พิมพ์หน้านี้ - เรื่องสั้น"สัจจาอาธิษฐาน" ตอน ขุนราม

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => แต่งนิยายและไดอารี (ห้องใหม่) => ข้อความที่เริ่มโดย: มนัสศิยา ที่ 22 มิถุนายน 2014, 04:55:PM



หัวข้อ: เรื่องสั้น"สัจจาอาธิษฐาน" ตอน ขุนราม
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 22 มิถุนายน 2014, 04:55:PM
    “เจ้ามันโง่นัก ขุนราม  คนที่มีใจให้เจ้ากลับมิใยดี ไปรักผู้ที่มียศศักดิ์สูงกว่า เช่นนั้นเชิญอยู่กับความรักที่มิมีวันเป็นไปได้ต่อไปเถิด” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่แม่หญิงนวลแขกล่าวแก่ข้าก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ข้าจมอยู่กับความทรงจำในอดีต แม้นบัดนี้ เพลาจักล่วงเลยมานานนักหนาแล้ว แต่ข้า ก็ยังมิเคยลืม “สุรีจันทรา” นางอันเป็นที่รัก แลยอดดวงใจ
    เมื่อคราที่ข้าถวายงานให้แก่กษัตย์องค์หนึ่งแห่งอโยธยา นางแลพระมารดาเสด็จเข้าเฝ้ากษัตย์พระองค์นั้น พระมเหสีแห่งเจ้าผู้ครองพิษณุโลกจับจ้องมายังข้าอย่างพินิจ
“นี่ขุนราม ผู้ช่วยกรมวังของพี่ น้องคงยังไม่เคยรู้จัก” ข้าหมอบกราบถวายความเคารพต่อพระมเหสี
“ข้าพระบาทขอถวายพระพรต่อพระแม่เจ้าและพระธิดา ขอให้ทรงพระเกษมสำราญพระเจ้าค่ะ” ขณะที่เงยหน้าขึ้น สายตาพลันสารสบเข้ากับดวงเนตรคู่งามดุจพระจันทร์วันเพ็ญเข้าอย่างจัง หัวใจพลันกระตุกวูบ ดวงหน้ารูปไข่งดงามนั้นแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร องค์พระมเหสีเจรจาถึงเรื่องที่ถหารผู้หนึ่งหนีมาจากกองทับภม่าได้สำเร็จต่อกษัตย์อโยธยา ข้าลอบสังเกตอากัปกิริยาของพระธิดาเป็นระยะๆ บ่อยครั้งที่เราสบตากันโดยมิได้ตั้งใจ
“แล้วพี่จะให้ขุนรามนำถหารผู้นั้นไปเฝ้าน้องที่ตำหนัก” นั่นทำให้ข้ามีโอกาสได้เจรจากับนาง แลรู้จักนางมากขึ้น น้ำเสียงที่เปร่งออกมาจากเรียวปากบางนั้นช่างไพเราะจับใจ ข้าแลพระธิดาได้พบปะพูดคุยกันอยู่เป็นนิจ นางขอให้ข้าพาเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในอโยธยา ข้าตามปกป้องดูแลนางประหนึ่งพี่ชายจักพึงกระทำแก่น้องสาว แต่ในใจรู้ดีว่า มันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพลานั้นข้ามีความสุขยิ่งนัก รอยยิ้มแลเสียงหัวเราะแห่งนางดุจน้ำทิพย์ชโลมจิตใจให้ชุ่มชื่น ข้ามิอยากให้วันเวลาเหล่านี้ผ่านพ้นไปเลย ยิ่งนานวันความรักที่ข้ามีต่อนางยิ่งท่วมท้น สุรีจันทรา งดงามพร้อมทั้งกายแลใจ ดูนางก็มิได้มีท่าทีรังเกียรติเราแต่อย่างใด แต่...นิจจาเอ๋ย ทำไมโชคชะตาถึงทำให้ข้าต้องมีทั้งบุญและกรรมในเวลาเดียวกัน เป็นบุญที่ข้าได้พบหญิงที่ต้องตาต้องใจเป็นที่สุด และอยากได้เป็นคู่ครอง แต่ก็เป็นกรรมของข้าที่หญิงคนนั้น เป็นถึงพระธิดาของเจ้าผู้ครองเมืองพิษณุโลก และเป็นพระภาคิไนยของเจ้าผู้ครองกรุงศรีอโยธยาอีกด้วย สูงเกินกว่าที่ข้าจักเอื้อมถึง แต่ข้าก็จักขอเก็บความรักที่มีต่อนางไว้จนวันตาย
        ฟ้าฤาจักคู่ธานิน ดินมิอาจบินเบอกฟ้า สุดท้าย ข้าก็ต้องเสียนางไปให้แก่ผู้ที่คู่ควรแลเหมาะสม พระเจ้าผู้ชำนะสิบทิศ ไม่เว้นแม้แต่หัวใจแห่งนาง พระองค์ก็ทรงพิชิตได้สำเร็จ ข้าตามนางไปยังหงสาวดี ในฐานะ...พี่ชาย จนได้พบกับ”แม่หญิงนวลแข” สตรีผู้มีความร่าเริงสดใสอยู่เป็นนิจ แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ ยากที่ผู้ใดจักหยั่งถึง สิ่งที่หน้าแปลกก็คือ นางช่างมีใบหน้าคล้ายกับยอดดวงใจแห่งข้ายิ่งนัก
เมื่อคราที่ข้าออกเที่ยวตลาดนอกกำแพงเมืองหงสาวดี พบสตรีนางหนึ่งกำลังถูกโจรสามสี่คนรุมทำร้าย ข้าช่วยนางไว้ได้ แต่ตนเองก็บาดเจ็บสาหัดจนสลบไป รู้สึกตัวอีกทีข้าก็มาอยู่ที่บ้านของนางแล้ว นับจากนั้น เราสองเริ่มสนิทกัน นางสร้างรอยยิ้มแลเสียงหัวเราะให้ข้า แต่มิได้ทำให้ความรักที่มีต่อยอดดวงใจลดน้อยลงไปเลย ข้ารักแลเอ็นดูแม่หญิงนวลแขเสมือนน้องสาวร่วมอุทร หากแต่ใจรู้ดีว่า นางหาได้คิดเช่นนั้นไม่ แม่หญิงนวลแขมีใจให้ข้า เช่นเดียวกับที่ข้ามีใจให้พระธิดา เราควรทำเช่นไรต่อไปดีหนอ
    ข้านั่งอยู่ตรงริมลำธานเล็กๆ สายตาทอดไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย ในใจครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แม่หญิงนวลแขดีต่อเราทุกอย่าง ซ้ำยังมีหน้าตาคล้ายกับนางอันเป็นที่รัก แล้วเหตุใดเราจึงมิรักนางเหมือนเช่นที่เรารักพระธิดาเล่า คำตอบกระจ่างชัดแก่ใจในวินาทีต่อมา แม่หญิงนวลแข นางดีพร้อมสมควรจะรัก แต่ในชาตินี้หัวใจแห่งข้าได้มอบให้กับพระธิดาไปสิ้นแล้ว ชาตินี้ ข้ามิอาจตอบแทนหัวใจรักแห่งเจ้าได้ แต่ในกาลเบื้องหน้า ข้าขอให้สัจสัญญาต่อเจ้าว่า ข้าจักรักเจ้าให้มากกว่าที่เจ้ารักข้าร้อยเท่าพันทวี ขอฟ้าดินจงเป็นพยาน สำหรับยอดดวงใจแห่งข้า สุรีจันทรา ข้ารักทุกอย่างที่เป็นนาง หากผิดไปจากนี้แล้วข้าก็มิอาจรักผู้ใดได้อีก แม้นพระองค์จักมิได้มีใจให้ข้าก็ตาม ถ้าการที่ข้ารักพระองค์แล้วมันเป็นความโง่งมอย่างที่แม่หญิงนวลแขว่า ข้าก็พร้อมที่จักงมงายอยู่กับมันตลอดไปตราบจนวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต
.........
จบ!!! เนื่องจากผู้เขียนชอบบุคลิกของขุนราม เลยหยิบเอามาเขียนในแบบฉบับของตัวเอง55
ปล. เนื้อหาและข้อความบางส่วนเอามาจากเรื่อง"พ่อ" โดย จอมพล ป พิบูลสงคราม