สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี - การปลูกเรือนสร้างบ้าน
ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน
24 เมษายน 2024, 11:18:PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

กด Link เพื่อร่วมกิจกรรม ผ่านFacebook (หรือกดปุ่มสมัครสมาชิกด้านบน)
 
ผู้เขียน หัวข้อ: สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี - การปลูกเรือนสร้างบ้าน  (อ่าน 5415 ครั้ง)
ดาว อาชาไนย
กิตติมศักดิ์
*

คะแนนกลอนของผู้นี้ 394
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,472



« เมื่อ: 25 กุมภาพันธ์ 2014, 05:08:PM »


ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตครับ


๐๐ สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๐๐

รัฐบาล ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้จัดให้มีงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในรอบ ๒๐๐ ปี สมัยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานจัดงานสำคัญระดับชาติ จัดพิมพ์หนังสือประชุมบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนสุดา สยามบรมราชกุมารีและบทร้อยกรองของนักกวีผู้มีชื่อเสียงในปัจจุบันอีก ๔๒ ท่าน ในการนี้ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ร่วมเขียนด้วย กำหนดให้เขียนเรื่องราวเมื่อ ๒๐๐ ปีก่อน ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องการปลูกเรือนสร้างบ้านไว้ดังนี้

๐๐ ศิลป์เรือนไทยสูงเด่นเน้นเอกลักษณ์.....ซึ้งตระหนักใจยิ่งเป็นมิ่งขวัญ
ผนวกเอาประเพณีที่ดีครัน.........................คือพรอันเสริมศรีเพื่อชีวิต
สรุปรวมทฤษฏีมีหลายอย่าง......................แลสล้างล้วนสรรค์อันวิจิตร
มรดกวัฒนธรรมนำความคิด......................เนรมิตคุณค่าน่าอนุรักษ์

๐๐ การปลูกสร้างเรือนไทยสมัยก่อน..........ถอยหลังย้อนสองร้อยปีเขามีหลัก
เป็นความเชื่อโบราณมานานนัก.................ซึ่งประจักษ์ใจคือถือโชคลาง
กลัวเกิดทุกข์ยากไร้กลัวให้โทษ................กลัวเทพโกรธสารพัดแกล้งขัดขวาง
ความเชื่อจึงสิงใจอยู่ไม่จาง.......................กลัวผีสางนางไม้ให้กาลี

๐๐ ก่อนปลูกเรือนท่านจึงคำนึงว่า..............ต้องตรวจหาฤกษ์ยามความเป็นศรี
เสาร์ อาทิตย์ อังคาร วันไม่ดี......................วันศุกร์ชี้ให้เห็นเป็นกลางกลาง
วันจันทร์ พุธ พฤหัส จัดว่าเยี่ยม..................หลุมควรจะตระเตรียมเอาไว้บ้าง
ถ้าได้ฤกษ์เบิกเสาเข้าไปวาง......................ปิดกระดานด้านข้างเข้าด้วยพรึง
อยู่นอกเสาทุกต้นบนคานไม้......................เพื่อแน่ใจวัดระดับจับเชือกขึง
กะตัวเรือนตรงไหนให้คำนึง.......................จวนปลูกจึงรีบจัดเครื่องบัตรพลี

๐๐ อันเรือนไทยสมัยเก่าเราใช้ไม้...............เพราะหาได้ดั่งปองหลายท้องที่
อุดมพรรณพฤกษาบรรดามี........................ชนิดดีเลวคละคณนา
เดือนอ้ายถึงเดือนสี่เดือนดีนัก....................ญาติมิตรจักร่วมใจไปในป่า
ช่วยตัดไม้ได้เสาแบกเอามา.......................ถือกันว่าเต็ง รัง ช่างดีแท้
ทำเสาเรือนจึงเหมาะเพราะเนื้อแกร่ง..........แสนแข็งแรงทนทานนานดีแน่
ถึงจะผุกร่อนไปไม่อ่อนแอ.........................คงผุแค่คอดินมิกินกลาง
ไม้ต่างป่าอย่าเอาคนเขาถือ.......................จะเป็นสื่อวิวาทถึงบาดหมาง
ว่าเทพแยกตำบลคนละทาง.......................กลายเป็นต่างพรรคไปไม่สมจินต์

๐๐ อนึ่งสามเดือนนี้ สี่ ห้า หก.....................นาคหันส่วนท้องตกทิศทักษิณ
หลุมแรกขุดทิศใต้ไม่ราคิน.........................เอาก้อนดินโยนขว้างทางอาคเนย์
ก่อนตอกเสาตั้งศาลเพียงตาเสร็จ...............ไหว้พระภูมิเอาเคล็ดไม่ห่างเห
ไหว้นางไม้มิให้ซ้ำทำเสเพล.......................ไหว้ผีเรือนอย่ารวนเรจงเรียบร้อย
เสาผ้าแดงขาวพันลงยันต์เสก.....................ที่เสาเอกผูกด้วยหน่อกล้วยอ้อย
และแขวนเครื่องประดับกับแหวนพลอย........เอาผ้าห้อยหุ้มห่อลออตา
ถ้าข้างแรมแรมไร้ไม่ยกเสา.........................ได้ฤกษ์เอาปลายเบี่่ยงเลี่ยงทิศา
วันฤกษ์อยู่ตะวันตกวกโรยรา........................ตะวันออกท่านว่าวันฤกษ์ดี

๐๐ อนึ่งเรือนขวางตะวันนั้นไม่ปลูก..............เคราะห์จะถูกผู้อาศัยไม่สุขศรี
ตะวันชอนเสียตามีราคี...............................ถ้าเนื้อที่แคบไปให้เฉียงตะวัน
เพราะว่าหากนอนหันศีรษะหก....................ไปทางทิศตะวันตกไม่สุขสันต์
เหมือนศพนอนเขายึดประพฤติกัน................ถ้านอนหันตะวันออกบอกว่าร้าย
เป็นประตูออกเข้าเขากรายหัว......................แม้นนอนตัวตามเรือนเหมือนสิ่งง่าย
ก็จะเป็นผีอำซ้ำแทบตาย.............................คติหมายถือผีมีมานาน
แต่ความจริงโบราณท่านฉลาด.....................ความสามารถซาบซึ้งถึงลูกหลาน
เพื่อเรือนเย็นเป็นยอดตลอดกาล..................ลมพัดผ่านทุกฤดูอยู่สุขใจ

๐๐ ก่อนปลูกตรวจพื้นที่ที่ปลูกก่อน..............ว่ามีขอนตอหลักปักคล่อมไหม
ฝังรูปรอยอาถรรพ์สิ่งอันใด..........................จะทำผู้อยู่อาศัยให้เดือดร้อน
ชิมดินถ้าเปรี้ยวไม่ดีเรียกที่ส้ม.......................จะทุกข์์ถมลำบากยากถ่ายถอน
รสหวานพออยู่ได้อาศัยนอน.........................รสเค็มค่อนข้างร้ายไร้มงคล
รสจืดดีว่าเด่นเป็นยิ่งนัก................................แล้วให้ตักดมกลิ่นดินอีกหน
ถ้าหอมชื่นประทิ่นกลิ่นอุบล..........................เหมือนมีมนต์อุดมดีเรียกที่พราหมณ์
ถ้าดินร้ายอยู่ไปจะได้เข็ญ.............................มีกลิ่นเหม็น เค็ม เผ็ด จงเข็ดขาม
ถ้าหอมกลิ่นพิกุลกรุ่นทุกยาม........................จะเกิดความสุขเจริญมีเงินทอง

๐๐ ถ้าพื้นที่หน้าจั่วช่างชั่วโฉด......................อยู่ไม่ดีมีโทษทนทุกข์หมอง
รูปชายธงบ่งร้ายอย่าหมายปอง......................รูปสี่เหลี่ยมเอี่ยมอ่องเลิศพื้นดิน

๐๐ เรือนโบราณแบ่งห้องเป็นสอง สาม...........หลังคางามสะบัดงอนอ่อนช้อยศิลป์
เรือนฝากรุ ฝากระดานฝานเข้าลิ้น..................นิยมยินดีหนักหนาฝาปะกน
ระเบียงลดระดับกับตัวพื้น..............................กันสาดยื่นเพิงใหญ่ใช้กันฝน
ไม้เท้าแขนแอ่นระทวยช่วยให้ทน..................ชานแล่นชนหอรีที่หอกลาง
ตรงข้ามเรือนนั่งเล่นเป็นหอนั่ง.......................อยู่ถัดหลังหอรีมีหอขวาง
หอนกจัดให้ดีเป็นที่ทาง................................ครัวอยู่ห่างออกไปเพื่อไกลควัน
หลังหอนั่งตั้งเป็นร้านต้นไม้...........................หอมชื่นใจเปรียบแม้นแดนสวรรค์
ปลูกขจรเถาเลี้ยวขึ้นเกี่ยวพัน.........................หน้าจั่วนั้นรูปพนมเรียกพรหมพักตร์
ใต้ถุนสูงเหมือนกันชั้นเดียวหมด.....................ถือเป็นกฎอยู่สบายหมายเป็นหลัก
เสาเรือนตกน้ำมันนั้นร้ายนัก...........................เจ้าของจักรื้อย้ายถวายวัด

ต่อจากนี้เป็นการบรรยายบ้านปัจจุบันจึงขอห้ามไปและนำมาลงตอนจบ

๐๐ เหลียวแลหาเรือนไทยสมัยเก่า................ชวนให้เศร้าคิดไปใจหดหู่
ปัจจุบันอาศัยได้มองดู.............่.....................มักเห็นอยู่แต่อารามตามกุฎี
ค่าปลูกแพงเหลือรับจับไม่ติด........................ผูกขาดไว้ให้สิทธิ์แต่เศรษฐี
รสนิยมตามฝรั่งพวกมั่งมี...............................บ้างชอบสร้างอย่างที่ทรงสเปน
ส่วนยังเหลืออยู่ล้วนควรตระหนัก....................อนุรักษ์ยืนนานลูกหลานเหลน
ชะลอการเสื่อมทรามตามกฎเกณฑ์................งดงามเด่นคงค่าว่าศิลป์ไทย
เพราะโลกแคบคำนึงจึงสับสน........................อิทธิพลต่างชาติดาษหลั่งไหล
ประเพณีนมนานโบราณไป.............................พวกหัวใหม่หมุนหาค่านิยม
เรือนเลียนแบบอารยะตะวันตก.......................ถูกหยิบยกนิยามความเหมาะสม
เอกสิทธิ์พิษคลั่งของสังคม............................จะทับถมเช่นนี้ทวีคูณ
ศิลป์เกิดขึ้นตั้งอยู่ย่อมรู้ดับ.............................ทุกสิ่งสรรพวนเวียนเปลี่ยนและสูญ
วัฒนธรรมประยุกต์รุกเพิ่มพูน..........................ความจำรูญจึงแปรไม่แน่นอน
สุดแต่ทาสความคิดจิตมนุษย์.........................รูปแบบเดินหน้ารุดมิหยุดหย่อน
เอกลักษณ์ล้ำค่าเลิกอาทร.............................คือจุดอ่อนเกิดในหัวใจคน

ดาว อาชาไนย
แห่งเสี้ยวอารมณ์กลอน











ขอบพระคุณ ที่กรุณาเยี่ยมชมนะจ๊ะ :

รัตนาวดี, รพีกาญจน์, ชลนา ทิชากร, muneenoi

ข้อความนี้ มี 4 สมาชิก มาชื่นชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 กุมภาพันธ์ 2014, 07:42:PM โดย ดาว อาชาไนย » บันทึกการเข้า

เสี้ยวอารมณ์จากใจใครคนหนึ่ง
คงไม่ซึ้งจับใจใครทั้งหลาย
แค่มีใครคนหนึ่งซึ้งไม่คลาย
ก็สมหมายใครคนหนึ่งซึ่งรักกลอน

Email:
Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF
s s s s s