เรื่องสั้น...." ผมอยากกลับบ้าน "
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
26 เมษายน 2024, 06:37:AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น...." ผมอยากกลับบ้าน "  (อ่าน 4925 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
21 ตุลาคม 2011, 01:15:AM
ภู กวินท์
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 364
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 383


สนสามใบ กับใครหลายคน


« เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 01:15:AM »
ชุมชนชุมชน

....เรื่องสั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเขียนไว้เมื่อสามปีก่อน ไม่กล้าให้ใครอ่านแบบว่า อายนะครับ พอดีในนี้ไม่ค่อยมีใครเอามาลงเท่าไหร่ เลยเอามาให้อ่านเล่นๆกันเผื่อเพื่อนๆท่านใด มี ก็เอามาลงให้อ่านบ้างนะครับ  เอ้อ..จริงว่ะ

....เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกอาจไม่ได้ความเท่าไหร่ เพื่อนๆติชมได้ตามสะบายเลยนะครับ จะได้ไปปรับปรุงให้ดีขึ้น .... เคารพรัก





 
" ผมอยากกลับบ้าน "

                     “ผมไปล่ะ ..” เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถโดยสารสีแดงที่จอดอยู่ข้างทางอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดหมายปลายทางคือกรุงเทพฯ หรือที่เด็กบ้านนอกอย่างพวกเราชอบเรียกกันว่าเมืองสวรรค์ เป็นที่ซึ่งหนุ่มสาวคนแล้วคนเล่าหายเข้าไปในเมืองนั้นรวมทั้งพี่สาวของผมเอง โดยที่พวกเขาเหล่านั้นหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับโชคลาภก้อนโต
                       “อย่าไปเลยลูก..” แม่ห้ามผม น้ำในตาของแม่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย
                       “อย่าไปเลยลูก กรุงเทพฯมันอันตราย อยู่บ้านเราดีกว่า หาผักหาปลากินตามมีตามเกิด เราก็ไม่อดตายหรอกนะลูก แม่เหลือลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น พ่อของลูกก็ด่วนจากเราไปเมื่อปีก่อน ส่วนพี่สาวก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ถ้าลูกไปอีกคนแล้วแม่จะอยู่กับใคร..”
                       แม่ห้ามผมเป็นครั้งที่สอง คำทัดทานของแม่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ผมก้มหน้านิ่งก่อนที่จะมองหน้าแม่แล้วพูดว่า
                      “ผมต้องไป..ผมโตแล้ว ผมไม่อยากอดตายอยู่บ้านนอกนี้หรอก ผมจะไปตามหาพี่ แล้วผมจะกลับมา..”
                       ก่อนที่แม่จะเอ่ยคำใดๆ ที่ทำให้ผมหวั่นไหวไปมากกว่านี้ ผมรีบก้าวขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ขณะที่โสตประสาทของผมในตอนนี้มันไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆนอกจากได้ยินแต่เสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆจากหมู่บ้านอันแสนจะแห้งแล้งและกันดาร
                      ผมรู้สึกชื้นขึ้นมาที่ขอบตาทันที เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ได้แต่ข่มความรู้สึกนี้ไว้ไม่ให้นึกถึงมัน และย้อนนึกไปเมื่อครั้งตอนเด็ก ที่ผมใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่ง ผมจะต้องไปกรุงเทพฯให้ได้ ในความฝันของผมกรุงเทพฯต้องเป็นเมืองสวรรค์ มีคนแต่งตัวสวยๆหล่อๆ มีจิตใจดีงามตามรูปร่างหน้าตา มีตึกสูงระฟ้ามีรถราสีสันสวยงามอย่างที่เห็นในจอโทรทัศน์…ตอนนี้ ฝันของผมกำลังจะเป็นจริง
                       ผมปล่อยสายตาเลยขอบหน้าต่างรถออกข้างนอก ท้องทุ่งดูเวิ้งว้าง แสงแดดยามเย็นดูซีดหม่น พุ่มไม้ดูสงบเงียบงัน ฝูงนกบินข้ามทุ่งกว้าง ช่างดูโดดเดี่ยวอ้างว้างเหลือเกิน
                       “หมอชิต! สุดระยะทาง..” เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียและล้าจากการเดินทาง
                        ผมมองลงไปนอกรถ ขณะที่ผู้คนค่อยๆทะลอยลงรถเสียงดังเอะอะจอแจ แต่ละคนหอบหิ้วสัมภาระกันอย่างพะรุงพะรัง บ้างก็ถือถุงใบใหญ่ บ้างก็แบกลังที่ข้างในนั้นบรรจุอะไรสักอย่าง ได้แต่คิดว่าสิ่งที่พวกเขาหอบหิ้วไปนั้น คือความหวัง และเมื่อพวกเขากลับบ้าน พวกเขาต้องหอบหิ้วสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และมีค่ามากกว่านั้นกลับมา
                        “เฮ้อ! ถึงซะที..” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมสะพายเป้ไว้ด้านหลังแล้วก้าวลงจากรถ
                        “ว่าไง..จะไปไหนเหรอน้องชาย..”
   ผมหันไปมองตามเสียง ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือชายวัยกลางคน รูปร่างท้วม ไว้หนวดใส่เสื้อสีฟ้า ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นคนขับรถแท็กซี่นั่นเอง
                       “ไปแท็กซี่ไหม..เดี๋ยวไปส่ง..”
                         ผมเดาไม่ผิด ผมบอกกับตัวเอง
                         ผมไม่รู้จะบอกเขาอย่างไรดี จึงใช้มือล้วงกระดาษที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้เขาดู มันเป็นที่อยู่ของพี่สาวผม เธอชื่อ “นงพิศ” เธอมาอยู่กรุงเทพฯได้หลายปีแล้ว นานๆเธอถึงจะกลับบ้านที แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเธอจะหายไปนานกว่าปกติ
                         “อ๋อ...บางพลี ขึ้นรถสิจะพาไป..”
                         ผมก้าวขึ้นรถทันทีโดยไม่ได้พูดอะไร
                         รถแท็กซี่วิ่งตรงไปสู่จุดหมาย  ระหว่างทางผมกวาดสายตาออกไปนอกกระจก เห็นแสงไฟสีต่างๆละลานตา ดูผู้คนก็พลุกพล่านช่างต่างกับบ้านเกิดของผมเสียเหลือเกิน
                        คนขับแท็กซี่เขายังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไปโดยไม่พูดอะไร ซักพักเขามองมายังผมตรงกระจกมองหลัง แววตาและรอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลย
                        เขามองดูนาฬิกา
                        “ซวยละสิ!” เขาพูดขึ้นเสียงดัง
                        “มีอะไรเหรอครับ..” ผมถามด้วยความสงสัย
                         “คือผมต้องรีบเอารถไปส่งอู่น่ะครับ ”
                         คำพูดของเขายิ่งทำให้ผมสงสัย
                       “คุณต้องลงตรงนี้แล้ว..” เขาจอดรถพร้อมกับบอกผมว่าต้องรีบเอารถไปส่งที่อู่ให้ทัน ไม่งั้นจะโดนปรับไม่คุ้มกับที่จะไปส่งผม
                         จากน้ำเสียงตอนแรกที่สุภาพของเขา แปรเปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่ห้วนขุ่นและหยาบคาย
                       “ลงสิว่ะ..ไอ้บ้านนอก!  ”  เขาตะคอกใส่ผมอย่างแรง
                        ผมก้าวลงจากรถด้วยอาการหงุดหงิด
                       “เจ็ดร้อยบาท..” เขาพูดขึ้นพร้อมยื่นมือมาที่ผม
                       “อะไรมาแค่นี้ตั้งเจ็ดร้อยบาท..” ผมพูดขึ้น
                        มันใกล้กว่าระยะทางจากบ้านผมไปตัวจังหวัดที่ต้องข้ามเขาไปถึงสองลูก และค่ารถก็แค่ห้าสิบบาทเอง… ผมคิดในใจ
                       “จะจ่ายหรือไม่จ่าย.. ถ้าไม่จ่ายก็ไปโรงพัก..”
                        เมื่อผมได้ยินดังนั้น เลยต้องจำใจยื่นเงินให้เขาโดยไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก เพียงคำว่า “โรงพัก” กับเด็กบ้านนอกอย่างผมมันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก..แล้วมองดูรถแท็กซี่คันนั้นเคลื่อนตัวออกไปบนถนนจนลับสายตา
                       “ไอ้..ปล้นกันชัดๆ..”
                        ผมสบถขึ้น …ความสงสัยที่ครอบงำจิตใจผมก็พลันหายไปเหลือไว้แต่ความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นมาแทน
                       “แล้วที่นี่มันที่ไหน..” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ
                        “ผมต้องไปตามหาพี่..” ผมพูดขึ้น พร้อมล้วงกระดาษที่อยู่ในกางเกงซึ่งเป็นที่อยู่ของพี่ขึ้นมาคลี่อ่านดูด้วยแววตาแห่งความหวัง
                        “ถามคนแถวนี้ดูก็ได้..”
                        ไม่นานผมก็ได้ขึ้นรถเมล์สายหนึ่งซึ่งจะพาผมไปหาพี่ซึ่งเป็นความหวังเดียว และความหวังสุดท้ายของผมในตอนนี้ โดยการแนะนำของนายตำรวจจราจรท่านหนึ่ง ซึ่งบอกสายรถเมล์และบอกว่าผมควรลงที่ไหน อย่างน้อยคนกรุงเทพฯก็ไม่ได้แล้งน้ำใจไปหมดซะทุกคน
                       “บางพลีจ๊ะ..บางพลี..” เสียงดังขึ้นจากกระเป๋ารถเมล์คนหนึ่ง
                        ผมก้าวลงจากรถด้วยความหวังที่จะได้พบกับพี่ ผมถามคนแถวนั้นตามที่อยู่ของพี่จนถึงบ้านหลังหนึ่ง เห็นยายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ในบ้านซึ่งมีสองชั้น โดยชั้นบนนั้นเปิดเป็นห้องให้เช่า ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ
                       “สวัสดีครับยาย..” ผมกล่าวพร้อมยกมือไหว้
                       “มีอะไรเหรอพ่อหนุ่ม..” ยายแก่พูดขึ้น
                       “เอ่อ..ผมมาตามหาคนชื่อ “นงพิศ” ครับยาย รู้สึกว่าเขาจะพักอยู่ที่นี่น่ะครับ..”
                        ยายแก่นั่งนิ่งด้วยท่าทางครุ่นคิดแล้วสักพักก็พูดขึ้น
                       “อ๋อ..นงพิศ  เขาย้ายออกไปเมื่อสองเดือนก่อนแล้วนี่..”
                       “แล้วเขาย้ายไปที่ไหนครับ” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
                       “ฉันไม่รู้…เธอไปโดยไม่ได้บอกอะไรเลย..” ยายแก่พูดขึ้น ทำเอาผมนิ่งงันไปสักครู่ ครุ่นคิดในใจว่าแล้วผมจะทำอย่างไรดี จะไปตามหาพี่ที่ไหน ผมเดินออกมาจากบ้านเช่าหลังนั้นด้วยสมองที่มึนชา และสิ้นหวัง ลืมขอบคุณแม้กระทั่งเจ้าของบ้าน
                

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ♥หทัยกาญจน์♥, บัณฑิตเมืองสิงห์, Music, บ้านริมโขง, yaguza, รพีกาญจน์, สะเลเต, อริญชย์, ...สียะตรา.., plang, พี.พูนสุข, ยามพระอาทิตย์อัสดง

ข้อความนี้ มี 12 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
21 ตุลาคม 2011, 01:16:AM
ภู กวินท์
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 364
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 383


สนสามใบ กับใครหลายคน


« ตอบ #1 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 01:16:AM »
ชุมชนชุมชน

   

                       หลายวันผ่านไปโดยที่ผมยังตามหาพี่ไม่พบ และเงินที่ติดตัวมาก็หมดเกลี้ยง หลายวันมานี้ผมต้องอาศัยนอนตามป้ายรถเมล์บ้าง ตามสวนสาธารณะบ้าง สภาพของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนจรจัดเร่ร่อน  ผมเคยไปของานทำแต่ก็โดนไล่ตะเพิดออกมาทุกครั้ง ตอนนี้ผมไม่อยากทำอะไรแล้ว กรุงเทพฯในตอนนี้สำหรับผมมันไม่ใช่เมืองสวรรค์อีกต่อไป ผมอยากกลับบ้าน ผมคิดถึงแม่ ผมยังจำคำพูดของแม่ที่มันก้องอยู่ในหัวผมได้ทุกคำ ป่านนี้แม่ยังคงรอผมกลับบ้าน นางคงนั่งรออยู่ทุกวัน
                       คืนหนึ่งผมต้องสะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของผมมันสั่งว่าต้องการอาหาร เพราะในกระเพาะของผมมันว่างเปล่ามาแล้วหลายวัน ผมลุกขึ้นจากกองกระดาษหนังสือพิมพ์ริมฟุตบาท ทั้งยุงและแมลงวันกำลังรุมทึ้งตัวผมอยู่ในขณะนี้ สายตาผมมองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นร้านขายข้าวขาหมู  กลิ่นขาหมูน้ำแดงโชยมาเตะจมูกผม ทำให้ต้องกลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า
                        ผมไม่รู้ตัวเลยว่าไปยืนอยู่หน้าร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินแต่คำว่า
                       “ออกไป!.. ใครให้แกมายืนเกะกะหน้าร้านฉัน เห็นไหมลูกค้าไม่กล้าเข้าร้านแล้ว..ไป ออกไป..”
                        ตอนนี้ผมคงไม่ต่างอะไรกับหมาข้างถนนตัวหนึ่ง ที่คอยรับเศษอาหารจากคนที่ใจบุญ วันไหนมีคนหยิบยื่นให้ก็พอประทังชีวิตได้บ้าง
                        ผมเดินโซเซออกมาจากร้านไปไม่ไกล และหันกลับมามองด้วยสายตาที่คับแค้น เห็นผู้หญิงคนหนึ่งลงมาจากรถเก๋งสีแดงที่จอดอยู่หน้าร้าน กำลังชี้นิ้วสั่งขาหมูชิ้นโต สิ่งที่เจ้าของร้านปฏิบัติกับเธอช่างแตกต่างกับผมเสียเหลือเกิน เจ้าของร้านคอยประจบเอาอกเอาใจเธอ ซึ่งกับผมคอยไล่ตะเพิดด่าเหมือนหมูเหมือนหมา  ผมเห็นกระเป๋าใบหนึ่งเหน็บอยู่ที่แขนของเธอ ตอนนี้ผมคิดถึงแม่ขึ้นมาอย่างจับใจ ผมอยากกลับบ้าน
                       “กรี๊ด! ช่วยด้วย ..” หญิงสาวร้องขึ้นด้วยอาการตกใจ
                        ผมวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิตเท่าที่แรงของผมพอจะมี โดยมือข้างหนึ่งยังกำกระเป๋าไว้แน่น ผมยังคงวิ่งไปข้างหน้า ผู้คนสองข้างทางมองดูผมด้วยสายตาแปลกประหลาด และก็พวกที่กำลังวิ่งไล่ตามหลังผมมาอีก ผมรู้สึกว่าซอยนี้ดูลึกกว่าปกติ ในห้วงหนึ่งภาพของแม่ผุดขึ้นอยู่ตรงหน้า ผมเห็นแม่ยืนอยู่หน้าบ้าน เห็นท้องนา ที่ผมเคยวิ่งเล่น  และเห็นตัวเองยืนกอดแม่อยู่หน้าบ้าน พร้อมกับพูดว่าแม่ผมกลับมาแล้ว ผมจะไม่ไปอีกแล้วกรุงเทพฯ ผมจะอยู่กับแม่
                     “เอี๊ยด…โครม!!..” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
                     “โอ้ย!..” ผมร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด เมื่อตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่ง แต่ไม่พ้น รถคันหนึ่งเหวี่ยงผมไปกระแทกกับขอบฟุตบาทข้างทาง ผมนอนแน่นิ่งกอดกระเป๋าไว้แน่น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมได้กลับบ้าน ผมไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆหรอก
                      ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรแล้ว รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆไหลออกมาจากตัวผมจนชุ่มโชก ผมเหนื่อยเหลือเกิน รู้สึกง่วง และไม่อยากหายใจแล้ว หูของผมมันไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากคำพูดของแม่ที่มันก้องอยู่ในหัวผม แม่ยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ พูดกับกับผมว่าลูกเหนื่อยมากแล้ว ควรพักผ่อนเสียบ้าง หลับเถิดนะแม่จะร้องเพลงกล่อมลูกเอง เพลงที่แม่เคยร้องให้ลูกฟังตอนเล็กๆไง จำได้ไหม พอลูกตื่นขึ้นมาแม่จะทำแกงส้มที่ลูกชอบให้กิน
                       ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ผมไม่เห็นแม่แล้ว.. แม่หายไป! หูของผมอื้ออึงไปหมด และแล้วความมืดก็ค่อยๆปกคลุมทีละนิดๆจนสุดตา.


"...อย่าไปเลยนะลูกจะถูกฆ่า
เขาจะเอาวิญญาณ์เจ้ามาป่น
อยู่กับแม่แก่เฒ่าเฝ้าเลี้ยงตน
จะถูกคนมากมายทำร้ายมา..."

เคารพรัก

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ♥หทัยกาญจน์♥, บัณฑิตเมืองสิงห์, Music, บ้านริมโขง, yaguza, รพีกาญจน์, สะเลเต, อริญชย์, ...สียะตรา.., plang, พี.พูนสุข

ข้อความนี้ มี 11 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
21 ตุลาคม 2011, 01:34:AM
บัณฑิตเมืองสิงห์
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 378
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 608



« ตอบ #2 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 01:34:AM »
ชุมชนชุมชน

ผมไม่มีความสามารถพอที่จะแนะนำได้ในเรื่อง "เรื่องสั้น" ครับ เลยขอเข้ามาชมอย่างเดียว
เมื่ออ่านดูแล้วจนจบ ขอปรบมือดังๆจนนิ้วแดงให้เลยนะครับ
ชอบวิธีการดำเนินเรื่อง สะท้อนสังคมดีครับ

 เคารพรัก

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ภู กวินท์, ♥หทัยกาญจน์♥, รพีกาญจน์, อริญชย์, ...สียะตรา..

ข้อความนี้ มี 5 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
21 ตุลาคม 2011, 06:09:AM
yaguza
Special Class LV6
นักกลอนเอกแห่งวังหลวง

******

คะแนนกลอนของผู้นี้ 1567
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,308


**ยากูซ่า บ้าไม่เลือกที่**


« ตอบ #3 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 06:09:AM »
ชุมชนชุมชน

สุดยอดครับ...อ่านเพลินดี เธอนั่นแหละจ้ะ

ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : ♥หทัยกาญจน์♥, รพีกาญจน์, สะเลเต, อริญชย์, ...สียะตรา.., ภู กวินท์

ข้อความนี้ มี 6 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า

21 ตุลาคม 2011, 12:23:PM
rit sriduang
Special Class LV2
นักกลอนผู้ก้าวสู่โลกอักษร

**

คะแนนกลอนของผู้นี้ 65
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 39



« ตอบ #4 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2011, 12:23:PM »
ชุมชนชุมชน

หวัดดีครับ คุณทำ มะดา

มีแววด้านเรื่องสั้นเหมือนกันนะครับ
เห็นเขียนว่าให้ติชมได้ งั้นขอเสนอความเห็นส่วนตัวครับ

เรื่องนี้ผมไม่ได้อ่านท่อนแรก พออ่านท่อนที่สองจบ จึงได้รู้ว่ามีท่อนแรกด้วย
อ่านท่อนที่สองอย่างเดียวก็รู้เรื่องครับ กระชับ ได้อารมณ์ มีไคลแมกซ์ นั่นคือตัดท่อนแรกทิ้งได้ทั้งหมดเลย
(การมีท่อนแรกรู้สึกว่าเรื่องเยิ่นเย้อไปหน่อย)

เรื่องนี้คาดเดาตอนจบได้ แนะนำให้ลองเขียนแนวหักมุมดู
การเขียนแนวหักมุม ลูกเล่นอยู่ที่การซ่อนนัยยะในเรื่องที่เราเล่ามาตั้งแต่ต้น หลอกให้ผู้อ่านมองข้ามไป
แล้วมาเฉลยตอนท้าย

มีคำแนะนำนิดหน่อยที่ประโยค.."ป่านนี้แม่ยังคงรอผมกลับบ้าน นางคงนั่งรออยู่ทุกวัน"
ควรใช้ ท่าน แทน นาง จะเหมาะสมกว่า

สรุป มีแววครับ อย่าหยุดแค่นี้ คุณทำ มะดามีพรสวรรค์ รักษามันไว้ นำออกมาใช้ และไปต่อไป

ขอให้มีความสุขมากๆครับ

 เคารพรัก

ฤทธิ์ ศรีดวง



ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ : Music, อริญชย์, ...สียะตรา.., รพีกาญจน์, บัณฑิตเมืองสิงห์, พี.พูนสุข, ♥หทัยกาญจน์♥, ภู กวินท์

ข้อความนี้ มี 8 สมาชิก มาชื่นชม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  ชุมชน  |  ส่งหัวข้อนี้  |  พิมพ์  
 

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s