ผลึกแก้ว ฉบับ ปรับปรุง
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
18 เมษายน 2024, 07:21:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผลึกแก้ว ฉบับ ปรับปรุง  (อ่าน 1878 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
10 กรกฎาคม 2012, 04:12:PM
sitang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 46
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 129



« เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2012, 04:12:PM »
ชุมชนชุมชน

ผลึกแก้ว "ปรับปรุง"
ฉันมองเห็นแววแก้วอัญมณีมีค่ามาจากเงาร่างศุภางค์เฉิดฉายของเธอ
เมื่อพิศดูแล้วก็มิอาจเปรียบเทียบประมาณว่าจักเสมอเสมือนความงามใดในแผ่นพื้นปฐพีตราบทั้งโลกนี้และโลกหน้า............
คงถึงกำหนดกงล้อกาลจักร์โคจรมาบรรจบครบห้วงเวลาแล้วกระมัง
ที่บรรดาลให้ชีวิตของฉันนั้นมิต้องดำรงสภาพอันโดดเดี่ยวเดียวดายเปลี่ยวเปล่าตามลำพัง ท่ามกลางเวิ้งว้างนภางค์ฟ้าฟากรัตติกาลอันมืดมิดสนิทตาเช่นนี้
และทุกท...ุกนาทีที่เภตราของพระพายกรายฝีพายผ่านห้วงมหาสมุทรคิมหันต์อันสาหัสสากัล จนสั่นสะท้านหวั่นไหวไปทุกธุลีชีพอณูชีวิตจิตวิญญาณของฉัน......ปานประหนึ่งจะแหลกลาญในบัดดล
บัดนี้เธอเคียงกายแนบข้างฉัน........
สอดประสานสายใยเกลียวสวาทอันลึกซึ้งถึงก้นบึ้งของห้วงวัฎฎะแลจิตวิญญาณทั้งปวงอันรอบราย จักมีปรารถนาอันใดอีกเล่าในชีวิตนี้............
ด้วยแววรุจีมีค่าเหนือคณานับนั้นได้สนิทแนบชิดในประกรองสวาทของฉันแล้ว มันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปใช่ไหม?
แลจักคงอยู่ตราชั่วอนันตกาลจนนานเท่านิรันดร์ใช่หรือเปล่า?
หาได้มีคำใดปรากฎพ้นจากปากเธอเลย..................
บรรยากาศยามราตรีที่แผ่นผ้าผืนที่กลางสีนิลกาฬอันไพศาลเบื้องโพ้นช่างหนาวนัก
มิมีถ้อยสำเนียงตอบกลับอันใดได้ให้สดับ...............
แลพลันชั่วเสี้ยวมารุตปราณ เธอเอ่ยถ้อยพจนาอันไพเราะลึกซึ้งแว่วหวานเหนือมธุรสอันใดในสกล......ว่านี่จักเป็นรักเดียวของฉัน ...ตราบเท่าเทียบที่ชีวีจักสิ้นตักษัย.....รักแรกและรักสุดท้าย......
เพียงวลีเท่านี้ดวงชีวีฉันก็ปลาบปลื้มชุ่มชื่นไปทั้งหฤทัยราวกับได้รับทิพยโปรยปรายจากสายอมฤตฉะนั้น
ประหนึ่งว่าทุกความสุขในทุกพื้นพิภพมาสยบอยู่ภายในดวงใจของเราโดยแท้........
โดยแม้แต่ว่าวาระแห่งรัตติกาลในบัดนี้ซึ่งแสงแห่งชวาลาอันมาจากอัจกลับแก้วแววรัศมีพรายของรัชนีกรหรือแม้กระทั้งเสี้ยวธุลีกระพริบพร่างแห่งดาริกานับเอนกอนันต์ก็ตามจะมิปรากฎดังเดิม
ผืนผ้าสีนิลกาฬวันนี้ช่างดูสะอาดหมดจดยิ่งนัก
แลรายรอบทุกสรรพสิ่งบรรยากาศแม้จักสุดแสนจะน่าสะพรึงหวาดหวั่นวิเวกวังเวง แต่ฉันก็สุขใจยิ่งนัก..............
หนาวนักหนาวจนสั่นสะท้านถึงอณูดวงปราณวิญญาณนี้เหลือเกิน จวนเจียนจะใกล้รุ่งทิวาอุษาสางเสียแล้ว.....กลิ่นกรุ่นละมุนละอองเป็นยองใยของหมอกม่านสีละม้ายคล้ายปุยสำลีเริ่มปรากฎ เธอยังคงเคียงข้างอยู่กับฉัน....เธอยังเคียงข้างฉันอยู่ใช่ไหม?
ใช่.............เธอตอบ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาแต่ทว่าลึกซึ้งถึงก้นบึ้งของวิญญาณฉันนัก
กลิ่นกรุ่นอุ่นไอรุ่งเริ่มคละคลุ้งฟุ้งจรุงอบอุ่นกายขึ้น........ อีกมินานดวงตะวันจะสำแดงกายขึ้นพ้นแผ่นฟ้าอันเป็นผืนผ้าสีม่วงหม่นแล้ว.......
อนิจจา....ดวงแก้วอัญมณีอันเลอค่าเอนกอนันต์เหนือกว่าประสาใดจักใคร่พรรณนา........
ผลึกแก้วของฉัน...สุดที่รักของฉัน...ความหมายในชีวิตของฉัน...
ก็จางหาย จางหาย จางหาย .....และจางหายสลายไปในประกรองอ้อมกอดของฉัน พร้อมกับแสงแรกแห่งพระอรุณยามรุ่งทิวาขณะที่ผืนผ้าสีม่วงหม่นกำลังถูกชำระความหมองหมางจนหมดสิ้น กลายเป็นผ้าสีฟ้าสดใสแต่งแต้มด้วยละอองไอสีปุยนุ่นอันขาวบริสุทธิ์กับแสงสีดวงตะวันอันอบอุ่น แต่ดวงใจฉันเหน็บหนาวนัก บัดนี้ ฉันต้องมาพบว่าตัวเองต้องอ้างว้างเอกาอีกครั้ง
เธอ ผลึกแก้วอัญมณีของฉันไม่รักษาวาจา..............ปวดร้าวยิ่งนัก.........เจ็บปวดเหลือเกิน..........กระไรนี่ฉันต้องถูกเพลิงภัยไฟแผดกล้าเผาผลาญจากดวงตะวันจนสรีระกรอบไหม้อย่างทรมาน.......... แต่ขณะอีกด้านหนึ่งในดวงมาลย์ปราณชีวิตก็สุดแสนจะเหน็บหนาวจนชาชืดจืดจางลงแล้วกระนั้นหรือ
แล้วห้วงสำนึกสุดท้ายของใบหญ้าน้อยน้อยที่สิ้นหวังก็หลุดลอยเคว้งคว้างไปสู่กาลเวลา........ กาลเวลาอันมิอาจจะระบุได้ถึงความเศร้าโศกสัลย์แสนจาบัลย์ปานใด...........
คำสัญญา...คู่สัญญา...ความรัก...ความงดงาม...ความหมายของชีวิต...และหยาดแววแพรวน้ำค้างนั้นพลันสูญสลายจางหายไปเช่นกัน
น่าสงสารเหลือเกิน...น่าสงสารนัก...น่าสงสารยอดหญ้าเหลือเกิน
สิ่งงดงามความสุขดังสรวงสวรรค์นั้นมิมีแล้ว มีแต่ความจริง....
บัดนี้ขณะเวลาปัจจุบันยอดหญ้าใบน้อยน้อยก็ถูกเขาเหยียบย่ำอยู่ใต้บาทาอันเป็นอวัยวะเบื้องต่ำของนานาชีวิตอยู่..........
แลจักเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยไป.........
น่าสงสารเหลือเกิน............

พระจันทร์ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปี มะโรง

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : panthong.kh, Music, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 3 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
10 กรกฎาคม 2012, 04:14:PM
sitang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 46
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 129



« ตอบ #1 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2012, 04:14:PM »
ชุมชนชุมชน

ดวงหฤทัยน้ำค้าง
0โอ้ดวงหฤทัยในแววแก้วผลึก
ความรู้สึกมิสิ้นซึ่งเสน่หา
ครากระโน้นโพ้นเหมันต์อำลา
จากยอดหญ้าดวงใจเจ็บยิ่งนัก
0เจ็บจนเหน็บหนาววาวน้ำค้าง
เคยเคียงข้างอนิจจาหนอความรัก
ในอ้อมกอดยอดหญ้าพิงพัก
สิ้นตักษัยในชั่วรัตติกาล
0ฉันล่องลอยเคลื่อนคล้อยเหว่ว้า
บนฟากฟ้าผ่านเวลาพ้นผ่าน
ฝันรำพึงถึงสวาทนั้นมินาน
โอ้ดวงมาลย์ปรารถนากลับมาเคียง
0ครืน....ครืน...กระหึ่มกัมปนาท
อสุนีบาตฟาดคลั่งสั่งสุรเสียง
มวลเมฆหมู่ม่านมืดครึ้มรายเรียง
ชั่วเพียงหนึ่งครู่ขณะอุรา
0พรางส่วนเสี้ยวธุลีน้ำค้าง
จากนิภางค์ปลื้มหฤทัยนักหนา
บัดนี้ผลึกแก้วแววชีวา
แปรกายาเป็นสายพระพิรุณ
0มาถึงซึ่งสุดสูงยอดภูผา
โอ้ยอดหญ้าฉันกลับมาอิงแนบหนุน
ใบบางบางร่างแล้งแห้งแรงบุญ
เพราะทารุณในอดีตจิตระอา
0โอ้ยอดหญ้าฉันนี้กลับมาแล้ว
แม้สิ้นแววแก้วผลึกยังห่วงหา
ความรักฉันนั้นยังมิสร่างซา
ถึงกายาแปรเปลี่ยนสภาพไป
0แล้วยอดไม้ใบหญ้าตื่นฟื้น
กลับสดชื่นราวชุบชีพใหม่
ฝนแรกชำแรกซึ้งตรึงหฤทัย
ในเสน่หานั้นคืนคง
0จึงผลิดอกเบ่งบานชูช่อ
เคียงพะนอความหมายใหลหลง
ฝนมายังป่าแล้งแน่งอนงค์
เจ้าล่วงลงอ้อมสวาทในอีกครา
0บัดนี้สิ้นสูญแล้วรอยโศก
โลกทั้งโลกละแล้วปรารถนา
หยาดน้ำค้างฤๅลาร้างอำลา
คืนชีวายอดหญ้าป่าแล้งเอย..........

"...นี่จักเป็นรักเดียวของฉัน....ตราบเท่าเทียบที่ชีวีจักสิ้นตักษัย....รักแรกและรักสุดท้าย...".....


พระอาทิตย์ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Music, รพีกาญจน์

ข้อความนี้ มี 2 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s