สัมผัสระหว่างบทในการแต่งกลอนคือ
คำสุดท้ายของบทก่อนหน้า ต้องรับด้วยสระเสียงเดียวกันแต่ต่างเสียงพยัญชนะต้นใน ๑. คำสุดท้ายของวรรครับบทต่อไป ๒.คำสุดท้ายของวรรครองบทต่อไป ๓.คำที่สามหรือห้าของวรรคส่งของบทต่อไป
เช่น
มีศาลาแห่งไหนให้หลบหนาว
คนใจร้าวเซซังทั้งตัวสั่น
พายุกล้าห่าฝนหล่นโรมรัน
คว้าไม่ทันสักอย่างกางกำบัง
จู่ทางเดินเพลินจิตปิดทางผ่าน
คิดจะหวนคืนบ้านก็พลาดหวัง
น้ำป่าซัดตัดธารสะพานพัง
ฝนประดังทิ่มสายคล้ายรังแก
สัมผัสระหว่างบทคือ บัง-หวัง-พัง-ดัง
สี่คำนี้รับสัมผัสด้วยสระเดียวกันคือ เสียง อัง หรือ สระอะ (รูปไม้หันอากาศ) สะกดด้วยแม่กง
ต่างเสียงพยัญชนะต้นคืออักษรตัวแรกต้องต่างเสียง ดังตัวอย่าง ใช้ เสียง บ ว พ และ ด
พยัญชนะต้นบางตัวเขียนรูปต่างแต่เสียงเดียวจึงต้องระวัง เช่น (พง)พี กับ (นา)ภี พยัญชนะต้นเป็น พ กับ ภ แต่ถือว่าเสียงเดียวกันคือเสียง พ จะใช้รับสัมผัสกันไม่ได้
และ พยัญชนะต้นนั้นก็ใช้รับหรือส่งได้แค่ครั้งเดียว จะส่งด้วย ใจ แล้ว รับด้วย ใจ เพราะคิดว่าคำหนึ่งเป็นคำส่ง คำหนึ่งเป็นคำรับสัมผัส ไม่ได้
ถ้าจะลงรายละเอียดลึกกว่านั้นอีก พยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน ต่างแค่เสียงวรรณยุกต์ ในการประกวดกลอนถ้าส่งและรับสัมผัสกัน ถือว่าเป็นสัมผัสซ้ำ เช่น (นา)ที จะรับสัมผัสด้วย (ถ้วน) ถี่ ไม่ได้
เพราะถือว่าเป็นเสียงพยัญชนะต้น ท เหมือนกัน ตัวหนึ่งเป็นอักษรสูง ตัวหนึ่งเป็นอักษรต่ำเท่านั้น
แต่ในการต่อกลอนเล่นกัน บางทีก็อนุโลมกัน ซึ่งจะให้ดีก็ควรหัดแบบที่ถูกไม่ใช่แบบอนุโลมนะคะ
เข้าใจรึยังคะ ว่าทำไมเขาถึงไม่ค่อยอธิบายกัน อธิบายทีก็ต้องพิมพ์ยาวเหยียดเลยน่ะ
