โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๑ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
23 มีนาคม 2025, 06:07:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โพธิสัตว์ฉัททันต์คำกลอน ๑ ประพันธ์โดย สืบ ธรรมไทย  (อ่าน 6221 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
02 สิงหาคม 2024, 11:07:AM
kapheetam
LV3 นักกลอนประจำบ้าน
***

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20



« เมื่อ: 02 สิงหาคม 2024, 11:07:AM »
ชุมชนชุมชน

โพธิสัตว์ฉัททันต์

ครั้งทศพล  ทรงสอน  ผองเหล่าสัตว์
ให้สละ  ตัดรอน  ถอนหลงใหล
ขุดรากเหง้า  เถาเหตุ  กิเลสภัย
เพื่อจิตได้  คลายเขลา  เข้านิพพาน
มีอยู่ครา  มหา  มุนีตรัส
โปรดบริษัท  ณ  เชตวันวิหาร
หญิงนางหนึ่ง  เห็นซึ้ง  ถึงโทษกาม
ให้เกรงขาม  คร้ามร่วง  ห้วงอบาย                                           
จึงอำลา  อาวาส  พากเพียรจิต             
ไม่ข้องติด  อามิสโลก  โทษเหลือหลาย   
บวชเถรี  หนีกาม  ความวุ่นวาย
เพื่อจุดหมาย  คลายหลง  ปลงนิวรณ์
เช้าจดค่ำ  ท่านพร่ำ  เฝ้าย้ำจิต
หมั่นดำริ  ตริธรรม  คำสั่งสอน
ยืนเดินนั่ง  ท่านทำ  ตามครรลอง
หวังรื้อถอน  ผองบาป  ขาดสิ้นไป 
ภิกษุณี  พลีใจ  ให้ธรรมหมด
ปลีกเลี่ยงหลบ  คบอยู่  หมู่สหาย     
เข้าฌานพิศ  จิตขันธ์  สรรพางค์กาย
บ่ท้อหน่าย  คลายเปลี่ยน  เพียรฝึกตน
แต่มีครั้ง  คราท่าน  นั่งสดับ
ฟังดำรัส  อรรถธรรม  ท่ามกลางสงฆ์
เกิดเผลอจิต  พิศมอง  จ้องพุทธองค์
ช่างงามสม  งามสรรพ  ประจักษ์จริง
พระรูปโฉม โนมพรรณ รำไพเพริศ
จ้าบรรเจิด  เลิศใคร เกินชายหญิง
พระปุริสลักษณะ ประทับจินต์
พร้อมอนุพยัญชนะสิ้น ทั่วกายา
ยามประทับ  พักองค์ บนธรรมาสน์
พระฉัพพรรณรังสีอาบ วาบนักหนา
พร่างระยับ วับวาว พราวนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์
พระสำเนียง สุรเสียง จำเรียงเพราะ
ฟังเสนาะ เกาะใจ ให้ถวิล
ทุ้มกังวาน  ปานพรหม  ให้คนยิน
ทั่วหล้าสิ้น เสียงเทียบ เปรียบภูวไนย
จึงปรุงจิต คิดไป ในภพผ่าน
ถึงเมื่อกาล กัปปี มีบ้างไหม
เราเป็นบาทบริจา ข้าจอมไตร
ภาพหลังให้ ผุดเด่น เห็นทันที

มีอยู่ครั้ง สรรเพชญ เสด็จอุบัติ
เป็นจอมสัตว์ นามฉัททันต์ วรรณหัตถี
ครองเทือกสิงค์  หิมพานต์  นามคีรี
เปี่ยมศักดิ์ศรี  กรีเจ้า  เหล่าดำไร
ครั้งนั้นเรา เฝ้าคลอ นรการ
อยู่เคียงข้าง วาบหวามจิต พิสมัย
ออกเที่ยวท่อง ล่องเขา ลำเนาไพร
โตรกโขดเขิน เนินไศล สุขใจจริง
จึงกระหยิ่ม  อิ่มใจ ให้ปราโมทย์
จิตสันโดษ พลันโลดออก นอกกรอบศีล
เปล่งหัวร่อ งอหาย ชอบใจจริง
ลืมตัวสิ้น ทิ้งวัตร สมณะชี
แล้วอยู่พลัน  จิตท่าน  กำลังสุข
ก็สะดุด  ฉุกใจ  ในโฉมศรี
อันภรรยา  ทั่วหล้า  บรรดามี
ยากเป็นศรี  เป็นศักดิ์  ภัสดา
จึงเพ่งฌาน  ควานค้น  ถึงตนเล่า
ครั้งตามเฝ้า  เจ้ากรี  มีไหมหนา
เคยติโทษ  โกรธท้าว  เจ้าคชา
หรือคิดร้าย  หมายฆ่า  พร่าชีวัน
กาลบัดนั้น  ท่านให้  วาบไหวจิต
ภาพความผิด  ติดตา  พาโศกศัลย์ 
นิมิตเด่น  เห็นชัด  ประจักษ์พลัน 
ที่เคยพลั้ง  พลาดจน  ลงอบาย   
ตนเคยใช้  ให้พราน  ผลาญชีวิต   
ด้วยทิฐิ  ปิดตา  พาฉิบหาย   
ยิงศรพิษ  ปลิดปลง  องค์ดำไร 
ตัดงาใหญ่  ไอยรา  มาเชยชม
พอระลึก  นึกย้อน  อกร้อนเร่า
ยากบรรเทา  ด้วยตนเขลา  เศร้าขื่นขม
สุดจักขืน  ฝืนใจ  ไม่ระทม
น้ำรินหล่น  ล้นตา  หน้าจอมไตร
พุทธองค์ ทรงแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
ถึงเถรี ทีท่า น่าอับอาย
สงฆ์ต่างใคร่ ได้ฟัง คำพระองค์
จึงพนม ก้มกราบ เอ่ยปากถาม
ถึงอาการ ท่าที มีฉงน
ของเถรี นางนี้ ที่ชอบกล
ขอพระองค์ ทรงแจ้ง แถลงความ

พระโลกนาถ  ปราชญ์ธรรม  ยินดำรัส
ทรงตอบกลับ  ตรัสไข  ในคำถาม
ถึงเถรี  ที่ประหลาด  ยากพบพาน 
เดี๋ยวสรวลสันต์  ร่ำไห้  ไม่เข้าใจ
จึงทรงยก  ชาดก  เป็นบทกล่าว 
ถึงเรื่องราว  เล่าขาน  นานเหลือหลาย
ย้อนภพชาติ  มากกัป  หากนับไป
มีช้างใหญ่  ครองไพร  ในแดนดง
เหล่าหัตถี  มีกัน  แปดพันเชือก
คชาเผือก  ผู้เกริกใหญ่  ในไพรสณฑ์                                             
ทรงฤทธา  กล้าเหลือ  เหนือพารณ
เที่ยวสุขสม  ดงแดน  แคว้นหิมพานต์
โขลงมาตงค์  วนพัก  ณ สระใหญ่
เหล่าดำไร  ลงว่าย  ริมชายน้ำ
สระกว้างยาว  น้ำขาว  พราวตระการ
แต่ละด้าน  ห้าสิบสองโยชน์  โอบจดกัน
กึ่งกลางน้ำ หยั่งมิด สิบสองโยชน์
ไร้โตนด โคตรเหง้า เหล่าบัวผัน
พลิ้วระลอก กระฉอกซัด รับตะวัน
งามสีสัน พรรณราย ประกายแวว
ห่างขอบสระ  ประปราย  รายบงกช
ดอกสีสด  งดงาม  อร่ามแผ้ว
เหลืองม่วงแดง  แซมขาว  ดูพราวแพรว
ดุจดั่งแก้ว  แววเด่น  เปล่งประกาย                                   
ถัดจงกล เหล่าอุบล ปนโกมุท
สวยผ่องผุด บุษบัน ช่างเฉิดฉาย
นิลปัทม์ สัตตบุษย์ ผุดเรียงราย
แผ่ขยาย หลายหลาก ยากเอ่ยนาม
ใกล้ตลิ่ง  ริมขอบ  รอบบึงใหญ่
มวลสาหร่าย  รายริ้ว  พลิ้วในน้ำ
ไหวตามคลื่น  รื่นตา  น่างดงาม
แพงพวยน้ำ  หนามแขยง  แซมคู่กัน
สันตะวา  ไส้ปลาไหล  ขาไก่ด่าง
ผักเป็ดน้ำ  งามแดง  แกมเขียวขำ
แว่นกะออม  ผมหอม  บอนหลากพันธุ์
โอนเอนหัน  ผันลม  ชมชื่นใจ

ขึ้นจากฝั่ง  พรั่งพราว  ยาวหนึ่งโยชน์
ป่าข้าวโพด  ข้าวสาลี  มีมากหลาย
ฝักเขียวนวล  รวงหนัก  งามจับใจ
ต้องลมไหว  ไหลดังคลื่น  ชื่นตาเพลิน
ถัดป่าข้าว  ขาวแดง  แตงฟักเขียว
เถาบิดเกลียว  เกี่ยวกัน  พันยุ่งเหยิง
ผลสุกดก  หมกใบ  ใหญ่เหลือเกิน
ไหลแดงเยิ้ม  เผชิญแดด  แตกเสียดาย
ติดไม้เถา  ยาวไกล  ไข่เน่าหว้า
กล้วยพุทรา  พะวาปรู  ดูหลากหลาย
จันมะซาง  ลังแข  แลมากมาย
เหลืองลูกหวาย  รายร่วง  ท่วมทับกัน
เหล่าไม้ผล  ล้นเหลือ  เอื้อเฟื้อสัตว์
ไม่อัตคัด  ขัดใด  ในไพรสัณฑ์
ท่องเที่ยวไพร  ไร้ทุกข์  สุขประดัง
ดุจสวรรค์  เมืองแมน  แดนหิมพานต์

เลยไม้ผล  ดงไพร  เขาใหญ่ลิบ
เป็นพืดติด  ปิดกั้น  เจ็ดชั้นขวาง
เทือกในสุด  ผุดผ่อง  เรืองรองงาม
เหลืองอร่าม  นามสุวรรณ  ปัสสคิรี
เหนือสระใหญ่  ไม่ห่าง  ทางอีสาน
ไทรตระหง่าน  ปานภู  ดูสดสี
ต้องรำไพ  ไสวพราว  ราวมณี
ถือเป็นที่  กรีพัก  พำนักกาย
ถัดร่มไทร  นิโครธใหญ่  แผ่ใบก้าน
แลตระการ  งามแดด  แผดแสงฉาย
โคนเตียนโล่ง  โปร่งรื่น  ชื่นสบาย
คชมากหลาย  คลายร้อน  นอนพักกัน
ช่วงคิมหันต์  หรรษา  ฟ้าสดใส
เหล่าดำไร  ท่องไพร  ใจสุขสันต์
กินไม้ผล  ชมไม้ดอก  หยอกล้อกัน
ร้อนเล่นน้ำ  ธารขาว  เสียงกราวเกรียว
ตกยามเย็น  เห็นรวี  รี่แสงจ้า
เจ้าโขลงพา  พลพรรค  พักไทรเขียว
แล้วเลี่ยงหลีก  ปลีกตน  มาองค์เดียว
ยืนโดดเดี่ยว  เหลียวดู  หมู่บริวาร
เย็นพระพาย  ชายเฉื่อย  ระเรื่อยอ่อน
ทิพากร  รอนแดง  แสงผสาน
สัตตบุษย์  หลุบดอก  รอบสระงาม
ฟ้ามืดค่ำ  ดื่มด่ำสุข  ทุกราตรี

เข้าวัสสาน  พักกาญจนคูหา
เหล่าคชา  หน้าทุกข์  ไม่สุขี
นอนขดเสียด  เบียดถ้ำ  ชอกช้ำฤดี
อยากจักลี้  หนีท่อง  ล่องพฤกษ์ไพร
จนปลายฝน  ต้นหนาว  ฟ้าขาวจ้า
เหล่าพังคา  วารณ  ระทมหาย
ได้ออกถ้ำ  ย่ำดง  พงพฤกษ์ไพร
ต่างสดใส  ไร้ทุกข์  สุขฤดี
ป่าเบญจพรรณ  เต็งรัง  ประชันช่อ
ขาวลออ  ช่อเต็ง  เด่นนวลสี
เหลืองดอกรัง  นั้นเล่า  ก็เข้าที
ต่างแข่งสี  แข่งตระการ  งามเคียงกัน
สิ้นเหมันต์  กลีบรัง  เริ่มคล้ำแตก
แดงบานแยก  แปลกตา  คราลมผัน
ปลายงอนช้อย  ห้อยเห็น  เช่นระฆัง
หลุดขั้วคว้าง  เคว้งพลิ้ว  ลิ่วตามลม
เหล่าคชา  หน้าบาน  ถึงกาลสนุก
ไม่เจ่าจุก  รุดเฝ้า  เจ้าไพรสณฑ์
แจ้งดำไร  ไอยรา  พาพวกตน
เล่นกีฬาดอกรังหล่น  หมุนลมปลิว
ท้าวคชินทร์  ยินคำ  ดำรีว่า
ไม่รอรา  ยาตรา  นำหน้าลิ่ว
เหล่าบริวาร  ตามชิด  ติดเป็นทิว
แลลิบลิ่ว  ริ้วขบวน  ชวนเพลินมอง
ขวามหา  สุภัททา  สง่าสาง
ซ้ายไม่ห่าง  จุลลภัททา  ภรรยาสอง
บาทบริจา  ชายา  เจ้ากุญชร
คู่สมร  สองกรินี  ศรีวารณ
ดูแฉล้ม  แช่มช้อย  หยดย้อยยิ่ง
เกินกรินทร์  ถิ่นใด  ในไพรสณฑ์
ย่างอิงแอบ  แนบข้าง  ไม่ห่างองค์
ช่างงามสม  องค์ท้าว  เจ้าพังคา

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ระนาดเอก, ดอกไม้พฤษภา

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s