หยดน้ำค้างพร่างพรมกลางลมหนาว
ละอองพราว คราวหล่น มายลทัก
เกาะยอดใบไม้ซึ่ง พึงตระหนัก
ดุจเย้าหยอก บอกรัก ทักทายจินต์
แม้คำเปรยเอ่ยโลม โฉมนางสรวง
ประทับทรวงบ่วงใจ หทัยถวิล
สายลมโบยระบัด พัดรวยริน
หอมประทิ่น กลิ่นกรุ่น….ละมุนละไม
พิรุณโรย โปรยซับ ดุจรับช่วง
น้ำค้าง ร่วง รั้งหยุด ฉุดหวั่นไหว
โอ้ รักเอย หาเทียบ เปรียบสิ่งใด
ฤๅ..เท่าใจ ใครหนึ่ง รำพึงพา
ตั้งแต่รุ่ง อรุณ อุ่นแสงอ่อน
ถึงเมื่อตอน สุรีย์พราก จากเวหา
รัตติกาล กลับหวน ทวนอีกครา
ดวงดารา มาเยือน เป็นเพื่อนกัน
ยังคงพร่ำ คำครวญ อวลไอรัก
ให้ประจักษ์ ถึงใจ ที่ใฝ่ฝัน
หอมรำเพย เชยรัมภา น่าอัศจรรย์
ครั้งปางบรรพ์ คงเคยอยู่ เป็นคู่ครอง
ราตรีหนึ่ง ตรึงหทัย ซึ้งในค่า
เพียงหลับตา ยังรู้ ผู้สนอง
จะฝันถึง หนึ่งเธอ ที่เพ้อปอง
อย่าได้หมอง ฤดี นะ….ที่รัก….
“สุนันยา”
ณ แห่งนี้อุทยานหวานใดเอ่ย
อย่านิ่งเฉยฝากไว้ให้ประจักษ์
อ่านถ้อยแล้วแช่มชื่นเกินใจภักดิ์
รสสลักกานท์ล้ำร่ำรำพึง
หวามใจฤๅหวามน้ำค้างที่พราวพร่าง
ภาพกระจ่างในนิทราคราคิดถึง
เพลงรัมภาร้องรำน้ำคำซึ้ง
หวานคำหนึ่งกินใจหทัยทรวง
สายลำนำดั่งดลมนต์กวี
เหมือนคนตรีไพเราะเสนาะสรวง
ส่งต่อกานท์ขับถ้อยร้อยรัดรวง
ด้วยความห่วงโหยหาทุกราตรี
กับรอยยิ้มอิ่มไออุ่นใจนัก
ซึ้งตระหนักใจครองขวัญน้องพี่
ด้วยสร้างสรรค์ร้อยกรองคล้องไมตรี
ประดุจแก้วแววกวีศรีวงวรรณ
สวนดอกไม้รัมภาชมภิรมณ์รื่น
ทุกค่ำคืนมนต์กานต์สานสวรรค์
ดั่งดุจดื่มนางฟ้ามาจำนรรจ์
วิมานนั้นสกาวถึงชาวดิน
ณ แห่งนี้อุทยานหวานใดเอ่ย
วานเฉลยตอบถ้อยคอยถวิล
หากตอบต่างจากใจเคยได้ยิน
คงแดดิ้นสิ้นฤดี นะ...ที่รัก
รการตติ