วิจารณ์เทพนิยายกันเถิดเจ้าค่ะ
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
19 เมษายน 2024, 06:10:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิจารณ์เทพนิยายกันเถิดเจ้าค่ะ  (อ่าน 5818 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
09 มกราคม 2014, 10:25:AM
พิมพ์วาส
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 422
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 806


Pretending is the beginning of changes.


profile.php?id=100002905344846
« เมื่อ: 09 มกราคม 2014, 10:25:AM »
ชุมชนชุมชน

เทพนิยาย


          ดอกราตรีโอบอุ้มเรือนร่างเปล่าเปลือยเอาไว้ ภายใต้กลีบดอกบางหลายชั้นอันประกอบไปด้วยลายอ่อนช้อยสีเงินสลักบนดอกสีม่วงวิจิตร กลีบดอกบางค่อยๆร่วงโรยกลับลงสู่ผืนธรณีทีละนิด พวงนุ่นสีชมพูนิ่มดุจปุ้ยฝ้ายอันฟูฟ่องโอบล้อมรอบร่างสะคราญอันขาวผุดผ่องปานน้ำนม แก้มสีแดงระเรื่อกับปากรูปกระจับแลดูน่าสัมผัสเมื่อยามพิศมอง
          ลมเพชรพัดผ่านวูบมาพร้อมกับอ้าแขนเรียวโอบสิ่งของขึ้นหลัง โดยหอบเอากลีบบางของดอกไม้กับพวงนุ่นไว้มั่น แล้วพุ่งกระโจนปล่อยร่างให้พลิ้วลอยไกล หลังจากที่โน้มตัวลงมาจุมพิตอันแสนรักใคร่ไว้ที่เปลือกตาบางของเจ้าของดวงหน้าหวานที่นอนไม่รู้ประสีประสาอันใดอยู่นิ่งเฉย เพื่อเป็นการตีตราจอง
          ขั้วสีทองของดอกไม้ช่อใหญ่ค่อยๆคืบคลานมารัดกลีบดอกไม้ราตรี เข้าห่อหุ้มร่างสะคราญเป็นชุดงาม ก่อนดวงตาสีทับทิมจะเปิดออก เท้าเรียวนุ่มสวยเข้าสวมอยู่ที่รองเท้าสีดิน แต่ร่างผ่องยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นเคยถึงแม้จะเปิดเปลือกตาขึ้นมอง
          ดอกเวลาซึ่งเป็นแกนเร่งรุดร่างกายอันผอมเพรียววิ่งโดยเร่งฝีเท้าตามเวลาอันอ้วนท้วน ถึงแม้เส้นเข็มอันผอมโย่งจะเร่งฝีเท้าแล้วแซงผู้ที่ผอมเพรียวและอ้วนท้วนแล้วกลับพบว่าตนตามหลังทั้งสองบ่อยครั้งอยู่เสมอก็ตามที แต่ทั้งสามก็ยังไม่สามารถปลุกร่างผ่องที่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย ทำให้บางทีคิดหน่ายใจคิดถึงพี่ชายที่มีภาระดูแลทุกสรรพสิ่งซึ่งแบกงานอันหนาหนักอันนั้นเสียไม่ได้
          เสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูไม้สักภายใต้โพรงดำสนิทถูกดันเพื่อเปิดออก โพรงมืดทึบมีแสงไฟจากหิ่งห้อยตัวน้อยซึ่งฉายแสงสีเหลืองนวลที่ก้น ผู้ขยับปีกพร้อมใจบินกันอย่างพร้อมเพรียงไปมาภายใต้ต้นหอยเชอรี่ อันมีลูกหว้าหลากสีออกเป็นพวงคล้ายองุ่นสายรุ้ง อยู่รอบวงล้อมของดอกราตรีสีม่วงสด
          ชมนาดทิ้งตัวทอดลงลงมาเพื่อเป็นสะพานแขวนข้ามไปสู่แดนบุปผาศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นหอมของชมนาดทิ้งไว้ซึ่งความหอมรัญจวนใจในพันธ์แต่เมื่อสูดมากเข้าคลับคล้ายจะเป็นลมเพราะเหม็นเขียว
          เมื่อเท้าอันสวมรองเท้าบูทส้นหนาของร่างตุ้ยนุ้ย เจ้าของหมวกปีกกว้างเป็นประกายดาวก้าวลงมา ณ สถานที่ที่ตนถูกวาน ชมนาดก็ม้วนตัวกลับส่งกลิ่นคล้ายกลิ่นหอมของใบเตยเจือข้าวหอมมะลิสุกเอาไว้ทิ้งท้าย เจ้าของร่างตุ้ยนุ้ยรับกลิ่นหอมของดอกไม้อย่างเต็มที่จนสติเริ่มมึนงง เขากดหัวแม่มือลงที่จมูกอันโตเท่าไข่เป็ดเพื่อให้คลายกลิ่นอันปล่อยมาจากความเสน่หาของชมนาด คิ้วหยักขมวดแน่นแล้วคลายออก 
          ร่างตุ้ยนุ้ยผู้มีส่วนสูงดุจหมียืนสองขาตรงดแล้วหันหน้าตรงแหน่วมาที่ร่างผ่อง ก่อนจะนำอุปกรณ์ที่เตรียมมาออกจากกระเป๋าหนังโคลนสีดำมิดตั้งแต่ตัวกระเป๋า ซิป แม้กระทั่งด้าย ออกมาหนึ่งอย่าง 
          ชายร่างตุ้ยนุ้ยสวมถุงมือลายลูกหมีน้อยสีเหลืองอ๋อย ก่อนจะบรรจงวาดพู่กันลงบนกลีบดอกไม้ราตรีอย่างเบามือ ปากหนาฮัมเพลงอย่างมีความสุข ดวงหน้าใจดีเอ่อล้นด้วยชีวิตชีวา
          กลีบดอกไม้ที่ลู่ลงสู่พื้นพลันเด้งเข้าหาร่างผ่องที่นอนนิ่งสนิทอยู่ ทันใดเปลือกตาอันประกอบไปด้วยแพขนตาหนาก็เปิดออก ดวงตาสีทับทิมกะพริบปริบๆ ชั้นขั้วที่ติดอยู่ที่แผ่นหลังบางพลันหลุดออกกลายเป็นปีกใส รองเท้าสีดินย่ำลงพื้นดังก๊อกแก๊ก
         ปีกใสสีส้มอมชมพูแผ่สยายออก ทันทีที่ร่างผ่องทำท่าจะโผบินขึ้นสู่ถ้ำสูงลิ่วอันสว่างไสวด้วยแสงนวลพราวจากหิ่งห้อยพลันต้องชะงักลงเพราะเสียงร้องห้ามของชายร่างตุ้ยนุ้ย
          “เดี๋ยวก่อนที่รัก” สองมือหนาที่ถูกสวมทับด้วยถุงมือหมีสีเหลืองอ๋อยยกขึ้นห้าม ดวงหน้าหวานของร่างผ่องหันดวงหน้ามามองแล้วค่อยๆขยับส่วนตัวตามมาแล้วใช้ดวงตาสีทับทิมจ้องเขม็งมาที่ชายร่างตุ้ยนุ้ย จมูกอันโตเท่าไข่เป็ดของชายร่างตุ้ยนุ้ยขึ้นสีเหลืองด้วยความดีใจที่ตนทำสำเร็จ
          “เธอยังไม่แข็งแรงดีพอ เธอชื่อ…”
          “สวัสดี”
          “เอ้อ ใช่สวัสดี เอ๊ยไม่ใช่นะที่รัก”
          “ไม่ใช่?”
          ชายร่างตุ้ยนุ้ยเกาหัวอันมีผมฟูฟ่องแกรกๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตนจะเรียงประโยคในการตอบอย่างไรดี เขากระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยบอก
          “สวัสดีตอนเย็นที่รักและเธอไม่ได้ชื่อสวัสดี”
          “ทำไม?” เสียงของร่างผ่องเอ่ยถาม
          “เธอชื่อว่าอะไรล่ะที่รัก?” ชายร่างตุ้ยนุ้ยเอ่ยถามผู้ที่ถามคำถามตนกลับ
          “ไม่รู้”
          ร่างผ่องกะพริบตาสีทับทิมตอนตอบ แล้วเอียงดวงหน้าหวานลงเล็กน้อยเหมือนอยากได้คำตอบซึ่งแม้แต่เธอและผู้เอ่ยถามยังไม่รู้
          “งั้น…” ดวงตาสีดำกลมโตมองสำรวจเรือนร่างผ่องที่อยู่เบื้องหน้า
          “งั้น?”
          “งั้นเธอชื่อโอโรส เรียกสั้นๆว่าโรส”
          “โอโรส? โรส?”
          “ใช่ ใช่แล้วล่ะเธอชื่อโอโรส โรส” ชายร่างท้วมเอ่ยบอกอย่างดีใจ ฟันสีขาวเปิดยิ้มออกอย่างมีความสุข
          “ตอนนี้เธอจะต้องตามฉันมา” ชายร่างตุ้ยนุ้ยเอ่ยบอก
          “ทำไม?”
          ณ ตอนนี้เขาไม่ได้เอ่ยตอบคำถามเธอต่ออย่างใด ชายร่างตุ้ยนุ้ยเดินลิ่วผ่านสะพานชมนาดไปเสียแล้ว โดยทิ้งร่างผ่องไว้ให้หาคำตอบเอง เมื่อดวงตาสีทับทิมกะพริบปริบๆ ปีกใสสีส้มอมชมพูก็ขยับอย่างเก้กังแล้วบินข้ามหุบเหวมา เธอตามประกายของหมวดปีกกว้างของชายร่างตุ้ยนุ้ยไปอย่างทุลักทุเล
          ป่าลึกแลดูมืดทึบทันทีที่สินธุปักษีร่อนกายลงมา ครั้นพอโฉบปีกขึ้นฟ้าก็พลันกลับสว่างไสวอีกหน เสียงร้องทักคล้ายเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ แดดกกกอดพฤกษาลูบไล้เรียวกิ่งแล้วเริ่มตีวงแสงออกทีละน้อยตามดอกเวลาผู้ควบคุมความสงบ บรรดาสัตว์และผู้คนซึ่งเห็นร่างผ่องงามแล้วต่างส่งยิ้มให้ บ้างจ้องโดยไม่ละสายตาคล้ายต้องมนตร์สะกด เด็กสาววัยรุ่นสะคราญเพียงได้แต่เผยยิ้มหวานประดุจกล้วยไม้ราตรีส่งกลับคืนให้เท่านั้น
          ร่างตุ้ยนุ้ยหยุดยืนด้านข้างของน้ำตกอันกิ่งขิงต้นมุจจลินท์แผ่สาขามาถึง เขาคลำหากุญแจในกระเป๋าเสื้อ เสียงน้ำไหลแรงกระทบกับหินอ่อนฝังผลึกเพชรเขียว น้ำที่ตกลงมากระเซ็นมาต้องตัวทำให้สดชื่นนัก 
          ประตูสีเขียวขี้ม้าใต้น้ำตกเจ็ดสีถูกเปิดออกเมื่อดอกกุญแจรูปคิวปิดถูกเสียบเข้าช่องกลรูปหัวใจ ดวงตาสีทับทิมของผู้ที่ตามหลังมาต้อยๆเบิกกว้างด้วยความประหลาดพิศวง ร่างผ่องก้าวเท้าเข้ามาตามผู้ซึ่งเดินนำหน้าตน แล้วใช้ดวงตาสีสวยมองบรรยากาศภายในอย่างหลงรัก
           ต้นโอ๊กแผ่กิ่งภายใต้ถ้ำน้ำตกจนทะลุแผ่นหินสีนิลดำออกไปจนเผยเป็นช่องกลวงให้แสงแดดสาดลงมาระยับสะท้อนกับถ้ำหินภายในห้องเกิดแสงเรือง เพชรอัญมณีผลึกลึกสีใสปูพื้นตั้งแต่ทางเข้ายาวจนไปสุดถ้ำ
          ดอกดวงแดดแผดแสงระย้าลงมาเป็นโคมตามกิ่งต้นโอก กลิ่นอายสีชมพูหวานจากต้นลูกท้อจีนส่งกลิ่นหอมหวานของลูกพีชออกมา
          ร่างเพรียวถือถาดพายเดินเข้ามา ผ้ากันเปื้อนลายลูกหมีสีเหลืองที่คาดเอวไว้แลดูน่ารักเหมาะกับผู้สวมใส่ 
          “กลับมาแล้วหรือคะพ่อยอดขวัญใจที่รัก” เสียงละมุนเอ่ยเมื่อเห็นร่างตุ้ยนุ้ยเดินเข้ามา
          “กลับมาแล้วแม่ยอดขมองอิ่มที่รัก” ชายร่างตุ้ยนุ้ยเอ่ยตอบด้วยความดีใจ
          “โชลี่ที่รักผมมีสมาชิกใหม่ในครอบครัวมาแนะนำให้คุณรู้จัก” แขนหนาอ้ากางออก เผยให้เห็นร่างผ่องซึ่งแอบไม่มิดอยู่ด้านหลัง
          “สวัสดีจ้ะ” เสียงละมุนเอ่ยทักเมื่อเห็นร่างผ่องผู้เผยดวงหน้าเหนียมอ้ายชั่วครู่แล้วพลันกลับเฉยเมยอย่างเดิม ความน่ารักเมื่อเสี้ยวนาทีหนึ่งหาหลบเร้นจากดวงตาสีน้ำผึ้งของผู้ที่เดินเข้ามาหาร่างผ่องได้ไม่
          “เธอชื่อโอโรส เรียกสั้นๆว่าโรส เธอยังไม่…”
          ร่างตุ้ยนุ้ยยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคร่างเพรียวก็โผเข้าหาร่างผ่องที่ยืนนิ่งอยู่ทันที                                                     


ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

ความผกผันของเวลา  เฉือนเจตนาของอารมณ์
09 มกราคม 2014, 10:32:AM
พิมพ์วาส
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 422
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 806


Pretending is the beginning of changes.


profile.php?id=100002905344846
« ตอบ #1 เมื่อ: 09 มกราคม 2014, 10:32:AM »
ชุมชนชุมชน


         “โอ้ น่ารักเหลือเกินหนูโรส…หลานน้า” พูดแล้วริมฝีปากนิ่มก็ประทับเข้าที่แก้มเนียนนุ่ม ผู้โดนหอมแก้มพลันตกอกตกใจแล้วสยายปีกออกผกขึ้นฟ้าทันที
          “โรสที่รักอย่ากลัวน้าไปเลย” เสียงละมุนร้องอย่างสำนึกเมื่อเห็นผู้ที่โดนหอมแก้มตกใจ ดวงตาสีทับทิมเบิกกว้างด้วยความระแวง
          “ฉันผิดไปแล้วที่รัก ลงมาเถิด” โชลี่เยบอกผู้ที่หาดระแวงตน ดวงตาสีทับทิมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาสีน้ำผึ้งก่อนจะร่อนกายลง กริยาอากัปอาการคล้ายหงส์ผู้สูงศักดิ์
          “โชลี่ที่รักอย่าโกรธเธอไปเลยนะ เธอยังไม่ค่อยเข้าใจการดำเนินชีวิต” อุ้งมือหนาแตะที่บ่าของภรรยาอย่างเบามือ
          “ฉันรู้พ่อยอดขวัญใจฉันไม่ถือสาหาความกับเธอหรอก…เธอออกจะน่ารักเสียขนาดนั้น” เสียงละมุนเอ่ยบอกด้วยความสนใจในตัวโอโรส ชายร่างตุ้ยนุ้ยฉาบแววในดวงตาสีดำกลมโตด้วยความเหนื่อยใจ แล้วส่ายหน้าให้กับความรักเด็กของภรรยาของตน
          ดวงตาสีน้ำผึ้งเช่นเดียวกับผิวของโชลี่สบกับดวงตากลมโตสีดำของสามี แล้วมอบรอยยิ้มงามส่งมอบให้อย่างมีความสุข 
          “พีชที่รักอย่ากังวลใจไปเลย เธอผู้นี้จะเติบโตขึ้นพร้อมกับความเพียบพร้อมที่เรามอบให้”       
          “ผมไม่ได้กังวลใจแต่อย่างใดโชลี่ที่รัก ผมเพียง…”
          “เราทำได้อยู่แล้ว” ดวงตาสำน้ำผึ้ง หันไปสบกับเจ้าของดวงตาสีทับทิมซึ่งยืนเงียบมานานสองนาน แล้วเปิดยิ้มงามส่งให้
          “เรียกฉันว่าแม่สิจ๊ะ” ชายร่างตุ้ยนุ้ยสายหน้าอีกรอบ
          “โชลี่ที่รักแต่เราเป็นเพียงน้า” ชายร่างตุ้ยนุ้ยผู้ยินเคียงข้างกระซิบบอกอย่างแผ่วเบา
          “ไม่เป็นไรหรอกพ่อยอดขวัญใจที่รัก” โชลี่กระซิบตอบคนใกล้เคียง       
          “แม่?”
          “ใช่แล้วจ้ะแม่ และนี่ก็คือพ่อของเธอ” เสียงละมุนเอ่ยบอกพร้อมกับชี้เข้าหาตนและ ผู้ยืนชิดข้าง
          ดวงตาสีทับทิมกะพริบขึ้นลงช้าๆเพื่อลดอัตราความตื่นเต้นภายในหัวใจ
          “พ่อ แม่” เสียงหวานดุจผลึกน้ำตาลร้องบอกอย่างตื่นเต้น ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงฝาดเมื่อเอ่ยเรียกบุคคลทั้งสองที่มองตนด้วยความสนใจ
          “ใช่จ้ะ คุณแม่โชลี่ กับคุณพ่อพีชไงจ๊ะลูกสาวที่รัก” เสียงละมุนเอ่ยบอก
          “คุณแม่โชลี่ คุณพ่อพีช” เสียงหวานเอ่ยร้องเรียก แล้วพลันร่างผ่องสั่นด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ
          “ใช่แล้ว ใช่จ้ะ มานี่มา เข้ามาหาแม่เร็วลูกโรสที่รัก” ร่างผ่องค่อยๆเดินเข้าหาร่างเพรียวด้วยความเขินอาย
          “ม๊ะ มากินพายกัน” เสียงละมุนเอ่ยบอกพร้อมกับจูงมือนุ่มมาที่โต๊ะทรงกลมสีส้มอ่อน ดวงดอกแดดฉายใต้ใบเงาของต้นโอกเผยเป็นแสงสีเขียวอ่อนละมุนฉาบห้อง
          เสียงหัวเราะครื้นดังเล็ดลอดออกมาหลังถ้ำน้ำตกด้วยความอิ่มเอมใจ ขณะที่ดอกเวลาทำหน้าที่แข็งขันเพื่อทำให้สรรพสิ่งสมดุลกันทุกเสี้ยววินาทีที่ก้าวเดิน
            ดอกเวลาหมุนวนโดยเดินก้านทั้งสามเป็นจังหวะ ต้นเวลาหยั่งรากลึกเจาะถึงแกนโลกเพื่อเคลื่อนหมุนพาเร้นจากดวงสุริยัน ดวงดาราผู้ไร้กำลังอวดฤทธิ์กับผู้ยิ่งใหญ่เมื่อคราอรุณ ทิวา และค่อนบ่าย จึงเร่งแปล่งแสงเพื่อออกมาอวดตัวจากที่แอบซ่อนกายใต้ปุยเมฆบาง แสงสุดท้ายทอดทอลงจูบสรรพสิ่ง  พฤกษชาติแผ่ใบหนาโดยมีความคิดถึงจากแสงของบ่ายแก่เกาะอย่างรักใคร่เป็นช่วงสุดท้ายของวัน
          ใบเหลืองของต้นมุจจลินทร์อันเหี่ยวไร้กำลังผล็อยลงจากขั้ว ดอกสีแดงระย้างามต้องลมร้อนหอบพาดอกกราวลงฉาดสีแดงกลบภาคพื้นเมื่อยามบ่ายอ่อน ดอกแดงห่มผืนธรณีอย่างอิ่มเอม เม็ดดินละเอียดจูบข้างแก้มนวลเนียนของกลีบบางอย่างอาลัย ดอกแดงคล้ายจะยิ้มหวานส่งให้ผู้ห่วงหา แล้วถวายตนเป็นผู้หล่อเลี้ยงต้นของตนผู้ยืนอาวรณ์
          ดวงหน้างามแพร้วเลิกคิ้วขึ้น วงแขนเรียวประคับประคองพิณอย่างเบามือ แพขนตาหนากดประทับลงเมื่อเปลือกตาลดต่ำลงเพื่อปิดนัยน์ตาสีแดงผลึกเพชร ดวงตาค่อยๆเปิดขึ้นอีกครั้ง ผิวขาวนวลเนียนดุจหิมะใต้เสื้อผ้าอาภรณ์สีทองช่างผุดผ่องเมื่อต้องแสงยามสนธยา
          “เมื่อสุกงอมหอมหวานพบพานเกริ่น ดอกเวลาหมุนเดินเผชิญขวัญ ส่งจูบเพชรผู้ซึ้งคิดถึงกัน แต่งรังสรรค์สดใสนัยน์ตางาม รอเวลาพาดุลอันคุ้นแนบ มาอิงแอบซบจิตให้คิดหวาม ผู้ห่วงหาตราชิดสนิทความ ยังเรียกถามทุกมัดรัดสัมพันธ์” กลีบปากสีแดงสดคลี่ยิ้มออก ก่อนดวงตาผลึกสีแดงเพชรจะจ้องมองทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างมีความหวัง พิณที่ดีดเมื่อครู่กับรัดไว้ที่ด้านหลังเว้าโค้งสมส่วน
          ผู้ที่ลอบฟังมาแต่ต้นเปิดยิ้มทอดลงพร้อมกับขยับเกี๊ยะไม้แตะที่สีข้างคู่ของอีกฝั่ง แล้วพลันร่างสูงโปร่งก็เคลื่อนภายในชั่วเสี้ยววินาที
          “เลี่ยนเสียซะไม่มี” มือหนาแตะสัมผัสที่ไหล่บางอย่างแผ่วเบา มิทันไรใบไผ่เรียวยาวก็พลันกรูเข้าหาเจ้าของเสียงนุ่มมีน้ำหนัก ร่างสูงสมส่วนกระโดดขึ้นตีลังกาเหยียบลงบนกิ่งมุจจลินทร์ ดอกสีแดงร่วงกรู
          ผู้ที่ลอบเข้ามาด้านหลังพลันเร้นเงาเข้าหลบซ่อนหลังต้นปาหนันเมื่อผู้ขับเพลงยุทธ์ ระบำใบไผ่หยุดดีดพิณซึ่งเป็นการทำลายล้างแล้ว จึงค่อยๆเผยกายออกมา ยิ้มจากปากรูปกระจับอันสมทรงส่งให้ผู้ที่จ้องตนด้วยดวงตาผลึกสีแดงเพชรอันเย็นชา
          “เธอยังโหดเหมือนเดิมเลยนะซุยฟง”     
          “เชอะใครให้เจ้าลอบมาหลังเราล่ะ อ้อ…ขอบใจที่ชมแล้วกันจะหาใครปากหวานปานข้าวเหนียวมูนอย่างเจ้าได้ล่ะ” เจ้าของดวงหน้างามแพร้วเอ่ยกับผู้ที่ลอบเข้ามาด้านหลังตนด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
          ดวงตาสีองุ่นม่วงของผู้ลอบเข้ามาด้านหลังหรี่ลงขนตาสีเทาปลายดำงอนยาวลดระดับตามดวงตาอันคมดุจปลายศรธนู ผู้ลอบเข้ามาด้านหลังย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้ามีจังหวะเสียงเกี๊ยะไม้ดังกระทบพื้นหินก่อนจะลงเท้าก้าวเข้าบนเนินทรายสีชมพูอ่อนใต้ต้นมุจจลนินทร์
          อาภรณ์ของผู้ลอบเข้ามาประทับสวมชุดยูกาตะสีดำปลอดคาดด้วยผ้าคาดเอวหนังงูสีน้ำตาลอ่อน ผิวอันขาวซีดเมื่อสวมใส่อาภรณ์สีดำสนิทแล้วแลดูขับเนื้อนวลจนคล้ายจะเป็นร่างไร้วิญญาณ….ศพ
          “แม่นกน้อยไนติงเกลที่รัก อย่าได้โมโหโทโสไปเลย” เสียงหนักแน่นเอ่ยบอกพร้อมกับโค้งคำนับหัวลงให้น้อยๆ
          “ปากหวานอาบน้ำเชื่อมผลไม้เช่นเจ้า ข้าจะเชื่อลมปากได้สนิทใจละก็…เสียไม่มี เอมิล” เจ้าของดวงหน้างามแพร้วเชิดจมูกขึ้นนิดๆเมื่อเห็นผู้ที่เอ่ยชมตนค่อมหัวให้
          “งอนฉันหรือแม่นกน้อยในติงเกลที่รัก” เสียงหนักแน่นเอ่ยคำหยอกล้อผู้ที่ทำท่าหมั่นไส้ตนเสียเต็มประดาอย่างสนุกสนาน
          “เราไม่คุยกับเจ้าแล้ว”
          เสียงเยือกเย็นไร้อารมณ์เอ่ยประโยคยังมิทันจบ พลันสายลมก็หอบร่างงามสมส่วนขึ้นบนฟ้าแล้วพลันลับหายไป ทิ้งเพียงใบไผ่สีแดงสดเอาไว้เท่านั้น
          “พ่อลมใบไผ่นกอินทรีย์ อย่าทิ้งใบแดงสดเยาะเย้ยฉันอย่างนั้นสิ” ว่าแล้วเกี๊ยะไม้ก็แตะลงพื้นแล้วพลันกลิ่นผลไม้กรุ่นหอมก็โชยรัญจวนมาอย่างรุนแรง ก่อนจะแปรเป็นกลิ่นอันทำลายล้างโพรงจมูกของทุกผู้ที่ไดกลิ่น


                                                             



ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

ความผกผันของเวลา  เฉือนเจตนาของอารมณ์
09 มกราคม 2014, 10:33:AM
พิมพ์วาส
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 422
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 806


Pretending is the beginning of changes.


profile.php?id=100002905344846
« ตอบ #2 เมื่อ: 09 มกราคม 2014, 10:33:AM »
ชุมชนชุมชน


          “ไปกันเถอะพ่อลมราชาผลไม้ แหวะ…กลิ่นแย่ชะมัด” ลมผู้เป็นยานพาหนะพาร่างสูงโปร่งกระสับกระส่ายไปตามแรงของตนด้วยความงอนกับประโยคเมื่อครู่
          “อย่างอนไปเลยพ่อนกเหยี่ยว ฉันจะพานายไปแปลงพันธุ์ อ้าว…ไม่เอาหรอกหรือพ่อลมราชาผลไม้” ผู้เป็นเจ้าของพาหนะหยอกล้อผู้ทำท่างอน แล้วยิ้มอย่างขันๆเมื่อเอ่ยคำแกล้ง แล้วใช้ดวงตาสีองุ่นม่วงดูพืชพันธุ์รอบข้างลู่ใบลงแล้วพลันหนักใจ จึงพยักหน้าใหสายลมผู้มารับตนเพื่อเป็นสัญญาณเริ่มการเดินทาง
          “อย่าแอบดูกันสิพ่อปักษาสวรรค์” ว่าแล้วนิ้วเรียวก็บดขยี้กลีบดอกหญ้าอันมีเมล็ดนัยน์ตาแหลกคามือ
          นัยน์ตาสีม่วงองุ่นจ้องไปยังดวงจันทร์ด้านหน้าแล้วเผยยิ้มจากปากรูปกระจับอันสมทรง ลมราชาผลไม้แบกร่างสูงโปร่งขึ้นหลังแล้วกระโจนขึ้นกลีบเมฆบาง
          ผู้นั่งบนโลงแก้วภายใต้ต้นมะฮอกกานี เปิดเปลือกดวง เผยดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้จ้องมองนิ่งเนิ่นนาน ภาพบนโลงแก้วฉายเหตุการณ์ใต้ต้นมุจจลินทร์ปรากฏแล้วหยุดลงฉับพลัน
          “เอมิลช่างมีความสุขจริงนะ ว่าแต่จะทำอะไรน่ะราชสีห์” หนูสีขาวเผือกวิ่งลงมาจากต้นมะฮอกกานี ที่ริมฝีปากเปื้อนคราบเนยอยู่
          “ไปกินดอกเห็ดเนยอีกแล้วล่ะสิ ดื้อจริงนะ” เสียงขี้เล่นเอ่ยเย้าหยอก
          หนูสีขาวเผือกทำท่าฮึดฮัดแล้ววิ่งกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหนังที่อกซ้าย
          “ในใจผมรอเธอมานานแล้วนะ ตอนนี้เพียงได้แต่รอเวลาเท่านั้น” เสียงขี้เล่นเอ่ย ดวงหน้าคมคายจ้องมองไปบนผืนกำมะหยี่สีดำเนิ่นนาน ก่อนจะหย่อนตัวเข้าโลงแก้ว ดวงหน้าหล่อเหลากับสันจมูกโด่งอยู่ภายใต้วงหน้าหลับพริ้ม หนูสีขาวเผือกผู้เป็นบริวารปิดโลงแก้วสนิทพร้อมกับวางช่อดอกไฮยาซินท์ไว้บนโลง ความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปร
          ขณะที่ดวงดาราระบำเพลงแสงอันมีฤทธิ์น้อยนิด เจ้าของดวงตาสีแดงผลึกเพชร วาดนิ้วเรียวคล้ายใช้พู่กันบรรจงวาดศิลปะชั้นสูงออกมาจากพิณทำให้เกิดเสียงไพเราะ พิณสีดำขลิบทองสายสีขาวปลอดสะอาดดีดทำนองเป็นเพลงหวาน ซุยฟงเชิดดวงหน้าขึ้นจ้องมองแสงอันอ่อนแรงของดาวดวงน้อย แล้วริมฝีปากสีแดงสดอวบอิ่มก็เปิดยิ้มอ้าออก ดวงตาคมมองไปเบื้องหน้า
          “ใครกันปลอบตะวันอันรอนฤทธิ์ มอบจุมพิตหวามหวั่นแด่จันทร์เจ้า ใครกันมอบความรักอันภักดิ์เนา มอบแด่เรานั้นหรือ…คือไม่มี” ว่าแล้วผมสีดำสนิทตั้งแต่โคนจรดปลายก็ไหวตามจังหวะก้าวเดิน
          ดวงหน้างามแพร้ว เข้าใกล้ประชิดโลง หนูสีขาวเผือกนามราชสีห์แลเห็นดวงหน้างามแพร้วแล้วกระโจนลงมาบนโลงเบื้องหน้าหญิงสาวแล้วภายมือออกพร้อมส่ายหน้า
          “อะไรกันเจ้าบอกให้เราตัดใจงั้นหรือราชสีห์” เสียงไพเราะเอ่ยถามหนูตัวน้อยบนโลงแก้ว
          มันพยักหน้าแล้วส่ายหน้า
          “เจ้าตัวใจร้าย เจ้าก็รู้ว่าข้าคิด…เจ้ามันตัวใจร้ายจริงๆนั่นแหละราชสีห์” ดวงตาสีแดงผลึกเพชรปริ่มไปด้วยน้ำตาสีใส ดวงหน้างามแพร้วสะบัดหนีไป พลันลมใบไผ่ก็หมุนเข้าอุ้มร่างงามแพร้ววับใบทันใด
          หนูสีขาวเผือก ไต่ขึ้นไปบนไม้มะฮอกกานีแล้วดึงดอกแก้วลงมาโรยไว้รอบชานภาคพื้นเพื่อเป็นการกลบเกลื่อนร่องรอย ขณะที่แสงแดดยาวอรุณใกล้ย่างเยื้องเข้ามา                   
          มะม่วงน้ำดอกไม้สีชมพูระย้าลงมากลางถ้ำ ละอองอ่อนของอรุณหยอกล้อหยาดเพชรกลางคืนอย่างสนุกสนาน มิทันเปลี่ยนกาลแสงจากดวงเดือนที่คอยโอ้ประโลมหริ่งเรไรพลันเร้นเสียงอันไพเราะยามราตรีผลุบสงัดเงียบแทนด้วยเสียงนกน้อย ดวงตะวันอันผุดผ่องฉายฤทธิ์อันรอนเมื่อยามอรุณ
          ใบไม้หมุนวนตามลมอ่อน เสียงแห่งลมอรุณโอบอุ้มดวงดอกไม้ให้บานสะพรั่ง ภูติตัวน้อยใต้เงาไม้โผขยับปีกน้อยๆ บินวนรอบเกสร วงหน้าจิ้มลิ้มเผยยิ้มแย้มงามสะคราญ ลมอรุณหมุนวนเข้าเคาะที่โลงแก้ว หนูสีขาวเผือกวิ่งมาเปิดโลง
          ดวงตากลมเล็กสีดำใสจ้องมองดวงหน้าหล่อเหลาของเจ้านายตนอย่างพอใจ ดอกไฮยาซินท์สีม่วงอมฟ้า ปล่อยกลีบน้อยโรยลงด้วยความอ่อนแรง
          “มารับผมหรอ” ผู้นิทราเมื่อคราดึกถึงรุ่งเปิดเปลือกตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ออก นิ้วเรียวอันสวมแหวนครบทั้งห้านิ้มมือ วางมือขวาลงบนขอบโลงแล้วดันตัวลุกขึ้น
          “ขอบใจมากราชสีห์ แต่ปิดผมไม่มิดหรอกนะ” เสียงทุ้มอบอุ่นกล่าวขอบคุณ แล้วทอดดวงตาลงดูกลีบดอกแก้ว ก่อนที่จะโดนลมอรุณแบกขึ้นหลังไป หนูสีขาวเผือกกระโจนขึ้นบ่าแข็งแรง ทันทีที่ลมอรุณกระโจน ผ้าคาดเอวสีน้ำเงินขาบพลิ้วไหว กางเกงสีเทากับเสื้อหนานุ่มสีไข่มุกลู่ตามอกและท่อนขาแกร่ง ผมสีเงินประกายทองต้องแสงอรุณยามเช้า
          “พาผมไปที่บ้านคุณหมอพีชที่ครับ” เจ้าของผมสีเงินงามเอ่ยบอกลมอรุณ หนูตัวเล็กซึ่งวิ่งลงมาในกระเป๋าเสื้อ ดูท่าหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเจ้านายของตนเอ่ยเช่นนั้น
          “ไม่อยากพูดได้งั้นหรือราชสีห์ วันนี้ผมจะพาไปรับกล่องเสียงแล้วนะ” ยิ้มเผยบนดวงหน้าหล่อเหลา หนูตัวน้อยมีท่าทีหวาดวิตกในคำ
          ลมอรุณพากระโจนข้ามฟากไปยังทุ่งทานตะวันทางลัดไปยังถ้ำน้ำตกสายรุ้งกลางป่าลึก ดอกสีเหลืองอร่ามผันวงหน้าสวยเข้าหาแสงอาทิตย์ยามเช้า ขณะที่ราชินีผึ้งโอโลมลูกน้อยก่อนที่จะส่งจูบให้เหล่าทหารหญิงเพื่อเป็นสัญญาณเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนปีกน้อยบินออกจากรังไปหาอาหาร
          ดวงตาสีเปลือกไม้ทอดลงมอง ในนัยน์ตาฉายประกายแห่งความสุข
          “ผมจะได้พบคุณแล้ว” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา
          ทันทีที่ลมอรุณพุ่งลงไปยังเนินเขาเวลาซึ่งเป็นที่กำเนิดทุกสรรพสิ่ง ไกรสรราชสีห์ก็พลันกระโจนเข้ามาตัดหน้า ดวงหน้าหล่อเหลาหาได้ฉายแววตกใจ
          “ขอบใจคุณมาก เดี๋ยวผมจะลงเดินต่อไปเอง” เสียงทุ้มอบอุ่นเอ่ยบอกกับลมอรุณเมื่อเห็นว่าผู้ที่อุ้มตนอยู่หยุดชะงัก เขายิ้มสิ่งให้เป็นการบอกว่าไม่เป็นอะไร ลมอรุณหมุนวนเข้าจูบกิ่งพฤกษารอบข้างเป็นวิสัยของตน แล้วเหินกลับเร้น
          “ผมมาดี” เสียงนุ่มทุ้มอบอุ่นเอ่ยบอก ดวงตาสีเปลือกไม้สบกับดวงตาผู้ที่จ้องตนเขม็ง
          “คุณต้องการอะไรจากผม” ทันทีที่ผู้ประจันหน้าเอ่ยถาม ไกรสรราชสีห์ก็ส่ายหน้า แล้วเปิดทางให้
          “ขอบคุณมากครับที่กรุณาเปิดทางให้ผม” ผมสีเงินประกายทองน้อมลงตามศีรษะที่โน้มตัวลงคำนับเป็นการขอบคุณ
          ร่างสูงโปร่งบางเหมือนจะไร้น้ำหนักเดินจากไป เสียงจี๊ดๆจากกระเป๋าเสื้อซึ่งเก็บอาการตื่นเต้นไม้อยู่ดังขึ้น เจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาเพียงได้แต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น 
          “ช่างกล้าดีแท้พ่อหนุ่ม” เสียงหัวเราะท้ายประโยคอันพึงพอใจของไกรสรราชสีห์ผู้คุมประตูทางเข้าดินแดนบุปผาศักดิ์สิทธิ์ดังก้อง ทันที่ที่เสียงหัวเราะดังสินธุปักษีพลันโฉบลงมา
          “มีเรื่องอันใดน่ายินดีกันพ่อยอดรัก” สินธุปักษีเอ่ยถามพร้อมเข้าแนบข้างกายคนรักของตน
          “ไม่หรอกแม่ยอดรัก เรื่องน่ายินดีที่ใกล้เข้ามาถึงเท่านั้นเอง” พอพูดจบลมแห่งสรรพสัตว์พลันโฉบร่างทั้งสองหายไป
          ดอกนาฬิกาแห่งแดนบุปฝาศักดิ์สิทธิ์ตีดังสะท้อนไปสามภพ ดวงตาสีทับทิมแก่ยังคงปิดประทับไม่เปิดเปลือกตาออกอยู่เช่นเคย ใต้แกนเวลาอันพันธนาการร่างเอาไว้ยังคงดำเนินต่อไปเช่นทุกกาลที่ผ่านเวียน 
                                                             
จบบทเกริ่น นำบทเกริ่นมาให้วิจารณ์ค่ะ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : พี.พูนสุข, ชลนา ทิชากร

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

ความผกผันของเวลา  เฉือนเจตนาของอารมณ์
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s