โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน (ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
08 กุมภาพันธ์ 2025, 03:18:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน (ภาคจบ) ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 5326 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
07 สิงหาคม 2024, 08:07:AM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 07 สิงหาคม 2024, 08:07:AM »
ชุมชนชุมชน

พรานหน้าเศร้า  เล่าตอบ  บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน  เจ็ดวัน  ดั้นถึงนี่
กรินทร์คิด  อธิษฐาน  บารมี
ที่ยอมพลี  ชีพให้  ไม่นำพา
แม้ศรปัก  ชนักติด  ไม่ปริโอษฐ์
ไม่ถือโทษ  โกรธคน  ห่มกาสาว์
ขอกุศล  ผลบุญ  หนุนนำพา
ให้พรานป่า  ฝ่าไพร  ไร้กังวล
ให้กลับถึง  กาสี  ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว  แผ้วภัย  ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง  กรุงไกร  ได้บังคม
สัมฤทธิ์สม  จำนง  องค์เทวี
เสร็จกำหนด  จดจิต  อธิษฐาน
จึงบอกพราน  เร่งการ  เดินทางหนี
พาลมฤค  พฤกษ์พราย  อย่ากรายมี
ถึงกาสี  กรุงไกร  ในเจ็ดวัน
ให้ประสพ  ยศถา  บรรดาศักดิ์
มากสมบัติ  ทรัพย์สิน  ทุกสิ่งหวัง
ชนเลื่องชื่อ  ลือก้อง  แซ่ซ้องกัน
สบสุขสันต์  วันคืน  ชื่นสราญ
ทันใดนั้น  ธาษตรี  อยู่ดีสั่น
กระเพื่อมลั่น  ประดังเสียง  สำเนียงสาง
โกลาหล  อึงอล  ตรงมาลาน
พรานพลุ่งพล่าน  เหงื่อกาฬตก  อกร้อนรน

ท้าวฉัททันต์  ฟังดู  ก็รู้ว่า
เหล่าพังคา  หาตลบ  หมดแห่งหน
ตามไม่พบ  วกมา  พากังวล
บอกพรานจง  เร่งปลีก  รีบเดินทาง
ให้นิราศ  จากไป  ในบัดนี้
ก่อนดำรี  กรีนาค  มากช้างสาร
ยกพลกลับ  มาพร้อม  ล้อมทั่วลาน
ต้องถูกผลาญ  ลาญสิ้น  นิ่งอยู่ไย
โสณุดร  สะท้อนใจ  อาลัยแสน
เนตรรื้นแดง  แสนสะทก  อกใจหาย
ยากจักหัก  ตัดจิต  ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล  ไอยรา  พาเศร้าตรม
รีบแบกงา  แล่นหา  ผาหน้าตั้ง
เห็นเชือกพลัน  จาบัลย์จาง  พลางสุขสม
เร่งฉวยจับ  มัดงา  ท่าลุกลน
แล้วผูกตน  วนรัด  เชือกมัดกาย
เสร็จหยิบพลุ  จุดไฟ  มือไม้สั่น
ชูมือพลัน  ดังบึ้ม  ขึ้นฟ้าใส
แตกสว่าง  กลางหาว  พราวพร่างพราย
เหล่าดำไร  ให้ประหลาด  กวาดตามอง
เห็นพรานบาป  หยาบช้า  หน้าตาเหลือก
ให้แค้นเดือด  เลือดพล่าน  ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา  โกรธาพุ่ง  ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง  จ้องฆ่า  พร่าชีวัน
ฝ่ายลูกน้อง  พร้อมรอ  พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง  เสียงพลุ  ผุดผลุนผลัน
ให้ตระหนก  ตกใจ  รีบไวพลัน
ต่างแข็งขัน  เกรียวกราว  สาวเชือกดึง
เหล่าทันตี  กรีนาค  เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง  ทิ่มงา  ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม  สัญญาณไป  ให้รีบดึง
กระตุกเชือก  เกือบขาดผึง  ดึงขึ้นไว
เหล่าสมุน  ชุลมุน  รุมกันชัก
พรานขยับ  ระดับลอย  เหงื่อย้อยไหล
คชบ้าคลั่ง  ประดังเบียด  แทงเฉียดไป
พรานงอเข่า  สาวเชือกใหญ่  ไวเหมือนลิง
งาแทงถาก  บาดทวาร  พรานตระหนก
หนังถลก  หยดสาด  เลือดอาบหิน
รีบสาวเชือก  เสือกหนี  กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น  ถูกหินขูด  ครูดรอบกาย
พอถึงยอด  รอดพ้น  ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล  แม้ฉกรรจ์  นานวันหาย
แต่แผลลึก  สำนึกผิด  ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย  คลายระบม  ต้องทนตรอม

เจ้าคชา  พญาสาร  เห็นพรานรอด
ฟุบกายหมอบ  รอบข้าง  ร้างพลผอง
นอนโดดเดี่ยว  เปลี่ยวใจ  ในพนอง
ตรมหม่นหมอง  แหงนมองฟ้า  ตาพร่าเลือน
เสียงเหล่าสงฆ์  ธุดงค์ชัฏ  ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว  แผ้วใจ  เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์  พลันคลาย  ประกายเดือน
จิตฟูเฟื่อง  เรืองรุ่ง  พุ่งออกกาย

ฝ่ายพรานไพร  ใจครวญ  ชวนพลกลับ
ไม่เปะปะ  ตัดดง  ตรงที่หมาย
เจ็ดวันถึง  ธานี  ศรีไผท
ปลอดโพยภัย  ไร้ข้องขัด  อัศจรรย์
เข้าหมอบกราน  ผ่านเผ้า  เล่าถวาย
เรื่องมากมาย  รายผ่าน  อย่างแข็งขัน
ยื่นงาสอง  น้อมให้  ไท้ราชัน
เป็นของขวัญ  กันยา  ชายาไท
แล้วเล่าความ  ตามคำ  ฉัททันต์สาง
แด่จอมนาง  สารพารณ  ยังหลงใหล
มั่นในรัก  ภักดี  มีไม่คลาย
ไม่แหนงหน่าย  กลายกลับ  ซื่อสัตย์นาง
หวังเทวี  มีสวัสดิ์  คอยรักษา
บุญหนุนพา  สถาพร  อย่าหมองหมาง
กายผ่องใส  ไร้ทุกข์  สุขสราญ
ตลอดกาล  นานปี  อย่ามีคลาย
จงอโห  สิกรรม  สารพลั้งผิด
คลายทิฐิ  จิตปล่อยวาง  โกรธจางหาย
ละอาฆาต  นาคสาร  เรื่องหมางคลาย
ใจสบาย  ไกลทุกข์  สุขนิรันด์
กรีขอน้อม  สองงา  ชายาเจ้า
เพื่อบรรเทา  เบาแค้น  แม้นอาสัญ
ถึงตายยอม  พร้อมให้  ไม่อินัง
หวังผ่องพรรณ  งามชื่น  รื่นเริงใจ

เมื่อนั้น.... โฉมนงราม  งามจิต  ขนิษฐา
ฟังพรานป่า  เล่ามา  อุราไหว
โศกอาดูร  พูนเทวษ  สังเวชใจ
ให้อาลัย  ในทันตี  สามีตน
หวนรำลึก  นึกไป  ในชาติผ่าน
มีเจ้าสาร  ข้างกาย  ใจสุขสม
ท่องเที่ยวป่า  พนาไพร  ไร้กังวล
ยลพพม  ชมอฆ  คคนางค์
สายเหนื่อยนัก  พักนิโครธ  ลมโกรกรื่น
บ่ายแก่ตื่น  ชื่นกมล  ลงสนาน
ธารน้ำไหล  ใสสะอาด  อาบสำราญ
ค่ำเหล่าสาร  พากันละ  ผละกลับไทร
ทุกวันคืน  ดื่มสุข  ทุกข์นิราศ
แนบขนาบ  ไม่จากลา  เร้นหน้าหาย
เคล้าพะนอ  คลอคู่  อยู่เคียงกาย
ให้ใจหาย  ไม่วายคิด  จิตระกำ
ยิ่งตรองตรึก  นึกไป  ในความผิด
เป็นบาปติด  ฝังตรึง  จึงโศกศัลย์
ถอนสะอื้น  รื้นน้ำตา  นองหน้าพลัน
ยิ่งหวนหลัง  ประดังเศร้า  เผาข้างใน
กอดงาใหญ่  ไห้ครวญ  กำสรวลพร่ำ
ร่ำรำพัน  ระกำหม่น  เกินข่มสลาย
สุดจักยั้ง  รั้งจิต  คิดผ่อนคลาย
องค์โฉมฉาย  ทรุดกายพับ  ชีพดับพลัน

บัดนั้น....ท้าวกาสี  ฤดีหาย  ทรามวัยจาก
ครวญพิลาป  ยากทน  ตรมโศกศัลย์
โสณุดร  มองนาง  พลางจาบัลย์
บังคมทาบ  บาทราชัน  หันจากลา
องค์มุนินทร์  สิ้นดำรัส ตรัสเท่านี้
หยุดวจี  พาทีหมด  จบเนื้อหา
ในชาดก  คชสาร  แต่นานมา
เหล่าเถรานุเถระ  คับข้องใจ
เห็นเมธี  มีแสดง  แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด  โจษเอ่ย  เฉลยไข
จึงอาราธน์  จอมปราชญ์เอ่ย  เผยความนัย
เหตุไฉน  ไยไม่ตรัส  กลับยิ้มพราย
พระทศพล  ทรงฟัง  ซึ่งคำถาม
จึงประทาน  ความอรรถ  ข้องขัดหาย
บอกบริษัท  จับจ้อง  มองหันไป
ยังเถรี  ที่ร้องไห้  ไม่อายคน
องค์ชายา  สุภัททา  มารศรี
คือเถรี  มีน้ำตา  หน้าหมู่สงฆ์
ส่วนพรานไพร  รับใช้นาง  ผลาญพารณ
คือเทวทัต  ผู้หลงตน  จนงมงาย
ท้าวฉัททันต์  ดำรี  ที่สละ
ยอมให้ตัด  งาไป  ให้โฉมฉาย
จนร่างตน  ถมดิน  สิ้นชีพวาย
คือตถาคต  ผู้ยอมตาย  ไม่คลายธรรม
จบชาดก  สุคตกล่าว  เหล่าวงศ์สงฆ์
แต่ละองค์  ทรงธรรม  สมดังหวัง
ละสังโยชน์  ลดโกรธได้  ไม่อินัง
ต่างได้โสดาบัน  กันหลายองค์
ฝ่ายอนงค์  องค์เถรี  ที่ปรารภ
ฟังชาดก  กำหนดใจ  ไม่ใหลหลง
ครุ่นดำริ  ทิฐิคลาย  หายกังวล
จิตหลุดพ้น  ทรงอรหันต์.....ในทันใด

  

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : msp.

ข้อความนี้ มี 1 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s