นไม้ทุกวันตามที่รกร้างว่างเปล่า ไหล่ถนน ที่ดินสาธารณะ ฯลฯ ปลูกโดยที่ไม่มีนายสั่ง ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ จะมีบ้างก็เสียงหัวเราะลอยลมของเด็กๆ และชาวบ้านที่คิดว่าเขาเป็นบ้า
         
เวลาผ่านไปเกือบยี่ปี อำเภอปรางค์กู่ซึ่งเคยเป็นอำเภอที่แห้งแล้งยากจนที่สุดในประเทศ กลับร่มรื่นเขียวขจีไปด้วยต้นไม้นานาชนิด โดยเฉพาะต้นตาลที่นับได้ไม่ต่ำกว่าสองล้านต้น ไม่รวมไม้ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าต้นยางนา ต้นคูน ต้นสะเดา ต้นขี้เหล็ก ฯลฯ
           
ดาบวิชัยปลูกต้นไม้เป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมทั้งเช้าและเย็น ยังใช้มอเตอร์ไซค์คู่ชีพอายุสิบกว่าปีเป็นพาหนะ บรรทุกเมล็ดพันธุ์ไปปลูกตามที่ต่างๆ แต่ละปีเริ่มปลูกต้นไม้ก่อนหน้าฝน โดยเลือกวันที่ ๑ พฤษภาคมเป็นวันแรกของการปลูกต้นไม้ ถือเป็นการให้เกียรติวันแรงงานแห่งชาติ โดยรวมแล้วเขาแล้วน่าจะปลูกไปมากกว่าสองล้านกว่าต้น ด้วยการนำเมล็ดพันธุ์ไปหยอดตามขอบถนน ริมห้วยหนองคลองบึง วันละ ๔๐๐-๕๐๐ ต้น ต้นตาลก็ปลูกไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ เมล็ด ต้นคูนก็น่าจะร่วมหมื่นต้น และยังมีต้นไม้อื่นๆอีก


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 09:32:AM
คนอมตะ ๒๗. จุรินทร์ ราชพล

ธุรกิจบ่อเลี้ยงกุ้งรุ่งเรืองหลาย
เงินมากมายเข้ากระเป๋าเหล่าสิงห์เสือ
รุกพื้นที่ป่าชายเลนเป็นบานเบือ
แทบไม่เหลือ “บ้านป่าคลอก” ช้ำชอกใจ

ปี ๐๔ มีพื้นที่สามหมื่นไร่
เพียงผ่านไปสี่สิบปีนี่ไฉน
เหลือสี่ร้อยน้อยลงด้วยเหตุใด
ฝีมือใครอาจอุกเข้ารุกราน

เกิดแกนนำอนุรักษ์ป่าภูเก็ต
กลุ่มใจเด็ดเมล็ดพันธุ์แห่งกล้าหาญ
อิทธิพลคนยิ่งใหญ่ไม่กลัวลาน
ประจัญบานต้านโทษประโยชน์มัน

กำแพงคนขัดขวางรถแทร็กเตอร์
กำแพงเกลอร่วมใจล้วนกล้าขวัญ
อุดมการณ์ประสานคนล้นสัมพันธ์
ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงชีวา

แต่บ่อกุ้งบ่อทองคำยังกล้ำกราย
จึงสู้ตายเพื่อคลายคลี่บี้ปัญหา
จึงสู้ตายเพื่อบ้านเกิดกำเนิดมา
รู้รักษาสิ่งแวดล้อมอย่ายอมใคร

ต้นโกงกางด่างพร้อยด้วยรอยเลือด
เขาถูกเชือดถูกเฉือนตามเงื่อนไข
กาย “จุรินทร์ ราชพล” อาจพ้นไป
แต่หัวใจยังสถิตย์ติดชายเลน

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์

จุรินทร์ ราชพล 

หนึ่งในแกนนำกลุ่มอนุรักษ์บ้านป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ถูกคนร้ายยิงและเสียชีวิตเมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๔ สาเหตุเนื่องจากคัดค้านการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนภูเก็ต เพื่อทำบ่อเลี้ยงกุ้งของนายทุนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

กลุ่มอนุรักษ์บ้านป่าคลอก เริ่มงานมาตั้งแต่ ๒๕๓๕ ช่วงที่ธุรกิจการเพาะเลี้ยงกุ้งกำลังเฟื่องฟู ทำเงินมหาศาล จนมีการขยายพื้นที่เลี้ยงกุ้งกันไปทั่วภาคใต้บ้านป่าคลอก ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ภูเก็ต เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ พื้นที่ ที่ถูกรุกล้ำขยายทำบ่อกุ้ง ทำให้กลุ่มอนุรักษ์บ้านป่าคลอกรวมตัวกันตั้งกำแพงขัดขวางรถแทรกเตอร์ของนายทุน ที่เข้ามาบุกรุกป่าชายเลนบริเวณบ้านป่าคลอก

การต่อสู้ดำเนินมาเรื่อยๆ ถึงขั้นร้องเรียนผ่านหน่วยรัฐและเอกชน หลายครั้งหลายครา จากนั้นด้วยบทบาทที่ชัดเจนของกลุ่มจึงขยายงานอนุรักษ์ไปสู่ทะเลโดยมีกิจกรรมป้องกันปราบและตรวจจับ อวนรุน อวนลาก ที่เข้ามาทำประมงในเขตห้าม รอบชายฝั่ง แต่การบุกรุกกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติก็ยังคงมีเรื่อยๆ โดยเฉพาะป่าชายเลน ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับนายทุนก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเป็นเหตุให้นายจุรินทร์ ราชพล ถูกลอบสังหาร


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 10 มิถุนายน 2012, 09:36:AM
คนอมตะ ๒๘. แยนะ สะแลแม

ผ้า “ฮิญาบ” สวยงามตามแบบอย่าง
ตามแนวทางอิสลามห้ามอวดผม
“แยนะ สะแลแม” เธอชื่นชม
ปักสวยสมประจักษ์ใจใช้งดงาม

ผ้าคลุมผมคลุมเพียงกายอยู่ภายนอก
ไม่อาจบอกภายในไร้หวั่นหวาม
แม่ลูกแปดแห่ง “ตากใบ” แดนไฟลาม
เธอทวงถามสิทธิ์ชอบธรรมนำชุมชน

มุ่งช่วยเหลือจำเลยคดีใหญ่
แม้เภทภัยมากมายในแห่งหน
แม้รู้น้อยด้อยปัจจัยไม่จำนน
แม้ยากจนแต่กุศลล้นชายแดน

เธอศึกษารูปคดีมีทางออก
เธอวิ่งรอกหาหลักทรัพย์นับหลายแสน
ทำหน้าที่ดุจทนายฝ่ายขลาดแคลน
เป็นตัวแทนแนบแน่นใจในกดดัน

เป็นผู้นำกลุ่มสตรีผู้สูญเสีย
ล้วนลูกเมียญาติมิตรผู้อาสัญ
ร่วมจิตใจร่วมปัญญาร่วมประจัญ
ร่วมฝ่าฟันยากลำบากจากเหตุการณ์

ผ้า “ฮิญาบ” ผืนนี้ที่เธอปัก
ลายแห่งรักยุติธรรมนำสมาน
ลายเกลี่ยไกล่ใช้เวลานานแสนนาน
ยังยืนกรานสร้างงานแท้แม้เข็มตำ

ร้อยเรียงและถ่ายภาพโดย เดชา เวชชพิพัฒน์



แยนะ สะแลแม

จากการทำงานด้วยความเสียสละ และจิตใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้คนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้  ทำให้ แยนะ สะแลแม หญิงเหล็กแห่งตากใบ ในวัยเฉียดห้าสิบ ที่มีความรู้เพียงจบชั้นประถมสี่ ได้รับรางวัล “ผู้หญิงปกป้องสิทธิมนุษยชน” ประจำปี ๒๕๕๐ จากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

นอกจากนี้เธอยังเป็นหนึ่งในตัวแทนของกลุ่มสตรีสานสัมพันธ์สู่สันติสุข เป็นการรวมกลุ่มของผู้หญิงที่ลูกชาย สามี พ่อ หรือญาติเสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบและเหตุรุนแรงอื่นๆ โดยแยนะทำหน้าที่ประสานงานการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชนแก่ผู้ได้รับผลกระทบทั้งจากกรณีตากใบ และกรณีต่างๆ ประสานงานร่วมกับกลุ่มเยาวชนใจอาสาเพื่อครอบครัวผู้สูญเสีย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ และอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จัดเวทีรับฟังเรื่องราวร้องทุกข์พร้อมให้ความรู้และความช่วยเหลือด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนแก่สมาชิกครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้


หัวข้อ: Re: คนอมตะ
เริ่มหัวข้อโดย: deja ที่ 07 พฤษภาคม 2013, 09:01:AM
คนอมตะ รวมเล่มแล้วครับ มีทั้งหมด ๔๔ บท

http://book.truelife.com/truebook/store-detail/?12693&detail (http://book.truelife.com/truebook/store-detail/?12693&detail)

กลอนแปดประกอบภาพถ่ายเพื่อสดุดีผู้กล้า ๔๔ คน ทั้งที่มีชีวิตอยู่และจากไป การกระทำเพื่อความถูกต้องและยุติธรรมของเขา แลกมาด้วยน้ำตาและหยดเลือด ไม่ว่าจะเมื่อไร พวกเขาเหล่านี้ย่อมเป็น “คนอมตะ” ในสังคมเรา

คนอมตะบทที่ ๔๔. จินตนา แก้วขาว

“หาดบ้านกรูด” สูดหายใจได้เต็มปอด
ถิ่นสุดยอดปลอดพิษสารระเหย
แดนอบอวลมิตรไมตรีคนคุ้นเคย
ดุจทรามเชยงามพิสุทธิ์ผุดผาดตา

วาฬบรูด้าท้าทายคลื่นลมแรง
เคยสำแดงกำลังเกิดกังขา
รู้เหตุร้ายเรื่องอุบาทว์พาดผ่านมา
สิ้นชีวาคาผืนทรายชายหาดงาม

โรงไฟฟ้าเริ่มดำเนินเดินตามแผน
ทำคะแนนเก็บปัจจัยไร้เกรงขาม
กว้านซื้อที่ยุชาวบ้านตะกละกลาม
ตัดข่มนามย่ำศักดิ์ศรีด้วยเงินทอง

“จินตนา แก้วขาว” แก้วกร้าวแกร่ง
เธอโต้แย้งแจ้งท้ากล้าลองของ
นำชาวบ้านต้านปัญหามาครอบครอง
เธอประลองกับยักษ์ใหญ่คับฟ้าดิน

ถูกไล่ยิงขู่ฆ่าเหมือนหมูหมา
ถูกกล่าวหาใส่ร้ายถูกติฉิน
ถูกตัดสินจองจำช้ำชีวิน
ถูกดูหมิ่นเป็นแม่ค้ากล้าลองดี

เธอพิสูจน์ให้โลกนี้ได้รับรู้
ฉันจะอยู่อย่างฉันเห็นเป็นวิถี
สิทธิคนเกิดมาทุกชีวี
ล้วนต้องมีเพื่อให้ได้เท่าเทียม

โดย เดชา เวชชพิพัฒน์

จินตนา แก้วขาว

แกนนำกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านกรูด ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินมูลค่าหกหมื่นล้าน ในบริเวณที่อยู่อาศัยของเธอและชาวบ้านมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ ทำให้ถูกลอบยิง ถูกขู่ฆ่า และถูกใส่ร้ายป้ายสีทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องผลประโยชน์ในฐานะเป็นแกนนำ

๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ จินตนาถูกศาลสั่งให้จำคุกโดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาบุกรุก นำของโสโครกเปรอะเปื้อนบุคคลและทรัพย์สิน ด้วยการนำชาวบ้านกลุ่มเสื้อเขียวบุกรุกงานเลี้ยงโต๊ะจีนของบริษัท ยูเนี่ยน พาวเวอร์ ดีวีลอปเม้นท์ จำกัด เจ้าของโครงการโรงไฟฟ้า ต่อมาเธอได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังอยู่ในเรือนจำสองเดือน

จินตนาเคยให้สัมภาษณ์ผู้เขียนว่า “สาเหตุที่พี่ป่วนงานเลี้ยงเพราะมันเป็นเรื่องสิทธิทำกินของชาวบ้าน พี่อาจคิดไม่เหมือนคนอื่น พี่อาจจะนอนตีพุงอยู่บ้านก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องของพี่ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจว่ามีโรงไฟฟ้าแล้วได้กี่หมื่นล้าน พี่เทียบหกหมื่นล้านกับเงินร้อยเดียวที่พี่มีก็ได้ มันเป็นสิทธิ์ของพี่ที่จะเลือกว่าจะอยู่กับมันหรือไม่ ตรงนี้เป็นวิถี มันเป็นวิถี คนที่ไม่เข้าใจเราก็จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนา แต่พี่ขอยืนยันว่ามันเป็นวิถีที่พี่เลือก เลือกที่จะอยู่อย่างนี้ จะมีรายได้อะไรฉันไม่รู้”