พิมพ์หน้านี้ - ด้วยจิตคารวะ

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => ห้องรวบรวมบทกลอน,บทกวีจากที่อื่น.. => ข้อความที่เริ่มโดย: สายใย ที่ 16 พฤษภาคม 2009, 08:50:AM



หัวข้อ: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 16 พฤษภาคม 2009, 08:50:AM

กระทู้นี้จะขอนำผลงานอมตะ ไพเราะ ๆ ที่จัดเป็น ผลงานชั้นครู
ของนักกวีอาวุโส ที่เป็นเจ้าของ"วรรคทอง"หลายท่านมานำเสนอตามโอกาส
ท่านใดมีบทกวีลักษณะดังกล่าว ขอเชิญนำมาบันทึกไว้ให้ได้ชื่นชมกันครับ
อย่าลืมให้เครดิตเจ้าของผลงานด้วยครับ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 16 พฤษภาคม 2009, 08:54:AM
ซอสามสาย          โดยภิญโญ  ศรีจำลอง

เสียงแหบโหยโรยแรงแจกแจงโศก
อนาถโชคชอกช้ำกระหน่ำหนัก
รักแรกรื่นคืนสลดเมื่อหมดรัก
สิ้นแหล่งหลักพักพิงทุกสิ่งไป

เสียงกำสรวลครวญสู่มิรู้สิ้น
นกขมิ้นบินร่อนจะนอนไหน
เคยเรื่อยร้องท่องเที่ยวกลับเปลี่ยวใจ
ห่างพุ่มไม้ใบบังหวังอุ่นอิง

ต่อมาศัพท์กลับชื่นระรื่นโสต
ชวนปราโมทย์แม้นทรวงมนต์สรวงสิง
โฉมแม่เฉิดเลิศซึ้งตรึงจิตจริง
เป็นยอดหญิงเยือนหล้าหลบฟ้าจร

ยังเยาว์วัยประไพพักตร์น่ารักหลง
พระเพื่อนองค์เอกสง่ากว่าอัปสร
พระแพงนุชสุดประเสริฐเลิศองค์อร
นาฏอมรเมียงมาแล้วลาเลย

แล้วเปลี่ยนเสียงเพียงมนต์มาดลกล่อม
เหมือนหว่านล้อมให้พร้องว่า "...น้องเอ๋ย
หนาวน้ำค้างพร่างพรำลมรำเพย
บุปผาเผยกลีบกลิ่นรินรินรวย

ดาเรศพร้อยย้อยระยับประดับฟ้า
เสี้ยวจันทราฟ้าแขวนไว้แสนสวย
แม้นบุญญามาเกื้ออาจเอื้ออวย
นุชอยู่ด้วยสุขสรรพฤๅกลับกลาย"

เสียงซึ้งพาอารมณ์เปลี่ยนตรมสุข
ล้วนเร่งรุกเร้าตามซอสามสาย
เมื่อเสียงกลับลับเลื่อนคลาดเคลื่อนคลาย
ยังไม่วายหวังพ้องเจ้าของซอ

ภิญโญ  ศรีจำลอง ๒๕๐๖


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 16 พฤษภาคม 2009, 09:03:AM

เสียเจ้า
ของ กวีรัตนโกสินทร์ อังคาร กัลยาณพงศ์

       เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง............มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า................ซบหน้าติดดินกินทราย

จะเจ็บจำไปถึงปรโลก..............ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย.............อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ

ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์...............ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้...................ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ

แม้แต่ธุลีมิอาลัย......................ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน..........จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา

ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า..............ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา................ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย๚

                                            อังคาร กัลยาณพงศ์



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวระดา ที่ 16 พฤษภาคม 2009, 10:30:AM
ยามเช้าแสงแสงทอแสงถักทอด
อยู่บนยอดบนยวงบนห้วงหาว
เล็ดลอดลำลำไผ่ใบลำพราว
งามแวววาวแวววับวิบวาบแวว

หยาดน้ำค้างค้างใบใสหยดค้าง
ไหลลงทิวทิวทางกลางทิวแถว
ทีละหยดหยดลงหลายหยดแล้ว
ดังเก็จแก้วประกายเก็จงามเก็จไกล

ลมอ่อนอ่อนร่อนเอื่อยเรื่อยแรงอ่อน
พัดยอดย้อนย้อนลงคงย้อนไหล
สีกอพลางกลางกอกอไผ่ไพร
ช่างอุ่นอวลอุ่นไอโอ้อุ่นอัน

เพลินเพลงไผ่พาเพลินงามเพลินพร้อม
ลำนำนบนบน้อมนบแนบนั่น
ลำไผ่เรียงเคียงข้อข้อข้อครั้น
หลายหลากหลั่นลิบแลสูงลิบลิบ

แสงแดดเริ่มแรงแรงรุกแรงร้อน
เพลงดงดอนดงใดในดงดิบ
หยดหยาดเยิ้มหยาดยามหยาดระยิบ
พราวกระพริบพราวเพริดบรรเจิดพราว
............................
ผลงานการประพันธ์ คุณคอนพูทน  กวีท่านหนึ่งที่ผมนับถือเป็นพี่ชายที่ผมเคารพ
มีผลงานในโลกออนไลน์มากมาย ส่วนกวีที่มีผลงานมีชื่อเสียงอื่นผมแทบไม่เคยอ่านเคยสัมผัส
ไม่ใช่สินะ ผมยังมีอีกท่านที่ผมเคยได้อ่านตอนสมัยเรียนท่านสุนทรภู่
การเขียนกลอนผมก็ยังหลงเสียงหลงสัมผัสอยู่เรื่อยต้องฝึกอีกกี่ปีไม่รู้ถึงจะเข้ารูปเข้ารอย


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 17 พฤษภาคม 2009, 07:45:AM
               นกขมิ้น            (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
เขาคลอขลุ่ยครวญเสียงเพียงแผ่วผิว
ชะลอนิ้วพลิ้วผ่านจากมานหมอง
โอดสะอื้นอ้อยอิ่งทิ้งทำนอง
เป็นคำพร้องพริ้งพรายระบายใจ
 
โอ้ดอกเอ๋ยเจ้าดอกขจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อน จะนอนไหน
ค่ำลงแล้วแนวพนาและฟ้าไกล
เจ้านอนได้ทุกเถื่อนท่าไม่อาทร
 
แล้วหวนเสียงเรียงนิ้วขึ้นหวิวหวีด
เร่งอดีตดาลฝันบรรโลมหลอน
ถี่กระชั้นสั่นกระชากใจจากจร
ระเรื่อยร่อนเร่มาเป็นอาจิณ
 
โอ้ใจเอ๋ยอ้างว้างวังเวงนัก
ไร้แหล่งพักหลักพันจะผันผิน
เพิ่มแต่พิษผิดหวังยังย้ำยิน
ระด่าวดิ้นโดยอนาถแทบขาดใจ
 
ข้าเคยฝันถึงฟ้ากว้างกว่ากว้าง
ฝันถึงปางทับเปลี่ยวเรี่ยวน้ำไหล
ถึงช่อเอื้องเหลืองระย้าคาคบไม้
ในแนวไพรนึกเหมือนเป็นเพื่อนเนา
 
รู้รสแรงแห่งทุกข์และสุขสิ้น
บนแผ่นดินแผ่นเดียวเปลี่ยวและเหงา
จิบน้ำใจจนทั่วเจียนมัวเมา
ไร้ร่มเงารังเรือนและเพื่อนตาย
 
เขาเคลียนิ้วเนิบนุ่มเสียงทุ้มพร่า
เหมือนหวนหาโหยไห้น่าใจหาย
เจ้าขมิ้นเหลืองอ่อนนอนเดียวดาย
จะเหนื่อยหน่ายหนาวน้ำค้างที่กลางดง
 
เสียงฉับฉิ่งหริ่งรับขยับเร่ง
จะพรากเพลงเพื่อนยินสิ้นเสียงส่ง
เขาเบือนนิ้วผิวแผ่วแล้วราลง
เสียงนั้นคงเน้นครางอย่างห่วงใย
 
เจ้าดอกเอยดอกขจรอาวรณ์ถวิล
นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน
เขาวางขลุ่ยข่มน้ำตาว้าเหว่ใจ
ตอบไม่ได้ดอกหนาข้าคนจร
 
จาก ผลงานรวมบทประพันธ์ชื่อ”คำหยาด”  ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 17 พฤษภาคม 2009, 07:49:AM
บนลานอโศก              (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)
หยาดน้ำแก้วเกาะกลิ้งกิ่งอโศก
โลกทั้งโลกลอยระหว่างความว่างเปล่า
มีความรื่นร่มเย็นแผ่เป็นเงา
ลมแผ่วเบาบอกลำนำคำกวี
 
เราพบกันฝันไกลในความรัก
เริ่มรู้จักซึ้งใจในทุกที่
มีแต่เรามิมีใครในที่นี้
ใบไม้สีสดสวยโบกอวยชัย
 
อยากให้รู้ว่ารักสักเท่าฟ้า
หมดภาษาจะพิสูจน์พูดรักได้
เต็มอยู่ในความว่างกว้างและไกล
คือหัวใจสองดวงห่วงหากัน
 
หลับตาเถิดที่รักเพื่อพักผ่อน
ฟังเพลงกลอนพี่กล่อมถนอมขวัญ
ใจระงับรับใจในจำนรรจ์
ต่างแพรพันผูกใจห่มให้นอน
 
โอ้ดอกเอ๋ยดอกโศกตกจากต้น
เปียกน้ำฝนปนทรายปลายเกษร
โศกสำนึกหนาวกมลคนสัญจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะร่อนลง
 
เมตตาแล้วแก้วตาอย่าทิ้งทอด
ช่วยให้รอดอย่าปล่อยบินลอยหลง
จะหุบปีกหุบปากฝากใจปลง
จะเกาะกรงแก้วกมลไปจนตาย
 
งามเอยงามนัก
แฉล้มพักตร์ผ่องเหมือนเมื่อเดือนฉาย
งามตาค้อนคมเยื้องชำเลืองชาย
ลักยิ้มอายแอบยิ้มงามนิ่มนวล
 
จะห่างไกลไปนิดก็คิดถึง
ครั้นดื้อดึงโดยใจก็ไห้หวน
ถนอมงามห้ามใจควรไม่ควร
ให้ปั่นป่วนไปทุกยามนะความรัก
 
ผีเสื้อทิพย์พริบพร้อยลอยแตะแต้ม
เผยอแย้มยิ้มละไมใจประจักษ์
ทุกกิ่งก้านมิ่งไม้เหมือนทายทัก
ร้อยสลักใจเราให้เฝ้ารอ
 
ฝันถึงดอกบัวแดงแฝงผึ้งภู่
คล้ายพี่อยู่เป็นเพื่อนในเรือนหอ
ชื่นเสน่ห์เกษรอ่อนละออ
โอ้ละหนอหนาวนักเอารักอิง
 
ในห้วงความคิดถึงซึ่งเงียบเหงา
ใจสองเราเลื่อนลอยอย่างอ้อยอิ่ง
คอยคืนวันฝันเห็นจะเป็นจริง
โลกหยุดนิ่งแนบสนิทในนิทรา
 
ร่มอโศกสดใสในความฝัน
ร่มนิรันดร์ลานสวาทปรารถนา
ร่มลำธารสีเทาเจ้าพระยา
และร่มอาณาจักร.....ความรักเรา
 
จาก ผลงานรวมบทประพันธ์ชื่อ”คำหยาด”  ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 17 พฤษภาคม 2009, 07:52:AM
               ขอบฟ้าขลิบทอง
   มิ่งมิตร                                           เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น
ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน                       ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม

ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว               ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม
ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม                ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน

ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงษ์ร่อน                 ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน
ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจคน                    ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ

ที่จะเกลาทางกู้สู่คนยาก                         ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม
ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร                ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง

ที่จะอยู่เพื่อคนที่เธอรัก                           ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง
ที่จะมุ่งจุดหมายประกายทะนง               ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา

เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพน       เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา
เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา          เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ                                                           


                     อุชเชนี (อาจารย์ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา  )



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 18 พฤษภาคม 2009, 12:09:PM
   ขอ
             
ไม่มีความรักใดให้อีกแล้ว
สำหรับแก้วขวัญจิตยอดมิตรเอ๋ย
ไม่มีแล้วสิ่งใดให้อีกเลย
แม้คำเอ่ยว่าสนิทเหนือมิตรใด

เพียงสำนึกหนึ่งยังหวังอยู่ว่า
จะเห็นฟ้าพร้อยดาวพราวไสว
ระยิบแสงแข่งแขแลไกลไกล
เหนือดวงใจดวงหนึ่งซึ่งมืดมน

ขอให้ความระลึกที่มีต่อมิตร
ได้ตามติดเฝ้าแฝงทุกแห่งหน
เพื่อเป็นเพื่อนยามพรั่นหวั่นกมล
จากเราคนที่หวงห่วงและตอย

ถ้าทำได้ทุกทางเหมือนอย่างคิด
จะตามติดต่อไปไม่ท้อถอย
ในความรักความฝันอันเลื่อนลอย
แม้เปิดรอยแผลใจไว้อาวรณ์

แต่เกินจะทำอะไรต่อไปแล้ว
เพียงมีแววเรียงร้อยถ้อยอักษร
ฝากความรักซ่อนซุกมาทุกตอน
ทุกคำกลอนคือใจรักไม่คลาย

โอ้ความรักความหวังดังดอกฟ้า
เลื่อนลงมาให้สอยแล้วลอยหาย
เหลือริ้วรอยร้อยอยู่มิรู้วาย
สุดสิ้นสายสวาทช้ำชีพลำเค็ญ

หากเธอมีรักใหม่อย่าให้รู้
และถ้าอยู่กับใครอย่าให้เห็น
ให้ฉันเถอะ...ขอร้องสองประเด็น
แล้วจะเป็นผู้แพ้อย่างแท้จริง

                     สนธิกาญจน์  กาญจนาสน์
                      2518 - รวมกลอนชมรมนักกลอน


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 18 พฤษภาคม 2009, 05:25:PM
[
]ภาษารัก

         ยิ่งคิดถึงเธอมากยิ่งอยากหนี
เกรงเธอมีมลทินสิ้นศักดิ์สาว
พบครั้งใดใจจึงยั้งทุกครั้งคราว
ร้อนทนหนาวหนาวทนร้อนแทรกซอนทรวง

เพราะเพียงคิดผิดก็ผุดในอนุสัย
ถ้าเกินคิดผิดฤทัยคงใหญ่หลวง
ครั้นห้ามคิดจิตหวามกลับตามทวง
จึงขอล่วงบ่วงกรรมแค่คำนึง

แม้อยากกอดยอดรักหนุนตักนุ่ม
อยากเกาะกุมจุมพิตสมคิดถึง
จะห้ามรักหักอารมณ์ข่มใจพึง
รอวันหนึ่งในหวังเหนือตั่งทอง

อ้อมกอดพี่จะสงวนไม่ด่วนเสนอ
อ้อมตักเธอจงถนอมก่อนยอมสนอง
ถึงวันชื่นคืนฉ่ำถูกทำนอง
จะตระกองกอดกกแนบอกนอน

จะกล่อมเธอก่อนนิทราจูบหน้าผาก
ถ้าหลับยากจะให้แขนหนุนแทนหมอน
หลับแล้วเธอละเมอหาผวาวอน
พี่จะช้อนเชยชิดทั้งนิทรา

ถ้าใกล้รุ่งลมหนาวแผ่ผ่าวอก
พี่จะกกจนตรู่ต่างภูษา
ประพิมพ์ปากปลุกเกลือกตรงเปลือกตา
กระซิบว่า " เช้าแล้วจ้ะแก้วใจ "

ภาษารักครึ่งแดมีแค่นี้
หมดฤดีตีแผ่จะแค่ไหน
ยิ่งคิดถึงเธอมากยิ่งอยากไกล
แต่กลับไปไม่รอดห่วงยอดรัก ๚

สวัสดิ์  ธงศรีเจริญ

จากคุณ : จอมยุทธเมรัย  - [ 10 มิ.ย. 46 07:05:31 ]
หัวข้อ บันทึกไว้ในวงวรรณ......เรื่องของวรรคทอง.......
หน้าห้องสมุด www.pantip.com (http://www.pantip.com)
[/
]


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 19 พฤษภาคม 2009, 11:39:AM
ฟ้อง

 o อยากเขียนกลอนได้ฉ่ำเหมือนน้ำผึ้ง
อ่านแล้วซึ้งซาบสุขทุกอักษร
ให้รื่นรวยรินรสทุกบทกลอน
จนสะท้อนสะท้านจิตมิตรทุกคน 

เพื่อผู้อ่านอ่อนไหวหัวใจหวิว
ราวช่อหลิวลู่โอนคราวโดนฝน
แต่ครั้นลองรื้ออดีตออกคิดค้น
มีสักหนไหมอารมณ์เคยสมจินต์

ที่เขียนแต่กลอนอวดความปวดร้าว
ใช่อยากสาวใส้ตนให้คนหมิ่น
เคยเห็นแต่ความช้ำน้ำตาริน
ความพังภินท์ความเศร้าและร้าวราน

ท้องฟ้าคลุ้มเมฆคลึ้มดูทึมอับ
ช่วยตอบรับว่าไม่มีชีวิตหวาน
การหวังคอยน้ำใจใครมาจาน
ต้องคอยนานถึงหมดความอดทน

กลอนบทแรกแม้จารเสียหวานฉ่ำ
ไม่กี่คำมักสะท้อนเป็นกลอนหม่น
ภาษากลอนย้อนมาฟ้องห้องกมล
โดยเผลอตนกรองกานท์ประจานใจ

ถ้าฉันขาดใจตายในวันนี้
ถึงไม่มีคนหมองช่วยร้องให้
ยังพอมีกลอนย้ำความอาลัย
ช่วยหม่นไหม้อาวรณ์ตอนสิ้นลม ๚

เกษมสุข บุณยมาลิก    ,๒๕๑๒


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 20 พฤษภาคม 2009, 07:50:AM
บทสุดท้ายของนิยายรัก

๏ จริงหรือนี่ที่ว่ารักเราจักร้าว
นึกแล้วหนาวเหน็บนักแก้วรักเอ๋ย
รสสัมผัสอ่อนละมุนที่คุ้นเคย
ไยจึงเผยรสร้างจืดจางกัน

เราเคยร่วมใจฝันว่าวันหนึ่ง
เราจะถึงวันที่งามเหมือนความฝัน
ฟ้าสีทอง ดอกไม้บาน ธารพระจันทร์
และรักอันคงค่าสถาพร

ฉันเฝ้ารอคอยวันที่ฝันไว้
รอด้วยรักด้วยใจไม่ถ่ายถอน
แต่นี่สร้อยสายสวาทมาขาดตอน
เธอกล้ารอนลงด้วยมือเธอหรือไร

เมื่อเธอสิ้นเสน่หามาสนอง
รักที่ปองมอดหมดความสดใส
แผลรักร้ายบ่อนทั่วเนื้อหัวใจ
จะต้องปวดร้าวไปถึงไหนกัน

ดอกรักบานในหัวใจใครทั้งโลก
แต่ดอกโศกบานในหัวใจฉัน
และอาจเป็นเช่นนี้ชั่วชีวัน
เมื่อรักอันแจ่มกระจ่างกลับร้างไกล

นิยายรักยืดยาวของเรานั้น
คงไร้วันสดชื่นขึ้นบทใหม่
หมดความหมายที่จะรอกันต่อไป
เพราะเปลวไฟรักดับลงกับตา ๚

เฉลิมศักดิ์ (ศิลาพร) รงคผลินหรือ หยก บูรพา


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 21 พฤษภาคม 2009, 12:14:PM
คนใกล้

  O ยิ่งใกล้เธอเท่าใดยิ่งไหม้หมอง
เพราะจำต้องหักอารมณ์ข่มแรงหวัง
แม้รสรักขื่นเศร้าเท่ารสชัง
ก็สุดรั้งฤดีไว้มิให้ภักดิ์

ยิ่งใกล้เธอเท่าใดใจแทบขาด
ถ้าความบาดใจเป็นเช่นรอยสัก
การพบกันแต่ละครั้งดังชนัก
คงจำหลักแดพร้อยนับร้อยพัน

หากฉันมีคุณค่ามากกว่านี้
ก็พร้อมที่ทำตามความใฝ่ฝัน
และหากลืมข้อแตกต่างระหว่างกัน
จิตหมายมั่นเพียงใดจะให้รู้

แต่รำลึกตัวดีมีค่าน้อย
ฉันคนด้อยเกียรติมวลไม่ควรคู่
ม่านไมตรีก็จะเป็นประตู
ที่ปิดอยู่ซ่อนสำนึกอันลึกซึ้ง

ตาต่อตามิได้หมายถึงจิต
กายอยู่ชิดเมื่อใจเอื้อมไม่ถึง
ยิ้มตอบยิ้มใช่สลักรักรัดรึง
คนใกล้จึงแสนไกลในชีวิต ๚

สินี เต็มสงสัย


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 22 พฤษภาคม 2009, 07:53:AM


นี่แหละฉันละ

๏ คนอย่างฉันถ้าใครทำให้โกรธ
ก็ใจโหดโกรธมากยากจะหาย
เช่นเดียวกันถ้าใครทำให้อาย
ใจฉันร้ายพอที่จะย้อนประจาน

อาจเห็นว่าอ่อนไหวและใจน้อย
สะกิดหน่อยแต่เลือดก็เดือดพล่าน
ใจกลับดำคำกลับกล้าวาจาพาล
และอาจรานให้อีกฝ่ายทลายลง

ตรงกันข้ามกับที่ใครทำให้รัก
ย่อมประจักษ์แก่ตาว่าฉันหลง
ทั้งจะห่วงท้วงทักพะวักพะวง
ยอมให้ทรงสิทธิ์สุขทุกสิ่งอัน

เธอก็รู้อยู่เต็มใจมิใช่หรือ
คนหัวดื้อคนนี้...นี่แหละฉัน
นี่แค่เรื่องเคืองคับลิ้นกับฟัน
เธอยกมันขึ้นมาเป็นอารมณ์

รู้ว่าโกรธยังกล้าท้าให้โกรธ
เลยลงโทษคนที่ท้าอย่างสาสม
ปล่อยให้สองตาฉ่ำน้ำตาตรม
รอยแค้นบ่มค้างอยู่ในใจฉันนี้

อยากแก้แค้นเธอนักที่รักเอ๋ย
อย่างที่เคยทำทุกคนจนผละหนี
แต่ฉันพบการแก้แค้นซึ่งแสนดี
คือการที่ฉันยอมให้อภัยเธอ ๚

ทวีสุข ทองถาวร




หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 24 พฤษภาคม 2009, 08:42:PM
รอยนอน

๏ เอนร่างนิ่มอ่อนละมุนหนุนอกนี้
ซบตรงที่หัวใจซึ่งไหวหวั่น
ฟังเสียงเพลงจากกมลของคนธรรพ์
ปิดเนตรฝันแนบนิทร์สนิทใน

สัมผัสเกศคนดีที่ดำขลับ
แนบประทับผมนิ่มปิ้มเส้นไหม
เฝ้าพิศหน้านวลผ่องงามยองใย
จูบปากอิ่มพริ้มละไมแกล้งให้นอน

ดาวก็เคลื่อนเดือนคล้อยลอยลับฟ้า
เมื่อหนาวตาเคยจูบตาวานอย่าอ้อน
เมื่อแก้มแก้วผ่องขาวผะผ่าวร้อน
เคยจูบถอนร้อนร้าวทุกคราวครวญ

โอ้ว่าแววตาเศร้าของเจ้าเอ๋ย
แต่ก่อนเคยสบชิดไยคิดด่วน
โอ้ว่าหยาดน้ำตานองหน้านวล
จะไปชวนใครเช็ดเกล็ดน้ำตา

เสียดายจุมพิตหวามในความหลับ
จะนานนับเดือนปีที่ห่วงหา
เห็นแต่รอยเธอนอนอ่อนระอา
กี่เวลาจะย้อนที่นอนเดิม ๚

ศิริพงษ์ จันทน์หอม


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 25 พฤษภาคม 2009, 10:24:AM
เหมือนนกขมิ้น
     
๏ ความเป็นห่วงของใครก็ไม่รู้
มาซุกอยู่ใต้หมอนฉันนอนหนุน
พรางสื่อพจน์รสถ้อยร้อยละมุน
ซ้ำยังกรุ่นกลิ่นแก้มไว้แกมกัน

นี่รอยแก้มแต้มไว้..ของใครหนอ
แนบแก้มคลอเคลียครองข่มหมองขวัญ
ฉันว้าเหว่แรมหวังมาทั้งวัน
ขอฝากฝันพอแฝงสร้างแรงใจ

เดือนข้างแรมค้างรุ่งรอพรุ่งนี้
เหมือนใจที่ทุกข์ท้อรอวันใหม่
คืนพรุ่งนี้นี่จะนอนแนบหมอนใคร
เหลือบ้างไหมชายคาที่อาทร

" โอ้อกเอ๋ยหัวอกนกขมิ้น
เจ้าเสเพลพลัดถิ่นเที่ยวบินร่อน
นี่ดึกแล้วเตลิดหลงกลางดงดอน
จะเกาะคอนเคียงใครที่ไหนเอย "

ฉันถูกปล่อยอยู่กลางความว่างเปล่า
เหมือนอกเจ้านกขมิ้นชินจนเฉย
พรุ่งนี้ขวัญคงคว้างอีกอย่างเคย
ชีพสังเวยความทุกข์ที่คุกคาม

กราบหมอนน้อยเพื่อนนอนค่อนคืนนี้
ขอพรศรีสรวมกมล " คนต้องห้าม "
ยืมเยื่อใยใต้หมอนสะท้อนความ
แทนถ้อยถามทักท้วงเธอห่วงใย

สำหรับเธอที่ฉันเฝ้าฝันหา
หากถามว่าคืนนี้นอนที่ไหน
" จะตอบถ้อยที่ถามไปตามใจ
ฉันหลับแล้วอยู่ใกล้ใกล้หัวใจเธอ " ๚

ทวีสุข ทองถาวร


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 26 พฤษภาคม 2009, 08:37:AM
เพราะรัก

ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก
จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
ถ้าลบวันเก่าเก่าได้จะให้คืน
ทั้งความชื่นความช้ำแล้วอำลา

เมื่อแรกรักปักใจมิได้คิด
ว่าจะผิดจนเป็นข้อครหา
เราต่างทั้งฐานะปริญญา
ต่างจนค่าหัวใจแทบไม่มี

เพราะเธอสูงสุดสอยเหมือนลอยฟ้า
จึงกดค่าความรักสิ้นศักดิ์ศรี
เมื่อรักสอนหัวใจให้ใยดี
ก็เหมือนพลีตนเป็นทาสอำนาจเงิน

ด้วยเธอดีมีค่ายิ่งกว่าแก้ว
จึงควรแล้วที่ฉันจะสรรเสริญ
ยอมสละละชั่วไม่มัวเพลิน
คนยังเมินหน้าเยาะว่าเพราะกลัว

รวมความแล้วคุณค่าหาไม่ได้
ทำดีไปคนเขาก็เฝ้าหัว
เลวก็ว่าไม่รู้สึกสำนึกตัว
จึงคนชั่วเกินจะปรับตนกลับคืน

ถ้าไม่รักเธอได้จะไม่รัก
จะยอมหักเหใจไปทางอื่น
แต่ใจเอ๋ยน่าชังรักยั่งยืน
สุดจะขืนหัวใจมิให้รัก!

เจษฎา  วิจิตร  (วิจิตร  ปิ่นจินดา )๒๕๑๑


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 27 พฤษภาคม 2009, 12:18:PM
     อายดิน   
     
๏ เห็นรอยเท้าเคยยืนสะอื้นอก
อยากหยิบยกออกมาถ้าทำได้   
คิดเกลื่อนกลบลบรอยน้อยน้ำใจ       
โอ้อาลัยลานดินจะสิ้นรอย   
     
เคยฝากฝังสั่งใจโอ้ใจเอ๋ย       
เมื่อก้าวเลยมาไกลทำไมถอย   
เสียแรงฟ้าหวังให้เกิดมาเลิศลอย       
มัวมาคอยเนิ่นสายอายสุธา   
     
ทะลึ่งโลดโดดได้ไม่ยอมหยุด       
พลาดสะดุดเซถลำคว่ำถลา   
ลื่นไถลลุกถลันรั้นขึ้นมา       
ถนัดตาโธ่ล้มจนจมดิน   
   
สงสารตัวชั่วหรือที่ดื้อสู้       
จนอดสูเจ็บอายไม่วายสิ้น 
ทั้งหยาบหยามหยันใจให้ได้ยิน       
ราวพิษรินราดจิตอนิจจา 
   
แหนงจิตฟ้าฟ้าเหวยใยเย้ยซ้ำ       
ให้ชอกช้ำเจ็บอายน่าขายหน้า 
สิ้นรอยดินใช่จะสิ้นคนนินทา       
เมื่อชื่อตราไว้เพื่อหลู่ในหมู่ชน 
   
เห็นรอยดินเคยล้มก็ขมจิต       
อยากจะปิดเนตรเร้นไม่เห็นหน 
สงสารตัวต่ำเคล้ารอยเท้าตน       
อายผู้คนยังไม่วายมาอายดิน๚

โกวิท สีตลายัน   (มังกร  ห้าเล็บ)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 28 พฤษภาคม 2009, 07:35:AM
ฟอกฟ้า

๏ ดาวพ้อฟ้าว่าไยฟ้าใจสอง
ข้างขึ้นครองแขออมอ้อมอกสรวง
ครั้นคืนแรมโลมดาวด้วยหนาวทรวง
ฟ้าแสร้งลวงรักเกลื่อนทั้งเดือนดาว

จำเลยฟ้าน่าสงสารมานานแล้ว
อรุณแผ้วรพีพรรณดาวหยันหาว
ปุยเมฆฟ่องฟ้าก็มีราคีคาว
ลมอื้อฉาวดาวก็ว่าฟ้าคร่ำครวญ

พิรุณรินฉินว่าฟ้าร้องไห้
ทอเงาในน้ำพริ้มว่ายิ้มสรวล
วิหคเหลิงเริงร่าก็ฟ้าชวน
ตะวันจวนจากก็ว่าฟ้าอาวรณ์

โอ้อกฟ้าฟังพ้อแสนท้อแท้
สุดตาแลฟ้าอิงแอบสิงขร
หรือจุมพิตทิวพนาจูบสาคร
ดาวคงค่อนขอดว่าใจฟ้าทราม

ฟ้าเสงี่ยมเจียมใจดาวไม่เห็น
ทนลำเค็ญทนคำดาวพร่ำหยาม
ตรองเถิดฟ้าแขวนประจำทุกย่ำยาม
แต่รับความหมุนเวียนใครเปลี่ยนแปร

มาตรบุญฟ้าฝันใดสมใจคิด
คงซึ้งจิตเจตนาของฟ้าแน่
ว่ารักดาวหรือเดือนเป็นเพื่อนแด
ฟ้าซื่อแต่บอดตาเพราะฟ้าเจียม ๚

                              สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 29 พฤษภาคม 2009, 09:49:AM
น้ำค้างหยดเดียว

น้ำค้างใสหยดเดียวบนเรียวหญ้า
ณ เบื้องหน้ากลอกกลิ้งประกายฉาย
ดังรวมรุ้งเพชราแววตาทราย
สะท้านพรายน้ำพร่างกระจ่างดวง

สุรีย์มาศแผดแสงเริ่มแรงกล้า
ฉันผวาหัตถ์ป้องเปรียบของหวง
แรงฤทธิ์ร้อนจะแผดเผาเจ้าตรมทรวง
ฉันเต็มดวงโศกประดังเกรงหวังวาย

แม้หัตถ์ไหม้ให้แสงแรงกว่านี้
หรือลมปรี่ฉันไม่ร้างไปห่างหาย
แต่ตะวันแผดแสงอันแรงพราย
เหมือนมุ่งหมายบั่นเจ้าให้เศร้าลง

ฉันสุดหวงห่วงประกายสายน้ำนิ่ง
เห็นแล้วยิ่งบีบหทัยให้เป็นผง
น้ำค้างอ้อนซ้อนเศร้าเฝ้าพะวง
ดูเหมือนคงพูดด้วยว่า "ช่วยที"

อันน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟไม่สิ้นสุด
ไร้อาวุธต้านอำนาจมิอาจหนี
สุดจะกันเจ้าจากแสงแรงรวี
โอ้สุดลี้ความแกร่งแห่งกฎกรรม

อัจฉรา  ตันสงวน ๒๕๐๗


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 30 พฤษภาคม 2009, 09:57:PM
"ตาขี้เล่น"
เมื่อเธอทอดสะพานตาท้าให้ข้าม
หากเขาห้ามหัวใจไว้ก็บ้า
ทุกครั้งตาแต่งจริตติดมารยา
นั่นแหละเธอให้ท่าและท้าทาย

เขาจงใจจับตาหาโอกาส
และฉลาดพอที่ตีความหมาย
เธอและเขามิใช่เนื้อกับเสือร้าย
แต่ใจง่ายจะเป็นเหยื่อของเสือโทรม

เริ่มหนึ่งแล้วจะเป็นสองลองสัมผัส
ไฟกำหนัดในมนุษย์จักจุดโหม
ท้าทายนักหนักเข้าก็เล้าโลม
คงครึกโครมข่าวร้ายอีกไม่นาน

ข่าวลับลับจะถูกไขในที่แจ้ง
ออกจากแหล่งข่าวเขาผู้เล่าขาน
สร้างความภาคภูมิใจได้ประจาน
อวดความเป็นชายชาญประหารเธอ

รักเป็นน้ำเป็นไฟได้ทุกเมื่อ
เป็นชื่นชมเป็นเบื่อได้เสมอ
เป็นปล่อยปละละลืมปลื้มปรนเปรอ
ทำคนโง่บ้าเซ่อหากเผลอใจ

จึงเมื่อทอดสะพานตาท้าทายนั้น
ความรักมันเกิดง่ายคล้ายเป็นใคร่
ตาขี้เล่นวานเว้นวรรคขยักไว้
อย่าด่วนใช้สะพานตาฆ่าตัวตาย
               "ทวีสุข ทองถาวร"




หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 01 มิถุนายน 2009, 04:26:PM
"......ซึ้ง......"

ตามองตาตาจึงตะลึงจ้อง
เพราะเจ้าของตามองสองความหมาย
คู่หนึ่งแข็งแรงกล้าทอดท้าทาย
ส่วนอีกฝ่ายปรายสบแล้วหลบเลย

ใจหนึ่งชินชาสิมิรู้สึก
คิดไม่ลึกนึกไม่ถึงจึงเมินเฉย
สบคนโน้นสบคนนี้ที่คุ้นเคย
แล้วเอื้อนเอ่ยคำ--มิตร--ปิดทางรัก

ใจหนึ่งคิดพิศซึ้งจึงเพลินอยู่
ต่างประตูดูหัวใจให้ประจักษ์
ฝืนทิฏฐิมิแยแสแต่ยากนัก
เพียงพบพักตร์ผ่านเผินยังเพลินมอง

ชีวิตเราเราลิขิตมีอิสระ
ไร้พันธะใดจะเข้าเป็นเจ้าของ
ชีวิตเขาเขาก็ชื่นคนอื่นครอง
แบ่งเป็นสองทางแยกจึงแยกทาง

ซึ้งสายตาพาสายใจใยดีต่อ
ซึ้งเมื่อก่อเกิดเกินจะเมินหมาง
ซึ้งเพราะคิดถึงอยู่มิรู้จาง
เธอคิดบ้าง สักครึ่ง ก็ซึ้งพอ


ประภาศรี  สุดบรรทัด


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 01 มิถุนายน 2009, 04:27:PM
ซึ้ง....

โอ้เสียงปี่ครวญคร่ำร่ำไห้หวน
ยิ่งฟังชวนหวิวไหวหัวใจหวาม
สำเนียงออดฉะอ้อนสั่งให้ฟังความ
กระซิบตามลมมาด้วยอาทร

" ป่านนี้แก้วแววตาคนน่ารัก
คงซบพักตร์พริ้มหลับอยู่กับหมอน
โถ...แก้มยังเปื้อนน้ำตาคงอาวรณ์
มาเถิดอรพี่จะรับซับให้พลัน

ด้วยจุมพิตฝากสายพระพายพลิ้ว
ล่องละลิ่วมาประทับเพื่อรับขวัญ
ถึงตัวไกลเกินกว่าจะพบกัน
แต่ใจมั่นมอบไว้ให้ทั้งดวง

ที่พลัดพรากจากกันทุกวันนี้
ใจยังปรี่เปี่ยมรักทั้งห่วงหวง
อยากกลืนแก้วเข้าไว้เสียในทรวง
เพื่อพ้นปวงกรรมวิบากที่พรากเรา

แต่ทำได้เพียงฝากวากย์วจี
กับเสียงปี่กล่อมใจพอคลายเหงา
ความคิดถึงแก้วนั้นมิบรรเทา
ยิ่งวันเศร้าใจขมตรมฤดี

เฝ้าแต่เร่งสุริยาให้ลาลับ
แล้วคืนกลับมาใหม่ให้เร็วรี่
เมื่อไหร่หนอตาวันผ่านผันปี
จะคืนสู่ขวัญพี่มิรอรา "

โอ้เสียงปี่ระรี่ไกลไปทุกหน
สงสารคนเพ้อรักเสียหนักหนา
เราเดียวดายไกลมิตรชิดอุรา
จึงน้ำตาคลอคลองทั้งสองนัยน์

แววตา  สีมานันท์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: Kotchanan ที่ 02 มิถุนายน 2009, 12:07:AM
(http://image.dek-d.com/13/1152155/13219300)

ดอกน้อย

พยักยิ้มริมทางร้างคนทัก
เพียงดอกน้อยคอยรักกวักใบเหงา
ใครผ่านไปผ่านมากล้าเด็ดเอา
ก็เชิญเถิดถ้าเขาจะเข้าใจ

หลายหลากพันธุ์ดอกไม้ในโลกหล้า
ฉันมิอาจหาญท้าเทียบใครได้
ขออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมดอกใบ
พร้อมหัวเราะและร้องไห้ในแดด-ลม

หากเธอฝันผ่านทางมาทางนี้
โปรดแวะพักสักนาทีที่สุขสม
ยินดีเสมอ-หากเธอจะชื่นชม
เด็ดดอกไม้แซมผมแล้วเดินทาง

ถึงยากไร้..ใช่ไร้ใจจะรัก
ถึงต่ำนัก..ใช่ไร้ใจจะสร้าง
อยู่ไปชั่วชีพหนึ่งถึงอ้างว้าง
ก็มิขออยู่อย่างร้างหัวใจ!


จาก..คือแรงใจและไฟฝัน
โดย..ไพวรินทร์ ขาวงาม


(ขอคารวะด้วยคนน๊ะค๊ะ...)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 02 มิถุนายน 2009, 01:38:PM
เพลงดวงดาว


สร้อยดวงดาวโยงระย้ากลางฟ้าหม่น
เพลงเริ่มต้นคืนหนาวเริ่มผ่าวแผ่ว
พรายระยับดวงดาวส่องพราวแพรว
ลำนำแว่วจากที่นี่ไปที่ไกล

โดยเทพแห่งดอกไม้สายน้ำผึ้ง
สบตาซึ้งแหนหวงดาวดวงใหม่
ระยับดาวพราวกระจ่างอยู่กลางใจ
อวลกลิ่นไอดอกไม้จากสายลม

หวิวและว้างคว้างเคว้งตามเพลงกล่อม
พรายดาวล้อมแววระยับหลับตาข่ม
เลือนบทเพลงแห่งน้ำตาและอารมณ์
น้ำค้างพรมคือน้ำมนต์จากคนธรรพ์

หนาวและหนาวสายลมแอบห่มเนื้อ
หนุนอกเอื้อต่างหมอนขวัญอ้อนขวัญ
ดับลมหนาวพราวพรายคืนไร้จันทร์
อุ่นรักอันอวลไอไว้ไม่คลาย

เพลงดวงดาวกระซิบแผ่วจากแนวฟ้า
กล่อมนิทราคนอ่อนแอคนแพ้พ่าย
ซุกหน้านอนเวียนซับความอับอาย
คนเดียวดายฝันคว้างคืนข้างแรม

สร้อยดวงดาวโยงระย้ากลางฟ้าหม่น
น้ำตาคนหมางหมองอาบสองแก้ม
สะท้อนแสงดาวจับอยู่วับแวม
น้ำค้างแกมน้ำตาทอพร่าพราย

ศิริวรรณ  ชลธาร


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 02 มิถุนายน 2009, 02:25:PM
คนช่างงอน

ก่อนแก้มนิ่มเธอแนบลงแทบหมอน
กราบขอพรเผื่อใครคนไหนหนอ?
ภายหลังหลับแล้วละเมอหลงเพ้อพ้อ
เขาผู้ก่อความฝันคนนั้นใคร?

แอบพลิกหมอนค่อนคืนเพื่อฟื้นฝัน
พอตื้นตันแล้วก็หมองแอบร้องไห้
หมอนข้างทอดกอดประทับแนบกับใจ
คิดถึงเขา...ใช่มิใช่อย่าไก๋เลย

กระนี้หนอนิดหนึ่งก็ขึ้งโกรธ
แท้ทำโทษใจตนอีกคนเฉย
เพราะอีกฝ่ายใจเย็นเห็นเสียเคย
แทบอยากเย้ยเอ๋ยคำแกล้งซ้ำเติม

รู้ไหมว่าเหตุผลคือมือแห่งรัก
จะคอยชักจูงใจมิให้เหิม
อารมณ์คือมือมารผลาญรักเดิม
ผู้ริเริ่มทำลายสายสัมพันธ์

ที่เง้างอนค้อนคว่ำจำไว้ว่า
แม้น่ารักบางเวลาก็น่าขัน
ลับหลังแล้วร้องไห้ทำไมกัน
เขารู้ทันทุกวลีที่อยากพ้อ

เมื่อแก้มนิ่มนิ่งแนบหลับแทบหมอน
คนช่างงอนฝันว่าได้อะไรหนอ?
รู้ว่าขนตาฉ่ำน้ำตาคลอ
จะไปง้อในฝันคืนวันนี้


ทวีสุข  ทองถาวร  ๒๕๑๐


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: Kotchanan ที่ 05 มิถุนายน 2009, 04:28:AM

(http://i242.photobucket.com/albums/ff298/akapong999/dookdik/linepattern/linenew/203.gif)

อหังการของดอกไม้

สตรีมีสองมือ
มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจักเป็นงาน
มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ

สตรีมีสองตีน
ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน
มิหมายมั่นกินแรงใคร

สตรีมีสองตา
เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล
มิใช่คอยชม้อยชวน

สตรีมีดวงใจ
เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล
ด้วยเธอล้วนก็คือคน

สตรีมีชีวิต
ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน
มิใช่ปรนกามารมณ์

ดอกไม้มีหนามแหลม
มิใช่แย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม
ความอุดมแห่งผืนดิน!


ประชาธิปไตย
๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๖


ประพันธ์โดย..จิระนันท์  พิตรปรีชา
กวีนิพนธ์แห่งชีวิต รางวัลซีไรต์ ปี ๒๕๓๒



(http://i242.photobucket.com/albums/ff298/akapong999/dookdik/linepattern/linenew/203.gif)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 05 มิถุนายน 2009, 08:26:AM
สำนึกสุดท้ายของคนทรนง


ฉันมาดูดวงดาวคราวย่ำค่ำ
ริมลำน้ำซึ่งไม่เคยไหลกลับ
เพชรน้ำค้างพร่างใสไหวระยับ
จูบประทับใบไม้ใกล้ลำธาร

เหงาที่สุดเมื่อห่างเธออย่างนี้
ยากนักที่จะดับพิษคิดถึงบ้าน
จำทุกถ้อยอำลา คำสาบาน
บอกกับเธอฉันต้องการความมั่นใจ

จะเก็บความอ่อนแอแค่วันนั้น
เพื่อเริ่มวันต่อสู้อย่างผู้ใหญ่
เธออาจต้องทรมานนานเกินไป
แต่ขอให้เชื่อมั่นฉันสักคราว

หากพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ที่ฝันถึง
คือสิ่งซึ่งเกินรอต่อความสาว
บอกฉันเถิดฉันพร้อมยอมปวดร้าว
ต่อช่วงก้าวห่างไกลจากใจเธอ

ด้วยศักดิ์ศร้ลูกผู้ชายหวังไว้ว่า
จะกลับมาเพื่อมิให้ใครรอเก้อ
นำทุกความปรารถนามาปรนเปรอ
(คอยพิสูจน์ข้อเสนอ, ถ้าเธอรอ)

กับรอยเท้าไกลกันวันละก้าว
เธอเหน็บหนาวเหนื่อยหน่ายมากไหมหนอ
ฉันอ่อนแอเกินจะไปให้ตัดพ้อ
ขอโทษต่อผู้ซึ่งฉันผิดสัญญา

ดาวเอ๋ยดาวย่ำค่ำ ย้ำว้าเหว่
คนร่อนเร่ปวดร้าวหนาวซบหน้า
สงสารแต่เธอผู้อยู่โพ้นฟ้า
ไม่รูว่าคนทะนงล้มลงแล้ว

ปราโมทย์  สันตยากร


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 05 มิถุนายน 2009, 04:49:PM
ขอบฟ้ายังกว้าง

ดวงพระจันทร์สว่างพรายโลมชายป่า
สัมผัสหญ้า สัมผัสดาวแสงขาวใส
อ้อมทะเลภูเขาทอดเงาไกล
ทาบแมกไม้สีดำยามค่ำคืน

สันโดษโดยว้าเหว่การเร่ร่อน
รินเพลงพรคลอขับ หลับ,สะอื้น
นกหลงป่าร้อนรนขนเปียกชื้น
เย็นหยาดรื้นน้ำค้างกลางหมู่ดาว

เมื่อขอบฟ้ารอบข้างยังกว้างอยู่
สำนึก-รู้ปีกเจ็บและเหน็บหนาว
รู้ว่าเหนื่อย รู้ว่าล้า กว่าทุกคราว
แต่การก้าวกลับหลังยังไม่มี

เปิดโอกาสให้ตามความจองหอง
หากจะต้องตายเพราะสู้บินอยู่นี่
ให้มันซ้ำ ให้มันสา มากกว่านี้
ทุกสิ่งที่ประทับรอยคับแค้น

เมื่อดวงดาวทิศนี้หรี่แสงโรจน์
ตัดสินแรงหฤโหดให้โลดแล่น
แสวงหาแม่บทไว้ทดแทน
แผลลึกแก่นสันดานที่ผ่านไป

ดวงพระจันทร์ต่ำลงตรงชายป่า
สุสานฟ้าเงียบเหงา,เศร้า,หวั่นไหว
กล่อมนกซึ่งหลงบินคว้างเดินทางไกล
ทั้งที่ลมหายใจไม่มีแล้ว


สรสิทธิ์  สุนทรเกศ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 07 มิถุนายน 2009, 10:13:AM
       เมื่อดอกไม้โรย

ดอกไม้สีม่วงร่วงตรงหน้า
น้ำตาพร่าพร่างกลางกลีบอ่อน
โอ้ใครไหนเลยจะเชยช้อน
ร้าวรอนแหลกเปล่าเฉาช้ำ

ลมหยุดพัดผ่านไปนานนัก
ไม่ทายทักใบไม้ไม่ชื่นฉ่ำ
ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีดำ
สายน้ำนิ่งสงบซบเซา

โลกแตกดับแล้วหรือนี่
ทันทีที่สบตารู้ว่าเขา
สักนิดมิได้รักเรา
โศกเศร้าเจ็บปวดทั่วหัวใจ

โอ้ความใยดีที่มอบมั่น
เขาหยันหยามเราเท่าไหน
ซื่อนักโง่นักเมื่อรักใคร
เทิดเทินให้ได้ทั้งนั้น

ความทรงจำเมื่อวันวานอ่อนหวานยิ่ง
ทุกสิ่งงดงามคือความฝัน
เพียงกระพริบตาก็ดับฉับพลัน
ตื้นตันน้ำตาอาวรณ์

ดอกไม้สีม่วงร่วงต่อหน้า
รอเขามาเหยียบยับกับกลีบอ่อน
และหัวใจผู้หญิงเขลาซึ่งร้าวรอน
จะวางซ้อนอ่อนแอบอยู่แทบเท้า

        ??????

        ปิ่นฤทัย  รวิปรีชา


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 07 มิถุนายน 2009, 10:57:AM
       "ดาวรู้ไหม"

เมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและว้าเหว่
ขวัญจะเร่ร่อนคว้างถึงกลางหาว
แล้ววอนถามความหมองของหมู่ดาว
ซ่อนแสงพราวพรุบหรู่อยู่ทำไม

เห็นใครคว้างอย่างนี้มีไหมเล่า
จะว่าเศร้าก็ไม่เศร้า ...ดาวรู้ไหม
หากแต่ว่าแพ้ตัวแพ้หัวใจ
ที่เฉยเมยซ่อนไว้ซึ่งไยดี

เห็นเคยเห็นดาวคว้างอย่างคนคว้าง
ปลอบตัวเองอุ่นใจอย่างไรนี่
หรือแอบหมอกหยอกฟ้ามานานปี
จนดาวมีฟ้าเสมือนเป็นเพื่อนคิด

อิจฉาดาวพราวแสงเหมือนแสร้งเยาะ
กระทบเหมาะแววว้างตรงกลางจิต
ตาจึงวาบปลาบละห้อยเพียงน้อยนิด
แล้วเม้นมิดซ่อนหมายอยู่อย่างเดิม

เพราะรักสิทธิ์อิสระเกินจะทุกข์
จึงซ่อนซุกความรู้สึกไม่ฮึกเหิม
เมื่อดาวหมายปรายตามาเยาะเติม
ชีวิตเพิ่มสิ่งใด...รู้ไหมดาว

เพิ่มชีวิตเข้มแข็งให้แกร่งกล้า
ให้เชิดหน้าท้ามองถึงห้องหาว
ยิ้มเยาะโลกโชคชตามานานยาว
ซ่อนน้ำพราวท่วมทั่วรดหัวใจ

                          อรฉัตร
                      ๑๘   ส.ค. ๑๒


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 07 มิถุนายน 2009, 10:54:PM
ความเจ็บปวดของวานนี้ที่ได้รับ

๏ ความเจ็บปวดของวานนี้ที่ได้รับ
ความแตกดับของพรุ่งนี้ที่จะเห็น
กับวันนี้ที่คล้ายตายเย็นเย็น
เธอกลับเป็นเพื่อนผู้อยู่ใกล้ชิด

ความรู้สึกเท่าที่รู้ว่าอยู่ใกล้
แต่ก็เหมือนอยู่ไกลเพราะไร้สิทธิ์
และนับวันจะห่างเหินจนเกินคิด
ความมืดมิดของความหวังกำลังรอ

รื่นทั้งรสสดทั้งสีมาลีเอ๋ย
หอมระเหยแล้วก็หายเสียดายหนอ
เก็บแผลใจไว้เพื่อจำซ้ำให้พอ
เพราะแต่ต่อนี้ไปไม่มีแล้ว

เหลือแต่เพลงเสน่หาคืนฟ้าหนาว
คืนที่ดาวเรียงริ้วเป็นทิวแถว
ระยับราวพราวพรายประกายแพรว
ลำนำแว่วว่าคืนนี้มาลีลอย

ใช่ดอกฟ้าแต่ถ้าเป็นเช่นดอกฟ้า
วาสนาเราไม่ถึงจะพึงสอย
มิใช่ดินแต่เหมือนดินถวิลคอย
มาลีลอยเป็นมาลัยในอารมณ์

อยากฝากความคิดถึงซึ้งเสนาะ
แทนแพรเพลาะของหัวใจให้เธอห่ม
แต่ไร้ค่าเกินกั้นกันแดดลม
ที่พร่างพรมล่องเลยรำเพยพา

เปิดแผลเจ็บให้กับใจไว้อีกแผล
เป็นรอยแพ้ที่ยับเยินเกินรักษา
เลือดหยดหนึ่งจากหัวใจไหลผ่านตา
มอบเป็นค่าใช้จ่ายให้กับรัก

โอ้ทั้งร้อนทั้งหนาวทั้งร้าวรวด
ทั้งเจ็บปวดทั้งร้าวรานทั้งหาญหัก
หวังเธอเหมือนเพื่อนซึ่งได้พึ่งพัก
ทั้งสูงศักดิ์ทั้งสดใสในศรัทธา

ทิ้งอดีตอันมากมายไว้ข้างหลัง
หวังความหวังหวังที่มีหวังกว่า
ลอยชีวิตกลางทะเลของเวลา
เสน่หาของความหวังพังทะลาย

เปิดแผลเจ็บให้กับใจไว้คิดถึง
กับหยดหนึ่งของน้ำค้างกลางเดือนฉาย
วันเวลาบรรเลงเพลงความตาย
เฮือกสุดท้ายลมหายใจใต้แสงจันทร์

มองตัวเองด้วยเข้าข้างอย่างหยิ่งหยิ่ง
แท้ที่จริงชื่อเสียงเพียงความฝัน
เมื่อทางเดินข้างหน้าคือผาชัน
ทางแปรผันทางสุดท้ายทอดสายมา

ประสบการณ์ความรอบคอบความรอบรู้
พอเป็นผู้ประจักษ์แจ้งแห่งปัญหา
เห็นเหตุการณ์ทั้งปวงด้วยดวงตา
รู้คุณค่าลุล่วงด้วยดวงใจ

เมื่ออยู่ใกล้กลัวพลั้งพลาดหวาดผวา
ครั้นแรมราพรึงพรั่นยิ่งหวั่นไหว
โอ้ความรักคงเป็นเหมือนเช่นไฟ
ใกล้หรือไกลก็ร้อนหนาวได้เท่ากัน

ราชพฤกษ์ชูช่อล้อลมผ่าน
พลิ้วดอกบานย้อยระย้าหน้าคิมหันต์
ผ่านการบินด้วยปีกทองของคืนวัน
ถึงวสันต์เหลือใบให้เราคิด ๚

สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 08 มิถุนายน 2009, 07:34:AM
         จุดดับ

ฟ้าที่โค้งลงต่ำ-น้ำกับฟ้า
อยากรู้ว่าสุดลงที่ตรงไหน
หัวใจมันทะยานอยากจากหัวใจ
ถึงความฝันซึ่งมันไม่เคยได้มี

ธารทะเลปริ่มน้ำเมื่อยามค่ำ
ฟ้าสีดำหว่านฟ้ามาถึงนี่
แวมดาวหม่นภาพพิมพ์ริมนที
เมื่อดนตรีชาวเรือมันเฝือนัก

ลมทะเลเห่คลื่นคืนวันก่อน
พัดมาย้อนในกมลคนอกหัก
คลื่นม้วนตัวห่มหัวใจให้หยุดพัก
มันสำลัก, อดทนจนเจียนตาย

เรือลำนี้ แล่นผ่านธารชีวิต
ทุกความคิดเร่งรุดสู่จุดหมาย
สัมผัสน้ำ, สัมผัสฟ้า, ดาราราย
แต่ก็คล้ายหลงทางหว่างน้ำวน

มันออกมาไกลมากไกลจากฝั่ง
ทุกทุกครั้งอาศัยดาวสีขาวหม่น
หัวใจที่หวาดฝันมันทุกข์ทน
เมื่อหยาดฝนหนาวสะท้านคลี่ม่านมา

โอ้เรือเร่ เร่ไปถึงไหนหนอ
ใจมันท้อ มันขลาด ความปรารถนา
ฟ้าที่โค้งลงต่ำ-น้ำกับฟ้า
ได้รู้ว่าจะไม่มีในชีวิต

แพรวพรรณ  อุดมธนะธีระ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 09 มิถุนายน 2009, 07:38:AM
ศรีตรัง

ศรีตรังได้โรยใบลงในป่า
ขณะฟ้าสีขาบเริ่มอาบแสง
เมื่อทุกอย่างได้เริ่มต้นจนเปลี่ยนแปลง
วันป่าแล้งป่าจึงเหงาเฝ้าแต่รอ

สีสันป่าคือใบไม้หลายหลายสี
ขณะที่คอยดอกไม้ให้ชูช่อ
คอยใบเขียว ยอดอ่อนแตกซ้อนกอ
ช่วยเติมต่อชีวิตใหม่ให้อีกครั้ง

วันอ้างว้างคว้างไหวใบไม้ร่วง
ปลิดความห่วงโหยไห้ในหนหลัง
ซบพื้นดินรอยระแหงที่แห้งกรัง
เหมือนวาดหวังแล้วร่ำลาอย่างอาลัย

ศรีตรังเป็นต้นไม้ในป่าร้อน
ธรรมชาติคือช่างอ้อนและอ่อนไหว
เมื่อหนาวหน่อยก็ผลิดอกและออกใบ
เปลี่ยนแปลงไปทั้งชอกช้ำก็จำยอม

ฉันเป็นต้นศรีตรังที่ยังอ่อน
ถูกไฟร้อนเพราะอับจนคนถนอม
สลัดใบทับถมฉันตรมตรอม
ป่าแวดล้อมคือป่าดำไกลลำน้ำ

ใบเล็กเล็กบอบบางเกลื่อนทางแล้ว
สัมผัสแผ่วสายลมรื้นมาชื่นฉ่ำ
หอบความเย็นช่วงสุดท้ายชายป่าดำ
กล่อมความช้ำให้สงบกับศพตน

อุบล  เพชรหนู


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 09 มิถุนายน 2009, 09:02:AM
จากเจ้าพระยา...ถึงฝั่งโขง

ไม่มีภาษาใดที่ในโลก
บรรยายโศกอกเราได้เศร้าเหมือน
เท่าน้ำตาพร่าอาบซับภาพเลือน
เก็บไว้เตือนใจว่า...แสนอาวรณ์

โอ้หวิวหวิวพริ้วแผ่วแล้วก็หาย
ฟังคล้ายคลัายเสียงฟ้ามาหลอกหลอน
ฟังคล้ายคล้ายเสียงลมพรมพริ้ววอน
เป็นบทกลอนว่ารักอยู่ทุกครู่ยาม

" แม้อยู่ห่างต่างถิ่นแผ่นดินไหน
ถ้าวันใดคิดถึงถิ่นแผ่นดินสยาม
จงมองดาวพราวพร้อยลอยฟ้างาม
เพราะทุกยามฝากใจไว้กับดาว "

ดังสำเนียงเสียงเพื่อนเตือนมาว่า
ทุกเวลาห่วงหวงกับห้วงหาว
คืนฟ้าหมองดาวอับแสงวับวาว
แต่ยังพราวโชติช่วงในดวงใจ

คือสำเนียงเสียงสั่งถึงฝั่งโขง
ผ่านรอบโค้งฟ้ากว้างสว่างไสว
เคลียสายลมพรมอุ่นละมุนละไม
เหมือนเสียงไห้เจ้าพระยา...พารัญจวน

โอ้หวิวหวิวพริ้วแผ่วแล้วก็หาย
น้ำตาพรายพร่าหลั่งยังไห้หวน
อยู่แผ่นดินถิ่นใดดวงใจครวญ
ไหลย้อนทวนความเศร้าเจ้าพระยา


สนธิกาญจน์  กาญจนนาสน์  ๒๕๑๐


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 11 มิถุนายน 2009, 09:19:AM
คิดถึง “พริ้ง พระอภัย” ใจรวยริน

โอ้ “ขุนไพร” ท่องไพร ไปไกลลิบ
ณ โลกทิพย์ ภิญโญ สโมสร
คิดถึง “พริ้ง พระอภัย” ใจรอนรอน
ร้องขับกลอน ณ สถาน พิมานใด
“ภิญโญ ศรีจำลอง” ครองชีวิต
เยี่ยงนักคิด ยอดครู ผู้ยิ่งใหญ่
ตามรอยกลอน สุนทรภู่ ครูกลอนไทย
ทั้งหัวใจ ชีวิต จิตวิญาณ
นักเลงกลอน ไม่นอนเปล่า ให้เหงาจิต
ร้อยลิขิต งานกลอน อักษรสาร
เล่นกลอนสด สร้างสรรค์ ทันเหตุการณ์
ปฏิภาณ หาใครเปรียบ ได้เทียบทัน
กวีวัจน์ รัตนโกสินทร์ ไม่สิ้นแล้ว
ยังผ่องแผ้ว เพชรน้ำเอก ที่เสกสรรค์
ชนยินยล ผลงาน การประพันธ์
อยู่คู่ขวัญ วรรณศิลป์ แผ่นดินไทย
ปี่กาหลอ คลอเสียง สำเนียงโศก
วิปโยค ลานสกา น้ำตาไหล
เพลงตะลุง บรรเลงลา สุดอาลัย
คิดถึง “พริ้ง พระอภัย” ใจรวยริน
นาม "ภิญโญ ศรีจำลอง" ยังก้องไทย
เสียงหนัง "พริ้ง พระอภัย" ไม่เคยสิ้น
ยอดนักกลอน "ปฏิภาณกวี" ศรีแผ่นดิน
สร้างสวรรค์ วรรณศิลป์ งามภิญโญ...

ด้วยรักและอาลัย
อภิชาติ ดำดี
๐๙-๑๐-๕๒

จาก http://www.oknation.net/blog/damdee/2009/06/09/entry-1 (http://www.oknation.net/blog/damdee/2009/06/09/entry-1)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 11 มิถุนายน 2009, 12:48:PM
แด่อดีต


๏ " เดือนค้างฟ้าลาลับดับดวงแล้ว
เสียงไก่แก้วขันขานกังวานใส
นิทราเถิดจอมขวัญจักหวั่นไย
พี่อยู่ใกล้แนบกมล...แล้วคนดี

หยุดสะอื้นกลืนกล้ำความช้ำเถิด
อย่าเตลิดขวัญล่องให้หมองศรี
กลางลมหนาวเจ้าพระยาค่อนราตรี
"ประเพณี" เกินพรากเราจากกัน

ไม่มีแม้ฐานะ , ตระกูล , ชาติ
สุดอำนาจเงินตรามาขีดคั่น
มีแต่ความรักแท้แน่นิรันดร์
ตราบตะวันจะยัง...มิรังรอง

นิทราเถิดขวัญหทัยในอ้อมรัก
ขอจงหักใจห้ามความหม่นหมอง
หลับในอ้อมกอดพี่ที่ตระกอง
ก่อนเราต้องจากกัน...จวบวันตาย

"เจ้าพระยา" หลับแล้วแก้วใจเอ๋ย
ดาวก็เลยลาล่วงดับดวงหาย
หนาวลมหนาวโชยผ่านสะท้านกาย
หลับเนตรพรายให้สนิทสู่นิทรา

อ้อมกอดพี่จักให้ไออบอุ่น
ก่อนอรุณรุ่งแรงแสงอุษา
คืนแห่งการจากกันขวัญชีวา
ขอพี่จารึกไว้ในกมล "

เดือนค้างฟ้าลาลับ...ดับดวงแล้ว
ลมหนาวแผ่วเยียบเย็นทุกเส้นขน
ภวังค์ตื่นคืนสำนึกรู้สึกตน
หัวใจท้นชอกช้ำเกินคร่ำครวญ

นับตั้งแต่วันนั้น...ถึงวันนี้
วัน , เดือน , ปีผ่านไปนับไม่ถ้วน
เจ้าพระยาเปลี่ยนกระแสหลากแปรปรวน
ลมหนาวหวน...แล้วห่างร้างนิวรณ์

แต่...ดวงใจดวงนี้มีเพียงหนึ่ง
รักสิตรึงตราอยู่ยากรู้ถอน
ต่อให้สิ้นกัปกัสป์พุทธันดร
ก็สุดรอนรักล่วงพ้นห้วงจินต์

เธอจะอยู่แห่งไหน...ในผืนหล้า
รู้เถิดว่าพี่ครวญหวนถวิล
ไม่สิ้นแรงร่างล้มลงถมดิน
พี่ไม่สิ้นคำนึง...คิดถึงเธอ

สุรพล  สุมนนัฏ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 12 มิถุนายน 2009, 07:13:AM
  อาลัย สุรศักดิ์ ศรีประพันธ

ถ้าฉันจักทำงานปานข้าทาส
เพื่อเอื้อมอาจแลกคืนเธอฟื้นได้
ถ้าความทุกข์เหลือล้ำกล้ำกลืนไว้
จักกลับไปเป็นปราณสรรค์ชีวี

โอ้คำ "ถ้า" คำเดียวโกรธเกรี้ยวนัก
มันห้ามหักความหวังพังทุกที่
ฉันเขียนกลอนอีกครั้งอย่างวันนี้
ทั้งทั้งที่ตั้งใจ ไม่เขียนแล้ว

เธอเป็นชายชาตรีมีความคิด
วัยชีวิตความหวังอย่างแน่แน่ว
หาง่ายหรือ คนดีที่มีแวว?
เธอคือแก้วกลางกรวดอวดเต็มดวง

วรรณกวีเธอวาวราวเลื่อมรุ้ง
โผนและพุ่งจินต์เจนเด่นกลางสรวง
หวานลึกซึ้งเจ็บช้ำถ้อยคำปวง
หลอกหรือลวงหยันหยามความอาภัพ

ภูเอ๋ยภูกระดึงซึ่งแสนร้าย
เธอไปตายแทนฉันวันใกล้กลับ
ร่างเธอถูกท่วมถมจมหายลับ
ใจฉันยับย่อยเยินกับเนินดิน

แสนเสียดายหมายหวังจะตั้งแต่ง
เป็นหัวแรงผลักฝันวรรณศิลป์
เติมน้ำรักอักษราหล่อฟ้าดิน
มาสุดสิ้นแสนเศร้าชาวชมพู

จงพักผ่อนเถิดหนา บนฟ้ากว้าง
เนาท่ามกลางวิมานเมฆเสกสวยหรู
หอมกุหลาบกลีบม่วงโปรยร่วงพรู
กานท์กล่อมอยู่สุขสวรรค์บรรณภพ

ความอาลัยความรักจากพี่เพื่อน
จะเป็นเหมือนใยอณูมิรู้จบ
สุรศักดิ์.......วันหนึ่งซึ่งชีพลบ
เราจะพบกันแน่........แค่วิญญาณ

"สุมนอมร"
ที่ปรึกษาชมรมวรรณศิลป์ ส.จ.ม. ๒๕๑๓


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 12 มิถุนายน 2009, 07:15:AM
ฉากรักในอารมณ์

ในโลกกว้างคว้างไกลไร้ขอบเขต
อยากหลับเนตรนอนหนุนละมุนหมอน
อิงอ้อมทรวงทวงถามความอาทร
ในอ้อมกรกานดาผู้ยาใจ

ฟังเพลงแว่วแผ่วหวานจากม่านฟ้า
รินน้ำตาตื้นตันฉันร้องไห้
ปิดฉากชั่วตัวเองแต่เพรงวัย
เริ่มฉากใหม่ในม่านวิมานรัก

ใจเคยคว้างห่างหวังจนชังโลก
ดื่มความโศกเสียจนท้นกระอัก
เมื่อพบอ้อมอาทรให้ซ่อนพักตร์
อยากพำนักอย่างนี้จนนิรันดร์

ในเรียวกรอ่อนนุ่มโอบจุมพิต
เปลือกตาปิดปล่อยใจให้ดื่มฝัน
ลืมทุกข์โศกโลกหล้าใต้ตาวัน
จูงมือกันก้าวตามความรังรอง

จะชี้ชวนชมนวลรุ้งริมคุ้งฟ้า
วักธาราไล้ร่างอย่างลืมหมอง
ดื่มน้ำค้างพร่างคืนชื้นละออง
อาบแสงส่องของโสมโลมลานใจ

ในโลกกว้างคว้างไกลไร้ขอบเขต
เราคอยเศษสงสารเขาทานให้
คอยคนรักทักท้วงไว้ห่วงใย
ซึ่งคงไม่อาจมีชั่วชีวิต

สุรศักดิ์ ศรีประพันธ์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 12 มิถุนายน 2009, 07:21:AM
จากจามจุรีถึงยูงทอง

ฉันมาเยือนเขื่อนขวัญค่ำวันนี้
เหมือนกับที่เคยมาเมื่อคราก่อน
ฟังเสียงคลื่นรื่นเร้าอันเว้าวอน
กับแดดอ่อนจะอำลาจากฟ้าคราม

เราทรุดร่างนั่งลงตรงลานหญ้า
มองเฟื่องฟ้าฟ้อนใบอย่างไหวหวาม
ทุกทุกสิ่งใสสดและงดงาม
อยู่กลางท่ามความฝันฉันและเธอ

ฉันยกกรอ่อนนุ่มเธอกุมไว้
ซาบซึ้งในเสน่หาน้ำตาเอ่อ
ต่างเงียบงันกันเหมือนเลือนละเมอ
ปากเผยอแล้วก็ปิดสนิทนาน

จนดาวเริ่มเรียงรายที่ชายฟ้า
ขับทิวาอีกวันให้ผันผ่าน
เราจึงฟื้นตื่นฝันอันตระการ
อำลาลานจำปีที่ริมน้ำ

ทิ้งแม่โดมเด่นงามในความหลัง
ว่าจะยังรอเพื่อนมาเยือนย่ำ
ณ สวนขวัญริมเขื่อนเตือนใจจำ
ก่อนม่านดำดาดฟ้าลงมาครอง

ฉันมาเยือนเขื่อนขวัญค่ำวันนี้
ด้วยหัวใจจามจุรีที่ไหม้หมอง
ฝากความรักสุดสูงแด่ยูงทอง
และเรียกร้องหัวใจเธอไปนาน

สุรศักดิ์ ศรีประพันธ์
โดย: จอมยุทธเมรัย  19 ตุลาคม 2550 17:32:34 น


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 12 มิถุนายน 2009, 07:24:AM
เรือเร่

ในคืนมืดยืดยาวราวโลกดับ
ทั่วหล้าหลับลงซบสงบเหงา
แสงดาวเลือนเดือนลางกลางฟ้าเทา
ลมเบาเบาโบกไล้ทิวไม้เอน

รอวันใหม่ลอยมากับฟ้ารุ่ง
คอยวันพรุ่งพรายรวีเจิมสีเสน
เริ่มชีวิตกิจความตามกฎเกณฑ์
ก่อนสุเมรุหมื่นโยชน์ดับโชติดวง

เหมือนเรานำลำเรือหางเสือขาด
ถูกน้ำสาดซัดเร่ทะเลหลวง
ลู่ใบพับกับเสาอย่างเศร้าทรวง
นี่จะล่วงลอยคว้างไปทางใด

ไร้เข็มทิศลายแทงแสงเดือนส่อง
แม้แสงทองของเทียนหรี่เจียนไหม้
แม้แสงดาวเหนือนำเพียงรำไร
คงเร่ไปให้รับความอัปปาง

ฝ่าม่านดำค่ำคืนและคลื่นโหด
รอวันโรจน์รุ่งรวีที่ฟ้าสาง
พบท่าจอดทอดสมอรอกึ่งทาง
ก่อนจะกางกู้ใบใหม่อีกที

ในคืนมืดยืดยาวราวโลกดับ
เห็นน้ำกับฟ้ากว้างทุกทางที่
เราเหมือนเรือไร้ท่าคนปรานี
รอใบคลี่คลุมทบเหนือศพเรา

ผลงานของ สุรศักดิ์ ศรีประพันธ์
จาก : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jomyutmerai (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jomyutmerai)
โดย: จอมยุทธเมรัย  19 ตุลาคม 2550 17:32:34 น



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 12 มิถุนายน 2009, 07:27:AM
มหกรรมแห่งขุนเขา (เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)


มหกรรมแห่งขุนเขา

๏ เต็มแผ่นดินเต็มแผ่นฟ้าเต็มตาเห็น
สลักเสลาสลับเล่นเป็นงานศิลป์
ถล่มโลกลงเป็นฉาก ณ ฟากดิน
ชลอหินขึ้นเป็นฉาก ณ ฟากฟ้า

แดดค่อยไล้ไล่เงาตามเหลี่ยมแง่
ชเงื้อมโขดปรับแปรเป็นจัดจ้า
เขียวค่อยครึ้มแดงค่อยคล้ำลำดับมา
มหาภูมหึมาตระหง่านยืน

ชวากเวิ้งเพิงแผ่นเบิกแท่นแท่ง
ที่เว้าแหว่งวงรอบเลาะขอบคลื่น
ละลิ่วลับลึกล้ำดั่งค่ำคืน
แผ่นดินกลืนกรวยโกรกลับโตรกธาร

ยกเชิงชั้นหลั่นเลื่อมขึ้นเอื้อมเมฆ
ภูปราสาทสรรค์เสกโอบประสาน
จากขอบฟ้าจรดขอบฟ้าคือปราการ
ข่มวิญญาณอันผยองของมนุษย์

เมฆคล้อยคล้ำต่ำตกยกตัวหนี
มหาอินทรีที่ยังบินไม่สิ้นสุด
ระงมลมบรรเลงมาเร่งรุด
ร่วมงานศิลป์บริสุทธิ์ของแผ่นดิน ๚๛

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 13 มิถุนายน 2009, 02:18:PM
"เขา"

โอ้ว่ามือกำยำฉันจำได้
เคยลูบไล้แผ่วเบาเอาใจฉัน
โอ้ว่าเพลงวังเวงเพราะเสนาะกรรณ
นกเขาขันกล่อมเจ้าจงเข้านอน

เมื่อดึกดื่นคืนค่อนนอนไม่หลับ
ใครประทับจูบวางฉันข้างหมอน
อยู่เป็นเพื่อนพัดวีคลายที่ร้อน
สอนสวดมนต์ขอพรตอนกลางคืน

ยิ่งนับวันนับวัยน่าใจหาย
เขาห่างเหินเมินคล้ายชายคนอื่น
ที่อาบน้ำป้อนข้าวให้เรากลืน
เดี๋ยวนี้ยื่นเมตตาให้แค่ทายทัก

โอ้ว่าตักอบอุ่นเคยหนุนเอ๋ย
ฉันอยากเกยเกลือกหัวลงทั่วตัก
ความวางเฉยนี่ฉันท้ออยากพ้อนัก
"พ่อยังรักลูกเท่าเก่าหรือเปล่าจ๊ะ"

เจ้านกเขาในคอนมานอนนิ่ง
ถูกทอดทิ้งเหงาหงอยเขาปล่อยปละ
ถึงขันเช้าไปจนบ่ายไม่เลยละ
ที่ไหนจะซึ้งเหมือนพร้อมฟังกล่อมไกว

นกเขาเอยเคยขันกระชั้นแจ้ว
เราโตแล้วหาตักอุ่นหนุนไม่ได้
ครั้นพบคนพอจะคุ้นอบอุ่นใจ
"เขา" ก็ไม่ไยดีเท่าที่ควร

                      นิภา  บางยี่ขัน


หัวข้อ: เธอ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 14 มิถุนายน 2009, 07:53:AM
เธอ

๏ ลมหนาวพรูกรูเกรียวซอนเสี้ยวจิต
เชิญชาคริตเถิดขวัญรับวันใหม่
เจิดแจรงแสงทองผ่องอำไพ
สาดลูบไล้โลกแล้วอย่างแผ่วเบา

ลานฟ้าแผ้วเรืองรองงามผ่องผุด
โศกสิ้นสุดวานนี้ตามปีเก่า
ลองแรกแย้มรอยยิ้มสิพริ้มเพรา
เพื่อสองเราจะพิพรรธน์สวัสดี

ขวัญพี่เอ๋ยเคยร้างเหินห่างขวัญ
แต่พอครั้นเคียงกายกลับหน่ายหนี
สุขกมลหนหนึ่งนานพึงมี
ฟังเสียงพี่อ้อนหวานปลอบกานดา

"........โอ้เจ้าแก้วการะเกด
จอมหัวใจนัยเนตรของเชษฐา
รสรักอาบซาบซึ้งเคยตรึงตรา
นอนรอวันเวลาด้วยอาวรณ์

หนาวหันคว้าผ้าห่มหรือข่มหนาว
หมอนข้างยาวแนบชิด...ผิดสมร
กรพลั้งเผลอเพ้อไขว่...ก็ไร้กร
ใจอ่อนอ่อนหวิวหวาดแทบขาดใจ "

ลมหนาวปีใหม่นี้เหมือนปีนั้น
ผิดตรง...ขวัญ...เร้นแฝงอยู่แห่งไหน
นกเขาคู 'กรู๊...' เกี้ยวบินเกี่ยวไป
ฉันคอยคนมีไฝ...เธอ...ไม่มา ๚

ขรรค์ชัย  บุนปาน , ๒๕๐๘


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 14 มิถุนายน 2009, 01:59:PM
บนสายเปลกาลเวลา

ก็ไกวเปลเวลาทอดมาถึง
ศรน้ำผึ้งซึ้งซ้อนแววอ่อนไหว
ชะลอผ่านม่านฟ้านภาลัย
ดิ่งลงไปในทรวงและดวงตา

วารีรสเลอศักดิ์ตำหนักสรวง
รอตักตวงเติมเล่ห์เสน่หา
มนต์เมฆหมอกนฤมิตทิพย์นิทรา
หรือจะราโรยฝันนิรันดร

วงเวียนวัยชีวิตพิศวาส
ดารดาษโดยสุขซึ่งซุกซ่อน
พิณปลายนิ้วพลิ้วกรีดคีตกร
ชะรอยร่อนเร่งเร้าอยู่เท่านาน

เพียงเพลงเปลเห่ฝากสู่ฟากฟ้า
รับรักมาเมืองดินถวิลหวาน
ดอกไม้ดาวพราวพรรณอันตระการ
ลอยลงบานฉานฉายประกายกรอง

ละลิ่วเลื่อนเลือนลับการหลับไหล
รื่นละไมริ้วลมคอยข่มหมอง
ตื่นตาตามความหวังเคยรังรอง
นิยายของความรักหรือจักทวน

ซึ่งสายเปลเร่คว้างระหว่างหาว
เมื่อถึงคราวขาดร่วงย่อมห่วงหวน
สิ้นเพลงเปลเห่ขวัญเคยรัญจวน
เสียงคร่ำครวญสะอื้นอ้อนสะท้อนแทน ๚

อนุสรณ์ ลิ่มมณี


หัวข้อ: เตือนใจหญิง
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 14 มิถุนายน 2009, 02:01:PM
          เตือนใจหญิง

ด่วนเด็ดดอกกุหลาบงามในยามนี้
เวลามีอยู่น้อยจะลอยหาย
สุมาลีคลี่เกษรขจรขจาย
พรุ่งนี้กลายกลับเหี่ยวหล่นไม่ทนทาน

สุริยันอันจะเปรียบประทีปรัตน์
ก็ด่วนลัดล่วงฟ้าสุธาสถาน
มิช้าสิ้นแสงสดเพราะหมดวาร
รัตติกาลเข้ามาแทนทั่วแดนดิน

อันวัยเยาว์นับว่าเลิศประเสริฐสุด
เลือดฝาดผุดผ่องพิศเป็นนิจศิล
แล้วก็เฒ่าชราพาชีวิน
จนถึงสิ้นสูญสลายมลายชนม์

จะอายไย, จงรีบใช้โอกาสเถิด
คือหาคู่ไว้ชูเชิดก่อเกิดผล
แม้นไร้หวังในวัยรุ่นขุ่นกมล
เธอจักทนทรมานจวบกาลมรณ์

แปลจาก "COUNSEL TO GIRLS"  ของ R. HERRICK
โดย อาจิณ จันทรัมพร  ๒๔๘๙


หัวข้อ: รำพึงรัก
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 14 มิถุนายน 2009, 02:04:PM
รำพึงรัก

๏ เงียบสงัดชัฎรกร้าง........................ระงมวัน วิเวกเอย
เย็นเยียบเชียบทรวงศัลย์.................โศกซ้อน
เรไรหริ่งรัวบรร-.................................เลงศัพท์ แซ่เอย
เสียงเสียดทรวงสั่นร้อน..................อกร้าวระทมมาน ๚
๏ รัตติกาลเด่นด้วย...........................เดือนสรวง ส่องฤๅ
สาดทั่วธรณิศร์ปวง...........................ป่าไม้
ดูเด่นดุจเงินยวง................................ย้อยหยด หยาดแล
ยลยิ่งยลยิ่งให้.....................................เหือดแห้งหฤหรรษ์ ๚
๏ ถวิลวันบรรสบน้อง.......................นวลอนงค์ นางเอย
เริงรื่นฤดีจง.........................................ต่อเจ้า
เคยเสพสวัสดิมง-..............................คลคู่ เคียงแม่
สองสุขปราศจากเศร้า.......................ส่ำอ้อนอรเดียว ๚
๏ ใจเฉลียวเปลี่ยวอกโอ้....................อนิจจา อกเอย
พลาดรักอกหักมา..............................ปิ่มม้วย
ขวัญแขวนใฝ่ฝันหา..........................ห่วงแม่ ยิ่งแม่
อกวะหวิวหวาดด้วย........................เดือดดิ้นแดถวิล ๚
๏ จวบสิ้นสิริมาสเข้า........................ขวบปี
ฤทธิ์รักร้อนรนฤดี............................บ่ร้าง
รักทับเปี่ยมทุกข์ทวี..........................ท่วมอก แล้วเอย
ใครประสบเช่นเราบ้าง....................จึ่งรู้ฤทธิ์สมร ๚

อาจิณ จันทรัมพร , ๒๔๘๕


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: จะไม่เด็ด ที่ 14 มิถุนายน 2009, 03:52:PM
โคลงอ้อนน้องของฉัน

ถ้อยหวานหว่านเสน่ห์เศร้า           ให้หลง
หวังอาจโน้มน้าวอนงค์                 พรอดไกล้
เอื้อนออดทอดบรรจง                    เติมแต่ง        อักษรา     
ย้ายศาสตร์จัดศิลป์ไว้                    สลับให้        เจ้าหลง

พระพายผวนป่วนเย้า                    เคล้าคำ
นทีรับผสมลำ                               ต่อคล้าย
คนธรรพ์ขับลำนำ                          กลมกล่อม      บรรเลง
ศิลป์ศาสตร์สะบัดย้าย                    ยิ่งเย้า            ยวลหลง                 

เอวออดพรอดอิ่มอ้าง                      อวลอบ
พรอดติดหลายคำรบ                      ยิ่งย้อย
มิหยุดผุดประสบ                           ประสาท         ศาสตร์โคลง
กลอนกาพย์ร่ายเรียงร้อย                 เร่งเร้า           ให้หลง

โสมส่องมองยิ่งเย้า                         ยั่วแสง
ศิลป์ศาสตร์เริ่มสำแดง                    ส่องอ้าง
ศาสตร์รักเริ่มรุนแรง                       เกินที่            ห้ามปราม
เดี๋ยวรักเดี๋ยวอยากร้าง                     จะเว้น           สัมพันธ์

ดึงเถิดดึงฉุดรั้ง                              ไว้นา
ช่วยฉุดดึงอุรา                                บอบช้ำ
กุศลจิตติดตา                                  ตรึงก่อ           สัมพันธ์
แม้นขาดกุศลย้ำ                              สุขนี้              พบไฉน...อิอิ

..โดย..จอมปราชญ์แดนอาคเนย์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 15 มิถุนายน 2009, 11:04:AM
อยู่เพื่ออะไร
ฉันอยู่เพื่อบุคคลที่ฉันรัก                  ซึ่งใจซื่อถือศักดิ์สุจริต
และรักฉันมั่นมานปานชีวิต               ในความผิดความหลงปลงอภัย

ฉันอยู่เพื่อหน้าที่ที่พันผูก                  เพื่อฝังปลูกความหวังพลังไข
เป็นท่อธารรักท้นล้นพ้นไป               หล่อดวงใจแล้งรื่นให้ชื่นบาน   

ฉันอยู่เพื่อค้นคว้าหาสัจจะ                กลางโมหะอาเกียรณ์เบียฬประหาร
เพื่อสื่อแสงแจ้งสว่างพร่างตระการ    กลางวิญญานมืดมิดอวิชชา 

ฉันอยู่เพื่อดวงใจที่ไร้ญาติ                ที่แร้นแค้นแคลนขาดวาสนา
เพื่อรอยยิ้มพริ้มยลปนน้ำตา              บนดวงหน้าโศกช้ำระกำกรม   

ฉันอยู่เพื่อเยื่อใยใจมนุษย์                 บริสุทธิ์สอดผสานงานผสม
เป็นเกลียวมั่นขันแกร่งแรงกลืนกลม     พายุร้ายสายลมมิอาจรอน

ฉันอยู่เพื่อความฝันอันเพริศแพร้ว        เมื่อโลกแผ้วหลุดพ้นคนหลอกหลอน
เมื่ออามิสฤทธิ์แรงแท่งทองปอนด์        มิอาจคลอนใจคนให้หม่นมัว

ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก             ที่เขาถากทรกรรมซ้ำปั่นหัว
เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว             เพื่อความกลัวกลับบ้าบั่นอาธรรม
   
เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ         เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยขำ
เพื่อแสงรักส่องรุ่งพุ่งเป็นลำ                  สว่างนำน้องพี่มีชัยเอย     
   
อุชเชนี (อาจารย์ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา )
 ๒๔๙๓


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 15 มิถุนายน 2009, 11:09:AM
สูงขึ้นไป
เหมือนสายแก้วแวววับระยับเยื้อง
ช้อยชำเลืองชมอุษาคราฉายแสง
พุน้ำหนึ่งผุดพุ่งรุ่งแจรง
ดั่งรุ้งแปลงแปลกฟ้าลงมาดิน

สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปไม่ระย่อ
ไม่รู้ท้อรู้หน่ายคลายถวิล
ถึงแดดจ้าฟ้ามุ่นพิรุณริน
ไม่สูญสิ้นศรัทธาที่ตราใจ

สายน้ำแจ๋วแววแจ่มยะแย้มยิ้ม
รับลมพริ้มทอดระทวยอวยอ่อนไหว
อรชรเพียงช่อผกาไพร
ที่ลมไกวกิ่งกล่อมถนอมกัน

พอดาวพรมแผ่นฟ้าระย้าระยับ
สายน้ำกลับเกลื่อนดารากว่าสวรรค์
สะท้อนวาบปลาบพรายประกายพรรณ
เพียงจะหยันพัชราให้พร่ามัว

ความชดช้อยย้อยหยดและรสหวาน
คือทิพยทานแด่ดินถิ่นสลัว
โปรยความรื่นชื่นใจไว้รอบตัว
ดับกระหายคลายชั่วกลั้วกลี

เฉกน้ำมิตรจิตกวีที่บริสุทธิ์
ย่อมผาดผุดผ่องจรัสรัศมี
ผินฟ้าพุ่งมุ่งงามและความดี
หยิ่งในศรีศักดิ์ตนวิมลนาน

สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปไม่ระย่อ
ประโยชน์ก่อเกิดล้ำเพียงคำหวาน
สร้างความหวังพลังหมายด้วยสายธาร
จากดวงมานกวีนั้นนิรันดร์เอย ๚

อุชเชนี
ขอบฟ้าขลิบทอง


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 15 มิถุนายน 2009, 11:11:AM
ในนิมิต
กลีบกุหลาบฉาบชมพูพรูพรั่งฟ้า
ว่อนเมฆาเหมือนฝันขวัญพี่เอ๋ย
นภาพิศนิมิตหวามงามกว่าเคย
ชวนสังเวยบูชิตชีวิตนี้

แต่ละชีพต่างกลีบกุหลาบร่อน
ชะลอช้อนชุ่มรักเป็นสักขี
การุณยมานหวานล้ำฉ่ำฤดี
โลมปถพีทุกย่างทางครรไล

ฟ้าระริกเงาระรวยกลางห้วยกว้าง
ก็เหมือนอย่างเราฝังพลังไข
ว่าดวงรุ้งพุ่งผ่านม่านตาใจ
ลึกละไมละเมียดหวังตั้งตาคอย

เมื่อขอบฟ้าพร่าพราวหลาวทองทาบ
พุ่งปลายปลาบทะลวงถิ่นทมิฬถอย
ความมืดแมกแหลกเรื้อไม่เหลือรอย
อุทัยพร้อยแสงพร่างสว่างพราย

เพื่อฟากฟ้าสายัณห์อย่างวันนี้
จักปรายปรีดิ์เปี่ยมพ้นล้นความหมาย
เพื่อมรรคาประชาชนจักกล่นราย
ด้วยกลีบกรายกุหลาบแก้วผ่องแพรวใจ

อุชเชนี
ขอบฟ้าขลิบทอง

ขอบคุณ :  http://www.reurnthai.com/index.php?PHPSESSID=cc013f3f4d6bf76e6a490d97bd69e1a1&topic=2652.15 (http://www.reurnthai.com/index.php?PHPSESSID=cc013f3f4d6bf76e6a490d97bd69e1a1&topic=2652.15)



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 15 มิถุนายน 2009, 11:17:AM
สงสารเดือน
ที่ขาดเพื่อน เคว้งคว้าง อยู่กลางหาว
มีเพียงแสง รุบหรู่ ของหมู่ดาว
เป็นเพื่อนคราว เดือนฉาย อยู่ดายเดียว

ยิ่งฟ้าหม่น มืดทะมึน เหมือนคืนนี้
อ้อมสรวงมี เดือนเศร้า อยู่เปล่าเปลี่ยว
เห็นเหงาหงอย ห้อยหาว รูปยาวเรียว
สีซีดเซียว เกี่ยวฟ้า ว้าเหว่ใจ


เคยฟ้าแผ้ว แวววาว ดาวประดับ
บัดนี้ลับ เร้นลี้ ไปที่ไหน
ปล่อยทุกห้อง หาวหน หม่นหมองไว้
ทิ้งเดือนให้ แขวนคว้าง กลางโพยม


ฟ้าคร่ำครืน ครวญคราง ออกอย่างนี้
หน่อยจะมี พายุ พัดพรูโหม
น้ำตาฟ้า จะพร้อยพรั่ง ลงหลั่งโลม
สงสารโคม คู่ฟ้า จะมืดมิด

คิดถึง"เดือน"
ผู้เสมือน เพื่อนใจ อันไพจิตร
เพื่อนเคยอยู่ คู่ขวัญ เป็นเพื่อนชิด
เป็นคู่คิด คู่ขวัญ ร่วมกันมา

"เดือนเอ๋ย"
ไม่โกรธเลย ที่เธอทำ ช้ำหนักหนา
ยังห่วงถึง ซึ้งสนิท ติดตรึงตรา
รอเธอมา ร่วมความหลัง อยู่อย่างมิตร

เธอหลงไหล ไฟเปลว ดิ่งเหวลึก
กว่าเมื่อใด  เธอรู้สึก สำนึกผิด
ไร้ใครอื่น หมื่นผู้ เชิดบูชิต
ขอให้คิด มิตรอย่างฉัน มั่นห่วงเดือน
ประยอม ซองทอง
    ประยอม ซองทอง


หัวข้อ: เพชรน้ำหนึ่ง โดย ส.เขื้อหอม
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 16 มิถุนายน 2009, 09:52:AM
               
เพชรน้ำหนึ่ง

๏...กลอนเก้าคำ จำไว้ ด้อยไพเราะ   
เขียนให้เหมาะ  แปดคำ เพชรน้ำหนึ่ง
แต่ละวรรค หนักแน่น ดุจแกนกลึง
กลอนจะซึ้ง  ติดใจ และให้คุณ

..คำสุดท้าย วรรคแรก แยกพิเศษ
สามัญเขต  หวงห้าม ตามเกื้อหนุน
ท้ายวรรคสอง ต้องรู้ อยู่เป็นทุน
เอก-โทจุน จัต วาประพนธ์

..ท้ายวรรคสาม วรรคสี่ นี้จำมั่น
เสียงสามัญ -ตรีใช้ ได้ทุกหน
สัมผัสซ้ำ จำจด งดปะปน
จงคิดค้น  ถ้อยคำ ที่จำ เป็น

..ไม้ไต่คู้ใช้กับ ไม้ไต่คู้
เมื่อฟังดู เด่นดี ดั่งที่เห็น
เสียงสั้นยาว ก้าวก่าย หลายประเด็น
อย่าบำเพ็ญ พ้องกัน นิรันดร

..อย่าเขียนให้ ใจความ ตามเพ้อนึก
จงตรองตรึก ตระหนัก เรื่องอักษร
คติธรรม นำใส่ ให้สังวร
รวมสุนทร ถ้อยไว้ ให้งดงาม

..จุดจบก็ ขอให้ กินใจหน่อย
มิควรปล่อย เปะปะ เหมือนสะหนาม
จบให้เด่น เห็นชัด จำกัดความ
ให้ตรงตาม เค้าโครง เรื่องโยงใย

..เขียนเสร็จสรรพ กลับมา ตรวจตราผิด
ตรวจชนิด เรียงตัว ทั่วกันใหม่
เมื่อเห็นเพราะ เหมาะดี จี้หัวใจ
จึงเผยให้ ประชา ชนตราตรึง

..กลอนเก้าคำ จำไว้ ด้อยไพเราะ
เขียนให้เหมาะ แปดคำ เพชรน้ำหนึ่ง
แต่ละวรรค หนักแน่น ดุจแกนกลึง
ผู้อ่านจึง จะชอบ ชมขอบคุณ ๚๛ 

                             ส. เชื้อหอม    ผู้ประพันธ์

ส. เชื้อหอม

     ประวัติ

     ชื่อเต็มคือ สมจิตร เชื้อหอม เกิดที่บ้านวังหัวคู้ หมู่ที่ 1 ตำบลบางพลวง
อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี บิดาชื่อ นายล้อม มารดาชื่อนางชั้น
มีอาชีพทำนา ส. เชื้อหอม เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 5 คนด้วยความ
รักภาษาไทยเป็นชีวิตจิตใจจึงทำงานเพื่อภาษาไทยมากกว่า 40 ปี ชี้แนะ
และต่อสู้ด้วยความอดทนให้ผู้ผลิตสินค้าที่เขียนผิดหลักภาษาไทย ยอมแก้ไข
ให้ถูกต้อง เช่น อายิโนะโมะโต๊ะ เป๊บซี่ แฟ้บ ไฮเป๊กซ์ แท็ตทู แม็กนั่ม ฯลฯ
และยังทำให้ผู้ที่ไม่ซึ้งถึงค่าภาษาไทย คิดแก้ไขภาษาไทยให้ถูกต้องอีกด้วย

     ส. เชื้อหอม ได้รับรางวัลจากการประกวดบทร้อยกรองนับร้อยรางวัล
รางวัลที่สำคัญคือรางวัลพระราชทาน 6 รางวัล รางวัลประทาน 3 รางวัลดังนี้

1. รางวัลจากพระหัตถ์สมเด็จพระนามเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
2. ถ้วยรางวัลจากพระหัตถ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
3. รางวัลจากพระหัตถ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
4. ถ้วยพระราชทานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
5. รางวัลจากพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
    ในงาน"สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ" 2 ปีซ้อน
6. ถ้วยรางวัลจากพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ
7. รางวัลจากพระหัตถ์พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชา
    ทินัดดามาตุ 2 ครั้ง
    นอกจากนี้ยังได้รับโล่และถ้วยรางวัลจากศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
หม่อมหลวงบัว กิติยากร  พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์
นายชวน หลีกภัย พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก พลตรีจำลอง ศรีเมือง จนได้รับสมญา
นามว่า "นักกลอนพระราชทาน" มีผลงานเผยแพร่ทั่วราชอาณาจักร ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองมากกว่า 1000 บท

    ในอดีต เคยเป็นนักจัดรายการกลอน ชื่อ "เสียงฝัน" สถานีวิทยุยานเกราะ
890 ปชส.8 "เพื่อนนักกลอน" สถานีวิทยุเสียงสามยอด "ปัญหาประจำวัน"
ในนามคุณทวน สีแดง สถานีวิทยุ ททท. นอกจากนั้นยังเป็นกรรมการต่างๆ
อีกมากมาย เช่นกรรมการตัดสินประกวดร้องเพลง(ด้านคำร้อง)เสาอากาศทองคำ
พระราชทาน สถานีวิทยุเสียงสามยอด กรรมการด้านคำร้องเพลง"ชุมทางคนเก่ง"
สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และ สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 กรรมการด้านคำร้องเพลง
"ลูกทุ่งสิบทิศ" สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 กรรมการด้านคำร้องเพลงกรมการศึกษา
นอกโรงเรียน อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย
ที่ปรึกษากลุ่มนักกลอนปราจีนบุรีศรีวรรณศิลป์ ฯลฯ

     ปัจจุบัน เป็นประธานชมรมผู้อนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมไทย ผู้ทรงคุณวุฒิที่
มีผลงานดีเด่นเป็นคุณประโยชน์ต่อการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ของหน่วย
ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ประธานฝ่ายคำร้องเพลง
"พระพิฆเนศทองพระราชทาน" สมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรม
ราชูปภัมภ์ ผลงานประพันธ์รวมเล่มมีหลายเรื่องคือ "ภาษาพาที" "ภาษาไทยคือ
ไทย" "อ้ายเปีย" "ชีวิตในวัยเด็ก" ของพระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทะ)
"วลีลีลา" "พุทธประวัติ" "ภาษาภาษิต" "ภาษาปาก" "วัจนามนี"(ร้อยกรอง)
"ภาษาสื่อมวลชนมีกี่คนที่ทนรับได้" "ผ่าเพลง" ฯลฯ
        



    
       ผลงานที่ลงหนังสือพิมพ์ต้องมีข้อความ"บ้านสร้าง ปราจีนบุรี" ทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ตัวอยู่กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อสร้าง
ชื่อเสียงให้แก่บ้านเกิดเมืองนอน ส. เชื้อหอม เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการร้องเพลงพื้นบ้าน และเล่นสักวา
โรงเรียนมัธยมฯในจังหวัดปราจีนบุรี อาทิ โรงเรียนปราจีนกัลยาณี โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง เคยได้รับความ
อนุเคราะห์จาก ส. เชื้อหอม ในการมาเป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องการเล่นสักวาหลายครั้ง ส. เชื้อหอม มีความรัก
ความผูกพันกับบ้านเกิด ที่อำเภอบ้านสร้างอย่างมากงานที่เขียนจึงถ่ายทอดประวัติที่เกี่ยวพันกับบ้านเกิดไว้
เช่น หนังสือเรื่องอ้ายเปียซึ่งเป็นหนังสือวรรณกรรมจริยธรรม สำหรับนักอ่านเยาวชน ผลงานเพลงได้แต่งเพลง
สถาบันและเพลงทั่วไปไว้หลายสิบเพลง เพลงแรกที่ได้รับการบันทึกเสียงโดยคุณรุ่ง สุริยา คือ "น้ำพระทัยพระเทพ"

     การทำงาน
     รับราชการที่ฝ่ายการพิมพ์สำนักงานเลขานุการกรม กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ 10300
ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ

ที่มา : http://www.ru.ac.th/province/prachinburi/goodper/sor/sor.htm (http://www.ru.ac.th/province/prachinburi/goodper/sor/sor.htm)



ที่มาจาก  http://www.st.ac.th/thaidepart/poetry_1.php (http://www.st.ac.th/thaidepart/poetry_1.php)
ขอขอบคุณ : ดินหญ้ากาช้ำ  แห่ง  http://www.kaweeclub.com/index.php?topic=2483.0 (http://www.kaweeclub.com/index.php?topic=2483.0)



หัวข้อ: มาลัยดอกรัก
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 17 มิถุนายน 2009, 01:13:PM
มาลัยดอกรัก

พวงมาลัย......จะลอยร้างห่างไปหนใดหนอ
ล่องละลิ่วปลิวฟ้ามาเคียงคลอ
ให้ข้าพอชื่นจิตนิดเป็นไร

" เอ้อระเหยลอยมาเวลาค่ำ
ฟังพี่ร่ำเจรจาอย่าสงสัย
พี่รักพี่จึงตามแม่ทรามวัย
หวังดวงใจแม่ตาคมไว้ชมเชย "

สาวชะม้ายชายตาร้องว่า " พี่
มาเซ้าซี้น่าอายพี่ชายเอ๋ย
อย่าโป้ปดลดเลี้ยวเกี้ยวน้องเลย
น้องไม่เคยพบเห็นดอกเช่นนี้ "

" เอ้อระเหยลอยล่องท่องทุกถิ่น
พี่เจนจบจนสิ้นเจียวสาวศรี
มาจอดรักฝากใจให้คนดี
ไม่ลอยลี้ลับแล้วละแก้วตา "

สาวสะเทิ้นเมินมองพร้องคำหวาน
" ขอดวงมานน้องนี้หรือพี่ขา
นี่มาลัยรักร้อยสร้อยอุรา
ฝากพี่ยาแทนหทัย...ชื่นใจพอ "

พวงมาลัย.....
" หอมระรื่นชื่นใจกระไรหนอ
ลอยละลิ่วปลิวฟ้ามาเคียงคลอ
พี่จดจ่อรักน้องเจ้าของเอย "

แววตา  สีมานันท์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 17 มิถุนายน 2009, 07:47:PM
เพลงหนาว...ที่กันตัง

เรือตังเกเร่กลับฝั่งอีกครั้งหนึ่ง
ความคิดถึงเอ่อปริ่มอยู่ริมฝั่ง
โดยกลีบของมาลีนาม...ศรีตรัง
ซ่อนความหวังความหมายกับสายน้ำ

สบตากับดาวรายที่ปลายฟ้า
ซุกซบหน้าซานซมกับลมค่ำ
เมื่อบทเพลงกล่อมใบไม้ให้ร่ายรำ
ฟ้าสีก่ำเริ่มจางสีเป็นสีเทา

หัวใจเคยร่อนเร่ทะเลกว้าง
ยิ่งเหว่ว้างกับการคอยอย่างหงอยเหงา
เพลงหนาวที่กันตังยังซึมเซา
ไม่มีเงาเพื่อนใจมาใกล้ชิด

ลำน้ำตรังคืนนี้ไม่มีแก้ว
วันจะแผ่วน้ำตาเพื่อนสนิท
เงาสีดำคลุมคลี่ทางชีวิต
ด้วยความคิดเหงาหงอยและน้อยใจ

หนาวอารมณ์บ่มน้ำตาคนอาภัพ
แอบซุกหลับเร้นรอยหมองแอบร้องไห้
ปิดดวงตาว้าเหว่...ร่อนเร่ไป
กว้างและใหญ่...ฟ้าสีคราม...น้ำทะเล

ดาวรุ่งหรี่แสงจางหว่างใจหวั่น
ซึ่งความฝันจะเลือนล่มกลางลมเห่
หนาวเพลงหนาวทีกันตังยังรวนเร
ไม่อยากเร่ไกลฝั่งอีกครั้งเลย

ศิริวรรณ  ชลธาร
 
 


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 18 มิถุนายน 2009, 03:01:PM
           มาลัยเสน่หา

จะขอเส้นเกศามาแทนไหม
เจ้าคงไม่หลงเสน่ห์เส้นเกศา
หอมกระแจะแตะกลิ่นประทิ่นทา
เพื่อนึกหน้าผมหอมเมื่อดอมดม

แม่ผมปอยปล่อยปลายคล้ายพู่หงส์
ดูเครื่องทรงสดใสสไบห่ม
มาลัยรักจักน้อมถนอมชม
ขอเพียงผมเส้นน้อยร้อยมาลัย

จะเชิญแก้วแพรวกล้ามาร้อยแก้ว
ครั้นตรองแล้วก็มิกล้าพูดจาได้
อันกลิ่นหอมจอมขวัญทุกวันไป
เป็นจอมใจจรุงรสจึงจดจำ

โอ้แก้วเจ้าพราวพริ้งยิ่งแก้วต้น
ประกายกลมณีแท้ที่แก่ก่ำ
หวาดว่าแก้วชูกิ่งยิ่งถ้อยคำ
แต่ร่ำร่ำร้อยแก้วไม่แล้วกัน

สวาทวาดมาดหมายสายสวาท
ยังมิอาจซาบซึ้งถึงสวรรค์
ศักดิ์เจ้าจอมหม่อมห้ามจึงคร้ามครัน
ถึงกระนั้นไพร่ฟ้าก็กล้าพอ

แก้วเสน่ห์เกศาถ้ามิให้
ตามแต่ใจจักจำไม่ซ้ำขอ
เถอะจะหามาลัยกรองมาคล้องคอ
ซึ่งเหมือนสร้อยพระศอนรกานต์

          สุจิตต์  วงษ์เทศ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 18 มิถุนายน 2009, 03:13:PM
"วันที่ดอกไม้โรย"

"ดอกโสนโรยร้าว
ดอกคัดเค้าโรยรา
ดอกประดู่ร่วงนักหนา
ไม่มัวันกลับมาแล้วเอย"

ทุกทุกสิ่งแล้วล้วนชวนถวิล
ดูด่วนสิ้นโรยราผกาเอ๋ย
ขอมองไว้อีกสักนิดไว้ชิดเชย
เมื่อยามเลยลาลับไม่กลับคืน
จะเก็บภาพประทับใจไว้ถวิล
ไว้แอบรินน้ำตาแอบสะอื้น
ไว้เยือกเย็นกับน้ำค้างที่พร่างชื้น
เก็บไว้ตื่นตาฝันนิรันดร

นับแต่นี้น้ำตาจะหาง่าย
ขาดคนหมายซับมันเหมือนวันก่อน
มือเย็นเยียบเมื่อสายัณห์ตะวันรอน
ใครจะซ้อนมือนุ่มเกาะกุมมัน

จะเดินเปลี่ยวเดียวดายในสายแดด
ชีวิตแวดด้วยความหลังและความฝัน
ฝันถึงวันที่ผกานานาพันธุ์
ปลิดดอกอันเหลืองอร่ามท่ามกลางเรา

"วันที่ดอกไม้โรย"
นิภา บางยี่ขัน
24/01/2510

ขอบคุณ : http://www.geocities.com/pa_orn/kawee1.html (http://www.geocities.com/pa_orn/kawee1.html)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 19 มิถุนายน 2009, 07:44:AM
หัวใจที่ชาเย็น

เธอแย้มเยื้อนเย้ากมลจนไหวหวั่น
ทุกทุกวันซึ้งสนิทเกินปลิดหาย
จะกี่เดือนกี่ปีไม่มีคลาย
เหมือนกับสายเจ้าพระยาตราบตาปี

เราจากกันแต่ตัวหัวใจซึ้ง
ครุ่นคะนึงห่วงถวิลทุกถิ่นที่
นานเหมือนนับกัปกัลป์พันทวี
เมื่อเรามีโอกาสใกล้ใหม่อีกครั้ง

หวิวและหวามความสัมพันธ์วันเก่าเก่า
รุกรุมเร้าหัวใจให้ความหวัง
หวังให้หวังครั้งนี้อยู่จีรัง
เสมือนดังตั้งจิตเตือนติดตา

คิดว่ารักจักอยู่เคียงคู่รัก
คิดว่าหลักคงไม่คลอนรอนคุณค่า
คิดว่าแกร่งเกินแผนแผ่นศิลา
และคิดว่ามั่นคงจำนงนัย

แต่ชีพกร้านกร้าวฉกรรจ์ทุกวันนี้
ไม่เหมือนที่จิตฉันเคยหวั่นไหว
กลับคล้ายลมพลิ้วเฉยผ่านเลยไป
ในหัวใจชาเย็นเหมือนเช่นเดิม

สุรีย์ พันเจริญ  ("ลาวแพน" )


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 20 มิถุนายน 2009, 09:08:PM
เห่เรือหงส์

หงส์ระเหิดเฉิดฉายแหวกว่ายฟ้า
เลื่อนลงหล้าลอยฟ่องล่องกระสินธุ์
ละอาศน์พรหมล่มฟ้ามาสู่ดิน
ประทีปถิ่นแดนด้าวของชาวพุทธ

เสียเห่โห้โอ้ช้าแล้วว่าเห่
เชิญเสน่ห์แห่งสวรรค์อันพิสุทธิ์
มาสร้างสรรค์ขันแต่งแข่งมนุษย์
ให้ประดุจหงส์ทองฟ่องพิมาน

ช้าแลเรือแม่รามหาหงส์
เชิญอนงค์ชำระสระสนาน
ฝีพายเรียงเคียงคู่คอยอยู่งาน
ขับสำนานมูลเห่เพลาทรง

มโหรทึกแตรสังข์ทั้งบัณเฑาะว์
ประคองเคาะเรื่อยรับขับร้องส่ง
ศรีชัยเอยแม่ย่านางสำอางองค์
เชิญแม่ลงเรือประเทียบเลียบสาคร

จะเห่นำเรือทรงองค์กฐิน
ลอยวารินลิ่วเลื่อนเหมือนเก่าก่อน
ขวัญแม่เอยขวัญแก้วอย่าแคล้วจร
เชิญรับพรมงคลชัยไว้ชื่นเชย

เจ้าแม่ศรีสุพรรณหงส์ทรงสะอื้น
ทั่วภาคพื้นเจ้าพระยาจะผ่าเผย
สาครครืนครื้นคร่ำส่ำสังเวย
รอหงส์เกยเทียบท่าวาสุกรี

(http://www.snr.ac.th/wita/Music/music/jam_line.gif)
สุรินทร์  ประสพพฤกษ์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 21 มิถุนายน 2009, 09:53:PM
กล่อมขวัญม่านราตรี


๏ พลิ้วลำนำเพลงรักหวานข้ามผ่านฟ้า
ขับเสภารัตติกาลบรรสานฝัน
ราวเห่กล่อมภพช่วงจากจวงจันทร์
ล้อมดวงขวัญแนบสนิททุกนิทรา

๏ หลับตาเถิดคนดีนะที่รัก
จะทอถักเรียงร้อยสร้อยบุปผา
มาเคียงข้างบรรจถรณ์ผ่อนอุรา
ปลอบวิญญาณ์อย่าหวั่นจงฝันดี

๏ ณ คืนนี้จักถนอมกล่อมเคียงข้าง
จนรุ่งสางทิวาวารผ่านดิถี
ทุกทุกคำที่ร้อยสร้อยวจี
จากใจที่ประจักษ์รักทั้งปวง

๏ เจ้าเดือนดาวพราวฟ้าราตรีนี้
ฤๅจักที่ทอแสงมาแต่งสรวง
ขอเพียงนวลปลายหาวจากดาวดวง
มาแต้มทรวงหวามไหวในพี่ยา

๏ อันความรักฉ่ำหวานปานหยาดผึ้ง
งดงามตรึงหนึ่งทรวงให้ห่วงหา
ส่งใจไปพร่ำพลอดตลอดเวลา
น้อมกายมาเคียงร่างมิสร่างรอย

๏ หอมประทิ่นกลิ่นดอกแก้วยังหอมกรุ่น
หวานละมุนละไมในทุกถ้อย
ขลุ่ยเพียงออพลิ้วเพรียกขานผ่านฝนปรอย
ร่วมเพลงร้อยประทับขวัญม่านราตรี

?ช่ออักษราลี?
 กรีนเวฟเรดิโอ

http://www.sakaeofm89.com/ (http://www.sakaeofm89.com/)
อีเมล  [email protected]
http://www.klonthaiclub.com/index.php?topic=6454.msg50257#msg50257 (http://www.klonthaiclub.com/index.php?topic=6454.msg50257#msg50257)



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 24 มิถุนายน 2009, 02:10:PM
   คิดถึง
ความคิดถึงมีมากอยากเห็นหน้า
พอไปหาก็ไม่เห็นยิ่งเป็นห่วง
คิดก็เหมือนดาวดับเลือนลับดวง
นี่เราล่วงไปห่วงหาอาวรณ์ใคร

เขาไม่คิดถึงเราเขาก็ห่าง
จึงอารมณ์อ้างว้างคว้างและไหว
คนอ่อนท้อเริ่มจางพลังใจ
อีกเมื่อไรหนอรุ้งจะรุ่งฟ้า

ชิงช้าเอย แกว่งไกวใบไม้ร่วง
คนไร้คนเป็นห่วงเปลี่ยนสีหน้า
จากที่ยิ้มเป็นหมองทั้งสองตา
ลิ้นเริ่มปร่าหนักสำนึกลึกอารมณ์

หวังทุกบ่อยเมื่อคอยเธอ...ที่นี่
เธอคงมาวันนี้...ไหวแล้วข่ม
เห็นด้านหลังคนอื่นหลงชื่นชม
เจียนจะจมห้วงน้ำตาฟ้าน้อยใจ

ตะวันเย็นเริ่มจางทางสีอ่อน
แต่เราร้อนเสียจนทนไม่ได้
จากแสงแดดตอนเย็นเป็นแสงไฟ
เราก็ไม่สมหวังระหว่างคอย

ความคิดถึงมีมากอยากเห็นหน้า
พอไปหาก็ปล่อยเราให้เหงาหงอย
คิดถึงมาก ไหว พ้อ ก็เลื่อนลอย
เขาคงปล่อยเราคว้างฝันนิรันดร

ชมจันทร์ (ไพลิน รุ้งรัตน์) จากหนังสือกวีนิพนธ์ "มิเหมือนแม้นอันใดเลย”


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 24 มิถุนายน 2009, 02:15:PM
ความหลังที่แม่ปิง

ฝังใจกับภาพพิมพ์ที่ริมเขื่อน
รอยยิ้มเยือนทักทายในความเหงา
แสงแดดส่องจัดจ้าทาบฟ้าเทา
ระบายเงาเลื่อมลายบนสายน้ำ

แม่ปิงกว้างยาวไกลออกไปมาก
เก็บใจฝากมานานจนหวานฉ่ำ
กลับมาเยือนทุกครั้งฝังใจจำ
ถึงกลิ่นร่ำดอกรักที่หักลง

ยังคงเงียบ ยังคงเหงา ในเงาบ่าย
มันท้าทาย มันเย้ย ครั้งเคยหลง
หัวใจที่เคยคิดจะทรนง
ไม่มั่นคงได้สักทีเหมือนที่คิด

แม่ปิงยังขลังมนต์เหมือนคนเก่า
มาก็เหงาให้ภาพฝันมันสะกิด
ความหลังที่รุนแรงมันแผลงฤทธิ์
รอยแผลพิษมันนานจนป่านนี้

อยู่ที่ไหนไปที่ไหนก็ใจหาย
มันวาบวายหวนคะนึงถึงที่นี่
แล้วก็เก็บความหม่นไหม้ไว้ทุกที
ประสาคนเจ็บที่ไม่มีใจ

มาดูกลีบรักเกลื่อนริมเขื่อนแก้ว
จวบจนแนวแดดอ่อนสะท้อนไหว
ดอกรักคว้างปลิวว่อน,ใบซ้อนใบ
จมดิ่งในความหมองของแม่ปิง

แพรวพรรณ  อุดมธนะธีระ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 26 กรกฎาคม 2009, 10:49:AM
         ร่วมกลอนรัก      (เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์)     

หัวใจรักเจ้าเอยช่างเอ่ยเอื้อน                       แว่วแว่วเหมือนมาตามมาถามข่าว
มีน้ำอย่างหยาดแก้วกลบแววดาว๑              เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง๒

อารมณ์รักมักให้เห็นเป็นกวี                        ถ้อยคำรักคือวลีที่เริงรุ่ง
ถึงไม่จำแต่ไม่ลืมยังปลื้มปรุง                       หอมแห่งทุ่งดอกไม้รักรายรอง

อ้อมกอดพี่จะสงวนไม่ด่วนเสนอ                อ้อมตักเธอจงถนอมก่อน ยอมสนอง๓
ทั้งคมคำคมความให้ตามตรอง                     กระเทือนห้องหัวใจกันหลายชั้น

ดอกรักบานในใจใครทั้งโลก                     แต่ดอกโศกบานอยู่ในหัวใจฉัน ๔
คนเคยรักเคยร้างเคยห่างกัน                      ยังหวั่นหวั่นหวามหวามอยู่รำไร

โอ้นกเขาเจ้าขันกระชั้นแจ้ว                     เราโตแล้วหาตักอุ่นหนุนไม่ได้๕
ถ้าไม่ไปหาเขาเราเสียใจ                        แต่ถ้าไปหาเขาเราเสียตัว๖

ทั้งเสียวสะแสบไส้กระไรเลย                       อุแม่เอ๋ยเอาหัวใจออกไขทั่ว
กล้าก็กล้าใจหนอกลัวก็กลัว                       เหมือนมายั่วมาย้ำมานำชัก
ขณะที่ปากมีไว้เพื่อให้พูด                       เธอก็ใช้ลิ้นการฑูตพูดเสียหนัก
ส่วนหัวใจมีไว้เพื่อให้รัก                         เธอไม่ยักใช้มัน...ฉันเสียดาย๗

เหมือนระย้าผกาแก้วแววระยับ                 กระทั่งกับภูผาน่าใจหาย๘
คือดวงแก้วแห่งรักมักวับวาย                      มีแต่จะตกกระจายไม่วายเว้น

หนึ่งจะมีรักใหม่อย่าให้รู้                        สองจะอยู่กับใครอย่าให้เห็น
ให้ฉันเถิดขอร้องสองประเด็น                  แล้วจะเป็นผู้แพ้ที่แท้จริง๙
สารพันสารพัดจะสัตย์ซื่อ                          ความรักคือความทุกข์ถูกทุกสิ่ง
ประเดี๋ยวสุขสมหมายก็พรายพริ้ง                 ประเดี๋ยวยิ่งปวดร้าวก็เศร้าทรุด

ถ้ารักใครไม่ได้ก็ไม่รัก                           แต่กุจักชักดาบเข้าฉาบฉุด
ดั่งโคถึกคึกคะนองลำพองรุด                   ใครจะยื้อใครจะยุดจะฉุดใจ๑๐

เมื่อรักกันไม่ได้ก็ไม่รัก                          ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหน
ไม่รักกุกุก็จักไม่รักใคร                           เอ๊ะ  น้ำตากุไหลทำไมฤๅ๑๑

ข้อยฉวยช้อนกลอนรักมาถักร้อย                  เป็นสายสร้อยดอกไม้สร้อยลายสือ
มอบไว้เป็นของขวัญมั่นกับมือ                     เสมอสื่อสารรู้...ใจสู่ใจ

                              .........................................
๑  ตุลย์เทพ     สุวรรณจินดา                      ๒  อังคาร     กัลยาณพงศ์     
๓  สวัสดิ์     ธงศรีเจริญ                           ๔  เฉลิมศักดิ์     ศิลาพร
๕ นิภา     บางยี่ขัน                                 ๖  กรรณิการ์     เฮงรัศมี
๗  รังษี     บางยี่ขัน                                 ๘  อุชเชนี
๙  สนธิกาญจน์     กาญจนาสน์                 ๑๐  ขรรค์ชัย     บุญปาน
๑๑  สุจิตต์     วงษ์เทศ                           

จากคุณ : ศาลาไทย (salathai)  - [ 10 มิ.ย. 46 08:15:12 ]
จากเว็บไซท์ : http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2311960/W2311960.html (http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/W2311960/W2311960.html)
 


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 20 สิงหาคม 2009, 01:56:PM
ลำนำจาก....."มะลิป่า"

คืนพระจันทร์เต็มดวงบนห้วงหาว
มะลิขาวบานไสวใกล้บ้านป่า
ซึ่งกำลังชูช่อลออตา
แข่งกับกลิ่นดอกหญ้านานาพันธุ์

บนเนินดินผืนน้อยมีรอยแต้ม
หญ้าปรกแซมเบาบางกีดขวางกั้น
เมื่อราหูเข้าข่มอมพระจันทร์
มะลิขาวดอกนั้นเริ่มสั่นเทา

ยางจากกิ่งรินไหลเมื่อใกล้สาง
แว่วเสียงครางระงมแรงลมเป่า
แมลงหวี่แห่งสังคมผมดอกเลา
กำลังเฝ้าดื่มดอมหลอมดวงไฟ

กับหยาดฝนบางบางระหว่างถ้ำ
เริ่มชุ่มฉ่ำแผ่นพื้นการลื่นไหล
ในความหนาวเกี่ยวกระชับอย่างจับใจ
ความเคลื่อนไหวลึกซึ้งส่งถึงกัน

สว่างโรจน์โชติช่วงในห้วงนึก
วัดความลึกเคลื่อนไหวดวงใจสั่น
ปรารถนาเดินเรียบและเฉียบพลัน
ไฟสวรรค์แผดเผาในเตาทิพย์

อย่างอ่อนโยนคุกคามตามสภาพ
และเอิบอาบรสลิ้นกินดื่มจิบ
อัตราเร่งแห่งหัวใจไหวระยิบ
ล่องลอยลิบเลือนลางอย่างซาบซึ้ง

เกือบจะถึงจุดหมายอยู่หลายครั้ง
การหยุดยั้งรอไว้การไปถึง
โดยพร้อมเพรียงกับเวลาอันตราตรึง
ในที่ซึ่งเป้าหมายสุดสายธาร

แล้วบทเพลงจากสวรรค์ก็พลันจบ
สุขสงบเงียบงันจุดบรรสาน
การรอคอยดวงไฟในดวงมาน
ช่างเนิ่นนานที่สุด คนจุดไฟ.......

มะลิขาวดอกหนึ่งซึ่งไร้กลิ่น
เริ่มโบยบินจากก้านสู่บ้านใหม่
การเดินทางต่างถิ่นแผ่นดินไกล
สู่กลิ่นไออาภาและอาภรณ์

เงาลางลางสถานที่อันลี้ลับ
ความย่อยยับโหดเหี้ยมถูกเสี้ยมสอน
เป็นมะลิร้อยมาลัยดับไฟร้อน
ในสังคมสำส่อนอย่างเสรี

ด้วยราคาแพงมากจากบ้านป่า
ค่อยลดลงด้วยราคาค่อนข้างถี่
กลีบเริ่มด้านก้านเริ่มดำคร่ำราตรี
อยู่ที่นี่หรือที่ไหนไม่สำคัญ

มะลิยังเดินทางไปข้างหน้า
ในอัตราร้อนแรงแฝงรอยฝัน
ยิ้มสดใสโหยหาใต้ตาวัน
เพื่ออะไร...เพื่อใครกัน...วันยาวนาน...........

การเดินทางช่วงสุดท้ายในสายหมอก
ทุกระลอกลมหายใจวาบไหวหวาน
คลับคล้ายเป็นภาพฝันเมื่อวันวาน
มองเห็นบ้านแต่ไกลในสายตา

กลีบดอกนิ่มริมทางบางระยับ
ยิ้มต้อนรับการเยือนเพื่อนร่วมป่า
"....เอ็งทุกข์สุขอย่างไรไปใหนมา
ไม่เห็นหน้านึกหวั่นอันตราย...."

"ข้าเดินทางไปที่โน่นโพ้นขอบฟ้า
ไร้ต้นไม้ใบหญ้าข้าเหนื่อยหน่าย
ป่าคอนกรีตสับสนคนมากมาย
ข้าถูกขายเป็นสินค้าในป่าคน"

"เอ็งช่างเก่งช่างกล้าสารพัด
อยู่ป่าชัฏรับรองไม่หมองหม่น
ฟังเขาว่าคนที่นั่น (ปัญญาชน)
พวกข้าบ่นถึงเอ็งไม่เว้นวัน"

".......ข้ากลับมาวันนี้สู่ที่พัก
ด้วยความรักแผ่นดินถิ่นสุขสันต์
ความหลังข้าหากมีบ้าง ช่างหัวมัน
ข้าจะเป็น (ดวงจันทร์) แต่วันนี้......."

นิรินธน์  ศรีรักษา


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 23 กันยายน 2009, 06:01:PM

"เพลงชาติ"

ของ นภาลัย  (ฤกษ์ชนะ)สุวรรณธาดา
ใน ดอกไม้ใกล้หมอน

ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพลิ้ว
แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี
ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้
แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ

ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว
ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย"
ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง

ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก
เราแสนรักและแสนจะแหนหวง
แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง
ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี

เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ
พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี
เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี
แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ

แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ
คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้
บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย
บ้างฝักใฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง

ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง
แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง
จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง!
         ...............

บทกวีชุดนี้ประกวดที่ สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้รับรางวัลชนะเลิศ

ขอบคุณ http://writer.dek-d.com/pitchy_on/blog/?blog_id=10006489 (http://writer.dek-d.com/pitchy_on/blog/?blog_id=10006489)
 และ     http://chakkrishanamanivarna.spaces.live.com/blog/cns (http://chakkrishanamanivarna.spaces.live.com/blog/cns)!91D2E77BAB7015!522.entry


หัวข้อ: ลืมฉันทลักษณ์บ้างก็ได้
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 26 กันยายน 2009, 04:35:PM
+ ลืมฉันทลักษณ์บ้างก็ได้

๏ ความดีมิได้มีแต่ในวัด
หรือจำกัดอยู่ในกรอบราชฐาน
ในหุบห้วยตรวยโตรกตรอกโซรกธาร
เป็นหนึ่งในย่อมย่านของความดี

๏ คนดีใช่จะมีแต่ผ้าเหลือง
หรือทรงเครื่องเรืองจำรัสรัศมี
ที่ร่องแร่งรุ่มร่ามตามพงพี
ก็มากมีธรรมครองอย่างทองคำ

๏ ของดีใช่จะมีแต่ในโบสถ์
หรือรุ่งโรจน์เรืองอยู่ราชูปถัมภ์
ใต้สมุทรสุดลึกอันดึกดำ
ในเถื่อนถ้ำของดีก็มีมูล

๏ คำดี,ดี มีในสมุดข่อย
มากน้อยก็ยังอยู่ไม่รู้สูญ
ทั้งคำคล้องจองกันอันจำรูญ
ทั้งคำพูดพร้อมพูนเป็นคำคน

๏ คำดี,ดี มีแสดงบนแท่งหิน
บ้างขาดวิ่นอ่านกลับกันสับสน
ก็เป็นคำงามงอนไม่ซ่อนกล
เป็นนิพนธ์คำ,คำ ก็งามดี

๏ ไม่มีกรอบกรองคำก็งามได้
อยู่แต่ใครจะไปถึงซึ่งได้ที่
เมื่อสำนึกลึกซึ้งถึงกวี
มีไม่มีฉันทลักษณ์ไม่รู้แล้ว ๚ะ๛
--------------
สุจิตต์ วงษ์เทศ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 02 ตุลาคม 2009, 01:38:PM
                         เพลงยาวพระยาตรัง
๐ ...........................................ขาวเหลืองเรืองศรีวอเชียรฉาย
แสนสวาทมิได้ขาดทิวาวาย...........เสน่ห์หมายวัชชิรัตน์อลงกรณ์
๐ แสงสว่างกระจ่างแจ่มจับเนตร....วันประเวศบนวิบูลยสิงขร
แม้นเรืองฤทธิ์เหมือนวิทยาธร........จะเขจรแหวกเมฆไปเมียงชม
๐ พื้นหัตถ์จะประชีสำลีรอง...........จะประคองช้อนชูมาสู่สม
แสนสงวนมิให้ต้องละอองลม........จะวางชมบนพื้นสุมาลี
๐ วัดถาเวียนวงจงประดับ..............มิให้อับอ่อนแสงมณีศรี
จะแนบไว้ในอุราทุกนาที...............อันราคีมิให้ปนระคนพาล
๐ นี้สุดยากที่จะบากอารมณ์ถวิล.....ทั้งเดินดินแล้วก็ขลาดไม่อาจหาญ
ตั้งแต่ทนเทวษช้ำระกำนาน............ก็นับวารวายชีพนิราทวา
๐ เพราะขนิษฐ์แลได้คิดภิรมย์รัก....เสน่ห์หนักในเพศแห่งเชษฐา
ไม่สมหมายก็ไม่วายจินตนา...........จะฝืนฝ่าฝากรักก็สุดใจ
๐ อนุชาเหมือนว่ายวนวาเรศ..........ลอยประเวศตามสายชลาไหล
จะบ่ายหน้าหาฝั่งก็ยังไกล.............จะพึ่งพักขอนไม้ไม่ทานตน
๐ อันสัดจองนาวาก็หายาก............จะเบือนบากพึ่งใครก็ขัดสน
แต่เวียนว่ายอยู่ในสายทะเลวน.......แสนทุพพลยอดยากลำบากกาย
๐ เห็นแต่พี่แลจะชูชีวิตน้อง...........ช่วยประคองขึ้นให้พ้นกระแสสาย
เมื่อการุญทำคุณไว้ไม่ตาย............จะบากบ่ายนำเสน่ห์สนองกัน
๐ ไม่ลืมคุณอุปการคุณวันหน้า........จะม้วยดินสิ้นฟ้าสุธาสวรรค์
เชิญสมานการโดยระบอบบรรพ์......วานอย่าฉันทาเคียดรังเกียจกวน
๐ เชิญสนองในคลองเสน่ห์มิตร......คำนึงคิดอยู่ในฤๅทัยสงวน
ถ้ารับรักแล้วอย่ารักให้เรรวน..........วานอย่าม้วนสวาทไว้ให้เนิ่นนาน
๐ เชิญร่วมอารมณ์ภิรมย์รัก.............ให้สมศักดิ์สมสวาทในมาศฐาน
อย่าแหนงรักเลยว่าจะพลันราน.......สดับสารแล้วอย่าคิดระแวงแคลง
๐ ประการใดในประเพณีสวาท.......ขอประสาทเสน่ห์ไว้ไม่ควรแถลง
หนึ่งเชษฐาถึงจักว่ารักแรง............จงให้แจ้งแต่รับไมตรีตรอง
๐ เอ็นดูเถิดที่ธุระทุรารัก................เห็นแก่พักตร์เถิดจงเยื้อนเสน่ห์สนอง
ดำริรักแล้วอย่าคิดให้ผิดคลอง.......ไมตรีประคองอย่าให้สูญสวาทเอย..ฯ

           พระยาตรังคภูมาภิบาล(กวีในสมัย ร.๒)


ขอบคุณที่มา  : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&group=11 (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&group=11)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ไอ้จ่อย ที่ 05 ตุลาคม 2009, 10:42:AM

แด่...กวีสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่

ประพันธ์โดย  คุณสมบัติ  ตั้งก่อเกียรติ
สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย


บทกวีอ่านที่ไหนได้ทั้งนั้น
อย่าอ่านกันเปะปะข้างถนน
เห็นแล้วอายขายหน้าประชาชน
มันสุดทน ค่ำชำเรา เช้าชำรุด

พิศวง "วงกวีกระวาด" วิ่น
ชอบอ้างฟ้าหากินไม่สิ้นสุด
เสียศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
ข้าขอ "ทุด" สักคำให้หนำใจ

บทกวีชี้ทางข้างคนผิด
พันธมิตร "กวีสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่"
พฤติกรรมสำแดงเปลี่ยนแปลงไป
ล้ม "ประชาธิปไตย" ได้ลงคอ

เกิดอะไรขึ้นหรือช่วยสื่อสาร
ไยรับใช้ "เผด็จการ" วานบอกต่อ
เหมือนอดอยากปากแห้งแกล้งสอพลอ
น้ำลายสอลื่นไหลจนใจลอย

กับเศษเงิน "เอ็น จี โอ" โอ้อนาถ
ทำกวีแห่งชาติเป็นทาสถ่อย
หักหาญใจ ไทยทั่วหล้า น้ำตาปรอย
กวีเล็ก กวีน้อย พลอยอาดูร

มีปัญญาน่าจะรู้อยู่เต็มอก
ขุมนรกตรงหน้าจะพาสูญ
แม้วันนี้มีทรัพย์นับพอกพูน
คือกองกูณฑ์ กิเลส ถมเศษคน




หัวข้อ: แทนไมตรี
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 07 ตุลาคม 2009, 04:34:PM
แทนไมตรี

คืนจันทร์เพ็ญเด่นฟ้าโลมหล้ารื่น
เคยชมชื่นมโหรีที่แว่วหวาน
แต่นี้ไปไม่ปรากฏแม้รสกานท์
กล่อมดวงมานเหมือนเก่าน่าเศร้าใจ

คิดถึงคำช้ำอุรานิจจาเอ๋ย
ก่อนนี้เคยวาบวับชวนหลับไหล
ยิ่งพระพายชายพาสุมาลัย
กำซาบในนาสายิ่งอาวรณ์

ชื่นอะไรไม่เท่าคำมิตรฉ่ำชื่น
ทุกข์ใดอื่นไม่ทุกข์ดังความหลังหลอน
หวานใดเล่าเท่าหวานแห่งกานท์กลอน
จึงร้าวรอนยามเธอจากพลัดพรากไป

ขอกลอนดลมนตร์ผ่านละหานห้วย
พระพายช่วยพัดพลิ้วละลิ่วไหว
สกุลเกริ่นลำนำนี้ระรี่ไกล
สู่ห้องใจเธอแม้นแทนดนตรี

กระซิบสั่งกวีวากย์ฝังฝากจิต
ว่ามิ่งมิตรห่วงใยไม่แหนงหนี
หากไม่เลือนเพื่อนใจเคยไยดี
เธอจงมีจิตชื่นคิดคืนมา

สมประสงค์  สถาปิตานนท์   (สุภาพสตรี .... นักกลอน)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 27 มกราคม 2010, 02:08:PM
แก้ว...

ขอเขียนกลอนถึงแก้วที่แวววับ
ก่อนแก้วลับดับรักอีกสักหน
เก็บหวงแหนแขวนไว้เหนือใจตน
แหวะกมลออกมาผ่าดูที

ความเหลื่อมล้ำค้ำกลางระหว่างรัก
จะละศักดิ์สมรสก็หมดศรี
ทนรอท่ายาจกเกือบหกปี
ป่านฉะนี้อาภัพน่าอับอาย

จะรักสัตย์ซื่อต่อก็เสียหน้า
จะร้างราเลิกรอก็เสียหาย
จะฝืนสาวเล่าหนอก็เสียดาย
กลืนหรือคายมันก็ฝืดพะอืดพะอม

เห็นใจแก้วเก้าสีที่สุดแล้ว
แก้วคู่แก้วโดยเฉพาะจึงเหมาะสม
หากลดเกียรติเกลือกกรวดอวดสังคม
แก้วจะจมกรวดจ้อยถอยราคา

ยอมคว้านใจจำฝืนคืนพันธะ
เสียสละแก้วขวัญแก้ปัญหา
ลืมเสียเถิดลืมอดีตกรีดน้ำตา
แก้วล้ำค่ายังพิสุทธิ์ประดุจดาว

ขอโทษใจใฝ่สูงอุ้มเท้าแก้ว
แก้วเหยียบแล้วขอให้ลือกันอื้อฉาว
เป็นประกาศนียบัตรขจัดคาว
ส่งแก้วสาวก้าวสู่สิ่งคู่ควร

สวัสดิ์    ธงศรีเจริญ




หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2010, 04:11:PM
ผลงานของ วิจิตร ปิ่นจินดา ใน นิราศกรุงเก่า ๒๕๑๑
ตอบคำที่มีผู้โจมตีคนเขียนกลอนรักว่า เป็นพวก ”เขียนกลอนหาผัวหาเมีย”

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_009.png)

มีความคิดวิตถารสันดานเขลา
ชอบทำลายของเก่าให้เสื่อมศรี
เช่นกาพย์กลอนอ่อนหวานธารวจี
สุนทรีของหัวใจแต่ไรมา

กลับแสดงความเห็นให้เด่นโก้
ที่แท้โง่งมงายน่าขายหน้า
ว่าเป็นกลอนหาผัวเมียเสียวลา
ไร้คุณค่าควรสนองกันสองคน

ไม่ควรมาปรากฏให้อดสู
ควรอ่านอยู่น้องกับพี่พอมีผล
โอ้นี่หรือวาจาปัญญาชน
ว่าควรตนอ่านเพียงบนเตียงนอน

ความคิดต่ำทรามถ่อยถ้อยสถุล
บอกสกุลวงศาเพียงกาสร
ไม่เข้าใจในรสของบทกลอน
เที่ยวขอดค่อนปากกล้านึกว่าคม

ที่แท้ก็ความคิดติดคับแคบ
ปมด้อยแอบแฝงในใจขื่นขม
ตนเคยเรียนเขียนอยู่ไร้ผู้ชม
ไม่มีใครนิยมคารมตน

อันกลอนรักมักมิตรชอบขีดขียน
แต่ว่ายากจะพากเพียรให้เห็นผล
เพราะกลอนรักเขียนให้ซึ้งใจคน
ใช่ฝีมือ พลพล จะเขียนเป็น ฯ

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_009.png)
ต่วย’ตูน ฉบับพ็อกเก็ตบุ๊ค  ธันวาคม ๒๕๓๓


หัวข้อ: กลอนดี ๆ จากวาณิช จรุงกิจอนันต์
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 24 มิถุนายน 2010, 04:42:PM
กลอนดี ๆ จากวาณิช จรุงกิจอนันต์


เราจะลาจากกันแล้ววันนี้
ทั้งทั้งที่หวาดผวาและว้าเหว่
ฉันคือเรืออิสระล่องทะเล
จะโล้เร่ร้างไกลฝั่งใจเธอ

เสียดายวันสงสารวัยความใกล้ชิด
ไกลกันนิดก็ปานว่าน้ำตาเอ่อ
ละไมยิ้มพิมพ์หัวใจละไมละเมอ
คงยิ้มเก้อแล้วละหนอต่อแต่นี้

โถ...รอยเท้าก้าวหรือถอยก็รอยเท้า
เมื่อเราก้าวกันใกล้ในทุกที่
จะเร้นรอยให้ฝันร้ายอีกหลายปี
เมื่อไม่มีรอยเท้ามาก้าวเคียง

เสียงหัวเราะเคยล้อต่อกระซิก
รินระริกดังน้ำรินก็สิ้นเสียง
เคยสำเหนียกลำนำถ้อยสำเนียง
จะเหลือเพียงลำนำในสำนึก

คืนที่เคยนั่งคู่กันดูดาว
จะนั่งเดียวเดี่ยวหนาวเมื่อคราวดึก
ตาสบตาบอกความหมายล้ำลึก
จะรู้สึกได้อย่างไรเมื่อไกลตา

หวั่นว่าห่วงเสน่หาลับลาหาย
มั่นใจหมายกลับมาเห็นเพ็ญดวงหน้า
นี่มิใช่คำมั่นแห่งสัญญา
แต่ทว่า เป็นคำฝากจากหัวใจ

รักแค่เพียงคำพูดพิสูจน์ยาก
แต่เมื่อจากคงพิสูจน์คำพูดได้
ใจของเราเราย่อมรู้อยู่ที่ใคร
กับคนใกล้หรือคนไกลใจคงรู้

ฉันมิใช่ขุนน้ำมีตำหนัก
เพียงมีแรงแห่งรักเป็นนักสู้
เธอคือคนที่จะเปิดประตู
ฉันไปสู่สนามชัยในชีวิต

ขอบคุณอย่างมากจากหัวใจ
ที่กล้าให้โอกาสซึ่งอาจผิด
เพราะอย่างน้อยชีวิตนี้ก็มีทิศ
หมายนิมิตสิ่งซึ่งฝันถึงมัน

ไม่ต้องคิดถึงวันที่ฉันกลับ
ไม่ต้องนับวันเวลารอท่าฉัน
ขอให้คิดถึงบ้างเพียงบางวัน
และสวดมนต์ให้กันเท่านั้นพอ

เก็บดอกไม้แห่งกมลไว้บนหิ้ง
อย่าทอดทิ้งให้เศร้าอับเฉาช่อ
ขอน้ำตาสักหนึ่งหยดรดไว้คลอ
และการรอจะช่วยให้ดอกไม้บาน

ฉันลาก่อน...เขียนกลอนลาว้าเหว่นัก
และกลอนรักคงจะไร้ยามไกลบ้าน
หลังการลาเริ่มการรอทรมาน
ฉันเกรงการกลับมาเก้อ เมื่อเธอลืม



หนังสือพิมพ์ มติชนรายสัปดาห์
คอลัมน์ วาณิช จรุงกิจอนันต์
วันที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2545 ปีที่ 22 ฉบับที่ 1129


หัวข้อ: หัวใจที่ชาเย็น
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 23 กรกฎาคม 2010, 10:33:AM
 
หัวใจที่ชาเย็น

เธอแย้มเยื้อนเย้ากมลจนไหวหวั่น
ทุกทุกวันซึ้งสนิทเกินปลิดหาย
จะกี่เดือนกี่ปีไม่มีคลาย
เหมือนกับสายเจ้าพระยาตราบตาปี

เราจากกันแต่ตัวหัวใจซึ้ง
ครุ่นคะนึงห่วงถวิลทุกถิ่นที่
นานเหมือนนับกัปกัลป์พันทวี
เมื่อเรามีโอกาสใกล้ใหม่อีกครั้ง

หวิวและหวามความสัมพันธ์วันเก่าเก่า
รุกรุมเร้าหัวใจให้ความหวัง
หวังให้หวังครั้งนี้อยู่จีรัง
เสมือนดังตั้งจิตเตือนติดตา

คิดว่ารักจักอยู่เคียงคู่รัก
คิดว่าหลักคงไม่คลอนรอนคุณค่า
คิดว่าแกร่งเกินแผนแผ่นศิลา
และคิดว่ามั่นคงจำนงนัย

แต่ชีพกร้านกร้าวฉกรรจ์ทุกวันนี้
ไม่เหมือนที่จิตฉันเคยหวั่นไหว
กลับคล้ายลมพลิ้วเฉยผ่านเลยไป
ในหัวใจชาเย็นเหมือนเช่นเดิม

สุรีย์ พันเจริญ (ลาวแพน)
 




หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 23 กรกฎาคม 2010, 10:54:AM

ฉันเสียใจ

อยากสอยดาวพราวพร้อยเป็นสร้อยศอ
อยากจะทอใยแขเป็นแพรสี
แต่เป็นเพียงภาพสร้างอย่างกวี
จึงสุดที่เสกสรรค์กำนัลเธอ

อยากจะร้อยสร้อยทองเป็นของขวัญ
อยากกำนัลแพรสีที่ขายเกร่อ
แต่เป็นคนจนยากกว่าหลากเกลอ
เกินบำเรอขวัญได้สมใจรัก

อยากประดิษฐ์คิดร้อยสายสร้อยเศร้า
สาวใยเหงาใยหงอยมาร้อยถัก
เป็นรูปพจน์บทกลอนสุนทรลักษณ์
เธอคงจักขำเยาะเพราะค่าไร้

มีเพียงรักสีมุกด์คราวขุกเข็ญ
พอร้อยเป็นสร้อยศอคล้องคอให้
พร้อมกับความหวังดีที่เปี่ยมใจ
ทอแทนไหมแพรห่มกันลมลวง

คนดี
รู้ไหมที่ฉันเร้นความเป็นห่วง
ซึ่งเคยเลวเหลวไหลเกินใครปวง
เหมือนไม่ห่วงเธอนั้น...ฉันเสียใจ


ถาวร  บุญปวัตน์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥▬รู้ว่ารัก▬♥ ที่ 31 กรกฎาคม 2010, 02:39:PM
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

กลอนสุนทรภู่ บางตอนจาก "เพลงยาวถวายโอวาท


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥▬รู้ว่ารัก▬♥ ที่ 31 กรกฎาคม 2010, 02:41:PM
๏ ถึงเกาะเกิดเกิดเกาะขึ้นกลางน้ำ เหมือนเกิดกรรมเกิดราชการหลวง
จึงเกิดโศกขัดขวางขึ้นกลางทรวง จะตักตวงไว้ก็เติบกว่าเกาะดิน
รำพึงพายตามสายกระแสเชี่ยว ยิ่งแสนเปลี่ยวเปล่าในฤทัยถวิล
สักครู่หนึ่งก็มาถึงบางเกาะอิน กระแสสินธุ์สายชลเป็นวนวัง
อันเท็จจริงสิ่งนี้ไม่รู้แน่ ได้ยินแต่ยุบลแต่หนหลัง
ว่าที่เกาะบางอออินเป็นถิ่นวัง กษัตริย์ครั้งครองศรีอยุธยา
พาสนมออกมาชมคณานก ก็เรื้อรกรั้งร้างเป็นทางป่า
อันคำแจ้งกับเราแกล้งสังเกตตา ก็เห็นน่าที่จะแน่กระแสความ
แต่เดี๋ยวนี้มีไม้ก็ตายโกร๋น ทั้งเกิดโจรจระเข้ให้คนขาม
โอ้ฉะนี้แก้วพี่เจ้ามาตาม จะวอนถามย่านน้ำพี่ร่ำไปฯ
   
๏ ถึงเกาะพระที่ระยะสำเภาล่ม เภตราจมอยู่ในแควกระแสไหล
ถึงเกาะเรียนโอ้เรียมยิ่งเกรียมใจ ที่เพื่อนไปเขาก็โจษกันกลางเรือ
ว่าคุ้งหน้าท่าเสือข้ามกระแส พี่แลแลหาเสือไม่เห็นเสือ
ถ้ามีจริงก็จะวิ่งลงจากเรือ อุทิศเนื้อให้เป็นภักษ์พยัคฆา
ไม่เคยตายเขาบ่ายนาวาล่อง เข้าในคลองตะเคียนให้โหยหา
ระยะย่านบ้านช่องในคลองมา ล้วนภาษาพวกแขกตะนีอึง
ดูหน้าตาก็ไม่น่าจะชมชื่น พี่แข็งขืนอารมณ์ทำก้มขึง
ที่เพื่อนเราร้องหยอกมันออกอึง จนเรือถึงปากช่องคลองตะเคียนฯ
   
๏ เห็นวัดวาอารามตามตลิ่ง ออกแจ้งจริงเหลือจะจำในคำเขียน
พระเจดีย์ดูกลาดดาษเดียร การเปรียญโบสถ์กุฏิ์ชำรุดพัง
ถึงวัดธารมาใหม่ใจระย่อ ของพระหน่อสุริย์วงศ์พระวังหลัง
อุตส่าห์ทรงศรัทธามาประทัง อารามรั้งหรือมางามอร่ามทอง
สังเวชวัดธารมาที่อาศัย ถึงสร้างใหม่ชื่อยังธาระมาหมอง
เหมือนทุกข์พี่ถึงจะมีจินดาครอง มงกุฎทองสร้อยสะอิ้งมาใส่กาย
อันตัวงามยามนี้ก็ตรอมอก แสนวิตกมาตามแควกระแสสาย
ถึงคลองสระปทุมานาวาราย น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา
ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา
ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคนฯ
   
๏ อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง
มโหรีปี่กลองจะก้องกึก จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา
ทั้งสองฝั่งแฝกแขมแอร่มรก ชะตาตกสูญสิ้นพระชันษา
แต่ปู่ย่ายายเราท่านเล่ามา เมื่อแรกศรีอยุธยายังเจริญ
กษัตริย์สืบสุริย์วงศ์ดำรงโลก ระงับโศกสุขสุดจะสรรเสริญ
เราเห็นยับยังแต่รอยก็พลอยเพลิน เสียดายเกิดมาเมื่อเกินน่าน้อยใจ
กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย
หรือธานินสิ้นเกณฑ์จึงเกิดยุค ไพรีรุกรบได้ดังใจหมาย
เหมือนทุกวันแล้วไม่คัณนาตาย ให้ใจหายหวั่นหวั่นถึงจันทร์ดวงฯ
   
๏ พี่ดูใจค่ายนอกออกหนักแน่น ดังเขตแคว้นคูขอบนครหลวง
ไม่เห็นจริงใจนางในกลางทรวง ชายทะลวงเข้ามาบ้างจะอย่างไร
ขอเทเวศร์เขตสวรรค์ชั้นดุสิต ดลใจมิตรอย่าให้เหมือนกับกรุงใหญ่
ให้เหมือนกรุงเราทุกวันไม่พรั่นใคร นั่นแลใจเห็นจะครองกับน้องนานฯ
   
๏ สุริยนเย็นสนธยาย่ำ ประทับลำเรือเรียงเคียงขนาน
เขาเรียกวัดแม่นางปลื้มลืมรำคาญ ใครขนานชื่อหนอได้ต่อมา
ช่างแปลงโศกให้เราปลื้มพอลืมรัก จะรู้จักคุณจริงไม่แกล้งว่า
พลพายนายไพร่บรรดามา หุงข้าวหาฟืนใส่ก่อไฟฮือ
พี่ตันอกตกยากจากสถาน เห็นอาหารหวนทอดใจใหญ่หือ
ค่อยขืนเคี้ยวข้าวคำสักกำมือ พอกลืนครือคอแค้นดังขวากคม
จะเจือน้ำซ้ำแสบในทรวงเสียว มีเค็มเปรี้ยวกล้ำกลืนก็ขื่นขม
กินประทับแต่พอรับกับโรคลม ครั้นค่ำพรมน้ำค้างอยู่พร่างพราย
ก็แรมรอนนอนวัดแม่นางปลื้ม พี่ไม่ลืมอาลัยให้ใจหาย
ทั้งไพร่นายนอนกลาดบนหาดทราย พงศ์นารายณ์นรินทร์วงศ์ที่ทรงญาณ
บรรทมเรือพระที่นั่งบังวิสูตร เขารวบรูดรอบดีทั้งสี่ด้าน
ครั้นรุ่งเช้าราวโมงหนึ่งนานนาน จัดแจงม่านให้เคลื่อนนาวาคลาฯ
   
๏ เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ ดูเกะกะรอร้างทางพม่า
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
พอเลี้ยวแหลมถึงท่าศาลาเกวียน ตลิ่งเตียนแลโล่งดังคนถาง
พี่ตั้งตาหาเกวียนสองข้างทาง หมายจะจ้างบรรทุกไปท่าเรือ
แต่ทุกข์รักก็เห็นหนักถนัดอก ถึงสักหกเจ็ดเกวียนก็เจียนเหลือ
แต่โศกรักมาจนหนักในลำเรือ เฝ้าเติมเจือไปทุกคุ้งรำคาญครันฯ
   
๏ ถึงบ่อโพงถ้ามีโพงจะผาสุก จะโพงทุกข์เสียให้สิ้นที่โศกศัลย์
นี่แลแลก็เห็นแต่ตลิ่งชัน ถึงปากจั่นตละเตือนให้ตรอมใจ
โอ้นามน้องหรือมาพ้องกับชื่อบ้าน ลืมรำคาญแล้วมานึกรำลึกได้
ถึงบางระกำโอ้กรรมระยำใจ เคราะห์กระไรจึงมาร้ายไม่วายเลย
ระกำกายมาถึงท้ายระกำบ้าน ระกำย่านนี่ก็ยาวนะอกเอ๋ย
โอ้คนผู้เขาช่างอยู่อย่างไรเลย หรืออยู่เคยความระกำทุกค่ำคืนฯ
   
๏ ถึงคุ้งแคว้นแดนพระนครหลวง ยิ่งโศกทรวงเสียใจให้สะอื้น
โอ้อกเอ๋ยยังจะไปอีกหลายคืน กว่าจะชื่นแทบช้ำระกำกาย
ถึงแม่ลาเมื่อเรามาก็ลาแม่ แม่จะแลแลหาไม่เห็นหาย
จะถามข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย แต่เจ้าสายสุดใจมิได้มา
ถึงอรัญญิกยามแดดแผดพยับ เสโทซับซาบโทรมทั้งนาสา
ถึงตะเคียนด้วนด่วนรีบนาวามา ถึงศาลาลอยแลลิงโลดใจ
เงื้อมตลิ่งงิ้วงามตระหง่านยอด ระกะกอดเกะกะกิ่งไสว
พยุยวบกิ่งเยือกเขยื้อนใบ ถึงวังตะไลเห็นบ้านละลานแล
ถึงบ้านขวางที่ทางนาวาจอด เรือตลอดแลหลามตามกระแส
ถึงท่าเรือเรือยัดกันอัดแอ ดูจอแจจอดริมตลิ่งชุม
ที่หน้าท่ารารับประทับหยุด อุตลุดขนของขึ้นกองสุม
เสบียงใครใครนั่งระวังคุม พร้อมชุมนุมแน่นหน้าศาลารีฯ
   
๏ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงสิกขา ขึ้นศาลาโสรจสรงวารีศรี
ข้างพวกเราเฮฮาลงวารี แต่โดยดีใจตนด้วยพ้นพาย
อุระเรียมเกรียมตรมอารมณ์ร้อน ระอาอ่านอกใจมิใคร่หาย
แลตลิ่งวิงหน้านัยน์ตาพราย หัวไหล่ตายตึงยอกตลอดตัว
ได้พึ่งเพื่อนเหมือนญาติเมื่อยามเข็ญ เขานวดเคล้นให้บ้างก็ยังชั่ว
พระอาทิตย์มืดมิดเข้าเมฆมัว ฟ้าสลัวแดดดับพยับไพร
กองคเชนทร์เกณฑ์ช้างยี่สิบเชือก มาจัดเลือกกองหมอขึ้นคอไส
ที่เดินดีขี่กูบไม่แกว่งไกว วิสูตรใส่สองข้างเป็นช้างทรง
แล้วผ่อนเกณฑ์กองช้างไว้กลางทุ่ง เวลารุ่งจะเสด็จขึ้นไพรระหง
ที่สี่เวรเกณฑ์กันไว้ล้อมวง พระจอมพงศ์อิศยมบรรทมพลันฯ
 
 

 สุนทรภู่



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ปาระ ที่ 31 กรกฎาคม 2010, 02:59:PM
ภัยร้ายของนักเรียน

เป็นนักเรียน เพียรศึกษา อย่าริรัก
ถูกศรปัก เรียนไม่ได้ ดั่งใจหมาย
สมาธิจะ หักเหี้ยน เตียนมลาย
ถึงเรียนได้ ก็ไม่ดี เพราะผีกวน

แต่เตือนกัน สักเท่าไร ก็ไม่เชื่อ
มันแรงเหลือ รักร้าย หลายกระสวน
หลอกพ่อแม่ มากมาย หลายกระบวน
หน้าขาวนวล ใจหยาบดำ ซ้ำละลาย

การเล่าเรียน เบื่อหน่าย คล้ายจะบ้า
ใช้เงินอย่าง เทน้ำเทท่า น่าใจหาย
ไม่เท่าไร ใจกระด้าง สิ้นยางอาย
หญิงหรือชาย เรียนไม่ดี สิ่งนี้เอง

มีสัจจะ ทมะ และขันตี
กตัญญู กตเวที อย่าโฉงเฉง
รักพ่อแม่ พวกพ้อง ต้องยำเกรง
เรียนให้เก่ง ให้ยิ้มแปล้ แก่ทุกคน ฯ
 
ท่านพุทธทาส


หัวข้อ: นิ้วมือ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 24 มีนาคม 2011, 09:25:AM

                          นิ้วมือ

                     นิ้วเอ๋ยนิ้วมือ
                     ห้านิ้วถือสิ่งใดได้ถนัด
                     ลองพินิจคิดดูก็รู้ชัด
                     ธรรมช่าติช่างจัดได้แยบคาย
                     หัวแม่มือชี้กลางนางนิ้วก้อย
                     ใหญ่และน้อยเรียงดีมีมุ่งหมาย
                     หากเท่ากันคงมิงามยามกรีดกราย
                     หมู่คณะก็คล้ายนิ้วมือเอย

                       emo_100   อาจารย์ฐะปะนีย์  นาครทรรพ



หัวข้อ: สร้างสมัย
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 24 มีนาคม 2011, 10:52:AM
                      สร้างสมัย
                       
                        หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสาม สามเป็นสี่
                         สามัคคี คือพลัง สร้างสมัย
                          มือกระหวัด มัดหวาย แกร่งกายใจ
                           ผลักผาได้ ด้วยแรง แห่งผองเรา

                            ใจต่อใจ เข้าใจ ในใจกัน
                             เป็นใจหนึ่ง เท่านั้น บรรลุเป้า
                              ถ้าต่างใจ ต่างตัว ต่างมัวเมา
                               ถึงร้อยเท่า พันเท่า ก็เปล่าดาย

                                ไม่เห็นทิศ เห็นทาง ให้วางเท้า
                                 ก็เดินเปล่า เปื่อยไป ไร้ความหมาย
                                  มีธงชัย หมายมั่น ในบั้นปลาย
                                   ไม่ร่วมทาง ย่างกราย อย่าหมายคว้า

                                      ต้องยอมรับ ยอมรู้ ดูห่าฝน
                                       แต่อย่ายอม จำนน กับฝนห่า
                                        บางครั้งอาจ ต้องถอย คอยฝนซา
                                         แต่บางครั้ง ต้องกล้า ฝ่าฝนซัด   


       
                    สำนวนของ...กวีซีไรต์ ปี 2523  เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
                           

                           สาวกะปูอ่านแล้ว ก้ามแกร่งขึ้น..แกร่งขึ้น   emo_100


หัวข้อ: ชำระใจให้สะอาดปราศมลทิน
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 24 มีนาคม 2011, 03:36:PM
     ชำระใจให้สะอาดปราศมลทิน

              ความคิดอยู่ในอากาศ
           ความพยาบาทอยู่ในหุบเหว
           ความรักอยู่ในเพลิงเปลว
           ความล้มเหลวอยู่ในวังวน

               ความสุขอยู่ในท้ิองฟ้า
           ความเมตตาอยู่ในสายฝน
           ความหลังอยู่ในสายชล
           ความทุกข์ทนอยู่ในหนทาง 

              ความงามอยู่ในสายลม
           ความเหมาะสมอยู่ในระหว่าง
           ความดีอยู่ในช่องกลาง
           ความเหินห่างอยู่ในเวลา
             
              ความขลาดอยู่ในยามค่ำ
            ความชอกช้ำอยู่ในห่วงหา
            ความเหงาอยู่ในแววตา
            ความหาญกล้าอยู่ในกมล

               ความรู้สึกจะสุขทุกข์ดีร้าย
            ความคิดจะคลับคล้ายหรือสับสน
            ความเป็นไปล้วนเกิดจากใจคน
            ความกังวลจะแสวงหานำพาไป

               จงเก็บความรู้สึกเป็นอาหาร
             เลือกรับทานของมีประโยชน์ไว้
             ของแสลงสิ่งเลวร้ายจึงทิ้งไกล
             ชำระใจให้สะอาดปราศมลทิน

     สำนวนของ..นันทพร  สิริลลัพธ์ (เชียงราย)     
     
             
                 
       emo_100 สาวกะปู..ชอบใจ จดไว้อ่าน    รวมผลงาน เจ๋งเจ๋ง ในเล่มใหญ่
                         สำนวนนี้ สื่อความคิด คิดได้ไง!  เปรียบ"ความ"ไป ใช่เลย! ทุกความคิด


หัวข้อ: ยอดกล้วยไม้
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 28 มีนาคม 2011, 09:04:PM
      (http://upic.me/i/sg/96whodcapliyc4cas3q4nkcagnxjsdcaw6gw27cafy2zbsca2u4mpzcac8vhlkcap0hv82cao88v9tcaoqru8pcakpzx5ucampi4b5cah1qy4ucawsk25qcaepqrw2cab5tn06camq5smlca80oum0.jpg)

                                กล้วยไม้มีดอกช้า      ฉันใด
                      การศึกษาเป็นไป           เช่นนั้น
                      แต่ดอกออกคราวไร        งามเด่น
                      การศึกษาปลูกปั้น          เสร็จแ้ล้วแสนงาม


                             จากต้นฉบับ    ม.ล.ปิ่น  มาลากุล         
                 

                            ไม่น้อยเลย
 
                                สู้เหนื่อยยากตรากตรำพร่ำสอนศิษย์
                       นี่แหละคือชีวิตของตัวฉัน
                       ศิษย์ที่ชั่วตัวแก่นแสนดื้อดัน
                       แต่ละวันกวนใจไม่น้อยเลย
                            ศิษย์เก่าไปใหม่มาว่ากันใหม่
                       แต่ละปีผ่านไปไม่หยุดเฉย
                       แก้จนกลับตัวได้ไม่น้อยเลย
                       มิได้เคยผ่อนพักสักหนึ่งวัน
                            บัดนี้คราวชรามาอยู่บ้าน
                       หลับตานึกถึงการที่ตัวฉัน
                       ได้ช่วยศิษย์คิดรวมร่วมหนึ่งพัน
                       แต่ละวันปลื้มใจไม่น้อยเลย                             
                           
                             ม.ล.ปิ่น  มาลากุล           
                                             
                      ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2530
               นักการศึกษาดีเด่นระดับโลก สาขาวรรณกรรมและการสื่ิอสาร ปี 2546   
       
                          สาวกะปูน้อมคารวะด้วยศรัทธา บูชาครู   emo_54  emo_54


หัวข้อ: ่เพ่..ยังไม่มาว..
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 29 มีนาคม 2011, 10:03:AM
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

กลอนสุนทรภู่ บางตอนจาก "เพลงยาวถวายโอวาท

    "ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก   สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
   ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป        แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน"
                      ซึ้งวรรคทองบทนี้มานานแล้ว
                     ท่องเจื้อยแจ้วจำจดบทอาขยาน
                     สุนทรภู่ร้อยรสพจมาน
                     เอกผลงาน คือ
"นิราศภูเขาทอง"

                              สาวกะปู ชัวร์!    emo_100

                                     


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: คนแบกไมค์ ที่ 11 เมษายน 2011, 12:35:AM
ขันน้ำหยดน้อยๆ                หยดบ่อยๆน้ำยังหมด
ราชกิจแม้ผิดน้อย              ผิดบ่อยๆก็เสื่อมยศ
บุญกรรมถึงทำน้อย            แต่ทำบ่อยก็ปรากฎ
ห้วงน้ำไหลน้อยๆ               ไหลบ่อยๆน้ำยังลด
เหมือนทรัพย์จับจ่ายน้อย     แต่จ่ายบ่อยทรัพย์ยังหมด
อย่าง่ายการจ่ายเงิน            จ่ายเงินเกินจะกำสรด
จะรู้ดีเงินมีค่า                     เมื่อน้ำตาเราไหลหยด
รักตัวกลัวน้ำตาไหล             เรื่องใจง่ายให้เร่งงด


(http://www.ohzeed.com/bar_102.gif) (http://www.ohzeed.com)

ที่มา:  พระครูวิจิตรธรรมสาธก


หัวข้อ: ๒๐ เม.ย.ครบรอบ ๑๐๐ปี พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 20 เมษายน 2011, 11:44:PM
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)
 
         

               กลอนรักของ “คึกฤทธิ์”
            ๐ นอนเสียเถิดยาหยีพี่จะกล่อม
            แม้ว่าพร้อมใจร่วมสโมสร
            ต้องยึดเอาบาทวิถีเป็นที่นอน
            มีพระพายคลายร้อนเป็นคนพัด

            พฤกษาใหญ่กั้นกลางเป็นหลังคา
            มีดารานับแสนแน่นขนัด
            เป็นประทีปตามไว้ให้เห็นชัด
            เสียงรถจัดเหมือนประโคมประโลมใจ
            ถึงทุกข์ยากของเราเขาไม่เห็น

            แต่เทวายังเป็นพยานให้
            สามัคคีให้ตลอดกอดกันไว้
            คงจะได้สมมาตรไม่คลาดกัน ๐
            (จากหนังสือ คึกฤทธิ์  ปราโมช “ตอบปัญหาหัวใจ” )


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=567555 (http://www.oknation.net/blog/print.php?id=567555)
 



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 20 เมษายน 2011, 11:47:PM

อัญเชิญบทกลอนกล่าวถึงเขมรของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช


 
"สัปดาห์นี้มีเรื่องความเมืองใหญ่

ไทยถูกฟ้องขับไล่ขึ้นโรงศาล

เคยเป็นเรื่องโต้เถียงเกี่ยงมานาน

ที่ยอดเขาพระวิหารรู้ทั่วกัน

.

กะลาครอบมานานโบราณว่า

พอแลเห็นท้องฟ้าก็หุนหัน

คิดว่าตนนั้นใหญ่ใครไม่ทัน

ทำกำเริบเสิบสันทุกอย่างไป

.

อันคนไทยนั้นสุภาพไม่หยาบหยาม

เห็นใครหย่อนอ่อนความก็ยกให้

ถึงล่วงเกินพลาดพลั้งยังอภัย

ด้วยเห็นใจว่ายังเยาว์เบาความคิด

.

เขียนบทความด่าตะบึงถึงหัวหู

ไทยก็ยังนิ่งอยู่ไม่ถือผิด

สั่งถอนฑูตเอิกเกริกเลิกเป็นมิตร

แล้วกลับติดตามต่อขอคืนดี

.

ไทยก็ยอมตามใจไม่ดึงดื้อ

เพราะไทยถือเขมรผองเหมือนน้องพี่

คิดตกลงปลงกันได้ด้วยไมตรี

ถึงคราวนี้ใจเขมรแลเห็นกัน

.

หากไทยจะลำเลิกบ้างอ้างขอบเขต

เมืองเขมรทั้งประเทศของใครนั่น?

ใครเล่าตั้งวงศ์กษัตริย์ปัจจุบัน

องค์ด้วงนั้นคือใครที่ไหนมา?

.

เป็นเพียงเจ้าไม่มีศาลซมซานวิ่ง

ได้แอบอิงอำนาจไทยจึงใหญ่กล้า

ทัพไทยช่วยปราบศัตรูกู้พารา

สถาปนาจัดระบอบให้ครอบครอง

.

ได้เดชไทยไปคุ้มกะลาหัว

จึงตั้งตัวขึ้นมาอย่าจองหอง

เป็นข้าขัณฑสีมาฝ่าละออง

ส่งดอกไม้เงินทองตลอดมา

.

ไม่เหลียวดูโภไคไอศวรรค์

ทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นหนักหนา

ฝีมือไทยแน่นักประจักษ์ตา

เพราะทรงพระกรุณาประทานไป

.

มีพระคุณจุนเจือเหลือประมาณ

ถึงลูกหลานกลับเนรคุณได้

สมกับคำโบราณท่านว่าไว้

อย่าไว้ใจเขมรเห็นจริงเอย..."

..............................

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช

หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์

๑๘ ตุลาคม ๒๕๐๒


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 03 พฤษภาคม 2011, 09:05:PM
(http://add.ohzeed.com/images/43_.bmp)
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)

ห้วงคำนึง
หมอบพับเพียบเลียบริมน้ำปริ่มฝั่ง
ตะแคงฟังนิยายเพลินจากเนินหญ้า
ระบำมดคดเคี้ยวลับเคียวตา
หยาดน้ำฟ้าลากลิ้งทิ้งใบบอน

แมลงปอเกาะหินเลื่อมปิ่นรุ้ง
ผีเสื้อพุ่งอวดแพรแผ่ปีกร่อน
กิ้งกือหักความอายออกกรายกร
กระรอกหย่อนลูกหว้าหยั่งท้าทาย

เมื่อเอนพิงอิงพักหนุนตักหล้า
แนบเงาฟ้าในน้ำเปี่ยมความหมาย
ธรรมชาติวาดแต้มยังแย้มพราย
และโลกส่ายกายหมุนด้วยคุ้นเคย

เหม่อมองฟ้าสีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
คิ้วรุ้งค้างเนตรสูรย์มุ่นหมอกเสย
แย้มเสี้ยวเมฆยิ้มแดดสีแสดเอย
หัตถ์ลมเชยเผยแก้มแพลมยิ้มพลัน

แล้วสบตากับเรา-เงาในน้ำ
ไหลลำนำฉ่ำใจคล้ายเคลิ้มฝัน
พิสุทธิ์ใสไล้หล้ารับตาวัน
กล่อมดวงขวัญล่องลิบทิพยา

เรามองโลกสดใสในวันนี้
ด้วยใจที่อ่อนวัยไร้เดียงสา
ทุกสิ่งช่วยอวยสุขทุกเวลา
หากวันหน้าเป็นอย่างไร...ไม่อาจรู้

จิระนันท์ พิตรปรีชา,
ชัยพฤกษ์ มิถุนายน ๒๕๑๓

จาก หนังสือ “ใบไม้ที่หายไป กวีนิพนธิ์แห่งชีวิต”พิมพ์ครั้งที่ ๑๐
สำนักพิมพ์แสงดาว ต.ค.๒๕๓๔


 (http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 04 พฤษภาคม 2011, 09:29:PM


                                                   หนังสือ
                                           คำต่อคำนี่แหละคือสื่อภาษา
                                           มือต่อมือนี่แหละมีชีวิตชีวา
                                           หน้าต่อหน้านี่แหละหนอ ใจต่อใจ

                                           เปิดหนังสือ เพื่ออ่าน งานความคิด
                                           เปิดชีวิต เพื่ออ่าน ความฝันใฝ่
                                           เปิดทางทอง เพื่ออ่าน การก้าวไกล
                                           เปิดทางชัย เพื่ออ่าน สันติธรรม


                                                            เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์    


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 09:25:AM

                      ศิลปะ การเล่นคำโดยวิธีย้ำคำ (Repetition) จินตนา ปิ่นเฉลียว แสดงได้อย่างงดงาม

                                                        เสียเสรีเอกราชชาติถนอม
                                                        เสียศักดิ์พร้อมเกียรติภูมิกลุ้มไฉน
                                                        เสียดายด้วยนิยามความเป็นไทย 
                                                        เสียยศไปเป็นทาสอนาถนาน
                                                        ทั้งเสียชื่อเสียหน้าพาเสียศรี
                                                        เพราะเสียทีศึกระเหี่ยเสียแรงหาญ
                                                        เสียเมืองมิ่งทิ้งกากเป็นทรากกราน
                                                        เสียสถานวัดวาศรัทธาปวง
                                                        โอ้เสียทัพอัปยศหมดวาสนา
                                                        เสียสรรเพชญพุทธาน้ำตาร่วง
                                                        ทั้งวัดวังพังพินาศอนาถทรวง
                                                        เสมอดวงดอกฟ้ามาแหลกลาญ

                                                                              จินตนา  ปิ่นเฉลียว

                                                 (อาจารย์ เจือ  สตะเวทิน -คำวิจารณ์เรื่อง เพลงยาวอยุธยาวสาน)                                                     








หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 11:34:AM

                                          จิตร  ภูมิศักดิ์
                             
                              ศิลปิน  นักคิด  นักเขียน  นักวิจัย
                                  และนักรบของประชาชน


                                "ชีวิตคือการต่อสู้"  สู้ใครเหวย?
                                  วานช่วยเผยคู่ต่อสู้ข้าอยู่ไหน
                                  "ชีวิตคือการต่อสู้"  สู้เพื่อใคร?
                                  สู้อย่างไร?....นักปรัชญาบอกข้าที
                                         จิตร  ภูมิศักดิ์   
                       

                                 ..ชีพนี้จักอุทิศพลีเพื่อกอบกู้ธรรม
                                 จักจองล้างทรราชย์ระยำ
                                 ให้โลกร่ำลือในวีรกรรม
                                 ตราบชั่วฟ้าดินจักสิ้นมลาย..
                                         จิตร  ภูมิศักดิ์
                         

                                  เพลงมาร์ชเยาวชนไทย

                             " ตื่นเถิดเยาวชนไทยทั้งผองน้องพี่
                             สามัคคีรักร่วมน้ำใจ
                             เยาวชนคืออาทิตย์อุทัย
                             สาดแสงกำจายเรืองรองแหล่งหล้า
                             ปลุกชีวิตและสร้างความหวังเจิดจ้า
                             เพิ่ออนาคตผองเพื่อนไทย   
                             ชาติประชารอพลังเราอันเกรียงไกร
                             ด้วยดวงใจร้อนรนเรียกรอ
                             มาตุภูมิและประชานั้นคือดวงใจ
                             จะพิทักษ์รับใช้เทียมดวงวิญญา
                             ร่วมพลังสร้างสรรค์พัฒนา
                             ทั้งชาติและประชาไทยมุ่งสู่ความไพบูลย์"                                 
                                       จิตร  ภูมิศักดิ์

                                    ดั่งเทียนผู้ถ่องแท้แก่คน
                                       น้อมคารวะ..วาระมรณกรรมครบรอบ ๔๕ ปี 
                                                ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔







   


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 05 พฤษภาคม 2011, 08:39:PM
                                                                      

                                             ใบไม้ป่า
                                            บทสดุดีความดีงามและการจากไปของ จิตร  ภูมิศักดิ์
                                                                                                                  
         
                                               ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
                                                                  ยังดีกว่าใบไม้เหลืองในเมืองหลวง
                                                                  ที่รอปลิดหล่นเปล่าประโยชน์ปวง
                                                                  เป็นด่าวดวงดำเปื้อนในป่าคน

                                                                  ใบไม้ป่าร่วงแล้วได้เลี้ยงป่า
                                                                  ทิ้งลงมาเลี้ยงรากเลี้ยงลำต้น   
                                                                  เหมือนแม่ให้นมลูกปลูกฝังจน
                                                                  ลูกเติบตนโตแทนเต็มแผ่นดิน

                                                                  เมื่อเมืองคนคับคั่งด้วยคนป่า
                                                                  คนดีก็ด้อยค่าเหมือนกรวดหิน
                                                                  เมื่อสัตว์ป่าสร้างป่าไว้หากิน
                                                                  สัตว์เมืองก็ต้องสิ้นวิสัยเมือง                                                                 

                                                                  ใบไม้ป่าชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์
                                                                  ได้ร่วงแล้วลงเป็นหลักให้โลกเลื่อง
                                                                  ดั่งเทียนป่าปลุกแสงขึ้นแรงเรือง
                                                                  ไม่เปล่าเปลืองลมปราณที่ต้านลม

                                                                  ลมประสานเสียงแคนว่าแค่นแค้น
                                                                  เปิบข้าวทุกคราวแค่นความขื่นขม
                                                                  เหงื่อกูรินตากูแล้งน้ำแห้งตรม
                                                                  ร่างกูซมซานไข้จนเขียวคาว

                                                                  เสียงปืนดังเปรี้ยงกว่าเสียงปาก
                                                                  ก็ปิดฉากชีวิตมืดมิดหนาว
                                                                  แต่วิญญาณคือทิพย์ที่ยืนยาว
                                                                  ดั่งดวงดาวยิ่งดึกยิ่งตื่นตา

                                                                  กาลเวลาฆ่าจิตร ภูมิศักดิ์
                                                                  กาลเวลาก็ตระหนักประจักษ์ค่า
                                                                  กาลเวลาฆ่าคนดีทุกทีมา
                                                                  แต่เวลาก็ทูนเทิดเชิดคนดี   
                                                               
                                                                  ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
                                                                  เพื่อแตกมาเป็นใบใหม่ในทุกที่
                                                                  จิตรหนึ่งดวงดับไปในวันนี้
                                                                  เพื่อจะมีจิตรใหม่มากมายดวง

                                                                  ถ้าสัตว์เมืองสร้างเมืองเป็นป่าได้
                                                                  เราก็เหมือนใบไม้ในเมืองหลวง
                                                                  ที่โหยหาป่าเขาเปลี่ยวเปล่าปวง
                                                                  จิตรจะร่วงลงทั้งป่าเข้ามาเมือง
                                                                        ....................
                                                                 อาจารย์ เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์                                                                   
                                                                   กวีรัตนโกสินทร์และกวีซีไรต์








หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 12:18:PM
                                                                                         (http://image.ohozaa.com/i/1c5/21_1_1.gif)


                                                                                                         น้ำสองสี
                                                                                         ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม.จ.อุบลราชธานี

                                                                                                   แผ่นดินย้อมน้ำเป็นสีครั่ง
                                                                    โขงหลั่งหลากข้นนองขุ่นไหล
                                                                    แรงปราดสีปูนประดังไป
                                                                    บรรจบลงในปากน้ำมูล

                                                                    ตัดสายน้ำสวยเป็นสองสี             
                                                                    สองน้ำเปี่ยมปรี่ประสานสูรย์
                                                                    ส่่องสองน้ำเข้มทวีคูณ
                                                                    เป็นโขงสีปูนมูลสีคราม

                                                                   เขียวไม้ชายตลิ่งตลอดรอบ
                                                                   ฟ้่าครอบขอบพ้นภูผาหลาม
                                                                   ไผ่รายลงทอดเป็นทิวงาม
                                                                   ฝั่งงามน้ำงามแผ่นดินดี

                                                                   ชื่นชื่นลมชายมาเฉื่อยฉ่ำ
                                                                   เย็นยามเย็นย่ำน้ำสองสี
                                                                   โขงงามมูลงามถึงลำชี
                                                                   มือใครไหนที่ทอดพิทักษ์
                                                                      ....................

                                                                                          ..เขียนแผ่นดิน-เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์..        


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 12:50:PM
                                                                                               



                                                                                        ผาแต้ม
                                                                           บ้านห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี


                                                                               ผาตั้งบังไพรตะเพิงหิน         ผาร่วงน้ำริน
                                                           ตกร่ายราวสร้อยสายฝน

                                                               สาดฟ้าสาดผาภูวดล           ดึกดำบรรพ์บน
                                                           แผ่นดินถิ่นลำโขงขลัง

                                                               แต้มรูปแต้มลายมเลืองมลัง    ประดับประดัง
                                                           ประดุจจะบอกเลบงความ   

                                                                โขดถ้ำลำโขงแหล่งคาม      คือผู้อยู่ยาม
                                                           ยังอยู่ยังเหย้าเรือนเย็น

                                                                น้ำใหญ่ปลาใหญ่ยังเป็น      ปาดป้ายลายเห็น
                                                           เป็นหินตั้งลายเรียงราย

                                                                รูปช้างคือช้างหลวงหลาย    ฝูงละมั่งกวางทราย
                                                           เป็นสายน้ำโขงโค้งคุ้ง

                                                                คือมือแห่งคนปรนปรุง         ประจำอำรุง
                                                           อารักษ์แผ่นดินหินผา
                                                                     ................................


                                                                          ..เขียนแผ่นดิน-เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์..   


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 08 พฤษภาคม 2011, 01:16:PM
                                                                            (http://image.ohozaa.com/i7/thuaugust2008153314_dscf0050_resize.jpg)


                                                                                                                 หล่อทอง
                                                                               ทำเครื่องทองเหลือง บ้านปะอาว อ.เมือง จ.อูบลราชธานี

                         
                                                                                                              ตำดินปั้นเบ้าใส่เตาสุม
                                                                                      ฟืนรุมไฟโรมเข้าโหมเบ้า
                                                                                      ไม้ซากสุมกอเป็นตอเตา
                                                                                      ลมเป่าเริงเปลวขึ้นปลิวปลาม

                                                                                      แม่เตาหลอมตั้งกลางไฟเรือง
                                                                                      ทองเหลืองละลายทองก็นองหลาม
                                                                                      สูบไฟโหมไฟไล้ทองทาม
                                                                                      น้ำทองเหลืองอร่ามเป็นน้ำริน

                                                                                      รินทองรองรอลงบ่อเบ้า
                                                                                      ลูกแล้วลูกเล่าไม่สุดสิ้น
                                                                                      ต่อยเบ้าทองพร่างอยู่กลางดิน
                                                                                      สืบสานงานศิลป์สง่าทรง

                                                                                      ลงลายสลักลายจนพรายพริ้ง
                                                                                      ลายอิ้งหมากหวายไพรระหง
                                                                                      ดินน้ำลมไฟละลายลง
                                                                                      หลอมธาตุทระนงตำนานคน
                                                                                          .....................


                                                                                            ..เขียนแผ่นดิน-เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์..         


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 26 พฤษภาคม 2011, 12:44:PM

                        ๑๐๐ ปี ชาตกาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช
                                             (๒๐ เมษายน ๒๔๕๔)


                                   ๐ เป็น 'คึกฤทธิ์' ไม่เหมือนใคร ใครไม่เท่า
                        ประมวลเอา ศิลป์-ศาสตร์ ปราชญ์ครบเครื่อง
                        วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ทั้งการเมือง
                        นามลือเลื่อง พันปี ไม่มีซา

                        จะมีใคร โผนโลด โชติโชนเหมือน
                        มีฤทธิ์เคลื่อน ให้คึก รำลึกหา
                        "แฟนคึกฤทธิ์ อย่าได้ คิดระอา
                        เพียงนึกถึง ก็จะมา อยู่ข้างกาย"

                        มาทั้ง 'มอม' 'สามซอย' และ 'สามสี'
                        ทั้ง 'ลิ้นจี่-นางพญา' ขุนตานหลาย
                        'เจ้าลอย' พา 'ผลลิเก' เร่เรือพาย
                        ฟัง 'เพื่อนนอน' ผ่อนสบายอ่าน 'แ่ม่พลอย'

                        เที่ยว 'เก็บเล็ก-ผสมน้อย' 'ตอบปัญหา'
                        'สมภารกร่าง' วิสัชนา 'แกว่นไม่ถอย'
                        'เมืองมายา' เสกสรร ชั้นเลิศลอย
                        อีกหลายร้อย บทประพันธ์ อันไม่ตาย

                        เขียนคารวะ ด้วยหมึก ให้คึกฤทธิ์
                        วรรณศิลป์ ปลุกชีวิต ไม่เสื่อมหาย
                        เสน่ห์มนต์ อักษร ไม่คลอนคลาย
                        มิเลือนสลาย วรรณกรรม คำ 'คึกฤทธิ์'๐


                                             ทองแถม  นาถจำนง
                              นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย-ประพันธ์
 
                                    (สกุลไทย-ฉบับที่ ๒๙๕๓)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 27 พฤษภาคม 2011, 12:14:PM

                                  ๑๐๐ ปี ชาตกาล ก.สุรางคนางค์
                                  (กัณหา  เคียงศิริ   ๒๖  กุมภาพันธ์  ๒๔๕๔)

                                    คือนักเขียนในดวงใจสมัยหนึ่ง
                               อ่านซาบซึ้งหลั่งน้ำตาหน้าซบหมอน
                               ทั้งชีวิตทั้งรักฝันทุกขั้นตอน
                               ถ่ายสะท้อนเป็นเรื่องให้ได้อ่านกัน

                                    คือหนังสือหลายเล่มที่เข้มข้น
                               สร้างค่าคนสู้ค่าหญิงยิ่งกว่าฝัน
                               เปิดโลกแรกแปลกใหม่ให้วงวรรณ
                               หญิงคนชั่ว นั้นสั่นสะท้านเมือง
 
                                     เปิดชีวิตเปิดบ้านเปิดฝันรัก
                               เปิดอักษรซ่อนสลักในทุกเรื่อง
                               อ่านพินิจคิดตามงามเมลือง
                               เหมือนฝันเฟื่องแต่ฝันใฝ่ให้รู้คิด

                                     คือนักเขียนน่านับถือมือวรรณศิลป์
                               เป็นศิลปินสร้างงานผสานจิต
                               บ้านทรายทอง พจมาน ชั่วชีวิต-
                                    หนึ่ง รักประกาศิต ภูชิชย์ นริศรา
                                          กุหลาบแดง รุ่งอรุณ ปราสาททราย   
                                     อีก จุดหมายปลายทาง ยอดปรารถนา
                                     เขมรินทร์ เทพราช พันทิพา
                                     ความคิดคำนึง รอยจารึก เรวดี

 
                                           ถ่ายชีวิตใส่ชีวิตสนิทแนบ
                               ถ่ายดวงใจอิงแอบเปิดใจคลี่
                               ถ่ายสังคมสู่สังคมทั้งจนมี
                               ยืนหยัดทั้งชีวีพลีเพื่องาน

                                      คือนักเขียนนาม ก.สุรางคนางค์
                               เปิดเส้นทางนักเขียนและนักอ่าน
                               เป็นแบบบทชีวิตเป็นตำนาน
                               ผสมผสานรักและชีวิตสนิทใน

                                      วันนี้คือ ๑๐๐ ปีชาตกาล
                               กุหลาบแดงยังแบ่งบานกระจ่างใส
                               ยังร้อยคำยังร้อยคนยังร้อยใจ
                               ยังร้อยไทยยืนกาลนานนิรันดร์

                                       ชมัยพร  แสงกระจ่าง-ประพันธ์
   
                                            (สกุลไทย- ฉบับที่ ๒๙๕๓)         









หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 27 พฤษภาคม 2011, 08:09:PM

                                                                  ๑๐๐ ปี ชาตกาล ดวงดาว
                                        (หม่อมเจ้าหญิงสวาสดิ์วัฒโนดม  ประวิตร - ๒๘  เมษายน  ๒๔๕๔)
       

                                                              จาก "บังใบ" ถึง "ดวงดาว"
                                                              จรัสประดับห้วงหาววรรณศิลป์
                                                              "ผยอง" เกียรติเกริกเกียรติศิลปิน
                                                              หม่อมเจ้าหญิงฯโบยบินโลกวรรณกรรม

                                                               บรรณภิภพจึ่งมี "เชลยศักดิ์"
                                                               "อยู่เพื่อรัก" เขียนรักเสพดื่มด่ำ
                                                               "ตะวันตรง" "วสันต์ทราย" ร่ายรินคำ
                                                               "ดาวรุ่ง" เด่นอยู่ยั้งยั่งยืนยง

                                                               "คำอธิษฐานของดวงดาว" คงคู่ฟ้า
                                                               "ระเริงไพร" "สุริยา" สรรค์ประสงค์
                                                               "เหนือพสุธา" ผลงานยังมั่นคง
                                                               ประดับองค์หม่อมเจ้าฯสืบต่อไป

                                                               ชั่วกะพริบตากาลสิ้นร้อยปี 
                                                               บางสิ่งถูกแทนที่ตามเงื่อนไข
                                                               แต่ "ดวงดาว" ยังเด่นเหนือฟ้าไทย
                                                               เป็น "ม่านไฟ" ส่องนำจินตนาการ

                                                               แผ่นดินให้ชีวิต- ให้เวลา
                                                               แผ่นดินก็ทวงหา- กลืนสังขาร
                                                               แผ่นดินอาจกลืนกินปลิดลมปราณ
                                                               แต่มิอาจกลืนงานแห่ง "ดวงดาว"

                     
                                                               คืนแผ่นดินเพียงร่างและลมปราณ
                                                               แต่ผลงาน "ดวงดาว" เด่นเป็นดาว
                                                                   ธาร  ธรรมโฆษณ์-ประพันธ์
                                                               
                                                                   (สกุลไทย-ฉบับที่ ๒๙๕๓)



   


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 18 มิถุนายน 2011, 09:28:AM

                มาลัยปัญญา
   
        เพราะว่าคน ทุกคน รู้จักคิด
     คนจึง มีชีวิต ที่ยิ่งใหญ่
     เพราะต่างคน ต่างคิด ต่างจิตใจ
     คนจึงได้ ผิดแผก แตกต่างกัน

         สวนดอกไม้ งดงาม อร่ามสี
     เพราะต่างไม้ ต่างมี ต่างสีสัน
     ดอกไม้มิได้หมาย ประกวดประชัน
     แต่ดอกไม้แบ่งปัน ซึ่งความงาม

         ผื้งทุกตัว ต่างมี ชีวิตรวง
     เป็นหนึ่งใจ หนึ่งดวง ร่วมหวงห้าม
     รวงรังคือ เรือนร่าง อันเรืองราม
     ต่างรู้นำ รู้ตาม เป็นหนึ่งตน

         ความคิดคือ ดอกไม้ ได้เด็ดดอม
     ความคิดคือ ความหอม แห่งเหตุผล
     คือน้ำผึ้ง มธุรส แห่งรสสุคนธ์
     อันร่วมกรอง ร่วมค้น และร่วมคิด

         เชื่อมั่นในใจเมืองอันเรืองแรง
     เชื่อมั่นในสำแดงแห่งดวงจิต
     เชื่อมั่นในศรัทธาทุกสารทิศ
     เชื่อมั่นในชีวิต สิทธิ์เสรี

         เราจะร้อย ความคิด ร่วมจิตใจ
     เป็นมาลัย ปัญญา ทำหน้าที่
     สร้างสังคม ร่มเย็น เด่่นความดี
     สามัคคี สมัชชา ประชาชน
         ....................

    อาจารย์เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์
           สมัชชาประชาชน
           ตุลาคม ๒๕๔๘                           


        ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔  ออกไปใช้สิทธิ์ทุกคนนะคะ







     


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 15 กันยายน 2011, 09:57:PM
 
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)

๐ คมแห่งความคิดถึงประหนึ่งมีด
คิดครั้งหนึ่งก็เหมือนกรีดใจหนึ่งหน
สงสารใจทรมานสู้ทานทน
คิดถึงคนหลายใจได้ทุกวัน

บทกลอนที่เป็นวรรคทองของ อ.เอนก แจ่มขำ
อดีตนายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย สมัยที่ ๘-๙ ผู้จากไป
ซึ่งตราตรึงอยู่ในหัวใจของใครหลายคนจนถึงปัจจุบัน

ป.ล. ไม่ทราบว่ากลอนของท่านอเนก ฯ สำนวนนี้มีกี่บท กระผมคัดลอกมาจาก...
http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538789880&Ntype=3 (http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538789880&Ntype=3) 
ถ้าสมาชิกท่านใดมีข้อมูลกรุณามาแบ่งปันกันนะครับ
ด้วยจิตคารวะ ครับ
สายใย
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 16 กันยายน 2011, 12:01:AM
จะให้รักและคิดถึงไปถึงไหน
เจ็บหัวใจเจียนจะแตกแหลกสลาย
เดินทางโดยโดดเดี่ยวมาเดียวดาย
เหนื่อยและหน่ายต่อวันอันเนิ่นนาน

แต่ยังรักทั้งรู้เธอแรมร้าง
ปล่อยช่องว่างระหว่างวัยไร้แววหวาน
ไฟปรารถนาจ้าประจาน
ยังรอกาลเวลาเธอมาเยือน

ดวงใจน้อยดวงนี้มีเพียงหนึ่ง
เมื่อใจพึงจึงพร้อมยอมลอยเลื่อน
คือความหลังหลงเหลือมิลืมเลือน
วันที่เดือนแรมดวงลับห้วงดาว

ตลอดวันเวลาอันว้าเหว่
สิ้นเสน่ห์มืดสนิททิศทางก้าว
ถ้าหากรู้ถึงวันอันรวดร้าว
คงไม่หนาวอย่างนี้หรอกที่รัก

ฉันคงแบ่งหัวใจไว้อีกครึ่ง
สำรองพิษคิดถึงซึ่งอกหัก
แต่สุดปรามห้ามไหวช้ำใจนัก
คมคิดถึงจึงเน้นหนักในกมล

คมแห่งความคิดถึงประหนึ่งมีด
คิดครั้งหนึ่งก็กรีดใจหนึ่งหน
สงสารใจทรมานสู้ทานทน
คิดถึงคนสองใจได้ทุกวัน



กลอนแบบสมบูรณ์ครับ

ขอบคุณ ท่านพี่แจ็คกี้ Victoria's secret มากครับที่กรุณา ค้นหากลอนฉบับ สมบูรณ์สำนวนนี้
จากผลงานของ ท่าน อาจารย์ เอนก แจ่มขำ มาบรรทึกไว้ให้ชื่นชมกันครับ

ด้วยจิตคารวะครับ
สายใย



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 16 กันยายน 2011, 09:04:AM

                                                            แด่
                           ศาสตราจารย์ คุณหญิงกุหลาบ  มัลลิกะมาส
                                (๑๙ มกราคม ๒๔๖๑ - ๑๙ กันยายน ๒๕๕๓)

                                   คืออาจารย์กุหลาบ  มัลลิกะมาส
                                   ร่างเล็กเล็กแต่องอาจและแจ่มใส
                                   ทั้งอ่อนโยนอ่อนหวานชื่นบานใน
                                   เห็นทุกครั้งคือดวงนัยน์หัวใจครู
                                   เป็นสุดยอดครูดีที่ศิษย์รัก
                                   เป็นสุดยอดแจ้งประจักษ์ใจทุกผู้
                                   เป็นสุดยอดผู้เปิดบ้านการเรียนรู้
                                   คติชน วิจารณ์สู่สังคมไทย
                                   เหมือนกุหลาบหอมหวานและบานทน
                                   ร่วมสมัยใจทุกคนยังจำได้
                                   สร้างคุณูปการปานมาลัย
                                   ยิ่งร้อยยิ่งยาวไกลในทรงจำ

                                   คือกุหลาบอมตะอันตราตรึง               
                                   คือกุหลาบศิษย์ซาบซึ้งทุกเช้าค่ำ
                                   คือกุหลาบในดวงใจคนใช้คำ
                                   คือกุหลาบลึกล้ำงามนิรันดร์

                                   ขอเชิญเสพย์บุญกุศลบันดลจิต
                                   ขอเชิญเสพย์โลกนิรมิตสถิตสวรรค์
                                   เสวยภพพบคัมภีร์มีกันและกัน
                                   สู่อนันตพิสุทธิ์วิมุตเทอญ

                                                ชมัยพร  แสงกระจ่าง
                              นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย       

                                     (สกุลไทย - ฉบับที่ ๒๙๒๑)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ สำนวนครู
เริ่มหัวข้อโดย: ช่วงนี้ไม่ว่าง ที่ 17 กันยายน 2011, 12:12:PM



วันเดือนปี  ผ่านไป  ไม่คืนหลัง
พาความหวัง  ฝังจิต  พิษรักหลอน
ให้คล้อยเคลื่อน  จากจินต์  สิ้นอาวรณ์
อนุสรณ์  ก่อนเคยรัก  ภักดิ์นิรันดร์

แต่บัดนี้   ขอไป  ไกลสุดกู่
ร้างพธู    คู่หทัย  เลิกใฝ่ฝัน
พอกันที   ขอหนีลับ  ชั่วกัปป์กัลป์
ดุจฟ้ากั้น  สัมพันธ์หวัง  พังทลาย

อันความรัก  หวานชื่น  เมื่อคืนก่อน
เหมือนหลับนอน  ฝันชื่น  ตื่นจางหาย
รักเหมือนฝัน  ไม่ยืด  มันจืดคลาย
ร้าวสลาย  เมื่อตื่น  ขมขื่นใจ

จึงขอเพียง  เอื้อนเอ่ย  เฉลยแจ้ง
เพื่อชี้แจง  เหมือนว่า  ฟังปราศรัย
เคยล่วงเกิน  ผิดพลั้ง  แต่ครั้งใด
จงอภัย   ต่อกัน  ฉันขอลา




หมายเหตุ  กลอนบทนี้ได้ถูกผมถือเป็นกลอนบทครู เมื่อครั้งแรกศึกษาฝึกหัดแต่งกลอนก็อาศัยศึกษาจากกลอนนี้
แต่ทุกวันนี้ แม้เขียนกลอนได้นับพันๆบท แต่ทว่า ก็ยังสำนึกตัวว่าสำนวนยังไม่อาจจะเทียบถึงซึ่งกลอนบทครูได้
จึงนำมาลงไว้ ด้วยจิตคารวะ(ไม่ทราบนามผู้แต่ง)





หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ช่วงนี้ไม่ว่าง ที่ 17 กันยายน 2011, 12:36:PM



ณ ที่ใดดวงใจไม่ไหวหวั่น
ขอฝ่าฟันอุปสรรคและขวากหนาม
ถึงสิ้นชาติวาสนาชะตาทราม
จะฝากนามโลกให้รู้กูก็ชาย

ณ ที่นี้ไร้ญาติและขาดมิตร
ยังก็แต่บ่าวสนิทพิสมัย
เสมอเพื่อนเสมือนญาติไม่คลาดไกล
เป็นเพื่อนตายเคียงกูคู่ชีวา


เพชรพระอุมา ตอน ดงมรณะ3 หน้า974



เป็นอีกบทหนึ่งที่อ่านแล้วเศร้าสะเทือนไปถึงความรู้สึก  ผมชอบกลอนบทนี้มาก




หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 07 ตุลาคม 2011, 09:51:AM

                             

                   ระพินทรนาถ ฐากูร   นิพนธ์

                          หิ่งห้อย

                    ประคิณ ชุมสาย(อุชเชนี)
                    ระวี ภาวิไล
                    แปล
                         ..............


                ความเพ้อฝันแห่งข้า คือ หิ่งห้อย
                จุดสว่างทรงชีวิต
                ระยิบในอนธการ 
                     
                เสียงดอกหญ้าริมทาง
                ปราศผู้ชำเลืองแล
                รำพึงเป็นห้วงความคำนึง

                จิตเป็นถ้ำมึนซึมและมืด
                ความฝันสร้างรังของมันขึ้นจากกระผีกเล็กน้อย
                อันหลุดร่วงจากขบวนแถวแห่งทิวากาล

                ฤดูใบไม้ผลิพัดกลิ่นไม้กระจาย
                มันมีอยู่มิใช่เพื่อเป็นผลในอนาคต
                แต่เพื่อความพลิกผวนแห่งครู่ยาม

                ความปราโมทย์สลัดตนหลุดจากห้วงหลับแห่งธรณี
                โลดลิ่วเข้าสู่ใบพฤกษ์อสงไขย
                แล้วเริงรำในอากาศเพียงชั่ววัน

                วาจาบางเบาแห่งข้า
                อาจจับระบำแผ่วๆ บนคลื่นแห่งเวลา
                เมื่องานของข้าหนักอึ้งด้วยความสำคัญ
                สูญสลายไปแล้ว

                แมลงใต้ดินแห่งจิต
                      งอกปีกโปร่งบาง
                แล้วโผผินบินลา
                      สู่ฟากฟ้ายามตะวันรอน

                ผีเสื้อไม่นับเดือน  แต่สำนึกเพียงขณะ
                     และก็มีเวลาพอ

                ความคิดของข้า ดั่งประกายเพลิง เหินลิ่วไปบนความไม่คาดฝัน
                      พร้อมด้วยเสียงสรวลหนึ่งเดียว
                พฤกษาจ้องเงางามแห่งตนด้วยหลงรัก
                       เงาซึ่งตนมิมีวันคว้าได้ไล่ทัน

                ขอให้รักของข้าห้อมล้อมเธอดั่งแสงอาทิตย์
                     และมอบอิสรภาพอันเจิดจ้าแด่เธอ

                วัน คือ ฟองหลากสี
                ลอยฟ่องบนพื้นผิวรัตติกาลลึกสุดหยั่ง
   
                บรรณาการแห่งข้า  ขลาดเกินกว่าจะเรียกร้อง
                     ให้เธอรำลึกถึง
                และเพราะเหตุนี้  เธอจึงอาจจะจดจำมันได้

                ตัดชื่อข้าทิ้งเสียจากบรรณาการนั้น
                      หากมันเป็นภาระหนักเกิน
                            แต่โปรดเก็บรักษาบทเพลงของข้าไว้
 
                        ......................................

                        หิ่งห้อย ถือกำเนิดในจีนและญี่ปุ่น
                        ซึ่งมีผู้มาขอให้ข้าพเจ้าจารึกข้อคิด
                        ให้เสมอ บนแผ่นพัดและผืนไหม
                       .......................................
                       หิ่งห้อย  ตีพิมพ์ครั้งแรก
                       มกราคม  ๒๕๑๗
                       ราคา ๓๒ บาท
                       ๑๐๖ หน้า     

                      เป็นหนังสือสะสมอีกเล่มหนึ่ง
                           ด้วยจิตคารวะ
                          Peepoonsuk
                       
           (http://image.ohozaa.com/i/50b/URixQ.gif) (http://image.ohozaa.com/view/3dor)



                                       


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 16 ธันวาคม 2011, 08:48:PM





     พรุ่งนี้
                   (http://image.ohozaa.com/i/ae4/Rp23V.gif) (http://image.ohozaa.com/view/jbvi)

                                            พรุ่งนี้
                                      เนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์
                   (http://image.ohozaa.com/i/ae4/Rp23V.gif) (http://image.ohozaa.com/view/jbvi)             

 
                                  ทะมัดกล้ามคล้ำแดดที่แผดเผา
                                           ชะเงื้อมเงาน้ำเหงื่อที่เหรื่อหล่น
                                           ละก้อนดินก้อนดินที่ดินดล
                                           วะวัดเหวี่ยงเวียนวนจนก่ายกอง

                                           ตะวันเที่ยงเปรี้ยงแดดก็หลบแดด
                                           ผ้าขะม้าสีแสดสอดลายสอง
                                           สลัดเหงื่อซับเหงื่อทุกเนื้อนอง
                                           กระพือลมลำลองแล้วป้องลม

                                           ประกายไฟไม้ขีดค่อยดีดดับ
                                           เมื่อควันลอยคล้อยขลับอยู่ขรมขรม
                                           กระติกน้อยน้ำจืดในจอกจม
                                           ก็อิ่มอมเอาเย็นกระเซ็นกาย

                                           "เอ็งเอาลังไปเทแล้วถ่ายน้ำ
                                           ขูดขอบขอบให้ที่คล้ำที่เขรอะหาย
                                           เอาผ้าชุบน้ำเช็ดสะบัดชาย
                                           ตอนบ่ายย่ายแดดคล้อยค่อยเข้าเมือง"

                                           "วันอาทิตย์เขาปิดร้านแล้วนะพ่อ
                                           พรุ่งนี้ก็ไปโรงเรียนไม่ครบเครื่อง
                                           ผัดวันนี้วันโน้นจนครูเคือง
                                           มายักเยื้องซื้อเองเหมือนอวดดี"

                                           "เอ็งนั่นแหละ ยักเยื้องหาเรื่องใส่
                                           ครูที่ไหนใครจะมาว่าโน่นนี่
                                           จะไปจองได้ยังไงเงินไม่มี
                                           ก็ต้องเป็นอย่างนี้ทุกปีไป"

                                           เจ้าปิ่นเดินหน้าง้ำน้ำกระฉอก
                                           พ่อเอาผ้าชื้นออกเช็ดหลังไหล่
                                           ปิ่นโตลดปลดลงตรงร่มไม้
                                           "แกงอะไรวะไอ้ปิ่นเอ็งกินยัง"

                                           "แม่เขาแกงส้มผักบุ้งกับกุ้งฝอย
                                           น้าเขาช้อนได้หน่อยในคลองหลัง
                                           พ่อกินก่อนฉันจะกลับไปนับตังค์
                                           ยังไงก็พอประทังซื้อถุงเท้า"

                                           "เออก็ดีมีอะไรซื้อไปก่อน
                                           เอาไว้ตอนเย็นพ่อจะขอเขา
                                           เบิกค่าแรงล่วงหน้าค่อยหาเอา
                                           พรุ่งนี้เช้าเอ็งจะได้ไปโรงเรียน"

                                           ทะมัดกล้ามคล้ำแดดที่แผดด้าน
                                           ชะเงื้อมเหงื่อท่วมงานไม่หันเหียน
                                           ละก้อนดินก้อนดินวิ่นแหว่งเวียน
                                           จะจกเจียนแต่ละบาทจะขาดใจ

             (http://image.ohozaa.com/i/ae4/Rp23V.gif) (http://image.ohozaa.com/view/jbvi)
                                             พิมพ์ครั้งแรก  น.ส.พ.เดลินิวส์
                                                      ปี  ๒๕๒๘ 
                                                    .................
                            คัดจาก "รวมเรื่องสั้นและบทกวี แปดนักเขียนรางวัลซีไรท์"
                                     พิมพ์ครั้งแรก  พฤศจิกายน  ๒๕๒๙
                                        สำนักพิมพ์ ครีเอท แม็กกาซีน               






       
                                             


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 27 ธันวาคม 2011, 03:19:PM

                           

                              หัวข้อธรรม  ของ  ท่านพุทธทาส

             (http://image.ohozaa.com/i/b56/oVJIU.gif) (http://image.ohozaa.com/view/5kft)
                                ปีใหม่ต้องดีกว่าปีเก่า

                              ดวงใจใหม่  นี้ดี  กว่าปีเก่า
                          คือรู้อะไร  มากกว่ากัน  หละท่านขา
                          หมายถึงมี  ความกว้างขวาง  ทางปัญญา
                          ให้อาตมา  ก้าวล่วงทุกข์  รุกขึ้นไป  ฯ

                               อันปีใหม่  นั้นต้องดี  กว่าปีเก่า
                          ใหม่เปล่าๆ  ไม่มีดี  นี้ไม่ไหว
                          ดีแต่ปาก  ใจไม่ดี  ดีทำไม
                          ให้ผีไย  เย้ยเยาะ  เหมาะหรือเรา  ฯ

                               สะอาดกว่า  สว่างกว่า  สงบกว่า
                          เรียกว่าใหม่  ยิ่งขึ้นมา  อย่ามัวเขลา
                          ใกล้นิพพาน  ยิ่งขึ้นไป  ไม่หลงเงา
                          เรียกว่าเรา  มีปีใหม่  ใหม่จริง เอย  ฯ


                        ท่านพุทธทาสเตือนไว้ว่า แท้จริงปีใหม่คือเครื่องสมมติเพื่อกำหนดเวลาโดยอาศัยธรรมชาติ
              การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของดวงดาวที่ส่งผลให้เกิดเป็นฤดูกาลที่สิ่งมีชีวิตจะต้องปรับตัวให้เข้ากันกับ
              การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ  ทั้งต้นไม้  สัตว์เดรัจฉานและมนุษย์ที่มีแต่จะต้องทำให้เป็นไป
              อย่างเหมาะสม  ซึ่งแน่นอนว่าล้วนต้องการให้ดีกว่า  มีสันติสุขกว่า  เย็นกว่า  เบากว่า  ไม่ว่าจะในระดับ
              บุคคล  ครอบครัวจนกระทั่งระดับสังคม  สำหรับมนุษย์เรา  ท่านว่า  "ถ้าจะเอาคำว่าดีกว่าที่แน่นอนที่สุด
              กันแล้ว เราจะต้องพูดว่ามีความถูกต้องมากกว่าปีเก่า... เราต้องมีความถูกต้องมากกว่าปีเก่า  โดย
              เฉพาะอย่างยิ่งความถูกต้อง ๘ ประการที่เรียกกันว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ มีความถูกต้องครบทั้ง
              ๘ องค์นั่นแหละจะมีความหมายของคำว่าดีกว่า"


                         หนึ่งปีกำลังจะผ่านไป  ข่าวและเหตุการณ์อันเป็นกิเลสตัณหานานาของมนุษย์ปรากฏให้เราเห็น
              ไม่เว้นแต่ละวัน  จึงหวังว่าเมื่อปีเก่าผ่านไป  ปีใหม่ที่ย่างเข้ามา  จะพกพาเอาความ "สะอาดกว่า  สว่างกว่า
              สงบกว่า"  มาปกแผ่กันทั่วหล้า  ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการทำใจของเราให้หลีกเลี่ยงละเว้นกิเลสตัณหาที่พร้อม
              จะเผาผลาญนั่นเอง

                                  (http://image.ohozaa.com/i/b56/oVJIU.gif) (http://image.ohozaa.com/view/5kft)

                                                           คัดจากบทบรรณาธิการนิตยสารสกุลไทย
                                                                        ฉบับที่  ๒๙๘๕
                                                          ประจำวันอังคารที่  ๓  มกราคม  ๒๕๕๕       
             










                       


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: บูรพาท่าพระจันทร์ ที่ 27 ธันวาคม 2011, 06:09:PM










หลากสำนวน ล้วนเลิศ ประเสริฐศรี
หลากสำนวน ล้วนชี้ ความดีเลิศ
หลากสำนวน ล้วนแล้ว แก้วบรรเจิด
ก่อกำเนิด กานท์กลอน อักษรงาม.../

บูรพาท่าพระจันทร์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 19 มกราคม 2012, 09:35:AM

                     

                      ส.ค.ส. ๒๕๕๕
 (http://image.ohozaa.com/i/793/rPNwf.gif) (http://image.ohozaa.com/view/3g8nm)

๏ วโรกาสดิถีกาล                ประดิษฐ์พานประดับพร
เถลิงศกประภัสสร                ไสวสรวงระวีศรี

๏ สวรรค์เสกพิศุทธิ์ใส           ณ ปีใหม่ประดามี
อุราเปรมเกษมปรีดิ์               ฤทัยปองลุหวังปาน

๏ พิชิตชัยพิไลสม                วิเชียรชมวิชาชาญ
สลักคำสลวยขาน                สลับข้อสลอนคม

๏ พระไตรรัตน์พิพัฒน์ปก        ตลอดศกกระจ่างสม
อร่ามรินเจริญรมย์                ขจรฤทธิ์กระจายเรียง

๏ ประสบสันติสุขสาน            เสมอหวานเสมือนเวียง
สนุกครบสนานเคียง              สนั่นคราวสนองคุณ

๏ มะโรงเรืองจรัสฤกษ์            กมลเบิกกุศลบุญ
พระพุทธน้อมพระธรรมหนุน      พระสงฆ์นบมโนใน

๏ ระรื่นรินถวิลหวัง                อุดมทั้งไผทไทย
ประสิทธิ์โชคประสาทชัย         สฤษฏ์ชื่นสราญชน

๏ เถอะเพื่อนเกลอสหายกลอน  วิจิตรพรประจักษ์ผล
วิมานดาวสดับดล                พจีเด่นสว่างดวง

๏ ตระกองสุขฉลองสุข           เฉลิมสุขเชลงทรวง
พิพิธพรระย้าพวง                 ชโลมเพียงละมุนพลัน

๏ ประสงค์ใดสมัยมา             ประทานฟ้าประทับขวัญ
นิราศทุกข์มิเทียมทัน             สุขีเถิดสวัสดิ์เทอญ๚ะ๛
 
                                    คอนพูทน
ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒

 (http://image.ohozaa.com/i/793/rPNwf.gif) (http://image.ohozaa.com/view/3g8nm)
                     (http://image.ohozaa.com/i/68d/cd9nY.gif) (http://image.ohozaa.com/view/9hsi)น้อมรับพร  ด้วยศรัทธา
                                   พี.พูนสุข             


 








หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 26 มกราคม 2012, 10:36:AM

                                 ระลึกถึง  เอนก  แจ่มขำ  เพื่อนกวี
                                                  (http://image.ohozaa.com/i/4e6/k3kei.gif) (http://image.ohozaa.com/view/cb9)

                                          สำนวนที่ ๑

                                      ด้วยรักและอาลัย...

                                      เป็นคัมภีร์วงการกลอนกระฉ่อนชื่อ
                               เป็นคนซื่อเป็นคนดีเป็นคนเก่ง
                               เป็นนักกลอนเป็นกวีที่ครื้นเครง
                               แต่ไม่เป็นนักเลงรังแกคน

                                      เป็นที่พึ่งของเพื่อนพ้องและน้องพี่
                               เป็นสามีที่ดีเลิศประเสริฐผล
                               เป็นพ่อที่รักลูกผูกกมล
                               เป็นผู้อุทิศตนให้วงวรรณ

                                      นับแต่นี้คงเป็นดาวบนราวฟ้า
                                ส่ิองแสงจ้าเพื่อนำทางสิ่งสร้างสรรค์
                                ด้วยสายใยแห่งกวีที่ผูกพัน
                                สรวงสวรรค์ชั้นกวี...คงมีเธอ

                                      เอนก  แจ่มขำ
                                ชื่อนี้จักจารจำอยู่เสมอ
                                ขอวิญญาณจงสงบภพเลิศเลอ
                                ขอพบเจอในชาติหน้า...ถ้ามีจริง

                                 (http://image.ohozaa.com/i/4e6/k3kei.gif) (http://image.ohozaa.com/view/cb9)
                                      ดร.จุไรรัตน์  วรรณยิ่ง
                                   (นายกสมาคมกวีร่วมสมัย) 
   

                                                     ด้วยจิตคารวาลัย อาจารย์เอนก  แจ่มขำ
                                 อดีตนายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย
                                 ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑๔  กรกฎาคม  ๒๕๕๔




                                         


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 26 มกราคม 2012, 02:16:PM

                                                     สำนวนที่ ๒

                                                                             แด่  "เอนก  แจ่มขำ"

                                                   ร่างท้วมท้วมเสียงทุ้มทุ้มนุ่มนุ่มหู
                                            ร่ายคำครูครื้นเครงเพลงอักษร
                                            พูดเบาเบาเล่าขำขันอันสุนทร
                                            ทุกบทตอนแน่นผนึกจารึกจำ

                                                   ด้วยแววตาเอ็นดูแบบผู้ใหญ่
                                             ด้วยน้ำใจยั่งยืนพาชื่นฉ่ำ
                                             ด้วยน้ำมิตรอบอุ่นคุณธรรม
                                             ด้วยความเป็นผู้นำประจำตัว

                                                   จึงตั้งจิตอุทิศตนเพื่อคนอื่น
                                             เพื่อพลิกฟื้นกานท์กลอนกระฉ่อนทั่ว
                                             สร้างเครือข่ายให้เห็นเป็นครอบครัว
                                             ประหนึ่งบัวเกิดก่อกอเดียวกัน

                                                   มีพี่เป็นศูนย์กลางอย่างพี่ใหญ่
                                             เชื่อมโยงใยก้าวย่างสู่ทางฝัน
                                             แก้วกวีเกริกกล้าสถาบัน   
                                             พร้อมแบ่งปันความหวังสู่สังคม

                                                   คือ "เอนก-แจ่มขำ" แจ่มคำขัน
                                              แจ่มคำคมคำคันอันเหมาะสม
                                              แจ่มความคิดแจ่มค่าแจ่มคารม
                                              แจ่มนิยมแจ่มโศลกแจ่มโลกกวี

                                                 (http://image.ohozaa.com/i/4e6/k3kei.gif) (http://image.ohozaa.com/view/cb9)
                                                        นพดล  จันทร์เพ็ญ
                                                           (อุบลราชธานี)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ช่วงนี้ไม่ว่าง ที่ 26 มกราคม 2012, 03:55:PM



นานๆได้อ่านกลอนรุ่นครู  ระดับมืออาชีพเขียนซักที ก็ดีเหมือนกัน
เบื่อต้องมานั่งเถียงเรื่องฉันทลักษณ์ ฉันถูก เธอผิด......ฉันกวี...เธอไม่ใช่กวี เต็มทน..... emo_126






หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ (ฉันท์ชั้นเอก จาก ชิต บุรทัต)
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012, 06:15:AM
      เสียงสิงคาล

        ชิต  บุรทัต

(อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑)
๏ ดำเนินนิทานพรร              ณนะฉันทะดำเนิน
โดยนัยประหนึ่งเชิญ             กวิชาติวิจารณ์ฉันท์
๏ สังเขปสรุปข้อ                 นยะย่อและพอยัน
เย้าให้หทัยหัน                    คติแห่งมิถูกเหิน
๏ หวนหาวิถีธรรม                และมิพลำเพราะจำเริญ
รอยปราชญ์ฉลาดเดิน           ดุจะธีระมีหวัง
๏ วุฒิ์ว่องสนองสม               กะนิยมนิยายยัง
กล่าวด้วยฤดีฝัง                  พจิฝาก บ เฟือนเฝือ
๏ ผิดบ้างผิพลั้งหน่อย           ผลน้อยก็เนื่องเจือ
จริงเจตน์ณเหตุเหลือ            จะแถลงเฉลยความ
๏ หากเพลงมิแกล้งพลาด       ก็ บ ขาดประคองนาม
"ศรีกรุง" พยุงพยายาม          ปฏิสนธิสืบเสริม ฯ

(ฉบัง ๑๖)
๏ เรื่องนี้มีนัยมาเดิม             อินเดียราชย์เฉลิม
พระนามไฉนไม่แถลง
๏ สอบสมนิยมอย่างแฝง        พระนามตามแสดง
ที่เล่าคือเค้าคำเฉลย
๏ ธโง่งมโมหะเปรย              ปรารมภ์ชมเชย
แต่เรื่องล้วนเหลวเลวเขลา
๏ ตีขลุมพลุ่มพล่ามยามเอา     โทษผิดสะกิดเกา
มิรู้ดำริพิจารณ์
๏ เหตุเป็นเช่นนี้เนื่องนาน      เนื่องถึงซึ่งกาล
จะเกิดอุบาทว์บัดดล
๏ ท้าวกลุ้มโกรธรุมรึงกมล       คืนค่ำคำรน
ตระหนักสำเนียงเสียงหอน
๏ ราชฐานปานทิพย์อมร         แมนสถิตถึงตอน
ราตรีฉะนี้น่าเสบย
๏ แต่ไรกาลไหนไม่เคย          จู่จู่อยู่เฉย
ชิพวกอ้ายหมามารุม
๏ ราชวังพรั่งชนชุมนุม           นระทั่วมั่วสุม
สะพรั่งและพร้อมล้อมวัง
๏ เพียงสุนัขจักไล่ไม่ฟัง         เหลือพละประทัง
และฤๅอมาตย์อาจหาญ
๏ อำมาตย์สนองราชโองการ    แด่พระนฤบาล
ณ นามสรณะคมนีย์
๏ ขอเดชบารเมศภูมี             มากรวมสรวมศี 
ระทวยทุคคตะเต็มเข็ญ
๏ คือพรรคสุนัขพันธุ์นั้นเป็น    สัตว์ต่ำบำเพ็ญ
พิธีคะนองของมัน
๏ ที่แท้แพร่ทราบศัพท์สรรพ์    ครวญคร่ำรำพัน
และหวนเพราะโหยโดยหนาว
๏ จึ่งราช ธ ประภาษในราว     เรื่องคดีมี่ฉาว
ฉะนี้ไฉนใคร่ฟัง
๏ หมาเห่าเหล่านั้นมันหวัง      เหตุใดให้ดัง
ฤดีด้วยมีปรารถนา
๏ เจ้ารู้อยู่จงบ่งมา               บอกหมายมาดหา
เห็นได้ก็ได้ดุจประสงค์
๏ อำมาตย์แจ้งราชจำนง        ทูลพนอขอจง
ทราบใต้ฝ่าเบื้องบทธุลี
๏ แท้จริงสิงคาลมานสรี-       ระหนาวร้าวนี-
ระสุขสยองเย็นครัน
๏ ใคร่สบความอบอุ่นอัน        มีแห่งเหมันต์
ฤดูระดมลมหนาว
๏ ผ้าเสื้อเพื่อใช้ในคราว        น้ำค้างพร่างพราว
จะห่อจะหุ้มคลุมกาย
๏ เทวะ! พระอย่าดูดาย         มิฉะนั้นมันตาย
จะต้องบาปข้องบทมาลย์

(อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑)
๏ ทราบโดยสดับเส            วกะเจตนาการ
ทูลแสร้งแถลงสาร              ปริยายขยายสม
๏ จอมภูมิผู้โง่                   พหุโมหะงงงม
แต่ราชะปรารมภ์                มุทิตาและการุณ
๏ ทรงโปรดประสิทธิ์พาท      อนุญาตเพราะเจตน์จุน
จำนงประสงค์สุน-              ทรสุขณสิงคาล
๏ ตรัสสั่งกะเสวก               ธุระตกพนักงาน
โดยฉันทะบรรหาร              ดุจะเผือประภาษไข
๏ เบิกทอง ณ ท้องคลัง        เถอะจะรั้งจะรอไย
เร็วเรียกสิรีบไป                 ณตลาดตลอดหา
๏ ซื้อสรรพะภัณฑ์พัต-         ถะและวัตถุนานา
ส่วนนวมสนอบอา-             ทระสร้างกุฎีเสริม
๏ เพื่อสานติภาพคราว         อุตุหนาวสุนัขเดิม
เย็นเยือกเพราะเหตุเหิม        หิมะนั้นจะพลันหาย ฯ

(มาณวกฉันท์ ๘)
๏ ชอบหฤทัย              ใครบมิปาน
สมมนะมาน                มุ่ง ณอุบาย
ดำริและหวัง               ดั่งปริยาย
เสวกะหมาย               เจตนะหมุน
๏ เบิกธนทรัพย์           นับคณะถ้วน
กาญจนะล้วน             ทองนพคุณ
ค้าผลโดย                โปรยปริภุญช์
เพื่อเฉพาะขุน             อาตมะเอง
๏ อีกก็เฉลี่ย              เกลี่ยเพราะฉลาด
แบ่งกะอมาตย์            เล่นกลเพลง
อวยสหมิตร               ปิดมุขะเกรง
กร้าวภยะเยง              ย่อมจะมิเผย ฯ

(วสันตดิลกฉันท์ ๑๔)
๏ ล่วงกาละมามิจิระนับ             สรศัพท์สุนัขเคย
เห่าหอนกระฉ่อนก็บมิเฉย          และกระโชกกระชั้นฉาว
๏ บางรัตติมัชฌิมะก็หวน           ระยะคราวญ ณ ค่ำคราว
พึงเยือกระย่อหทยะราว             ทะลุโสตสยองเย็น
๏ จึ่งไท้ผทมกษณะหลับ           ธสดับสะดุ้งเป็น-
เหตุตื่นพระฟื้นนยะประเด็น        คติดั่งอดีตความ
๏ พรุกรุ่งพระเรียกมุขะอมัจจ์       พจนัตถะตรัสถาม
เยียใดสุนัขนิยมนะนาม            ทุรสัตว์ติรัจฉาน
๏ ชุมร้องและซร้องสรสดับ         สุรศัพทะกังวาน
ทุกหน ณ มณฑิระสถาน           บริเวณ บ วายมี
๏ อันประกาศิตะณเรา              เฉพาะเจ้าก็แจ้งดี
คือจุ่งผดุงธุระพะลี                  อุปการะหมาผอง
๏ สูไป่กระทำและผิวะทำ           ก็มิทำ ณ ทำนอง
ตูสั่งกระมัง, เอะก็และทอง         ขณะนี้น่ะอยู่หรือ
๏ เสวก บ ตกจิตะสนอง           นยะคล่องจะควรฤๅ-
ไป่ควรก็ทรงกรุณะคือ               กิจะข้อวโรงการ
๏ เผือพร้อมกระทำประดุจะราช     พจนาตถะบรรหาร
ทั้งผองมิผิดอุทิศะทาน              ทะนุซึ่งสุนัขสรรพ์
๏ ทรงหล้า ธ ปรารภะประหลาด    มนะราชประภาษพลัน
หากแน่ไฉนก็คณะมัน                เอะอะเห่าจะเอาใด ฯ

(อีทิสังฉันท์ ๒๐)
๏ เอกอมาตย์ฉลาดเฉลียวกระไร
พระราชะถาม บ คร้ามหทัย           และทูลความ
๏ ทรงพินิจเถอะผิดฤชอบก็ตาม
ไฉนจะคลาดพระราชคาม-           ภิโรบาย
๏ ข้าพระพทธเจ้าจะขอถวาย
วสัชนากถาภิปราย                    พระโปรดทราบ
๏ มันแสดงก็โดยนิสัยสภาพ
กตัญญุตาณกาละลาภ                ลุบรรสบ
๏ เนื่องเพราะพายุวาระพ้องกระทบ
กระทั่วจะวายสลายสลบ              และเหลือทน
๏ หนาวกระสับกระส่ายกระเสือกกระสน
ก็เหล่าและหอนเพราะเหตุทุรน       ทุรายครัน
๏ จึงพระองค์สิทรงกรุณากะมัน
พระราชทานอภัยและภัณ-            ฑะทั้งหลาย
๏ อาทิผ้าและเสื้อก็มากก็มาย
สฤษดิ์กุฎีประกอบสบาย               บ พานลม
๏ ด้วยสวามิภักดิรักบรม
กษัตริย์เสมือนมนุษย์นิยม             มิหย่อนคลาย
๏ เออก็กาละนี้แหละน่าจะหมาย
แสดงสดุดิ์ประดุจจะนาย              กะบ่าวทาส
๏ แม่นแหละหมายถวายชยาภิวาทน์
บมีอะไรจะไขประกาศ                 ก็เกริ่นเสียง
๏ สาธุการประสานกระแสเผดียง
เผดิมพระพรก็ไพเราะเพียง           กะเพลงพิณ
๏ ควรมิควรละล้วนประจักษ์พระจิน-
ตนาพินิจบพิตรก็ยิน                   ตลอดยาม ฯ

(ภุชงคประยาตรฉันท์ ๑๒)
๏ อะโห! โอ-กระนั้นแน่               แหละจริงแท้ถนัดความ
บมีสิ่ง ณ โลกสาม                     อะไรสิ่งจะจริงเหมือน
๏ พระราชาธปรารม-                   ภะเห็นสมคดีเตือน
ประโมทย์ปีติไป่เลือน                  ละลายลืมเพราะปลื้มเหลือ
๏ ระลึกบุญเหตุแห่ง                    พระองค์แจ้งและจุนเจือ
กรุณแรงบแฝงเฝือ                     กระทำใฝ่จะให้เห็น
๏ สุเมตธรรมะจรรยา                   นุวัตรฐานะบำเพ็ญ
อภัยทานพิทักษ์เป็น                   นิรันดร์ป้อง ณ สัตว์ปวง
๏ ประโยชน์อ้างนิยายอัน              แถลงสรรพ์เสนอดวง-
กมลผู้แสวงสรวง                       เสวยสานติ์สราญรมย์
๏ ผิไปถึงกระนั้นเพียง                 พิภภพเยี่ยงมนุษย์สม
ประสงค์สบสุโขดม                    ก็อาจได้และไป่สูญ
๏ แนะปัญหาสุภาษิต                  จะพึงคิด ณ เค้ามูล
นิทานนี้ก็เปรียบปูน                    ประหนึ่งเพชร ณ หินแล
                                          -(ตรองเทอญ) - ฯ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ (ฉันท์ ฝีมืออังคาร กัลยาณพงศ์)
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012, 06:25:AM
    ธรรมชาติ

๏  เดือนเคลื่อนคล้อยทะเลเมฆ         เสนาะการเวกสวรรค์
น้ำค้างยะเยือกพลัน                          เผาะเผาะย้อยระยับประกาย ฯ

๏ ลมโชยบุหงาหอม                        บริสุทธิ์ขจรขจาย
ดาวแววพะแพร้วพราย                   วรเพชรมณีอนันต์ ฯ

๏ วังเวงดุเหว่าแจ้ว                          ขณะดึกละเมอฤฝัน
หอมกฤษณาอัน                               ระอุไหม้เพราะเพลิงพระไพร ฯ

๏ ซ่อนกลิ่นกระดังงา                      มะลิป่า ณ ใกล้และไกล
รื่นรื่นตระหลบใน                          หิมเวศวิเวกสถาน ฯ

๏ จวนสางปิศาจโหย                     อุวะหวีกภวังค์สะท้าน
เวียนเวรกลีกาล                              ทรมานนรกนิรันดร์ ฯ

๏  โฉมฉายอุษาแย้ม                       พระวิสูตร ณ สรวงสวรรค์
ป่าวหอมบุหงาพันธุ์                       บริการสกลพิภพ ฯ

๏ จึ่งรสสุคันธ์มาลย์                      ละเมาะไม้ก็หอมตระหลบ
ทิพย์แท้ประทานจบ                     ปฐพีพิเศษสมัย ฯ

๏ ภู่ผึ้งทะลวงกลีบ                       มธุรสขโมยผละไป
หึ่งหึ่งระเริงใจ                             จริยากะอย่างมนุษย์ ฯ

๏ แจ้วแจ้วดุเหว่าหวาน                เสนาะปานกวีวิสุทธิ์
นกกาและไก่ดุจ                            เคาะระฆังอุทัยประกาศ ฯ

๏ วงทองละอองทิพย์                  วรรุ้งวิเศษสะอาด
ปกป้อง ณ โลกธาตุ                     ชิวะถ้วนสถิตเสถียร  ๚๛


อังคาร กัลยาณพงศ์, ธนบุรี ๒๕๐๐



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: อริญชย์ ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012, 08:44:AM
เปษณนาทฉันท์   ฉันท์ที่มีกำเนิดจากเสียงครกกระเดื่อง   

ณ  ยามสายัณห์ตะวันยิ่งย้อย……...แน่ะเร่งเท้าหน่อยทยอยเหยียบหนา
ตะแล้กแต้กแต้กจะแหลกแล้วนา….กระด้งรีบมาเถอะถ่ายข้าวไป
คณาเนื้อนวลก็ครวญคลอขับ……..บุรุษเสริมรับสลับเสียงใส
ตะแล้กแต้กแต้กกระแทกเท้าไว…..สนุกน้ำใจสมัยสายัณห์
ตะแล้กแต้กแต้กตะแล้กแต้กแต้ก….กระเดื่องดังแซกสำรวลสรวลสันต์
มินานนักข้าวก็เปลือกร้าวพลัน…...บุรุษรีบดันกระด้งส่งมา
ประเพณีไทยสมัยก่อนเก่า………....ก็คงมีเค้าจะเนานานถ้า
ดรุณลูกหลานสถานท้องนา……....นิยมเยี่ยงย่าและปู่ครูเดิม

                    สุภร    ผลชีวิน


ปล.อันนี้เป็นฉันท์ใหม่ที่ชาวไทยเราคิดค้นขึ้น
โดยอาจารย์ สุภร ผลชีวิน   เพราะดีนะ


ข้อมูลเพิ่มเติม (ครุ ลหุ) ดูตามลิงค์นี้เน้อ



http://www.reurnthai.com/index.php?topic=538.0 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=538.0)



 emo_107 emo_126 emo_107




ครกกระเดื่อง
(http://www.vcharkarn.com/uploads/19/19958.jpg)

ขอบคุณภาพจาก   www.google.com (http://www.google.com)






หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012, 11:33:PM
เพื่อ

ตื่นขึ้นเถิด เพื่อรับแสง แห่งสูรย์ส่อง
เมื่อดาวล่อง เดือนลับ ไปกับฝัน
ขับราตรี หนีเตลิด เพื่อเปิดวัน
เชิญร่วมกัน ฟังดนตรี แห่งชีวา

ไปเสียเถิด เจ้าภูตพราย แห่งสายหมอก
ไม่ช้าหรอก เสียงร้านเหล้า เขาเรียกหา
"ประตูเปิด ไยพวกเจ้า ไม่เข้ามา
มัวก้มหน้า หดหู่ อยู่ทำไม"

ฟังซิฟัง ไก่ขัน กระชั้นขาน
เป็นสัญญาณ เปิดร้านค้า ช้าไฉน
รู้เถิดว่า เวลานั้น สั้นเกินไป
อดีตใด หากเลื่อนลับ มิกลับเลย

ช่วงปีใหม่ ชวนให้นึก ระลึกคิด
ทั้งวิญญาณ และชีวิต นิจจาเอ๋ย
มัวคอยโชค คอยชัย ทำไมเลย
อย่านิ่งเฉย เร่หา สุราบาน

เมื่อยามตาย ได้อะไร ติดไปบ้าง
เพียงเรือนร่าง ฝังซาก ฝากสุสาน
ยังชีพอยู่ ดูโลกไป ให้สำราญ
ดอกไม้บาน ในแก้วเหล้า เราเริงใจ

ปากของเจ้า สงบนิ่ง จริงจริงนะ
"เพื่อหัวใจ ชัยชนะ" มะ! เติมใหม่
ดื่มเถิดเพื่อน ดื่มเถิดเรา ดื่มเข้าไป
เฉลิมโชค ฉลองชัย ได้ทุกวัน

จำเพื่อลืม ดื่มเพื่อเมา เหล้าเพื่อโลก
สุขเพื่อโศก หนาวเพื่อร้อน นอนเพื่อฝัน
ชีวิตนี้ มีค่านัก ควรรักกัน
รวมความฝัน กับความจริง เป็นสิ่งเดียว


"แคน สังคีต" (พิมล แจ่มจรัส)
 emo_126


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 03:59:PM
แปนเอิดเติด

แปนเอิดเติด
สายน้ำระเหิดระเหยหาย
ทุ่งแล้งโจงโปงไม้ยืนตาย
ลมแล้งแรงร้ายอยู่ตาปี
อีสานแดนดินที่ดาลเดือด
สายเลือดปู่สังกะสาย่าสังกะสี
ธรรมชาติไม่ปราณี
ทุรชาติย่ำยีกินแรง
ว่างเปล่าเหลือแสนแปนเอิดเติด
เราเกิดในสังคมยื้อแย่ง
ไม่มีข้าวไม่มีปลาป่าแล้ง
ไม่มีแสงสว่างของชีวิน
ว่างเปล่าเหลือแสนแปนเอิดเติด
รอระเบิดกาลเวลาถล่มสิ้น
ผู้กดขี่สลายจากธรณิน
ว่างเปล่าเหมือนดินถิ่นอีสาน

(กวีแปนเอิดเติด - ประเสริฐ จันดำ)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ - อีศาน (อัศนี พลจันทร)
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 08:27:AM
อีศาน
        ในฟ้าบ่มีน้ำ       ในดินซ้ำมีแต่ทราย 
น้ำตาที่ตกราย    ก็รีบซาบบ่รอซึม   
        แดดเปรี้ยงปานหัวแตก    แผ่นดินแยกอยู่ทึบทึม   
แผ่นอกที่ครางครึ้ม    ขยับแยกอยู่ตาปี   
        มหาห้วยคือหนองหาน    ลำมูลผ่านเหมือนลำผี   
ย้อมชีพคือลำชี     อันชำแรกอยู่รีรอ   
        แลไปสดุ้งปราณ     โอ้!อิศาน ฉะนี้หนอ 
คิดไปในใจคอ   บ่ค่อยดีนี้ดังฤา   
        พี่น้องผู้น่ารัก    น้ำใจจักไฉนหือ   
ยืนนิ่งบ่ติงคือ    จะใคร่ได้อันใดมา   
        เขาหาว่าโง่เง่า     แต่เพื่อนเฮานี่แหละหนา   
รักเจ้าบ่จางฮา    แลเหตุใดมาดูแคลน   
        เขาซื่อซิว่าเซ่อ     ผู้ใดเน้อนะดีแสน   
ฉลาดทานเทียมผู้แทน    ก็เห็นท่าที่กล้าโกง   
        กดขี่บีฑาเฮา    ใครนะเจ้า? จงเปิดโปง 
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง    เทียวมาแทะให้ทรมาน   
        รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น    ละม้ายแม้นห่าสังหาร   
เสียตนสิทนทาน    ก็บ่ได้สะดวกสบาย   
        ในฟ้าบ่มีน้ำ    ในดินซ้ำมีแต่ทราย   
น้ำตาที่ตกราย    คือเลือดหลั่ง ลงโลมดิน   
        สองมือเฮามีแฮง    เสียงเฮาแย้งมีคนยิน   
สงสารอิศานสิ้น    อย่าซุด, สู้ด้วยสองแขน   
        พายุยิ่งพัดอื้อ   ราวป่าหรือราบทั้งแดน   
อิศานนับแสนแสน    สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ? 


อัศนี พลจันทร หรือ นายผี ประพันธ์บทกวี อีศาน ลงพิมพ์ใน สยามสมัย (ปีที่ 5 ฉ.256, 7 เม.ย.2495) กาพย์ยานี 11 แบบฉบับของนายผี กลายเป็นบทกวีลือเลื่อง เสมือนเป็นตัวแทนของนายผี ผู้คนได้ขนานนามนายผีเป็น มหากวีของประชาชน

ต่อมา ปี 2554 คณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าได้คัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าเกียรติยศ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ -เปิบข้าว (จิตร ภูมิศักดิ์)
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 08:31:AM
เปิบข้าว
        เปิบข้าวทุกคราวคำ    จงสูจำเป็นอาจิณ 
เหงื่อกูที่สูกิน    จึงก่อเกิดมาเป็นคน 
        ข้าวนี้น่ะมีรส    ให้ชนชิมทุกชั้นชน 
เบื้องหลังซิทุกข์ทน   และขมขื่นจนเขียวคาว 
        จากแรงมาเป็นรวง    ระยะทางนั้นเหยียดยาว 
จากรวงเป็นเม็ดพราว    ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ 
        เหงื่อหยดสักกี่หยาด    ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น 
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น    จึงแปรรวงมาเป็นกิน 
        น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง    และน้ำแรงอันหลั่งริน 
สายเลือดกูทั้งสิ้น    ที่สูซดกำซาบฟัน 

จิตร ภูมิศักดิ์ (สหายปรีชา) ประพันธ์บทกวีนี้ราวทศวรรษที่ 2490 เป็นส่วนหนึ่งของบทกวี "วิญญาณหนังสือพิมพ์ (คำเตือน...จากเพื่อนเก่าอีกครั้ง)" ในนามปากกา "กวี ศรีสยาม" ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย พ.ศ. 2507 เป็นกาพย์ยานี 11 ที่ได้รับอิทธิพลจากนายผี  ได้รับความนิยมหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา จากนั้นวงคาราวานได้นำบทกวีนี้มาใส่ทำนองจึงเกิดเป็นเพลง "เปิบข้าว" 

ต่อมา ปี 2554 คณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าได้คัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าเกียรติยศ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 08:35:AM
อีสานบ้านของเฮา
        หอมดอกผักกะแยง  ยามฟ้าแดงค่ำลงมา   
แอ้บแอ้บเขียดจะนา  ร้องยามฟ้าฮ้องฮวนฮวน 
        เขียดโม้เขียดขาคำ  เหมือนหมอลำพากันม่วน   
เมฆดำลอยปั่นป่วน  ฝนตกมาสู่อีสาน 
        หมู่หญ้าteenกับแก  ถูกฝนแลเขียวตระการ   
ควายทุยเสร็จจากงาน  เล็มหญ้าอ่อนตามคันนา 
       รุ่งแจ้งพอพุ่มพู  ตื่นเช้าตรู่รีบออกมา   
เร่งรุดไถฮุดนา    รีบนำฟ้าฟ่าวนำฝน 
        อีสานบ้านของเฮา   อาชีพเก่าแต่นานดล 
เอาหน้าสู้ฟ้าฝน    เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา   
  เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา   
 
         ม่วน..เอ๊ย..โอ...โอ้ นอ..    
 
         ม่วนเอ๊ยม่วนเสียงกบ  ร้องอ๊บอ๊บกล่อมลำเนา 
ผักเม็กผักกะเดา   ผักกระโดนและผักอีฮีน 
        ธรรมชาติแห่งบ้านนา    ฝนตกมามีของกิน 
ฝนแล้งแห้งแผ่นดิน    ห้วยบึงหนอง แห้งเหือดหาย 
        มาเด้อมาเฮ็ดนา   มาเด้อหล้าอย่าเดินผ่าย 
นับวันจะกลับกลาย    บ่าวสาวไหลเข้าเมืองกรุง 
 
        เสียงแคนกล่อมเสียงซุง   ตุ้งลุ่งตุ้ง แล่นแตรลุ่งตุง 
        เสียงแคนกล่อมเสียงซอ     อ้อนแล้วอ๋อ อ้อนอีแล้วออ 
        มาเด้อมาช่วยกันก่อ    อีสานน้อ...บ้านของเฮา 

พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ประพันธ์เพลงนี้ให้ เทพพร เพชรอุบล ขับร้อง เมื่อปี พ.ศ. 2520 จนโด่งดังกลายเป็นมหากาพย์แห่งเพลงลูกทุ่งอีสานเลย


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 08:44:AM
คิดถึงบ้าน

        เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม         นภาแจ่มนวลดูงาม   
เย็นยิ่งหนอยามเมื่อลมพัดมา  
        แสงจันทร์นวลชวนใจข้า คิดถึงถิ่นที่จากมา   
คิดถึงท้องนาบ้านเรือนที่เคยเนา 
        กองไฟสุมควายตามคอก คงยังไม่มอดดับดอก   
จันทร์เอยช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า 
        โหมไฟให้แรงเข้า พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว   
ให้พี่น้องเรานอนหลับอุ่นสบาย 
        เรไรร้องฟังดังว่า เสียงเจ้าที่เฝ้าคอยหา   
ลมเอ๋ยช่วยมากระซิบข้างกาย 
        ข้ายังคอยอยู่มิหน่าย มิเลือนเคลื่อนคลาย   
คิดถึงมิวายที่เราจากมา 
        ลมเอยจงเป็นสื่อให้ น้ำรักจากห้วงดวงใจ   
ของข้านี้ไปบอกเขานะนา 
        ให้คนไทยรู้ว่า ไม่นานลูกที่จากมา   
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย. 

อัศนี พลจันทร หรือ นายผี หรือ สหายไฟ อดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประพันธ์เพลงนี้ ขณะเคลื่อนไหวในป่า "สุรชัย จันทิมาธร" หรือ "หงา คาราวาน" คือผู้นำเพลง "คิดถึงบ้าน" ออกมาจากราวป่า และบันทึกเสียงครั้งแรกในนามวงคาราวาน กับอัลบั้มชุด "บ้านนาสะเทือน" เมื่อปี 2526 ภายหลังมีนักร้อง และวงดนตรีหลายวงนำไปบันทึกเสียงและบรรเลงอีกนับไม่ถ้วนในนามของเพลง "เดือนเพ็ญ"  กลายเป็นหนึ่งในเพลงอมตะของเมืองไทย

เนื้อเพลงฉบับนี้ ได้รับการตรวจทานจาก “ป้าลม” หรือ วิมล พลจันทร ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของนายผี คัดจากหนังสือ “รำลึกถึงนายผี จากป้าลม” จัดพิมพ์ในวาระอายุครบ 72 ปี

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าฉันทลักษ์เป็นกาพย์ฉบัง เพียงแต่ขยายจำนวนคำเป็น 6-6-8 จากเดิมที่เป็น 6-4-6 จึงฝากไว้ให้พิจารณา

ด้วยจิตคารวะ
 emo_126


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ค.คนธรรพ์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 03:15:PM
ขอร่วมแลกเปลี่ยนนะครับ

ผมเห็นด้วยที่ว่ารูปแบบร้อยกรองของเพลงคิดถึงบ้านไม่ใช่กาพย์ฉบังที่ขยายจำนวนคำในวรรค
แต่ก็คิดว่า ไม่น่าเป็นกลอนแปดหรือสัมผัสแบบเนื้อเพลง

ขอลองแบ่งวรรคเพลงนี้ใหม่อีกครั้งนะครับ


คิดถึงบ้าน

        ๑ เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม   นภาแจ่มนวลดูงาม   
           เย็นยิ่งหนอยาม                 เมื่อลมพัดมา   
 
        ๒ แสงจันทร์นวลชวนใจข้า       คิดถึงถิ่นที่จากมา       
           คิดถึงท้องนา                    บ้านเรือนที่เคยเนา   
       
        ๓ กองไฟสุมควายตามคอก       คงยังไม่มอดดับดอก   
           จันทร์เอยช่วยบอก              ให้ลมช่วยเป่า
 
        ๔ โหมไฟให้แรงเข้า               พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว   
           ให้พี่น้องเรา                     นอนหลับอุ่นสบาย   

        ๕ เรไรร้องฟังดังว่า                เสียงเจ้าที่เฝ้าคอยหา         
           ลมเอ๋ยช่วยมา                   กระซิบข้างกาย
           
        ๖ ข้ายังคอยอยู่มิหน่าย           มิเลือนเคลื่อนคลาย             
           คิดถึงมิวาย                     ที่เราจากมา
     
        ๗ ลมเอยจงเป็นสื่อให้           นำรักจากห้วงดวงใจ         
           ของข้านี้ไป                    บอกเขานะนา     
       
        ๘ ให้คนไทยรู้ว่า                 ไม่นานลูกที่จากมา               
           จะไปซบหน้า                  ในอกแม่เอย.



ถ้าแบ่งวรรคอย่างนี้ จะได้กลอนแปดบทพอดี

วรรคหนึ่ง วรรคสองบังคับหกคำ
ส่วนวรรคสามและวรรคสุดท้ายกำหนดให้มีสี่คำ


  000000    000000
  0000        0000



คำท้ายวรรคหนึ่งถึงวรรคสามกำหนดสัมผัสสระเดียวกันทั้งหมด


           เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม   นภาแจ่มนวลดูงาม   
           เย็นยิ่งหนอยาม                 เมื่อลมพัดมา   

 

คำท้ายวรรคสี่นั้น ใช้ส่งสัมผัสโดยสามารถเลือกส่งสัมผัสได้สองตำแหน่ง คือ

ตำแหน่งแรก ส่งสัมผัสไปคำที่หกของวรรคแรกในบทถัดไป


              เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม   นภาแจ่มนวลดูงาม   
           เย็นยิ่งหนอยาม                 เมื่อลมพัดมา   
 
            แสงจันทร์นวลชวนใจข้า       คิดถึงถิ่นที่จากมา       
           คิดถึงท้องนา                    บ้านเรือนที่เคยเนา   



ตำแหน่งที่สอง ส่งสัมผัสไปคำที่สี่ของวรรคสุดท้ายในบทถัดไป


             แสงจันทร์นวลชวนใจข้า       คิดถึงถิ่นที่จากมา       
           คิดถึงท้องนา                    บ้านเรือนที่เคยเนา   
       
           กองไฟสุมควายตามคอก       คงยังไม่มอดดับดอก   
           จันทร์เอยช่วยบอก              ให้ลมช่วยเป่า



ส่วนจะเลือกส่งสัมผัสไปที่วรรคไหนนั้น เป็นอิสระของผู้ประพันธ์เพลงครับ (ฮา)

กลอนบท ๘ วรรคแรกที่ว่า

ให้คนไทยรู้ว่า

ตามรูปแบบร้อยกรองที่กล่าวแล้ว ก็ควรมีหกคำ
แต่ที่มีห้าคำนั้นเป็นการลดจำนวนคำในวรรคเพื่อให้เข้ากับทำนองเพลงนั่นเอง


จะให้ตอบว่า เป็นฉันทลักษณ์อะไรนั้น
ต้องเปิดกรุค้นดูก่อนครับ
ถ้าจะเดา คิดว่า น่าจะเป็นรูปแบบเพลงพื้นบ้านไทยชนิดหนึ่ง

 emo_40


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: ค.คนธรรพ์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012, 06:28:PM
ผมยังคาใจอยู่เรื่องการส่งสัมผัสระหว่างบท
เลยกลับมาเล็งใหม่อีกเที่ยว

พบว่า สามารถจัดแบ่งวรรคเพลงคิดถึงบ้านได้อีกลักษณะหนึ่ง


คิดถึงบ้าน

        ๑ เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม   นภาแจ่มนวลดูงาม   เย็นยิ่งหนอยาม  เมื่อลมพัดมา
   
           แสงจันทร์นวลชวนใจข้า      คิดถึงถิ่นที่จากมา      คิดถึงท้องนา    บ้านเรือนที่เคยเนา 
 
       
        ๒ กองไฟสุมควายตามคอก   คงยังไม่มอดดับดอก         จันทร์เอยช่วยบอก     ให้ลมช่วยเป่า
 
           โหมไฟให้แรงเข้า     พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว    ให้พี่น้องเรา     นอนหลับอุ่นสบาย   


        ๓ เรไรร้องฟังดังว่า     เสียงเจ้าที่เฝ้าคอยหา      ลมเอ๋ยช่วยมา     กระซิบข้างกาย
           
          ข้ายังคอยอยู่มิหน่าย    มิเลือนเคลื่อนคลาย      คิดถึงมิวาย    ที่เราจากมา

     
        ๔ ลมเอยจงเป็นสื่อให้    นำรักจากห้วงดวงใจ    ของข้านี้ไป       บอกเขานะนา     
       
           ให้คนไทยรู้ว่า         ไม่นานลูกที่จากมา       จะไปซบหน้า     ในอกแม่เอย.



รูปแบบร้อยกรองที่จัดเรียงวรรคใหม่นี้ มีสี่บท ทว่าออกจะพิสดารอยู่ไม่น้อยเพราะในหนึ่งบทมีถึงแปดวรรคด้วยกัน  emo_44
แต่ถ้าเรานึกถึงฉันทลักษณ์กาพย์ เช่น สุราคนางค์ ๒๘  สุราคนางค์ ๓๒ ที่บทหนึ่งๆมีเจ็ดและแปดวรรคแล้ว
การจัดแบ่งวรรคเพลงคิดถึงบ้านออกเป็นแปดวรรค ก็ย่อมเป็นไปได้  emo_47

ฉันทลักษณ์ของเพลงคิดถึงบ้านเป็นดังนี้

ในหนึ่งบท มีสองบาท
         
    000000   000000   0000   0000
    000000   000000   0000   0000

บาทหนึ่งมีสี่วรรค

    000000   000000   0000   0000

วรรคหนึ่งกับสองมีหกคำ
วรรคสามกับสี่มีสี่คำ

บังคับสัมผัสมีสามชนิด
๑ สัมผัสระหว่างวรรค
             
    000000   000000   0000   0000
   
๒ สัมผัสระหว่างบาท

    000000   000000   0000   0000
    000000   000000   0000   0000

๓ สัมผัสระหว่างบท

    000000   000000   0000   0000
    000000   000000   0000   0000

    000000   000000   0000   0000
    000000   000000   0000   0000



 


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 05:06:PM
        ตำราหางอึ่ง

๏ ร่ำตำราหางอึ่ง          รู้ซึ้งถึงสวรรค์ชั้นฟ้า 
บ้าอำนาจงูงูปลาปลา              จะกลืนสุริยาแจ่มจันทร์ ฯ
๏ หิวโหยตะกละกินความตาย     สะสมไว้มากมายมหันต์
อมตะแต่ระยะสั้น                   ชั่วกัปป์กัลป์กิ้งกือดิน ฯ
๏ หอกดาบเพ้อพูดได้              น้ำลายหลากท่วมฟ้าสิ้น
สัตว์เซลล์เดียวจะรุมกิน           รสกลิ่นคาวอธิปไตย ฯ
๏ เมืองจะมึนเหมือนเมาเหล้า     จันทร์เจ้าจะเป็นผีพุ่งไต้
ปลาปูงูหอยจะตาย                วอดวายชีวิตทุกดวงดาว ฯ
๏ แกลบรำนฤมิตตัวเอง           วังเวงขึ้นแทนเทพเจ้า 
กาละนั้นแหละถึงคราว             พราวศิวิไลซ์ทั้งโลกา ฯ
๏ เชื้อมะเร็งจะสวมเสื้อนอก       มิกลับกลอกหลอกหลังไว้หน้า 
ล่อพระศรีอารย์มา                  งับน้ำชาเวลามืดเอย ๚๛

        อังคาร กัลยาณพงศ์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 05:08:PM
        โลก

  ๏  โลกนี้มิอยู่ด้วย      มณี    เดียวนา 
ทรายและสิ่งอื่นมี      สว่นสร้าง 
ปวงธาตุต่ำกลางดี      ดุลยภาพ 
ภาคจักรวาลมิร้าง      เพราะน้ำแรงไหน ๚ 
 
  ๏  ภพนี้มิใช่หล้า        หงส์ทอง  เดียวเลย 
กาก็เจ้าของครอง      ชีพด้วย 
เมาสมมติจองหอง     หีนชาติ 
น้ำมิตรแล้งโลกม้วย   หมดสิ้นสุขศานติ์ ๚๛   
                       
        อังคาร กัลยาณพงศ์


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 05:09:PM
เพลงพิณ

แล้วขึงสายขึ้นสายพรมปลายนิ้ว
วะวึบหวิวหวิวหวานกังวานป่า
จึ่งแจ้งในเล่ห์นั้นด้วยปัญญา
ดั่งเปิดภาชนะคว่ำพ้นอำพราง

สังสารวัฏฏ์ขัดข้องยังท่องอยู่
ชีวิตลู่เลียดภัยในระหว่าง
อนธกาลเกลื่อนกลีทุกที่ทาง
ฉลาดย่างโดยตรองปราศผองภัย

คือเส้นหนึ่งขึงอย่างค่อนข้างหย่อน
ผะแผ่วผ่อนอ่อนเสียงสำเนียงใส
ขึ้นสังคีตขับขานรำคาญใจ
จับเสพใส่โสตส่วนกระอ่วนอึง

คือเส้นนั้นขันตึงอย่าพึงหมาย
ประเลงร่ายดีดผาดพลันขาดผึง
ยังโบยเบียดเสียดซ้ำหน่วงคำนึง
จักเวียนขึงเวียนขันรั้นอารมณ์

วางจังหวะทำนองของชีวิต
เขบ็ตบิดเบนเพลงบรรเลงล่ม
กำหนดชั้นเหมาะชั้นประชันชม
ประโคมคมคำกรองทำนองกานท์

เป็นห้องห้วงท่วงท่าลีลาศิลป์
ซึ่งร่ายรินคำร้องทำนองหวาน
จะกลบข่มคำร้องทำนองมาร
ซึ่งขับขานครวญครางอยู่ข้างเคียง

เพลงชีวิตของชีวิตทุกชีวิต
ไม่มีสิทธิ์ลองเปรียบลองเทียบเสียง
ต่างชีวิตต่างเทียบต่างเรียบเรียง
บนเส้นเบี่ยงบ่ายเบน-บนเส้นตรง

มากชีวิตเล่นชีวิตอย่างผิดพลาด
หมดโอกาสหมดทางเลือกก็เสือกส่ง
จะดั้นเดินเพลินพาเข้าป่าดง
ไปติดกรงติดกับอยู่คับแค้น

มากชีวิตเขียนชีวิตแล้วขีดฆ่า
เป็นเส้นคร่อมดำพร่าทึบหนาแน่น
จึงบรรเลงเพลงชีวิตอย่างแกนแกน
เป็นเพลงแสนแสบทรวงกล่อมดวงจินต์

ในเพลงพิณเพราะสำเนียงเพียงเส้นหนึ่ง
เป็นเส้นซึ่งเป็นศาสตร์และเป็นศิลป์
เฉพาะผู้รู้เลือกลำเพ็ญประพิณ
ย่อมยลยินชมชัวด้วยตัวเอง.

        (สุธีร์  พุ่มกุมาร - เพลงพิณ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, พ.ศ. ๒๕๔๑)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ - วัฒน์ วรรลยางกูร
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 01:16:PM
กล้วยหาย

บ้านฉันอยู่ในซอย       ชื่อซอยต้นกล้วย
ข้างบ้านมีลิง              ลิงชอบกินกล้วย
ลิงอยู่ในสวน              สวนไม่มีกล้วย
ก่อนนอนทุกวัน           ฉันชอบกินกล้วย
ฉันมีเงินใช้                 ฉันใช้ซื้อกล้วย
ซื้อมาหวีใหญ่             แขวนไว้กินกล้วย
เช้าออกทำงาน           ทำงานแลกกล้วย
ตาลายท้องหิว            ฉันหิวหากล้วย
ค้นหาเห็นลิง              ลิงถือหวีกล้วย
ฉันโมโหลิง                เตะลิงแย่งกล้วย
โมโหเสียแย่               มีแต่เปลือกกล้วย
ฉันรู้ความจริง            ลิงเปล่ากินกล้วย
เพื่อนบ้านหลายคน   เห็นคนลักกล้วย
เป็นคนขุดดิน            ไม่ชอบกินกล้วย
ลูกเล็กของเขา          กินข้าวบดกล้วย
เขาเป็นคนจน           จนไม่มีกล้วย
ลูกเล็กหิวนัก            เขาจึงลักกล้วย

       วัฒน์   วรรลยางกูร


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 01:17:PM
หทยานุภาระ

หลับกับฟืนตื่นกับไฟหัวใจถ่าน
ง่วนกับงานอ่านสุขและเขียนเศร้า
พูดกับแดดคุยกับลมที่พรมเพรา
ฟังนกเล่านิทานเท่านั้นมิพอ
ปัจเจกกวีต้องเพาะหว่าน
ธัญญะแห่งวิญญาณการเกิดก่อ
ทั้งยุ้งฉางว่างเปล่าข้าวขาดกอ
ยังร้างรอเมล็ดรวงความห่วงใย

        ศิวกานต์  ปทุมสูตร (นัยตากวี, พิมพ์ครั้งแรก, พ.ศ.๒๕๕๕)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 08 เมษายน 2012, 01:28:AM
เพลงพอวา

        ๏  ในหุบเขาเขียว-ดอกไม้ขาว
เคยคลี่กลีบวาวอยู่ไหวไหว
บางคนอ้างว้าง-ผ่านทางไป
ได้ฉมชมใจใต้แสงจันทร์
บานแต้มน้ำค้างกลางดงเขียว
โดดเด่นดอกเดียวกลางลานฝัน
เหมือนแต่งความตื่นเพื่อยืนยัน
ให้คืนวันให้ฤดูได้รู้รัก...!
โอ้หนอ...
เหมือนพอวามาพอให้รู้จัก
แต่ขาวแห่งพวกพเยียหอมเสียนัก
ยังคล้ายทายทักทุกที่ทาง
รู้รัก-รู้แล้วหนอแก้วหนอ
เหมือนพอวามาพอให้รู้อ้าง
ให้รู้หนรู้เห็น-รู้เส้นทาง
รู้ปล่อยรู้วาง-รู้ชีวิต...! ๚๛

        พนม นันทพฤกษ์
        (ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๓ ฉบับที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕, หน้า ๖๖.)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 09 เมษายน 2012, 11:02:PM
อารมณ์อรุณ


มืดมนมานานตรึงม่านสมัย
จวบมืดกรายไกล้รำไรอุษา
จึงเหมือนมืดล้วยเรรวนชะตา
พิศวงเวลาล้าเล่ห์ระบาย
ชะรอยเสื่อมกฤตยาแห่งกาฬปักษ์
หรือน้ำหนักราตรีเพียงพลีสลาย
ปาฏิหาริย์ลึกลับพลอยดับวาย
สับสนมากมายปลายมืดมัว
เสมอโรยราพลังผิดสังเกต
ดื่นดวงดาเรศสังเวชสลัว
สงัดเย็นก็แปรเปลี่ยนเพียรแยกตัว
เรื้องร้างไปทั่วทั้งมณฑล
อุษาร่ำไรไขแสงสาง
เบิกรุ่งเลือนรางช่างชวนฉงน
เยี่ยมฟ้าตะวันออกฟอกเมืองบน
แล้วโรยหล่นละอองแสงแปลงเมืองดิน
อัศจรรย์หมอกฟ้าตรึงอากาศ
ดังตรึงสวาทอุษาไว้ให้หยุดถวิล
แต่โกฏิฤทธิ์พิศดารมารมลทิน
ก็พ่ายสิ้นอุษาสวาทวาดลำเนา
หนาวเย็นเป็นพื้นชื้นน้ำค้าง
ช่วยสร้างพลังอุษาฝ่าฟันเหงา
เงียบเงียบข่มขับพยับเทา
ยังเรื่อยเร้าฟื้นอรุณละมุนละไม

ไม่ทันฟ้าดินเสร็จสิ้นสว่าง
เงาหนึ่งเยื้องย่างสร้างเงาไหว
ดุ่มตามซอกซอยค่อยค่อยไป
อาศัยแสงสางนำทางจร
จวบลุถนนใหญ่ในที่สุด
เงาหยุดยืนนิ่งไม่เหนื่อยอ่อน
เหลียวซ้ายแลขวาเต็มอาทร
ห่มหมอกหนาวสะท้อนสะท้านกาย
แทบร้างผู้คนถนนตรู่
นกหกเห็นกู่แล้วลับหาย
ช้านานยืนรอพอกระวนกระวาย
จนเห็นนิมิตหมายสุดสายตา

เหมือนสว่างทั้งเวิ้งจักรวาล
สรรพสีร้าวรานไปทั้งหล้า
เรืองไรลีลาศบาดหมองมา
หยุดยืนต่อหน้าต่างค่าประจัน
ร่างที่ยืนคอยเคลิ้มคล้อยระทึก
พิลึกความคลับคล้ายไม่คาดฝัน
ถ้าเทียบร่างต่อร่างก็ต่างกัน
แต่ถ้าเทียบตรงท้องนั้นคล้ายกันกระไร
ต่างอุ้มออกมาเพลาเช้า
หนึ่งเบาหนึ่งหนักประจักษ์ได้
ร่างหนึ่งเวียนมารับแล้วลับไป
อีกร่างหนึ่งรอใส่ในนามบุญ

บาลีคาถามนตราขลัง
แว่งดังปลุกศรัทธามาเนื่องหนุน
ร่างหนึ่งพนมมือถือพุทธคุณ
หากใจไพล่ครุ่นคำนึงตน
อธิษฐานภาวนาประสาหมอง
ขอให้ท้องถ้วนกำหนดเลื่อนลดฉงน
อย่าได้คลอดยากลำบากลำบน
บุญกุศลบุญปลูกได้ลูกดี
ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
อย่าตกทุกข์อยู่รอดค่อยปลอดหนี้
โรคภัยไข้เจ็บอย่าพึงมี
สมประสงค์ลูกนี้ทุกประการ

เงียบเสียงมนตราไม่ช้านั้น
เรืองไรค่อยหันร่างผันผ่าน
อุ้มบาตรวาดเส้นทางสว่างทาน
คล้ายด้นไปในหมอกม่านกาลเวลา
จึงร่างที่อุ้มท้องเยื้องย้ายกลับ
ดุ่มลำดับตามแสงแห่งอุษา
คล้ายอุ่นใจในทรวงหนึ่งช่วงชะตา
เร้าให้อุ้ยอ้ายฝ่าทุกฝ้าละออง

        แรคำ   ประโดยคำ
       (ในเวลา, เมษายน ๒๕๔๑.)


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ : บิดากลอน สุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 25 มิถุนายน 2012, 02:51:PM
 

                                                                 (http://upic.me/i/xj/soontornphoo.gif) (http://upic.me/show/36880096)      (http://upic.me/i/y9/imagescamj28dj.jpg) (http://upic.me/show/36756047)
                                                       น้อมรำลึก  ๒๒๖ ปี ชาตกาล สุนทรภู่
                                
                           ๒๖  มิถุนายน ๒๕๕๕   วันสุนทรภู่

                                                                                      บูชาบิดากลอน
                                                           กาพย์กลอนไทย ธำรง คงคุณค่า       จากศิลา จารึก บันทึกสมัย
                                                สะท้อนรส บทกลอน สะท้อนใจ                  สะท้อนความ เป็นไท ไปนิรันดร์
                                                สะท้อนแก้ว แววกลอน สุนทรภู่                   พระคุณครู ศักดิ์สิทธิ์ คิดสร้างสรรค์
                                                ครูสร้างคำ แปดคำ ให้สำคัญ                       อภิวันท์ บูชา บิดากลอน
                                                สองร้อยปี บรรจบ ครบถ้วนทั่ว                  ถึงลับตัว แต่ชื่อ ลือกระฉ่อน
                                                ทรงศักดิ์ศรี กวีไทย ให้กำจร                      เป็นอาภรณ์ แก่แผ่นดิน ถิ่นไทยเอย

                                                                                 เนาวรัตน์   พงษ์ไพบูลย์
                                                                          (๒๐๐ ปี  ชาตกาล สุนทรภู่  ๒๕๒๙)   
                             

 

            สุนทรภู่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "เอตทัคคะในทางกลอนแปดหรือกลอนสุภาพอย่างไม่มีใครเทียบได้ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น"
และมีผู้ยกย่องว่า
                ...เป็นนักวิจัย (research) กลอนสุภาพ  เป็นนักค้นคว้าวิธีเขียนกลอนสุภาพให้ไพเราะ  และท่านก็ค้นได้ผล คือ พบวิธี
เขียนกลอนสุภาพว่า ถ้าทำให้กลอนแพรวพรายไปด้วยสัมผัสในอันเป็นสัมผัสสระหรืออักษรแล้วฟังรื่นหูดีกว่ากลอนเก่า ๆ...

        สุนทรภู่ คือ  บรมครูสัมผัสใน ดังคำยกย่องข้างต้น   ผู้เขียนยังชอบลีลากลอนอีกอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ  นับเป็นลักษณะเด่น
ของการใช้คำ  คือ การใช้คำง่าย ๆ พื้น ๆ มีบางบทที่ใช้คำที่หาคำอื่นมารับสัมผัสได้ยาก และมีผู้ยกย่องกันมาก ได้แก่ การแต่ง กลอนอีน
กลอนอูง  กลอนแอะ  กลอนอือ ดังปรากฏในวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

       กลอนอีน

                กลอนอีน หมายถึงกลอนที่แต่งโดยใช้คำที่ประสมกับ สระ อี มี น สะกด  เช่น

               ๑.  สุนทรภู่พรรณนาภาพของชีเปลือย

                        ไม่นุ่งผ้าคากรองครองหนังสือ      ประหลาดเหลือโล่งโต้งโม่งโค่งขัน
                        น่าเหียนรากปากมีแต่ขี้ฟัน          กรนสนั่นนอนร้ายเหมือนป่ายปีน
                        ประหลาดใจไยหนอไม่นุ่งผ้า        จะเป็นบ้าไปหรือว่าถือศีล
                        หนวดถึงเข่าเคราถึงนมผมถึงตี น    ฝรั่งจีนแขกไทยก็ใช่ที
                                      (พระอภัยมณีฉบับหอสมุดแห่งชาติ เล่ม ๑ หน้า ๓๕๘)
                                   

               ๒.  กล่าวถึงชาวประมง

                         บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่า              บ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ
                         บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือ   ต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน
                         เป็นประมงหลงละโมบด้วยโลภลาภ    ไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สีน
                         ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตี น              ตะกายปีนเลนแล่นออกเป็นแปลง
                                      ("นิราศเมืองเพชร" ชีวิตและงานของสุนทรภู่  หน้า ๒๔๐)

               ๓.  ตอนกำเนิดพลายงาม

                         เจ้าพลายงามความกลัวจนตัวสั่น       หยุดขยั้นอยู่ไม่กล้าลงมาได้
                         แล้วนึกว่าย่าตัวกลัวอะไร                โจนลงไปกราบย่าที่ฝ่าตี น
                                 ทองประศรีตีหลังเสียงดังผึง    จะมัดมรึงกูไม่ปรับเอาทรัพย์สีน
                         มาแต่ไหนลูกไทยหรือลูกจีน            เฝ้าลักปีนมะยมห่มหักราน
                                     (ขุนช้างขุนแผนฉบับหอสมุดแห่งชาติ หน้า ๕๒๖)

                 จะเห็นได้ว่า กลอนอีน  ใช้คำอยู่เพียง ๕ คำ จีน ตี น ปีน ศีล สีน  แต่สุนทรภู่ก็สามารถนำไปแต่งให้มีความหมายสอดคล้อง
 กับเนื้อความต่าง ๆ ได้ดี รวมทั้งให้ภาพที่แจ่มแจ้งด้วย     

             กลอนอูง  ไว้ต่อกระทู้หน้านะคะ

                                                      พี.พูนสุข




                 
       


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ : บิดากลอน สุนทรภู่
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 26 มิถุนายน 2012, 03:34:PM
                                                (http://upic.me/i/q4/soonthornphu12.jpg) (http://upic.me/show/36907664)

                                                                                     แด่ครูกวีที่ยิ่งใหญ่

                                                                 ถ้าขอพรใดได้ดังใจคิด              ใคร่ขอมีชีวิตเป็นอิสระ
                                               เพื่อเขียนร้อยกรองแก้วแพรวพจนะ           และแน่ละ…เทิดท่าน "ภู่" เป็นครูกลอน
                                               ด้วยเลื่อมใสในวจีกวีเอก                            เหมือนท่านเสกมนต์สลักทุกอักษร
                                              ไพเราะรสพจน์พิรามหวามอาวรณ์              "ศรีสุนทรโวหาร" ท่านเลิศนัก
                                               สองร้อยปีที่ผ่านแม้นนานแสน                  ยังจำแม่นเก้านิราศประกาศศักดิ์
                                               ซาบซึ้งพระอภัยมณีที่น่ารัก                     นิทานพรักพร้อมเห่เสภาพราว
                                               " อย่างหม่อมฉันอันที่ดีและชั่ว                 ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว"
                                               กาลเวลาพิสูจน์ผ่านมานานยาว               คนยังกล่าวถึงท่านภู่อยู่ลั่นลือ
                                               ถ้าแม้ขอพรได้ดังใจคิด                            ใคร่ขอเป็นเช่นศิษย์ด้านหนังสือ
                                               กราบ "ครู" ด้วยใจสมองและสองมือ          จำหลักชื่อท่านภู่ไว้บูชา

    
                                                                               จินตนา   ปิ่นเฉลียว
                                                                     (๒๐๐ ปี ชาตกาล สุนทรภู่  ๒๕๒๙)
                           

      นอกจากกลอนอีนแล้ว  ท่านสุนทรภู่ยังแสดงความสามารถในการแต่ง กลอนอูง อีกด้วย
   
      กลอนอูง

              ๑.  ในนิราศวัดเจ้าฟ้า

                   แต่แรกดูครู่หนึ่งจะถึงที่                   เหมือนถอยหนีห่างเหินเดินไม่ไหว
                   เหมือนเรื่องรักชักชิดสนิทใน             มากลับไกลเกรงกระดากต้องลากจูง
                         พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด   ถึงตาลโดดดินพูนเป็นมูลสูง
                   เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูง          เป็นฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย
                               ("นิราศวัดเจ้าฟ้า"  ชีวิตและงานของสุนทรภู่  หน้า ๒๐๙)

              ๒.  ในนิราศพระประธม

                         ยิ่งเสียวเสียวเหลียวผ้ายทั้งซ้ายขวา     ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง
                    ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง                ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง
                    ที่ทุ่งโถงโรงเรือนดูเหมือนเขียน               เห็นช้างเจียนเท่าหมูด้วยอยู่สูง
                    เข้าต้อนควายหวายผูกจมูกจูง                 เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา
                               ("นิราศพระประธม"  ชีวิตและงานของสุนทรภู่  หน้า ๔๖๖) 

      กลอนแอะ

                  ในนิราศเมืองเพชร ตอนบรรยายภาพหญิงชายช่วยกันเข็นเรือแพให้พ้นโคลนเลน

                         ที่น้อยตัวผัวเมียลงลากฉุด          นางเมียหยุดผัวโกรธเมียโทษผัว
                   ด้วยยากเย็นเข็นฝืดทั้งมืดมัว              พอดึงตัวเต็มเปียดเขาเสียดแซะ
                   ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประ               เสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ
                   ที่เข็นเคียงเรียงลำขยำแขยะ              มันเกาะแกะกันจริงหญิงกับชาย
                              ("นิราศเมืองเพชร"  ชีวิตและงานของสุนทรภู่  หน้า ๒๔๒)

      กลอนอือ

                   สุนทรภู่แต่ง กลอนอือ ได้ดีไม่แพ้กลอนอื่น ๆ  เช่น ในเรื่องขุนช้างขุนแผน

                         พริกมะเขือเหลืองามอร่ามตา        สาลิกาแก้วกินแล้วบินฮือ
                   เห็นไก่เตี้ยเขี่ยคุ้ยที่ขุยไผ่                 กระโชกไล่ลดเลี้ยวมันเปรียวปรื๋อ
                   พบนกยูงฝูงใหญ่ไล่กระพือ                มันบินหวือโห่ร้องคะนองใจ
                               (ขุนช้างขุนแผนฉบับหอสมุดแห่งชาติ  หน้า ๒๒๔)

                 นอกจากกลอนที่ใช้คำรับส่งสัมผัสยากเหล่านี้แล้ว ยังมีกลอนในลักษณะอื่น ๆ อีกมาก  ถ้ามีโอกาสจะได้นำเสนอต่อไปค่ะ

                                                                  พี.พูนสุข


                          ที่มา :  ชลดา  เรืองรักษ์ลิขิต. ชีวประวัติและผลงานของสุนทรภู่. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์และทำปกเจริญผล, ๒๕๒๙.

                        ขอบคุณ ภาพงาม ๆ และคำกลอนสดุดีจากอินเ ทอร์เน็ตค่ะ
               








 

     


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: กามนิต ที่ 06 พฤศจิกายน 2012, 08:54:AM

เหมันตฤดู
ชิต บุรทัต

(กวีนิพนธ์บางเรื่อง ของ ชิต บุรทัต, กรมศิลปากร, ๒๕๒๑)

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
        หยิมหยิมยะย้อยหยด             หิมะสดสะอาดยล
พราวพราวสะพรั่งบน                      ติณะพฤกษะแพรวพรอย
        หยาดหยาดยะเยือกเย็น         ชละเป็นละอองฝอย
ลิ่วลิ่วละล่องลอย                           นภะแหล่งแสดงโดย
        ทุกทุกสถานเห็น                     ระบุเช่นกะลมโชย
เฉื่อยเฉื่อยระเรื่อยโบย                   ดรุบัตรสะบัดไหว
        ว่าว่าฤดูวัน                             ณ วสันต์จะพลันไศล
เคลื่อนเคลื่อนและแคล้วไป             ประลุกาละคราหนาว
        ถึงถึงละหนึ่งปี                       ก็จะมีจะมาคราว
หนึ่งหนึ่งและซึ่งชาว                       ชนโลกและสัตว์สรรพ์
        จำจำจะต้องพบ                     และประสบเสมอกัน
น่าน่าจะรู้ทัน                                 คติธรรมชาติมี
        แน่นแน่นมนุษย์สัตว์              อุปบัติ ณ โลกีย์
ใดใดจะโดดหนี                             ละอนิจธรรมไป
        นั่นนั่นมิได้แน่                        และจะแปรจะแก้ไข
เข้าเข้ากะข้อใน                             มนะปรารถนาผล
        แท้แท้ บ เป็นตาม                  ดุจะความประสงค์ตน
นี่นี่ตระหนักยล                              วิเคราะห์อย่างกะปางวัน
       คล้อยคล้อยคระไลเคลื่อน      ขณะเลื่อนละวัสสันต์
มามาลุเหมัน-                               ตฤดูแหละธรรมดา ฯ


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 15 เมษายน 2013, 08:51:PM
ปัญหาของ น.ส.”แฟบ”
(นสพ.สยามรัฐ ๑๑ ก.พ. ๒๔๙๔)
      ๐  อกหนูแฟบ แตบติด ไม่ฟิตตั้ง
ดูดุจดัง กล้วยแผ่น แบนแต๊ดแต๋
ไม่ชวนชาย ให้ชม้าย ชำเลืองแล
หม่อมขาหม่อม หนูแย่ แย่จริงๆ

อุตส่าห์ใส่ ยกทรง พุ่งตรงปริ๊ด
สว้าทสวีท ตามประสา ประดาหญิง
พอชายชิด สนิทแนบ เข้าแอบอิง
เพียงนั่งพิง ก็รู้เช่น เป็นของปลอม

รักกับชาย หมายว่าแน่ แต่แรกเริ่ม
ครั้นประเดิม จับต้อง ของถนอม
ก็ทิ้งขว้าง ห่างไป ให้หนูตรอม
เพราะของปลอม ทำพิษ จิตระทม

ทำไฉน จะได้เต่ง เบ่งอวบอัด
ก้าวสะเทิ้น เดินสะบัด ดูเหมาะสม
ในกายหญิง สิ่งเด่นชู อยู่ที่นม
แต่หนูขม ขื่นใจ นมไม่มี

หม่อมฉลาด ปราชญ์เปรื่อง ทุกเรื่องรู้
สมเป็นครู ผู้เลิศ ประเสริฐศรี
วิธีใด ให้อกงอก บอกหนูที
จะให้จูบ ฟรีๆ หนึ่งทีเอยฯ
                     "....(น.ส.แฟบ)


คำตอบ :
         ๐  เจ้าข้าเอ๊ย เอาอะไร มาไถ่ถาม
ใครรู้ความ โปรดด้วย ช่วยผมบ้าง
เคยรู้รอบ ตอบปัญหา มาหลายทาง
ถึงข้อนี้ ลูกช้าง ต้องยอมจน

ใครมียา อย่างใด โปรดไขด้วย
นึกว่าช่วย ก่อสร้าง ทางกุศล
ให้ดูเบ่ง เต่งตั้ง ดังกันชน
ของรถยนต์ อย่างดี มีชื่อเอย ฯ
                         “คึกฤทธิ์ ปราโมช”
จาก หนังสือ กลอนคึกฤทธิ์ ฯ  โดย ทองแถม นาถจำนง ๒๕๕๕


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: Thammada ที่ 16 เมษายน 2013, 11:12:AM
(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQzqx1VkS_1mV_iESOUl7x6xcp_2l9KkJTEH99VVLwWuceVXC9C&t=1)

รอยเท้าที่เธอลิขิต

๑–กว่าจะก้าวเท้าถึงซึ่งวันนี้
เธอมากมีรอยเท้าที่ก้าวผ่าน
ยั่งยืนยงคงประทับอยู่กับกาล
เป็นตำนานขานรับกับเวลา

อาจมากรอยไหน่หนามทิ่มตำเท้า
อาจเป็นเงาทาบประทับกับหินผา
อาจมีรอยบาดแก้มแต้มน้ำตา
หากจารึกผนึกค่าพร่าชลนัยน์

๒–เพ่งผลงานตระหง่านตั้งทั่วทั้งบ้าน
บอกเดือนวันยาวนานกาลสมัย
บอกถึงจุดอุดมการณ์อันยาวไกล
บอกถึงวัยชีพผ่านเนิ่นนานปี

นึกถึงวันก่อนเท้าจักก้าวย่าง
เห็นโค้งรุ้งพุ่งพร่างเพริศรังสี
ฝันเห็นยิ้มพริ้มละไมเยื่อไยดี
มากไมตรีโอบเอื้อเหนือฟ้างาม

นึกวันแรกแปลกหน้ากลางโลกกว้าง
เหมือนโดดเดี่ยวอ้างว้างกลางดงหนาม
เหมือนเรือน้อยว้าเหว่ทะเลคราม
กลางโมงยามมืดมิดคว้างทิศทาง

๓--แล้วคืนวันนานไกลกลางสายหมอก
กระซิบบอกธารดาวสกาวพร่าง
แลขอบฟ้าขลิบทองเรืองรองราง
เห็นก้าวย่างทอดท้าอนาคต

เนิ่นนานวันเดือนปีที่ผ่านผัน
คือคืนวันอันเกิดก่อทรหด
มีช่อไม้ตอบไมตรีเกียรติยศ
เสียงปรบมือปรากฏให้จดจำ

มีดนตรีบรรเลงเพลงพลิ้วหวาน
มีสายธารน้ำใจใสเย็นฉ่ำ
มีนกน้อยร้อยทำนองพร้องลำนำ
มีดาวค่ำนำนิมิตทิศก้าวไกล

มีแสงทองส่องทางทิศข้างหน้า
เป็นสัญญาณหาญกล้าท้าก้าวใหม่
เป็นมิ่งขวัญปณิธานอันจริงใจ
นิมิตในปีทองครองตำนาน

๔--ไม่มีใครไต่แต้มแมกแก้มเมฆ
เหมือนเธอเสกระบายเพริศฟ้าเฉิดฉาน
ไม่มีใครแต่งแต้มกับแก้มกาล
ซึ่งจักจารเหลี่ยมเพชรเก็จก่องใจ

แม้ช่อไม้, กวีล้านสรรพสรรเสริญ
ก็ไม่เกินเธอลิขิตนิมิตได้
ทุกรอยเท้าที่ประทับกับกาลไว้
ไม่มีใครจำหลักเท่า เท้าเธอเอง!

ประยอม ซองทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ๒๕๔๘
( แด่ศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๔ เนื่องในวันศิลปินแห่งชาติ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ )



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 08 พฤษภาคม 2013, 01:07:AM

 
สุจิตต์ วงษ์เทศ

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
วาสนาสูงส่งสโมสร
ย่ำค่ำนี่จะย่ำไปงานบอลล์
เสพเสน่ห์เกสรสุมาลี

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
พริ้งสง่างามผงาดเพียงราชสีห์
มันสมองของสยามธานี
ค่ำนี้กูจะนาบให้หนำใจ

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เจ้าขี้ข้ารู้จักกูหรือไหม
หัวเข็มขัด กลัดกระดุม ปุ่มเน็คไทร์
หลีกไปหลีกไปอย่ากีดทาง

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
มหาวิทยาลัยอันกว้างขวาง
ศึกษาสรรพรสมิเว้นวาง
เมืองกว้างช้างหลายสบายดี

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เดินเหินดูสง่ามีราศี
ย่ำค่ำกูจะย่ำทั้งราตรี
กรุงศรีอยุธยามาราธอน

เฮ้ย กูเป็นนิสิตนักศึกษา
มีสติปัญญาเยี่ยมสิงขร
ให้พระอินทร์เอาพระขรรค์มาบั่นรอน
อเมริกามาสอนกูเชี่ยวชาญ

กูเป็นนิสิตนักศึกษา
หรูหราแหลมหลักอัครฐาน
พรุ่งนี้ก็ต้องไปร่วมงาน
สังสรรค์ในระดับปริญญา

ได้โปรดฟังกูเถิดสักนิด
กูเป็นนิสิตนักศึกษา
เงียบโว้ย-ฟังกู--ปรัชญา
กูอยู่มหาวิทยาลัย...

...กูอยู่มหาวิทยาลัย
รู้ไหม เห็นไหม ดีไหม
อีกไม่นานเราก็ต่างจะตายไป
กอบโกยใส่ตัวเองเสียก่อนเอย...
 
กูเป็นนิสิตนักศึกษา.สนพ.ประพันธ์สาส์น พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2529.


(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)



หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 29 พฤษภาคม 2013, 11:15:PM

(http://up-pic.net/i/wKV.jpg) (http://up-pic.net/show/44884)


๑๐๗  ปี ชาตกาลพุทธทาสภิกขุ
๒๗   พฤษภาคม   ๒๕๕๖

...............

มาเถอะเพื่อน!

บทกวี  the "COME," โดย   Miss A.C. Albers
แปล, ประพันธ์  โดย "สิริวยาส"

 ...............

Come, friend, sit in my boat and sail with me.
The dawn is fresh, the hours are on the wing,
we'll sail the clouds and sailing on, will sing
A ringing anthem of Eternity.

มาเร็ว เกลอ, แล่นเรือ ไปด้วยข้า
อรุณใหม่ นาฬิกา อ้าปีกหนี
เราจะขึ้น ก้อนเมฆผล็อย ลอยเมฆี
สดุดี "อนันตชีพ" พลาง, รีบไป.

You dare not come for fear that you may lose
One fleeting hour that holds on earth-born chance?
Your feet are bound by chain of circumstance?
Shake off that chain, by fearless, free and choose.

อ้อ ไม่กล้า มา, เพราะกลัว ตัวจะพลาด
"ชั่วโมงซึ่ง หมายมาด" หรือสหาย?
หรือขาติด ตรวนชีพ บีบใจกาย?
จงหัดหาย และกล้าแกล้ว แล้วเฟ้นฟรี

Break every obstacles that progress bars,
Harken the carol of the wind that blows,
The fervent secret of the moonlit rose,
And hear the lily whisper to the stars.

จงฟาดฟัน อุปสรรค ซึ่งปักขวาง
จงฟังเสียง ลมคราง เป็นเพลงซี่
ทั้งกุหลาบ แสงจันทร์จับ ความลับมี
และฟังดอก พลับพลึงที่ กระซิบดาว.

There is a song that rings through million years,
Those million years that centre in a night.
It sends its notes unto the sunlit height.
Its echoes vibrating throughout the spheres.

มีเพลงบรร- เลงนาน ล้านปีแล้ว
ล้านปีที่ มีศูนย์แน่ว คืนหนึ่ง, เอ้า!
มันส่งโน้ต สูง ,แสง แดดจับวาว
ส่งเสียงเร้า กระเซ้าทั่ว ทั้งจักรวาล.

Know your own self; shake off life's sullen shroud.
You hold within yourself your Universe:
Then freely with the morning star converse
And steer your boat unto you gold-edged cloud.

รู้ตัวไว้, สลัดสาย ระยางซี
ก็ท่านมี โลกของท่าน ในตัวท่าน :
จึ่งคุยกับ "ดาวรุ่งฤกษ์" อย่างเบิกบาน
ถือท้ายเรือ หมายสถาน เมฆขลิบทอง.

Control the senses, for, alas they spin
Webs of illusion. Seek the Great Release.
The path that leads unto the endless peace
Is yours alone; it lies within, within.

ข่มอินทรีย์. เพราะ, โอ้! มัน ชักใยเป็น - -
ภาพลวงเล่น; จุ่งฟ้า วิมุติก่อง.
ทางไปสู่ ศานติรส ไม่หมดมอง
ก็เป็นของ ท่านเท่านั้น มันอยู่ใน - (อยู่ในเอย)

...............
 

"สิริวยาส" เป็นนามปากกาของ ท่านพุทธทาสภิกขุ

   emo_126 emo_126 emo_126


 ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๓๐๕๙  และภาพประกอบจากกูเกิ้ล


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 30 พฤษภาคม 2013, 08:18:PM
                              

        
 
                               อาศิรวาท
      เนื่องในมงคลสมัยคล้ายวันราชาภิเษกสมรส

                          ๒๘  เมษายน  ๒๕๕๖


โคลงสี่             อัญชลิตสิทธิเทพอ้าง        อิทธิคุณ
                มหาราชราชินีอดุลย์                 เด่นด้าว
                ราชาภิเษกสุน-                        ทรีย์สิริ-สวัสดิ์แฮ
                ทวยราษฎร์ภักดีพร้อม            เทิดไท้ถวายพร

                      ขจรพระบุญญฤทธิ์น้อม        บังคม  พระเอย
                ราชกิจโทไท้อุดม                        โลกซ้อง
                สยามประเทศรุ่งเรืองรมย์           ราษฎร์รื่น
                เถกิงพระเกียรติเกริกก้อง             แหล่งหล้าชมชาญ

                       เผดิมกาลอภิเษกแจ้ง          จวบปัจจุ-จุบันเฮย
                บุญคู่บุญทรงสวัสดิ์                   ก่อเกื้อ
                ไผทไทยเพริศพิพัฒน์                เย็นร่ม  อุดมแล
                พระกฤษดาเอกเอื้อ                    โอบอุ้มชุมชน

                        ผลพระคุณครอบเกล้า         เกินพรรณ-นาแฮ
                ปลูกป่าเขื่อนฝายสรร                  แหล่งน้ำ
                ศิลปาชีพเอกอนันต์                    ฟื้นเฟื่อง  ฟูแล
                หลายหลากพระดำริล้ำ                ปกเกล้าแหล่งสยาม

                        งามพระรักราษฎร์แท้           อาทร  ราษฎร์แฮ
                 พระประสงค์สุขสถาวร               พสกถ้วน
                 วิทยะพระทรงสอน                     ประโยชน์สุข  พสกแฮ
                 "ครูแห่งแผ่นดิน" ล้วน               สร่างร้อนเลอคุณ

                         เพ็ญบุญไตรรัตน์เอื้อ           พรชัย   พระเอย
                  ทรงประลาตโรคาภัย                  พยาธิพ้น
                  เกษมสุขนิรัติศรัย                      ทวยเทพ  คุ้มเ ทอญ
                  ทีฆรัชย์เลิศล้น                           เพริศพร้อมไพบูลย์


                                    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
                       ข้าพระพุทธเจ้า  คณะนิตยสารสกุลไทยรายสัปดาห์
                           (คุณหญิงกุลทรัพย์  เกษแม่นกิจ  ประพันธ์) 


                                     (http://up-pic.net/i/7ZY.jpg) (http://up-pic.net/show/44999)

                            คุณหญิงกุลทรัพย์  เกษแม่นกิจ 
  ศิลปินแห่งชาติ  สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) พุทธศักราช ๒๕๕๕    


                   

    ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๓๐๕๔ และ Google 


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พี.พูนสุข ที่ 13 มิถุนายน 2013, 11:07:PM


(http://up-pic.net/i/AkW.jpg) (http://up-pic.net/show/46545)

ขอแสดงความยินดีกับ "ครูเนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์"
กวีรัตนโกสินทร์  ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี ๒๕๓๖
โด่งดังในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

ได้รับคัดเลือกจาก โครงการ Path of Visionaries of the World (ทางเดินแห่งวิสัยทัศน์ฯ)
ดำเนินการโดย  KUNSTWELT e.V. Berlin ภายใต้การอุปถัมภ์ของ UNESCO
นำวรรคทองช่วงท่อนจบ สลักลงแผ่นหินบนทางเท้า ฟรีดริชสตราเซอร์ (Friedrichstrasure)  ณ กรุงเบอร์ลิน
  เคียงคู่วาทะบุคคลสำคัญต่างๆ จากทั่วโลก  เช่น อัลเบิร์ต ไอนสไตน์, มหาตมะ คานธี, แองตวน เดอ แซ็งค์เตกซูเปรี
 ภายในปี  ๒๕๕๖  นี้

       

วรรคทอง

  "ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
   เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
   เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
   เป็นโคมฉายช่วยชี้วิถีชน ฯ"
       
       "The art and cultural heritage of a nation
       Resonates its sovereignty, independence and unique pride.
       Reflecting what is good and beautiful,
       it lightens the path of the people."



บทกลอนต้นฉบับท่านแต่งสดๆ ในห้องประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย เมื่อ พ. ๑๔/๗/๕๓
จำนวน ๓ บท


(http://up-pic.net/i/06M.jpg) (http://up-pic.net/show/46485)


วิถีไทย

"พื้นฐานบ้านเราคือชาวบ้าน
ทำงานไร่นามาก่อนเก่า
เป็นปู่เป็นย่าตายายเรา
ปลูกเหย้าแปลงย่านเป็นบ้านเมือง
เป็นเมืองเรืองรุ่งเป็นกรุงไกร
ลูกไทยหลานไทยได้ฟูเฟื่อง
น้ำใจไมตรีมีนองเนือง
จากเบื้องบรรพกาลถึงวันนี้
ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
เป็นโคมฉายช่วยชี้วิถีชน ฯ"

บทกลอนสำนวนที่ ๒ แต่งเพิ่มเติมอีก ๒ บท เมื่อ พ.๘/๙/๕๓
รวมเป็น ๕ บท



วิถีไทย

โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พ.๘/๙/๕๓

วัฒนธรรมคือวิถีแห่งชีวิต
ของคนคิดคนทำคนสร้างสรรค์
เพื่อประโยชน์เป็นอยู่รู้แบ่งปัน
ไปตามขั้นครรลองของชีวิต

ศิลปะนั้นเป็นความเจนจัด
จากปฏิบัติการงานการประดิษฐ์
ศิลปวัฒนธรรมจึงนำคิด
ให้รู้ทิศรู้ทางรู้ย่างเท้า

พื้นฐานบ้านเราคือชาวบ้าน
ทำงานไร่นามาก่อนเก่า
เป็นปู่เป็นย่าตายายเรา
ปลูกเหย้าแปลงย่านเป็นบ้านเมือง

เป็นเมืองเรืองรุ่งเป็นกรุงไกร
ลูกไทยหลานไทยได้ฟูเฟื่อง
น้าใจไมตรีมีนองเนือง
จากเบื้องบรรพกาลถึงวันนี้

ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
เป็นโคมฉายช่วยชี้วิถีชน ฯ



ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสกุลไทย  ฉบับที่ ๓๐๖๑
 http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069450 (http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069450)

พี.พูนสุข
๑๓  มิถุนายน  ๒๕๕๖


หัวข้อ: Re: ด้วยจิตคารวะ
เริ่มหัวข้อโดย: พ.พิมพา ที่ 23 มิถุนายน 2013, 11:16:AM


([url]http://up-pic.net/i/AkW.jpg[/url]) ([url]http://up-pic.net/show/46545[/url])

ขอแสดงความยินดีกับ "ครูเนาวรัตน์  พงษ์ไพบูลย์"
กวีรัตนโกสินทร์  ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี ๒๕๓๖
โด่งดังในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

ได้รับคัดเลือกจาก โครงการ Path of Visionaries of the World (ทางเดินแห่งวิสัยทัศน์ฯ)
ดำเนินการโดย  KUNSTWELT e.V. Berlin ภายใต้การอุปถัมภ์ของ UNESCO
นำวรรคทองช่วงท่อนจบ สลักลงแผ่นหินบนทางเท้า ฟรีดริชสตราเซอร์ (Friedrichstrasure)  ณ กรุงเบอร์ลิน
  เคียงคู่วาทะบุคคลสำคัญต่างๆ จากทั่วโลก  เช่น อัลเบิร์ต ไอนสไตน์, มหาตมะ คานธี, แองตวน เดอ แซ็งค์เตกซูเปรี
 ภายในปี  ๒๕๕๖  นี้

       

วรรคทอง

  "ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
   เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
   เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
   เป็นโคมฉายช่วยชี้วิถีชน ฯ"
       
       "The art and cultural heritage of a nation
       Resonates its sovereignty, independence and unique pride.
       Reflecting what is good and beautiful,
       it lightens the path of the people."



บทกลอนต้นฉบับท่านแต่งสดๆ ในห้องประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย เมื่อ พ. ๑๔/๗/๕๓
จำนวน ๓ บท


([url]http://up-pic.net/i/06M.jpg[/url]) ([url]http://up-pic.net/show/46485[/url])


วิถีไทย

"พื้นฐานบ้านเราคือชาวบ้าน
ทำงานไร่นามาก่อนเก่า
เป็นปู่เป็นย่าตายายเรา
ปลูกเหย้าแปลงย่านเป็นบ้านเมือง
เป็นเมืองเรืองรุ่งเป็นกรุงไกร
ลูกไทยหลานไทยได้ฟูเฟื่อง
น้ำใจไมตรีมีนองเนือง
จากเบื้องบรรพกาลถึงวันนี้
ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
เป็นโคมฉายช่วยชี้วิถีชน ฯ"

บทกลอนสำนวนที่ ๒ แต่งเพิ่มเติมอีก ๒ บท เมื่อ พ.๘/๙/๕๓
รวมเป็น ๕ บท



วิถีไทย

โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พ.๘/๙/๕๓

วัฒนธรรมคือวิถีแห่งชีวิต
ของคนคิดคนทำคนสร้างสรรค์
เพื่อประโยชน์เป็นอยู่รู้แบ่งปัน
ไปตามขั้นครรลองของชีวิต

ศิลปะนั้นเป็นความเจนจัด
จากปฏิบัติการงานการประดิษฐ์
ศิลปวัฒนธรรมจึงนำคิด
ให้รู้ทิศรู้ทางรู้ย่างเท้า

พื้นฐานบ้านเราคือชาวบ้าน
ทำงานไร่นามาก่อนเก่า
เป็นปู่เป็นย่าตายายเรา
ปลูกเหย้าแปลงย่านเป็นบ้านเมือง

เป็นเมืองเรืองรุ่งเป็นกรุงไกร
ลูกไทยหลานไทยได้ฟูเฟื่อง
น้าใจไมตรีมีนองเนือง
จากเบื้องบรรพกาลถึงวันนี้

ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
เป็นโคมฉายช่วยชี้วิถีชน ฯ



ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสกุลไทย  ฉบับที่ ๓๐๖๑
 [url]http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069450[/url] ([url]http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069450[/url])

พี.พูนสุข
๑๓  มิถุนายน  ๒๕๕๖

"ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ
เอกราชเอกลักษณ์เอกศักดิ์ศรี
เป็นคันฉ่องส่องความงามและความดี
เป็นโคมฉายช่วยชี้ชีวิตคน"
-------------------------
ขอเป็นศิษย์ผลิตกระจายกลอนขายฝัน
เพื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรมนำทุกหน
ขอเรียนรู้ไม่หยุดอุทิศตน
สืบสกนธ์แสงสว่างสร้างความดี

วัฒนธรรมไทยนำไม่ต่ำต้อย
คือร่องรอยให้ประจักษ์เป็นศักดิ์ศรี
มีความรักความงดงามประเพณี
หลายร้อยปีไทยนี้มีตำนาน

เพื่อคงความเป็นไทยไว้ในชาติ
คงอำนาจชาติไทยให้กล่าวขาน
คงภาษาสุนทรีย์กวีกานท์
คงวิญญาณดำรงความเป็นไทย

    ------==-----
     พงศ์ภัณฑ์
   ๒๓/๕/๕๖
ขอต่อกลอนของบรมครู และกราบขออภัยท่านครูที่ล่วงเกินท่านโดยไม่ได้ขออนุญาตและบังอาจฝากตัวเป็นศิษย์ครับ