พิมพ์หน้านี้ - นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => แต่งนิยายและไดอารี (ห้องใหม่) => ข้อความที่เริ่มโดย: มนัสศิยา ที่ 09 พฤษภาคม 2014, 09:30:PM



หัวข้อ: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 09 พฤษภาคม 2014, 09:30:PM
    ถึงดวงตาของฉันนั้นมืดมิด
แต่ดวงจิตสว่างกระจ่างใส
เพราะมีเธอผู้เป็นเช่นดวงใจ
นำทางไปสู่ฝันอันสวยงาม
หากชื่อและนามสกุลของตัวละครไปตรงกับผู้ใด ผู้เขียนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ มิได้มีเจตนาทำให้ท่านเสียหายแต่อย่างใด ขอให้สนุกในการอ่านนิยายนะคะ><
 ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
 สุวีรยา หญิงสาวผู้พิการทางสายตามาตั้งแต่กำเนิด เธอต้องเผชิญกับเรื่องราวต่างๆมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนได้มาพบกับเขา ผู้ที่เป็นดั่งดวงตาและดวงใจของเธอ ความผูกพันและความรักค่อยๆเกิดขึ้นในใจทั้งสอง แต่กว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาและเธอได้รักกัน ทั้งสองต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมามากมาย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ในนิยายเรื่อง"ดวงตาของฉัน ดวงตะวันของเธอ" ได้ค่ะ^^

        บทนำ
    “ตะวัน เสร็จหรือยังครับ นักข่าวมาแล้วนะ” เสียงสามีของฉันตะโกนเข้ามา
“เสร็จแล้วค่ะ” ฉันเปิดประตูห้องน้ำออกไป ยืนอยู่สักครู่ ก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่มั่นใจ
“ฉันโอเครึยังค่ะ” สามีของฉันนิ่งไปครู่ ก่อนเอ่ยยิ้มๆ
“ชุดสวยมากเลยครับ”
“อ้าว ชมแต่ชุด แล้วฉันหละ”
“ตะวันก็สวยยย” เขาลากเสียงยาว เล่นเอาฉันยิ้มแก้มแทบปลิ
“แน่ใจนะคะ” ฉันถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“แน่ใจครับ เชื่อตาพี่สิ พี่เป็นดวงตาให้ตะวันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตะวันก็รู้ พี่ไม่ทำให้ภรรยาสุดที่รักของผมขายหน้าหรอกครับ”
“ฉันเชื่อค่ะ แต่ที่ถาม เพราะไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า ถ้าพี่ว่าดี ฉันก็โอเคค่ะ”
“มันต้องให้ได้อย่างนี้สิครับ อืม...พี่ว่า แป้งมันเยอะไปนะ มาครับ ผมจะเอาออกให้” เขาใช้มือเกลี่ยแป้งออกให้ฉันอย่างทะนุถนอม ฉันยืนให้เขาเอาแป้งออกให้ พรางปล่อยความคิดให้ล่องลอยสู่วันวาน กว่าจะมีวันนี้ ฉันต้องพบเผชิญกับเรื่องราวต่างๆมากมาย ถ้าวันนั้นไม่มีเขา วันนี้ฉันจะเป็นอย่างไร กี่ปีแล้วนะ ที่เรารู้จักกัน
...
 
        ตอนที่ 1 ก้าวแรกในโรงเรียน
    “ถึงแล้วลูก” แม่จอดรถแล้วพาฉันเดินเข้ามาในโรงเรียน ยินเสียงรอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ฉันเดินตามแรงจูงของแม่ไปหยุดอยู่ที่แถวของนักเรียนชั้น ม. ๑
“สวัสดีค่ะหนูน้อย” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยทัก ฉันยืนนิ่ง จนเขาต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้ง จึงรู้ว่าใครคนนั้นพูดกับฉัน หมุนตัวหันไปตามเสียงนั้นแล้วยกมือไหว้
“โอโห เก่งจังเลย รู้ด้วยว่าครูอยู่ทางนี้” ฉันงงในคำพูดของครูเป็นอย่างมาก แล้วทำไมต้องไม่รู้ด้วยหละ ขยับจะเอ่ยออกไปดั่งใจคิด แต่แม่พูดขึ้นซะก่อน
“สวัสดีค่ะอาจารย์ ฝากลูกด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณแม่ ผมจะดูแลให้อย่างดีเลย” แม่หันมาทางฉัน
“ทำตัวดีๆ เชื่อฟังอาจารย์ แล้วก็อย่าดื้ออย่าซนนะลูก”
“ค่ะ” ฉันรับคำ ตื่นเต้นไม่น้อยกับวันแรกของการเปิดเทอม
“ครูชื่อครูกิตตินะคะ หนูหละชื่ออะไร” ครูกิตติเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ตะวันค่ะ หนูชื่อตะวัน”
“ชื่อน่ารักจัง มาค่ะหนูตะวัน ครูจะพาไปที่ห้องเรียนนะคะ” ครูกิตติเดินเข้ามาจับมือฉัน แล้วพาเดินไป เขาเดินอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะไม่เคยนำทางคนตาบอดมาก่อน ฉันเห็นท่าไม่ได้การ ถ้าเดินกันไปแบบนี้มีหวังคงได้จับกบแต่เช้าแน่
“เอ่อ ครูขา ขอโทษนะคะ วิธีการจูงคนตาบอดที่ถูกต้องคือ ต้องให้คนตาบอดจับที่ข้อศอกค่ะ”
“อ้าวเหรอ ขอโทษทีนะคะ ครูไม่เคยรู้มาก่อนเลย” ฉันยิ้มน้อยๆ ไม่เอ่ยอะไร ครูกิตติเปลี่ยนให้ฉันมาจับข้อศอกแทน แต่ครูก็ยังเกร็งอยู่ดี เวลาที่ขึ้นหรือลงบันไดครูมักจะยกแขนขึ้นแขนลงตลอด จนฉันนึกขำอยู่ในใจ ‘ครูขา ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้’
...
กว่าจะมาถึงห้องเรียนได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ครูกิตติพาฉันไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วเดินไปยืนที่หน้าชั้นเรียน
“สวัสดีครับนักเรียนทุกคน” เสียงจอแจจ้อกแจ้กที่ดังอยู่เงียบลงทันที
“นักเรียนทำความเคารพ” นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ทุกคนพูดพร้อมกัน
“สวัสดีครับ/ค่ะคุณครู”
“สวัสดีครับ ครูชื่อครูกิตตินะครับ เป็นครูประจำชั้นของพวกเรา วันนี้ครูมีนักเรียนพิเศษจะมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก” พูดจบ ครูก็เดินมาทางฉัน จับมือให้ลุกขึ้น ฉันยืนขึ้นอย่างงงๆ นี่ครูหมายถึงเราเหรอเนี่ย ฉันต้องงงกับคำพูดของครูเป็นคำรบสอง ‘นักเรียนพิเศษ’ ยังไงกันนี่ เราพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน เราก็เป็นคนเหมือนพวกเขาไม่ใช่เหรอ มัวแต่คิดเพลินจนมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อครูพามาหยุดอยู่ที่หน้าชั้นเรียน เสียงกระซิบของเพื่อนๆแว่วมาให้ได้ยินเบาๆ
“ทำไมเค้าต้องให้ครูจูงด้วยละ เค้าเป็นอะไร เค้าไม่สบายเหรอ เค้ามองไม่เห็นรึเปล่า” ฉันรับฟังเสียงเหล่านั้นด้วยอาการสงบ เพราะไม่รู้สึกว่า มันจะแตกต่างจากคนอื่นตรงไหน
“หนูตะวันคะ แนะนำตัวให้เพื่อนๆรู้จักหน่อยสิคะ” ครูกิตติเอ่ยขึ้นหลังจากที่พามาหยุดอยู่ที่หน้าชั้นเรียน ทั้งห้องเงียบสนิท ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อ ด.ญ. สุวีรยา งามยิ่ง ชื่อเล่นชื่อตะวัน ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ” เมื่อฉันพูดจบ ครูกิตติก็พูดขึ้นในทันที “นักเรียนทุกคนต้องช่วยกันดูแลเค้านะ เค้ามองไม่เห็น มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน เข้าใจไม๊ครับ”
“เข้าใจครับ/ค่ะ” ทุกคนพูดพร้อมกัน จากนั้นครูกิตติก็พาฉันมานั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง แล้วให้ทุกคนแนะนำตัวเอง และชี้แจงเรื่องการเรียนตามลำดับ ฉันนั่งฟังครูกิตติอย่างตั้งใจ ‘เราจะต้องเรียนหนังสือที่นี่ให้ได้และดีที่สุด’ ฉันคิด โดยมิได้สำเหนียกเลยว่าอุปสรรคต่างๆที่รออยู่นั้น หนักหนาสาหัสเพียงใด
...
นั่งมาได้ซักพัก หูได้ยินเสียงเหมือนมีใครคนนึงมานั่งข้างๆ
“สวัสดีจ้าตะวัน เราชื่อน้ำฝนนะ” ฉันหันไปทางเพื่อนใหม่ทันที
“สวัสดีจ้า น้ำฝน ยินดีที่ได้รู้จักนะ” น้ำฝนยื่นมือมาจับมือฉัน เขย่าเบาๆ จากนั้นเพื่อนๆก็เข้ามาแนะนำตัวให้ฉันรู้จัก ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า เพื่อนๆต่างเข้ามามุงล้อมฉันเต็มไปหมด พวกเขาถามเรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันมากมาย
“เธอมองไม่เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“บ้า เธอไปถามเค้าอย่างนั้นได้ยังไง เดี๋ยวเค้าก็โกรธเอาหรอก”
“เราขอโทษน้า เราไม่ได้ตั้งใจ เราก็แค่...” คนถามเอ่ยเสียงอ่อย แล้วทำท่าจะร่ายยาว
“ไม่เป็นไรจ้า เราไม่โกรธหรอก เรามองไม่เห็นตั้งแต่เกิด" ฉันเอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน เพราะกลัวว่าเพื่อนคนนั้นจะเสียใจ “ตั้งแต่เกิดเลยเหรอ” หลายคนพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ
“อืม...ความจริงมันก็ไม่เชิงนักหรอก แม่เล่าให้ฟังว่าแม่คลอดก่อนกำหนด เผอิญตอนอยู่ในตู้อบหมอลืมปิดตา แสงเลยเข้าตามากเลยทำให้ตาบอด แล้วพอออกมาก็เจอยาหยอดตาซ้ำเข้าไปอีก คราวนี้เลยบอดถาวร” ประโยคท้ายฉันพูดยิ้มๆ ทั้งหมดต่างร้องโอโหไปตามๆกัน
 “แล้วใครเป็นคนอาบน้ำแต่งตัวให้เธอหละ” คำถามยอดฮิดที่มักเจอบ่อย
“ฉันทำเอง”
“ทำเอง” หลายเสียงพูดขึ้นอีกครั้ง ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมทุกคนจะต้องแปลกใจมากขนาดนี้ แค่อาบน้ำแต่งตัว ทำไมจะทำเองไม่ได้หละ แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แล้วเธอเขียนหนังสือได้ไม๊อ่ะ”
“เขียนได้สิ ฉันเขียนเร็วด้วยนะ”
“เขียนได้จริงๆเหรอ ไหนลองเขียนให้ดูหน่อย” ก๊อบยื่นกระดาษพร้อมปากกามาให้
“ฉันเขียนแบบนี้ไม่ได้หรอก ต้องใช้ไอ้นี่ในการเขียน” ฉันค้นในกระเป๋านักเรียนอยู่สักครู่ แล้วหยิบสิ่งที่ต้องการออกมา
“มันคืออะไรหนะ”
“มันคือเครื่องเขียนอักษรเบลล์ เป็นเครื่องเขียนสำหรับคนตาบอด” ฉันยื่นของสองสิ่งให้ทุกคนดู  สิ่งแรกลักษณะคล้ายไม้บรรทัด แต่มีแถวอยู่สี่แถว ในแต่ละมุมจะมีเข็มเล็กๆยื่นออกมา ไว้สำหรับยึดกระดาษ ในแต่ละแถวจะมีช่องเล็กๆอยู่ ๒๘ ช่อง ส่วนอีกสิ่งหนึ่งมีด้ามจับเป็นรูปวงกลม และมีปลายแหลมยื่นออกมา (บางอันอาจเป็นร่อง หรือหัวใจ ตามแต่ลักษณะที่ออกแบบ)
“แล้วมันใช้ยังไงหละ” ฉันสอดกระดาษลงไป ก่อนเขียนชื่อตัวเองแล้วพลิกให้ทุกคนดู ทั้งหมดจ้องมองอย่างแปลกใจ
“มันไม่เห็นเหมือนตัวหนังสือเลย อ่านยังไงละนี่” ฉันแสดงให้ทุกคนดู หลายคนลองเขียนๆแล้วเอาให้ฉันอ่าน ฉันก็อ่านไปตามมั่วๆที่พวกเค้าเขียนกัน ทั้งหมดต่างหัวเราะ และพูดคุยกันอย่างครื้นเครง นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลยทีเดียว
...
อาจมีคำผิดบ้าง ต้องขออภัยท่านผู้อ่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ มีข้อแนะนำอะไรติชมและวิจารณ์กันได้ค่ะ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 11 พฤษภาคม 2014, 10:01:PM

นิยายชีวิตของเธอ สนุก น่าติดตามมาก ขอให้เธอจงเขียนตอนต่อๆไปเถิดนะ ฉันจะคอยอ่านงานของเธอเสมอไป

ลุงไพร


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่สองมาแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 14 พฤษภาคม 2014, 12:02:PM
        ตอนที่ 2 ไม่เป็นไปดังหวัง
    พวกเรานั่งคุยกันจนเพลิน กระทั่งอาจารย์เดินเข้ามานั่นแหละ ถึงรู้สึกตัวกัน เพื่อนๆต่างแยกย้ายไปนั่งประจำที่ของตัวเอง อาจารย์ท่านใหม่แนะนำตัวเอง และชี้แจงรายละเอียดประจำวิชาที่สอน เมื่อหมดคาบเรียน อาจารย์ท่านใหม่ก็เข้ามาแทนอีก ฉันนั่งฟังอาจารย์ทุกท่านอย่างตั้งใจ กระทั่งถึงเวลาพักรับประทานอาหาร เมื่อนักเรียนกล่าวทำความเคารพเสร็จ ทุกคนต่างก็ค่อยๆทยอยกันออกไป มีเพื่อนสามสี่คนเดินเข้ามาหาฉันแล้วเอ่ยชวน
“ไปกินข้าวกัน” ฉันลุกขึ้นตามแรงดึงของเพื่อน มือข้างขวาก็เอื้อมไปหยิบไม้เท้าในกระเป๋าออกมา
“นั่นอะไรหนะ”
“อะไรเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างงงๆ
“ก็ไอ้ที่เธอถืออยู่นี่ไง” ฉันถึงบางอ้อในทันที เจ้าสิ่งที่ถืออยู่นั้นมันมีลักษณะยาวๆ เป็นแท่งๆสามถึงสี่แท่ง ยึดกันไว้ด้วยเชือกที่มีความยืดหยุ่นได้ สามารถพับและพกพาได้สะดวก
“อ๋อ ไอ้นี่เหรอ มันคือไม้เท้า มีไว้สำหรับนำทางคนตาบอด”
“มันบอกเราได้ด้วยเหรอว่าจะไปทางไหน” แจงถามขึ้นด้วยความสงสัย ทำให้ฉันถึงกับยิ้มขำ
“มันบอกไม่ได้หรอกว่าจะไปทางไหน เพียงแต่ช่วยเราไม่ให้เดินชนหรือตกบันไดเท่านั้นเอง ใช้อย่างนี้ไง”ฉันลองเดินให้ทุกคนดู จังหวะหนึ่ง ฉันเอาไม้เท้าไปฟาดขาของเพื่อนคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เพื่อนคนนั้นหันมา ฉันหัวเราะแหะๆ พึมพำขอโทษ เขาไม่ว่าอะไร หัวเราะแล้วจับมือฉันเขย่าเบาๆ
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ” ฉันเดินอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ดีใจมากที่ทุกคนเอาใจใส่ และให้ความช่วยเหลือ พวกเรานั่งกินข้าวกันไปคุยกันไปอย่างร่าเริงจนถึงเวลาเข้าเรียน
“ไปกันเถอะพวกเรา” ทุกคนเดินกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้ง การเรียนของภาคบ่ายก็ไม่ต่างอะไรกับภาคเช้าเลย วันนี้อาจารย์แค่ชี้แจงรายละเอียดประจำวิชาที่สอน และให้ทุกคนทำความรู้จักกันเท่านั้น กระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน เมื่อพ่อมารับ ฉันโบกมือลาเพื่อนๆแล้วยิ้มอย่างเป็นสุข
 “พรุ่งนี้พบกันจ้า” ฉันเอ่ยเสียงใส
“บ๊ายบาย” ทุกคนต่างพูดพร้อมกัน ฉันนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์กอดเอวพ่อซิ่งกลับบ้านด้วยความเบิกบาน หวังหมดใจเลยว่า ฉันจะเรียนที่นี่ได้อย่างมีความสุข
...
    เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันแต่งตัวไปโรงเรียนด้วยความเบิกบาน เมื่อเข้าแถวเคารพทงชาติเสร็จ พวกเราก็เดินขึ้นห้องกันตามปกติ วิชาแรกที่พวกเราต้องเรียนในวันนี้คือ วิทยาศาสตร์ อาจารย์ให้ทุกคนทำข้อสอบก่อนเรียน น้ำฝนเป็นคนอ่านข้อสอบให้ฉัน หลังจากนั้น ก็เข้าสู่การเรียนอย่างเต็มรูปแบบ
“สถานะของสารคือ...สารนี้คือ...สารนี้คือ...” ฉันไม่เข้าใจที่อาจารย์พูดเลยสักนิด ฉันหันไปทางเพื่อนที่นั่งข้างๆ แล้วถาม “ทำไมอาจารย์ไม่บอกละว่าคืออะไร”
“อ๋อ อาจารย์เขียนบอกบนกระดานจ้า” ฉันเริ่มรู้สึกแย่ อาจารย์ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามีคนตาบอดเรียนอยู่ด้วย ถ้าเขียนบนกระดานแล้วไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไง
“ฟ้า อาจารย์เขียนอะไรบ้างเหรอ”
“เรากำลังจดอยู่อ่ะตะวัน เดี๋ยวเราบอกทีหลังนะ” นั่นทำให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก ฉันเริ่มมองเห็นถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับผู้อื่น อาจารย์นิชาภาเดินเข้ามาหาฉันแล้วถาม
“หนู เข้าใจที่ครูสอนไม๊ลูก”
“ไม่เข้าใจค่ะ” ฉันตอบโดยไม่ลังเล ครูนิชาภาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอไม่รู้ว่าจะสอนเด็กคนนี้อย่างไร ตั้งแต่เป็นครูมาก็ไม่เคยสอนเด็กพิการทางสายตามาก่อน
“แล้วครูจะสอนหนูยังไงดีหละ” ‘สอนหนูเหมือนที่ครูสอนทุกคนนั่นแหละค่ะ เพียงอธิบายให้หนูฟังสักนิด ไม่ใช่เอาแต่เขียนอย่างเดียว’ ฉันทำได้เพียงคิดอยู่ในใจเพราะไม่กล้าพูด สิ่งที่ตอบอาจารย์นิชาภาไปคือความเงียบ
“แล้วเขาไม่มีโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษเหรอลูก” ครูนิชาภาเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปครู่ ‘เด็กพิเศษ’ เอาอีกแล้ว คำนี้อีกแล้ว อยากจะรู้จริงๆ ว่าฉันพิเศษกว่าเด็กคนอื่นตรงไหน จึงถามออกไปดั่งใจคิด
“หนูพิเศษกว่าเด็กคนอื่นตรงไหนเหรอคะคุณครู” อาจารย์นิชาภาชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามนั้น
“ก็...เอ่อ หนูมองไม่เห็นไงคะ” มองไม่เห็นเนี่ยนะพิเศษ ฉันไม่เข้าใจในความคิดของอาจารย์เลยจริงๆ ไม่เพียงแค่อาจารย์เท่านั้นหรอก แม้แต่คนส่วนมากก็เช่นกัน เห็นคนตาบอดสามารถทำอะไรหลายๆอย่างเองได้ก็คิดว่าเป็นเรื่องแปลก อยากบอกทุกคนเหลือเกินว่า ฉันไม่ใช่เด็กพิเศษ ถ้าพิเศษจริง ทุกคนก็ต้องอยากเป็นเหมือนฉันสิ ใช่ไหม?
“มีค่ะ แต่หนูจบจากที่นั่นมาแล้ว ถึงได้เข้ามาเรียนที่นี่ไงคะ”
“อ่อ เสียดายนะคะ เค้าหน้าจะมีให้ถึงมหาลัยเลย หนูจะได้ไม่ต้องลำบากมาเรียนกับคนปกติเค้า เฮ่อ...” อาจารย์ถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนเอ่ยทิ้งท้าย
“ครูจะพยายามหาวิธีสอนละกันนะคะ”อาจารย์นิชาภาเดินจากไปแล้ว ทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความคิดของตัวเอง นี่หมายความว่า เราไม่ปกติอย่างนั้นเหรอ ความตาบอดมันทำให้พิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน ในใจเฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่อย่างนั้น
...
วันนั้นทั้งวัน ฉันไม่มีความสุขเลย ทุกวิชาเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เมื่อพ่อมารับ เพื่อนๆเดินมาส่งที่รถตามเคย ฉันโบกมือลา แล้วยิ้มเซียวๆให้เพื่อนๆ ทุกคนบ๊ายบาย แล้วเดินจากไป ฉันขึ้นรถกลับบ้านอย่างหงอยๆ เมื่อถึงบ้าน ฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง ฉันโทษครูที่สอนไม่รู้เรื่อง โทษเพื่อนที่ไม่ยอมบอกอะไร โดยตอนนั้นมิได้เข้าใจเลยว่า ทุกอย่างมันต้องเริ่มจากตัวเอง มัวแต่รอให้ผู้อื่นหยิบยื่นให้ แล้วเราจะทำอะไรเป็น
“อดทนและเข้มแข็งไว้นะลูก เราจะต้องผ่านมันไปได้ เชื่อแม่สิ”
“ค่ะ” ฉันพูดได้เพียงแค่นั้น แม่ไม่เป็นหนู แม่ไม่มีทางเข้าใจหรอก ใครเลยจะอยากเป็นแบบนี้ หนูไม่อยากตาบอด หนูอยากมองเห็น หนูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ฉันได้แต่คร่ำครวญกับตัวเองอยู่อย่างนั้น
...
    เกือบสองอาทิตย์แล้ว ที่ได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ สิ่งที่ฉันเคยวาดหวังเอาไว้ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือกัน ก็ค่อยๆหายไปทีละคนสองคน เมื่อถึงเวลาพักรับประทานอาหาร ทุกคนต่างทยอยกันออกจากห้อง ฉันลุกขึ้นยืนรอเพื่อนๆมาชวนไปทานอาหารตามปกติ แต่วันนี้ ไม่มีใครเดินเข้ามาหาเลย ภายในห้องเงียบสนิท ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว ทำไมเพื่อนๆต้องทิ้งเราด้วย จะทำยังไงต่อไปดี ฉันตั้งสติ ควานหาไม้เท้าในกระเป๋า แล้วค่อยๆพาตัวเองเดินสะเปะสะปะออกมานอกห้อง ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ฉันจึงใช้ไม้เท้าเดินตามเสียงนั้นไป ไม่นานนัก ฉันก็มาหยุดยืนอยู่ใกล้คนเหล่านั้น แล้วเอ่ยเสียงเบา
“ขอโทษนะคะ เอ่อ ไม่ทราบว่าโรงอาหารไปทางไหนเหรอคะ”
“ทางนี้ค่ะ” ‘แล้วไอ้ทางนี้ที่ว่าละมันทางไหนหละ ไม่บอกให้ชัดๆจะรู้ได้ไง’
“ไหนคะ” ฉันหันไปซ้ายทีขวาที คนเหล่านั้นต่างหัวเราะในการกระทำของฉัน เสียงหัวเราะเหล่านั้นทำให้หยุดชะงักลงในทันที ชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้อยแก ไปส่งเค้าหน่อยสิ น้ำใจหนะมีไม๊” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อ่าว แล้วทำไมแกไม่ไปส่งเองหละ” อีกคนโต้กลับทันควัน ทั้งหมดต่างเกี่ยงกันไปมา ฉันรู้สึกราวกับตัวเองเป็นภาระของคนอื่น
“ไม่ต้องแล้วค่ะ จะไปไหนก็ไปกันเถอะ” ฉันหันหลังเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง มีเสียงกระซิบไล่หลังตามมา แต่ตอนนั้นไม่สนใจแล้วว่า คนเหล่านั้นพูดว่าอย่างไร ฉันกลับมานั่งในห้องเรียนแล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น ‘สิ่งที่เราหวังเอาไว้ คงไม่เป็นไปดังคาดเสียแล้ว เราควรทำอย่างไรต่อไปดี’
...
เมื่อเพื่อนๆกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ทุกคนต่างจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่สนใจฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ถ้าเรามองเห็น ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม ฉันพึ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่า ตอนแรกที่เพื่อนๆเข้ามาหาเรา เพราะเห็นว่าเราเป็นของแปลก พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน พอรู้แล้วก็หมดความสนใจ เรามันก็แค่สิ่งมหัศจรรย์ที่ทุกคนไม่เคยเจอเท่านั้นเอง บ่ายทั้งบ่ายฉันเรียนหนังสือแบบไม่รู้เรื่อง เรียกว่าแทบไม่ให้ความสนใจกับมันเลยก็ว่าได้ ตกเย็นเมื่อพ่อมารับ ฉันก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามแรงจูงของพ่อออกไปทันที วันนี้ ไม่มีเพื่อนๆมาส่งอย่างที่ผ่านมา ฉันขึ้นรถกลับบ้านด้วยความห่อเหี่ยวใจเป็นอย่างยิ่ง เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟังตามเคย
“แม่ขา หนูไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว มันท้อ หนูแทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ”
“อดทนนะลูก ยังไงเราก็ต้องผ่านมันไปได้” แม่บอกให้อดทนตามเคย ฉันไม่อยากทำให้แม่เสียใจ เลยรับคำออกไปอย่างจนใจ ทั้งที่รู้ดีว่า ความอดทนมันใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
...
ตอนที่สองยังไม่จบนะคะ แต่มันไม่พออ่ะ ติดตามอ่านกระทู้ต่อไปนะคะ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ต่อตอนที่สองค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 14 พฤษภาคม 2014, 12:04:PM
    มาต่อตอนที่สองค่ะ
    ย่างเข้าสู่เดือนที่สองของการเรียน ทุกอย่างดูจะยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม ฉันปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆไม่ได้ และแล้ววันที่หมดความอดทนก็มาถึง ในคาบจริยธรรม อาจารย์ประกาศให้นักเรียนชั้น ม. ๑ ทุกคน ไปรวมตัวกันที่หอประชุม ซึ่งอยู่ไกลจากห้องเรียนพอสมควร ในระหว่างที่พวกเรากำลังเดินไปอยู่นั่นเอง เพื่อนคนหนึ่งบอกให้ฉันเลี้ยวซ้าย ฉันเลี้ยวตามคำบอกของเพื่อน เดินตรงไปได้ซักพัก ไม้เท้าก็ไปฟาดกับอะไรบางอย่าง ฉันเอามือจับดูก็รู้ว่าเป็นกำแพง เพื่อนๆที่ตามมาก็พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธ พอเดินมาได้อีกสักพัก เพื่อนอีกคนก็เอ่ย
“ขวาๆๆ” ฉันหยุดยืนอย่างลังเล
“ขวาจริงเหรอพวกเธอไม่หลอกเราแน่นะ”
“จริงๆๆๆ เลี้ยวเลยๆ” หลายเสียงพูดขึ้นพร้อมกัน ฉันเลี้ยวตามคำบอกของเพื่อนอีกครั้ง และด้วยความไม่ระวังตัว หรือเพราะความซวยก็มิอาจทราบได้ จึงทำให้สะดุดกับอะไรบางอย่าง ล้มคว่ำหน้าลงในทันที ฉันใช้มือยันกับพื้นโดยสัญชาตญาณ เพื่อไม่ให้หน้าไปปะทะพื้น เสียงหัวเราะดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง ฉันลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ หันหน้าไปทางเพื่อนๆ แล้วพูดขึ้นด้วยแรงอารมณ์
“พวกเธอมีความสุขมากใช่ไหมที่ได้แกล้งเรา” เสียงหัวเราะเงียบลงทันที ทุกคนนิ่งไปชั่วขณะ ครู่หนึ่ง มุกก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“โธ่ตะวัน เราก็แค่ล้อเธอเล่นหนะ ไม่เห็นต้องโกรธกันขนาดนี้เลย” ‘ตัวตลก’ คำๆนี้ผุดขึ้นในใจ
“ล้อเล่นเหรอ นี่คือการล้อเล่นของพวกเธอเหรอ พวกเธอสนุกมากเลยใช่ไม๊ที่เห็นเราเป็นตัวตลก เราตาบอดแล้วพวกเธออยากจะแกล้ง หรืออยากจะทำอะไรก็ได้งั้นสิ” ฉันพูดขึ้นทั้งน้ำตา ความรู้สึกในยามนี้มีทั้งความโกรธและความเสียใจปะปนคละเคล้ากันจนแยกไม่ออก ทุกคนเงียบ ฉันก็นิ่ง จนกระทั่ง
“อะไรกัน” อาจารย์ท่านหนึ่งส่งเสียงถามมาก่อน และเดินตรงเข้ามายังจุดที่พวกเรายืนอยู่ ทุกคนยังเงียบตามเคย อาจารย์ท่านนั้นเดินเข้ามาหาฉัน แล้วถามขึ้นด้วยความปราณี
“หนู หนูร้องไห้ทำไมคะ ใครทำอะไรหนู ไหนบอกครูมาซิลูก” ฉันเล่าให้อาจารย์ฟังทั้งน้ำตา อาจารย์สุคลเห็นใจเด็กหญิงเป็นอันมาก จิตวิญญาณแห่งความเป็นครูที่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงทำให้เธอไม่เคยตัดสินใครที่ความพิการ เพราะเธอเชื่อเสมอว่า คนทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง
“ครูจะหักคะแนนความประพฤติของพวกเธอคนละ 50 คะแนน” พูดจบ อาจารย์ก็พาฉันเดินไปจากตรงนั้นทันที
“หนูจะไปหอประชุมใช่ไม๊คะ เดี๋ยวครูพาไปส่งนะลูก”
“หนูไม่อยากไปหอประชุมแล้วค่ะ หนูอยากอยู่คนเดียว อาจารย์ให้หนูอยู่คนเดียวซักพักนะคะ” ฉันเอ่ยเสียงเศร้า
“ถ้างั้นครูจะพาหนูไปอยู่ที่ห้องพักครูนะคะ แล้วจะหาอะไรไปให้ทานด้วย หนูจะได้รู้สึกดีขึ้นไงคะ อ้อ! ลืมบอกไป ครูชื่อครูสุคลนะคะ” อาจารย์สุคลเอ่ยยิ้มๆ
“ขอบคุณมากค่ะคุณครูสุคล” ฉันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม รู้สึกขอบคุณอาจารย์ท่านนี้จากใจจริง เมื่ออาจารย์สุคลพาฉันมานั่งที่ห้องพักครูแล้ว อาจารย์ก็ปล่อยให้ฉันได้อยู่ตามลำพังดังที่ต้องการ
“เดี๋ยวครูไปหาอะไรมาให้ทานนะคะ นั่งพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
 “ค่ะ” ฉันรับคำเสียงแผ่วเบา อาจารย์สุคลเอามือลูบศีรษะฉันด้วยความเอ็นดู แล้วเดินจากไปเงียบๆ ฉันทอดถอนใจอย่างเหนื่อยล้า สิ่งที่เผชิญมาตลอดหลายเดือนจนถึงวันนี้ มันเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆและไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย ความอดทนของฉันมันหมดสิ้นแล้วในวันนี้เอง สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ในยามนี้คือ อยากจะหนีไปให้ไกลที่สุด ฉันไม่อยากเผชิญกับสิ่งต่างๆเหล่านี้อีกแล้ว
สุวีรยา เราควรจะทำยังไงต่อไปดี
...
มีอะไรแนะนำ ติชม และวิจารณ์กันได้นะคะ><


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 14 พฤษภาคม 2014, 10:00:PM

ลุงไพรเชื่อว่าสิ่งที่หนูนำเสนออยู่นี้ หนูคงจะผ่านจุดนั้นมาแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น หนูเล่าสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่หนูผจญอยู่แล้วผ่านแต่ละขั้นตอนมาได้อย่างไร? เพราะนี่คือประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่คนที่มีนัยน์ตาทุกๆคนไม่เคยรู้ ลุงภาวนาว่าหนูคงจะใช้ความอดทนอย่างแสนสาหัสตามที่แม่ของหนูบอก เพื่อจะชนะอุปสรรคต่างๆที่เหมือนกับมารผจญ...ลุงจะติดตามอ่านการผจญภัยของหนูต่อไป นะ

ลุงไพร



หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 14 พฤษภาคม 2014, 10:22:PM
มาตามอ่านเหมือนกันจ้า...

พี่เปรื่อง


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 15 พฤษภาคม 2014, 07:46:AM
สวัสดีค่ะลุงไพร ตอนนี้หนูจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว กำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาค่ะ ยอมรับว่าช่วงแรกที่เรียนร่วมกับคนสายตาปกตินั้นค่อนข้างลำบากมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยพบเผชิญมาก่อน กว่าจะปรับตัวได้ก็เล่นเอาแทบล้มทั้งยืนมาหลายครั้ง ทุกด้านเลยละค่ะ ทั้งการเรียน เพื่อนๆ อาจารย์...และอื่นๆ หนูเลยคิดว่าจะเขียนนิยายเรื่องนี้ให้อิงความจริงมากที่สุด เพราะอยากเผยมุมมองของตัวเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ ขอบคุณมากนะคะที่ติดตาม หนูจะเขียนต่อไปค่ะ><

ลุงไพรเชื่อว่าสิ่งที่หนูนำเสนออยู่นี้ หนูคงจะผ่านจุดนั้นมาแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น หนูเล่าสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่หนูผจญอยู่แล้วผ่านแต่ละขั้นตอนมาได้อย่างไร? เพราะนี่คือประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่คนที่มีนัยน์ตาทุกๆคนไม่เคยรู้ ลุงภาวนาว่าหนูคงจะใช้ความอดทนอย่างแสนสาหัสตามที่แม่ของหนูบอก เพื่อจะชนะอุปสรรคต่างๆที่เหมือนกับมารผจญ...ลุงจะติดตามอ่านการผจญภัยของหนูต่อไป นะ

ลุงไพร




หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 15 พฤษภาคม 2014, 07:48:AM
สวัสดีค่ะพี่เปรื่อง ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน มีอะไรติชมและวิจารณ์กันได้ค่ะ><
มาตามอ่านเหมือนกันจ้า...

พี่เปรื่อง



หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่สามมาแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 20 พฤษภาคม 2014, 01:54:PM
        ตอนที่ 3 เริ่มมีกำลังใจ
     อาจารย์สุคลกลับมาอีกครั้งพร้อมอาหารว่าง อาจารย์ยื่นแซนวิชและน้ำผลไม้มาให้ฉัน
“ทานซะหน่อยนะลูก จะได้รู้สึกดีขึ้น”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับประทานไปเงียบๆ อาจารย์รอให้ฉันทานจนเสร็จ แล้วเริ่มตั้งคำถาม
“หนูชื่ออะไรคะ”
“สุวีรยาค่ะ”
“สุวีรยา ชื่อเพราะจัง แล้วชื่อเล่นละคะ” อาจารย์ยังคงถามต่อไป ฉันยังไม่กล้าทำความรู้จักอาจารย์ท่านนี้มากนัก เพราะกลัวเจอแบบที่ผ่านมา จึงสงวนถ้อยคำ
“ตะวันค่ะ”
“ตะวันมาเรียนที่นี่เป็นยังไงบ้างคะ” ‘แย่! ใจนึกอยากโพร่งคำๆนี้ออกไป
“เหมือนจะดีค่ะ”
“เหมือนจะ แสดงว่ายังไม่ดีใช่ไหม” อาจารย์สุคลค่อยๆใช้จิตวิทยาในการถามทีละนิด จนฉันเริ่มผ่อนคลาย วูบหนึ่งคำถามบางอย่างผุดขึ้นในใจ และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีฉันก็เอ่ยมันออกไปโดยไม่ตั้งใจ
“ครูเคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ต้องคอยพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลาไม๊ค่ะ” อาจารย์สุคลนิ่งไปครู่ เธอมองเด็กหญิงอย่างพินิจ เห็นแววเศร้าผ่านทางสีหน้าและดวงตาของเด็กหญิง ความสงสารแล่นขึ้นจับใจ เธอใคร่ครวญก่อนตอบ
 “ครูไม่เคยรู้สึกเลยคะว่าตัวเองไร้ค่า”
“จริงสิคะ ครูมีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ คงไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ ไม่เหมือนหนู อยากจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไรก็ต้องคอยให้คนอื่นช่วยอยู่ตลอดเวลา”  ท้ายเสียงเจือแววเศร้า น้ำตาพานจะไหลขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่ครูบอกว่า ครูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่านี้ก็เพราะครูคิดว่า คนทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่มีใครที่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้
เสมอไปหรอก เราต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเองค่ะ” ช่วยเหลือตัวเองอย่างนั้นเหรอ เราจะทำได้ยังไง ในเมื่อเราตาบอด
“หนูคงทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูมองไม่เห็น”
 “ทำได้สิคะ คนทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง ครูเชื่อค่ะว่าหนูต้องทำได้” อาจารย์สุคลพูดให้กำลังใจ
“ทุกวันนี้หนูเรียนแบบไม่มีความสุขเลยค่ะ ทั้งอาจารย์ เพื่อนๆ ไม่มีใครเข้าใจหนูเลย ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยละคะ” ฉันระบายสิ่งที่เก็บไว้ในใจให้อาจารย์ฟังจนหมดเปลือก อาจารย์สุคลนั่งฟังนิ่งๆ ก่อนพูดประโยคที่ทำให้ต้องนั่งตรึกตรองไปหลายนาที
“แล้วหนูบอกทุกคนรึเปล่าคะว่าหนูต้องการอะไร และอยากให้ปฏิบัติต่อหนูยังไง” คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจคือ’ทำไมต้องบอก’ สิ่งที่เราแสดงออกนี้มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ แต่พอพิจารณาสิ่งที่พบเผชิญมาตลอดสองเดือนเต็ม ทำให้เริ่มเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้รางๆ ใช่! เราหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเราถ่ายเดียว โดยไม่คิดเลยว่า ความเข้าใจของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่พิสูจน์ให้พวกเขาเห็น แล้วพวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไร แสงสว่างเริ่มจุดขึ้นกลางใจ
 “หนูจะพยายามค่ะครู หนูจะต้องทำให้ได้ หนูสัญญาค่ะ” ฉันสัญญากับอาจารย์ พร้อมกับพูดให้กำลังใจตัวเองไปด้วย
“ดีมากค่ะคนเก่ง ครูจะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ” อาจารย์สุคลยิ้มยินดี เธอเห็นแววมุ่งมั่นก่อตัวขึ้นในใจเด็กหญิงทีละน้อย นั่นทำให้เธอพอใจ
“ถึงเวลาเรียนคาบต่อไปแล้ว หนูจะขึ้นไปเรียนกับเพื่อนๆไม๊คะ” อาจารย์สุคลถามขึ้นหลังจากได้ยินเสียงนาฬิกาบอกคาบเรียนต่อไป
“ไปค่ะ” ฉันลุกยืน ด้วยจิตใจที่มั่นคงกว่าเดิม ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับคราบน้ำตาจนแห้ง คว้าแว่นตามาสวม พร้อมบอกใจตัวเองอีกครั้ง ‘สู้’
“มันต้องให้ได้อย่างนี้สิคะคนเก่ง มาค่ะ ครูจะพาหนูไปส่งที่ห้อง” อาจารย์สุคลเดินอ้อมมาหาแล้วยื่นแขนให้ฉันจับข้อศอก ทำให้อดแปลกใจนิดๆไม่ได้
“ครูรู้ได้ยังไงคะว่าต้องทำแบบนี้”
“ทำอะไรคะ” อาจารย์สุคลถามงงๆ
“ก็ให้หนูจับข้อศอกไงคะ มีไม่กี่คนหรอกค่ะที่รู้ มันคือวิธีการนำทางคนตาบอดที่ถูกต้อง” อาจารย์สุคลแสดงสีหน้าเข้าใจ
“อ๋อ ครูเคยเห็นนะค่ะ ตอนไปเยี่ยมหลานชาย เค้าพาเพื่อนรุ่นน้องที่มองไม่เห็นมาติวหนังสือที่บ้าน”
“ครูมีหลานชายด้วยเหรอคะ” ฉันถามอย่างใคร่รู้
“ค่ะ ตอนนี้เค้าอยู่ม. ๖ แล้ว เค้ามีจิตอาสา ชอบช่วยเหลือคนอื่น ”อาจารญ์สุคลเอ่ยอย่างภาคภูมิใจในหลานชาย
“หลานชายครูเนี่ยเป็นคนดีจังนะคะ หนูชักอยากรู้จักซะแล้วสิ” ฉันเอ่ยยิ้มๆ
“เอาไว้ถ้ามีโอกาสครูจะแนะนำให้รู้จักนะคะ เอาหละ ถึงห้องแล้ว ขอให้โชคดีค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะครู” ฉันยกมือไหว้ครูอย่างอ่อนช้อยก่อนเดินเข้าห้องเรียน อาจารย์สุคลมองตามลูกศิษย์ตัวน้อยไปยิ้มๆ หลังจากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องพักครูตามเดิม
...
วันนี้ ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรแย่ลง พอเลิกเรียน ฉันก็นั่งซ้อนมอเตอร์ไซร์พ่อตามเคย
แต่วันนี้ ฉันยังไม่ได้กลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน ฉันเดินทางไปโรงเรียนที่เรียนอยู่เดิม ได้ยินมาว่า ทุกเย็นจะมีพี่ๆนักศึกษาที่เป็นจิตอาสาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาช่วยเขียนการบ้านและอ่านหนังสือให้กับนักเรียนเรียนร่วม ฉันจึงเกิดความสนใจ เพราะตอนนี้ ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาเป็นอย่างมาก ด้วยการบ้านที่กองพะเนินเท่าภูเขา เพราะที่ผ่านมามัวแต่น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง จึงมิได้ให้ความสนใจในเรื่องการเรียนเลย ฉันคงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองซะใหม่แล้ว แต่จะเริ่มจากตรงไหนเนี่ยสิ ยังคงเป็นปัญหาสำหรับฉันในยามนั้น
...
ยังไม่จบนะคะ มีต่อๆ


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ต่อตอนที่สามค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 20 พฤษภาคม 2014, 02:01:PM
        ต่อตอนที่สามค่ะ
    พ่อมาส่งฉันที่โรงเรียนสอนคนตาบอด
“เสร็จแล้วโทรหาพ่อนะลูก เดี๋ยวพ่อมารับ”
“ค่ะ” ฉันรับคำแล้วยกมือไหว้ ฉันเดินเข้ามาในโรงเรียนที่คุ้นเคย อาจารย์หลายท่านที่จำฉันได้ ก็เอ่ยทักทายด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส
“หนูมาทำอะไรคะวันนี้” อาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยสอนวิชาภาษาไทยให้ฉันถามขึ้นด้วยความปราณี
“หนูได้ยินมาว่า ทุกเย็นจะมีพี่ๆนักศึกษามาช่วยเขียนการบ้านอ่านหนังสือให้กับนักเรียนเรียนร่วม ก็เลยอยากมาให้พี่ๆเค้าช่วยหน่อยค่ะ”
“งั้นหนูก็มาถูกที่แล้วค่ะ พี่ๆเขาจะมาประมานหกโมงนะคะ ตอนนี้หนูไปนั่งรอที่โรงอาหารได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันพูดคุยกับอาจารย์ท่านนั้นอีกสักพัก ก่อนจะยกมือไหว้ แล้วเดินจากมา
...
นั่งคนเดียวมาได้ซักพัก ยินเสียงคนประมานสามสี่คนเดินเข้ามา พอฉันจำเสียงได้ ก็ร้องทักขึ้นด้วยความดีใจ
“เฮ่ สวัสดี เป็นไงกันบ้างทุกคน” พอพวกนั้นจำเสียงฉันได้ ก็ร้องทักขึ้นด้วยความดีใจเช่นกัน ต่างคนต่างพูดทักทายกันอยู่สักครู่ ก็เริ่มตั้งวงคุยกัน
“ไปเรียนร่วมกับคนตาดีเป็นยังไงบ้างหละ” ฉันเริ่มเปิดประเด็น
“โอ๊ย ตอนแรกๆก็ดีอยู่หรอก แต่พอหลังๆมานี่ แย่สุดๆเลยเธอ” แก้วเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำถามนั้น
“แย่ยังไงเหรอ เพื่อนไม่ช่วยหรือไง” ฉันถามจากสิ่งที่เผชิญ
“มันมีทุกรูปแบบเลยละเธอ ทิ้งให้เดินคนเดียวบ้างละ แกล้งพาไปหลงบ้างละ โอ๊ยสารพัด จนสุดจะบรรยาย ให้เล่าวันนี้ก็ไม่จบ” กิ๊ฟเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดๆ
“ใช่ๆๆ เพื่อนชั้นนะ มาแกล้งตีชั้น แล้วก็หนี คิดว่าเรามองไม่เห็นสินะ เลยแกล้งเอาแกล้งเอา จับได้เมื่อไหร่ละก็ หน้าดู” ทิพย์เอ่ยขึ้นบ้าง
“โอ๊ยของเธอหนะธรรมดา ชั้นสิ หนักสุด เจอแบบว่าเพื่อนเอาไม้เท้าไปซ่อนก็มี ชั้นละหาแทบตาย เพื่อนๆมันก็หัวเราะกันสนุกสนานไปเลยละทีนี้ มันหน้านัก” เฟื่องเอ่ยพรางทำเสียงหึ้มหั้มในลำคอ ต่างคนต่างเล่าประสบการณ์ที่พบเจอมาให้กันฟัง ฉันนั่งฟังเรื่องราวเหล่านั้นด้วยความสนใจ พึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว ที่พบเจอเรื่องแบบนี้ ทุกคนล้วนมีปัญหาอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟันและแก้ไข สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ’ใจ’ เราพร้อมหรือยังสำหรับการเดินหน้าต่อ
“แล้วเธอละตะวัน พบเจออะไรมาบ้าง” ทิพย์หันมาถามเมื่อเห็นฉันเงียบไป
“ก็พอๆกับพวกเธอนั่นละ” ฉันเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอมาให้เพื่อนๆฟัง ต่างคนต่างวิภาควิจารณ์กันไปสารพัด ยามนั้น สิ่งที่สัมผัสจากเพื่อนๆได้อย่างชัดเจนคือ พวกเขาไม่แสดงความท้อแท้สิ้นหวังออกมาเลยเพียงนิด แล้วตัวเราหละ ทำไมถึงต้องท้อ เขาทำได้เราก็ต้องทำได้ จริงไหม?
“แล้วอาจารย์ผู้สอนละเป็นยังไง? ฉันถามขึ้นอีกครั้งหลังจากนั่งใช้ความคิดอยู่เป็นนาน
“เฮ่อ...” ทุกคนต่างถอนใจออกมาพร้อมกัน
“อาจารย์หลายท่านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันอะนะว่าไม่รู้จะสอนพวกเรายังไง ชั้นละเบื่อจังเลยคำพูดนี้ แต่ก็ต้องทำใจ เพราะอาจารย์ท่านก็คงจะไม่รู้จริงๆอะแหละ” กิ๊ฟเอ่ยขึ้นอย่างเซ็งๆ สุดท้าย ต่างคนต่างถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเงียบกันไป
 “พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ ปวดหัววว” แก้วเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งกันไปครู่ จากนั้นพวกเราก็คุยกันด้วยเรื่องทั่วไป จนกระทั่งพี่ๆนักศึกษาเดินเข้ามา ทุกคนต่างหยุดการสนทนาไว้แต่เพียงเท่านั้น
...
เล่าความคืบหน้าในชีวิตนิดนึงนะคะ ตอนนี้กำลังจะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว คงมีอะไรที่รอเราอีกเยอะ ต้องปรับตัวขนานใหญ่อีกครั้ง มีอะไรแนะนำติชมกันได้ค่ะ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 20 พฤษภาคม 2014, 08:49:PM

กำลังสนุกเลย เล่าต่อๆๆๆ emo_28

และ สู้ๆๆๆ นะ emo_47

ลุงไพร


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่สามมาแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 21 พฤษภาคม 2014, 09:48:PM
ใช่! เราหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเราถ่ายเดียว โดยไม่คิดเลยว่า ความเข้าใจของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน
ถ้าเราไม่พิสูจน์ให้พวกเขาเห็น แล้วพวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไร

โดนใจมากจ้า

พี่เปรื่อง


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่สามมาแล้วค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 21 พฤษภาคม 2014, 10:06:PM
ขอบคุณมากค่ะ^^
ใช่! เราหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเราถ่ายเดียว โดยไม่คิดเลยว่า ความเข้าใจของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน
ถ้าเราไม่พิสูจน์ให้พวกเขาเห็น แล้วพวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไร

โดนใจมากจ้า

พี่เปรื่อง



หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 23 พฤษภาคม 2014, 06:27:PM
ขอบคุณมากค่ะ^^

กำลังสนุกเลย เล่าต่อๆๆๆ emo_28

และ สู้ๆๆๆ นะ emo_47

ลุงไพร



หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่สี่ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 25 พฤษภาคม 2014, 05:47:PM
        ตอนที่ 4 เริ่มต้น
    ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปหาพี่ๆนักศึกษา  ฉันยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน
“ตะวัน มานี่สิ” กิ๊ฟเรียกฉันให้เข้าไปหา ฉันเดินไปตามคำเรียกนั้นแล้วนั่งลงข้างๆ
“เธอมีการบ้านเยอะไม่ใช่เหรอ เราให้เธอทำก่อนก็ได้ เรามีแค่วิชาเดียวเอง” กิ๊ฟพูดขึ้นอย่างมีน้ำใจ
“ขอบใจมากนะเพื่อน แต่...เราพึ่งมาครั้งแรกอ่ะ เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง” ฉันพูดเสียงอ่อย
“อ๋อ ไม่ยากหรอก เธอก็แค่เอาการบ้านมาให้พี่เค้า แล้วพี่เค้าก็จะเขียนและอ่านให้เธอฟังเอง” การทำการบ้านสำหรับคนตาบอดนี่ยากแท้หนอ ต้องหาคนอ่าน หาคนเขียน ครั้นจะส่งเป็นอักษรเบลล์ก็ทำไม่ได้ เพราะอาจารย์ไม่สามารถอ่านได้ ด้วยว่าไม่ได้เรียนมาทางนี้โดยตรง ดูๆแล้วยุ่งยากนะ แต่ก็ต้องยอมรับและพยายามทำให้ดีที่สุด
“งั้นเหรอ แล้วพี่เค้าอยู่ไหนหละ”
“อยู่นี่ครับ” เสียงที่ตอบมาไม่ใช่กิ๊ฟ แต่เป็นใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเจ้าหล่อนนั่นเอง เขาเอ่ยต่อมาอย่างเป็นกันเอง
“พี่ชื่อกรนะครับ น้องหละชื่ออะไร”
“หนู หนูชื่อตะวันค่ะ” ฉันเอ่ยยิ้มๆ รู้สึกเกร็งเล็กน้อย ด้วยว่าไม่คุ้นชิน
 “อ้อครับน้องตะวัน วันนี้มีการบ้านวิชาอะไร” น้ำเสียงที่ถามเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“มีหลายวิชาเลยค่ะ” ฉันเริ่มผ่อนคลายและรู้สึกเป็นกันเองกับพี่เขามากขึ้น
“ไหนเอามาให้พี่ดูซิ” ฉันหยิบแฟ้มที่เก็บงานทั้งหมดขึ้นมา แล้วเริ่มลงมือค้นหาสิ่งที่ต้องการ ค่อยๆเอาออกมาทีละชิ้น พี่กรรับการบ้านไปดู พรางถามด้วยความกังขา
“น้องรู้ได้ยังไงว่าอันไหนคือวิชาอะไร”
“หนูเขียนอักษรเบลล์ลงในใบงานเลยค่ะ เวลาหยิบขึ้นมาจะได้ไม่สับสน”
“อ้อครับ เข้าใจหละ โห...เยอะเหมือนกันนะเนี่ย อืม เริ่มจากวิชาคณิตก่อนละกัน เดี๋ยวพี่ขอศึกษาแป๊บนึงนะ” เอ่ยเพียงเท่านั้นพี่กรก็นิ่งไป ฉันหันไปทางกิ๊ฟแล้วกระซิบถามเบาๆ
“ทำไมพี่เค้าดูคล่องจัง เค้าเคยมาสอนการบ้านที่นี่แล้วเหรอ”
“เค้าเคยมาตั้งหลายครั้งแล้ว เธอมัวแต่ไปทำอะไรมายะ การบ้านก็ไม่มาทำ เลยไม่รู้อะไรดีๆกับเค้าเลย” กิ๊ฟเอ่ยทีเล่นทีจริง ฉันไม่เอ่ยอะไร ใครจะกล้าบอกละว่า มัวแต่ท้อแท้สิ้นหวังอยู่ละสิ จึงไม่ได้ขวนขวายสิ่งดีๆใส่ตัว ไม่นาน พี่กรก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“น้องเข้าใจเรื่องจำนวนเต็มมั๊ย”
“เอ่อ คือ หนูไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ ตอนครูสอนก็เรียนไม่รู้เรื่อง” ฉันบอกไปตามตรง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่สอนให้ มันไม่ยากหรอก เราทำได้อยู่แล้ว” พี่กรเอ่ยอย่างให้กำลังใจ
“พี่จะสอนหนูได้จริงๆเหรอคะ ขนาดครูยังไม่รู้เลยว่าจะสอนหนูยังไง” ฉันเอ่ยอย่างใจคิด เขาจะสอนเราได้จริงๆเหรอ ขนาดครูยังสอนเราไม่ได้เลย แล้วนี่...
“พี่เค้าสอนได้จริงๆนะตะวัน เราเคยเรียนมาแล้ว เข้าใจสุดๆอ่ะ” กิ๊ฟพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ลองดูสิ ไม่ลองจะรู้ได้ไง พี่เชื่อนะว่าเราทำได้ มา เริ่มกันเลย” พี่กรค่อยๆอธิบายให้ฟังช้าๆ จนเริ่มเข้าใจ และสนุกกับการเรียนมากขึ้น ไม่นานก็สามารถทำได้ ฉันตอบไม่ผิดเลยสักข้อ พี่กรเขียนคำตอบลงในสมุดการบ้านแล้วส่งคืนให้ ฉันรับมาด้วยความปีติ ความเข้าใจอีกอย่างผุดขึ้นกลางใจ มนุษย์เราล้วนแตกต่างกัน อย่าเอาการกระทำหรือคำพูดของคนเพียงไม่กี่คนมาตัดสินทุกคนที่พบเจอ
“เย้ หนูทำได้แล้วค่ะ หนูทำได้แล้ว” ฉันพูดขึ้นด้วยความยินดี
“เห็นไหม มันไม่มีอะไรยากเลย เชื่อหรือยังละว่าเราทำได้” ฉันยิ้มให้กับคำพูดนั้น
...
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็รีบทำธุระส่วนตัว แล้วเอาโจทย์คณิตขึ้นมาทบทวน ฉันทำไปได้ซักพัก ก็นึกย้อนไปถึงคำพูดของอาจารย์สุคล ‘คนทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง’ แล้วก็นึกถึงตอนที่ทำคณิตศาสตร์ได้ ใจก็สว่างวาบขึ้นมาทันที เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น สิ่งไหนที่คนอื่นทำได้ เราก็สามารถทำได้เช่นกัน ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หากมีความพยายาม ‘ครูขา หนูเข้าใจในสิ่งที่ครูต้องการจะบอกหนูแล้วค่ะ แต่นี้ไป หนูจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า หนูมีศักยภาพพอที่จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนและไม่แปลกแยก หนูจะทำให้ได้ค่ะ หนูสัญญา’
...
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันปรับตัวขนานใหญ่ เริ่มจากการช่วยเหลือตัวเองเป็นอันดับแรก ฉันฝึกทำความคุ้นเคยกับสถานที่ต่างๆในโรงเรียน จนสามารถเดินไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น และยังกล้าพอที่จะเดินจากโรงเรียนไปทำการบ้านที่โรงเรียนสอนคนตาบอดเองอีกด้วย เนื่องจากสถานที่อยู่ไม่ไกลกันสักเท่าใด ตอนแรกพ่อแม่ต่างไม่ยอมด้วยเป็นห่วงในตัวลูกสาว แต่พอให้เหตุผลว่าต่อไปหากต้องใช้ชีวิตโดยลำพังแล้วฉันจะอยู่ได้อย่างไร ท่านทั้งสองจึงยอมแต่โดยดี แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าทุกเช้าพ่อจะไปส่งฉันที่โรงเรียนตามปกติ พอเลิกเรียนฉันก็จะเดินไปทำการบ้านที่โรงเรียนสอนคนตาบอดจนถึงเวลาสองทุ่มหรืออาจมากกว่านั้นเล็กน้อย พ่อก็จะมารับกลับ ตอนอยู่ที่โรงเรียนหากมีเวลาว่างก็จะเข้าหาอาจารย์ในแต่ละวิชาเพื่อทบทวนสิ่งที่เรียนมา บางครั้งเสาร์อาทิตย์ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อน ด้วยว่าต้องเรียนพิเศษ เพราะตอนที่อาจารย์สอนในชั้นเรียนฉันตามทันบ้างไม่ทันบ้าง จึงต้องขวนขวายเพิ่มเติม แม้จะเหนื่อยมากกว่าคนอื่นหลายเท่า แต่ฉันก็ต้องอดทน และเพียรพยายามฟันฝ่ามันไปให้ได้ เพื่ออนาคตอันสวยงาม ฉันใช้ชีวิตเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งการสอบใกล้เข้ามาถึง
“หนูพร้อมสำหรับการสอบมั๊ยคะตะวัน” อาจารย์สุคลถามขึ้นในวันหนึ่ง
“พร้อมค่ะ” ฉันตอบอย่างมั่นใจ แม้ลึกๆจะกังวลอยู่บ้างก็ตาม
“แล้วเวลาสอบหนูต้องทำยังไงบ้างคะ” ฉันนิ่งคิดไปครู่
“อืม...ขออาจารย์สักคนมาช่วยอ่านและกาข้อสอบให้หนูหน่อยได้มั๊ยคะ คือหนูไม่ได้หมายความว่าจะให้อาจารย์ช่วยทำข้อสอบให้นะคะ แค่อ่านและเขียนคำตอบให้หนู โดยหนูจะเป็นคนบอกคำตอบเองค่ะ” ฉันรีบชิงอธิบาย เพราะเกรงอาจารย์เข้าใจผิด
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ” อาจารย์สุคลเอ่ยยิ้มๆ หลายเดือนมานี้ลูกศิษย์ตัวน้อยเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก เด็กหญิงดูมีความมั่นใจ และกล้าแสดงออกมากขึ้น
“ครูขอให้หนูโชคดีในการสอบนะคะ” ฉันยิ้มรับให้กับคำพูดนั้น
...
เช้าวันสอบ ฉันแต่งกายชุดนักเรียนเรียบร้อย ก่อนออกจากบ้านมาด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น ฉันทำข้อสอบด้วยความตั้งใจ และผลที่ตอบกลับมาก็มิได้ทำให้ผิดหวังเลย ฉันทำข้อสอบได้คะแนนสูงสุดในหลายวิชา สร้างความแปลกใจให้กับบรรดาอาจารย์และเพื่อนๆเป็นอันมาก และคนที่ดีใจยิ่งกว่าคือ พ่อและแม่ของฉันนั่นเอง
“เก่งมากตะวัน พ่อดีใจด้วยจริงๆ”
“เราภูมิใจในตัวหนูนะ” คำพูดของบิดามารดาดุจน้ำทิพย์ฉะโลมใจให้ชุ่มชื่น ในที่สุดเราก็ทำได้ และจะทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป ต่อให้อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ตาม
...
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันเติบโตขึ้นตามกาลที่เลยผ่าน ชีวิตวนเวียนอยู่กับบ้านแล้วก็โรงเรียนเรื่อยมา กระทั่งถึงการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมอปลาย ฉันทำคะแนนได้ดีพอสมควร จนสามารถเข้าศึกษาต่อระดับชั้นม. ๔ ได้ในแผนการเรียนภาษาจีนและภาษาอังกฤษได้ในที่สุด มาถึงตรงนี้ เราต้องเข้าใจอย่างนึงว่า ทางเลือกสำหรับผู้พิการทางสายตาไม่ได้มีมากนัก โดยมากจะเน้นไปในทางภาษาเป็นหลัก ฉันเลือกศิลป์ภาษา เอกอังกฤษจีน และฉันก็ทำได้ดังต้องการ
“เก่งมากจ้ะ เก่งจริงๆ” อาจารย์สุคลชมฉันไม่ขาดปาก
“ปีหน้าก็จะเป็นนางสาวแล้วนี่ เราหนะดีขึ้นมากเลยนะ ไม่ใช่เด็กหญิงขี้แยเหมือนเมื่อก่อน” อาจารย์สุคลเอ่ยยิ้มๆ
“แหม ครูอ่ะ คนเรามันก็ต้องพัฒนากันบ้างสิคะ ต่อไปนี้ หนูจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆอีกแล้วค่ะ” ฉันพูดด้วยความมั่นใจ
“จ้า คนเก่ง แล้วครูจะคอยดู” สัมผัสได้ถึงรอยยิ้มยินดีที่อาจารย์มอบให้ จึงยิ้มตอบกลับไปด้วยความสดใสไม่แพ้กัน
...
วันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียน มีการเลี้ยงฉลองให้กับนักเรียนที่จบการศึกษาในระดับชั้นม. ต้น อาจารย์หลายท่านต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับนักเรียน ฉันนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ทุกคนต่างคุยกันอย่างออกรสโดยมีฉันนั่งฟังนิ่งๆ ไม่มีใครให้ความสนใจฉันสักเท่าใด ซึ่งฉันก็มิได้เดือดร้อนอะไรแล้วในยามนั้น ก่อนที่จะต้องแยกย้ายกันไป ทุกคนที่เคยเรียนด้วยกันมาตลอดสามปี บางคนเรียนต่อที่นี่ บางคนย้ายไปที่อื่น เส้นทางชีวิตของแต่ละคนยังคงต้องดำเนินต่อไปข้างหน้า รวมถึงเส้นทางชีวิตของฉันก็เช่นกัน ฉันหวังเหลือเกินว่า เมื่อเลื่อนชั้นเข้าสู่ม. ปลาย อะไรๆมันคงดีกว่านี้ ฉันอาจเจออาจารย์ที่เข้าใจ อาจเจอเพื่อนที่ดี และพร้อมยืนอยู่เคียงข้างกันก็เป็นได้
...


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่ห้าค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 30 พฤษภาคม 2014, 02:31:PM
        ตอนที่ 5 กล้าเผชิญ
    ช่วงปิดเทอมฉันไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นคอมพิวเตอร์ ไม่ก็อ่านหนังสือหาความรู้ใส่ตัวบ้างในบางคราว วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของฉัน ใจนึกภาวนาให้เปิดเทอมเร็วๆ เพราะไม่อยากเป็นอยู่แบบนี้ อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ตอนเปิดเทอมต้องเรียนหนักกว่าคนอื่นเป็นหลายเท่า เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ภาวนาให้ปิดเทอมโดยเร็ว แต่พอถึงวันนั้นเข้าจริงกลับไม่ชอบใจซะอย่างนั้น เมื่อวันแรกของการเปิดภาคเรียนมาถึง ฉันแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบนักเรียนม. ปลาย อดตื่นเต้นนิดๆไม่ได้ แต่ไม่มากเท่าตอนขึ้นม. ๑ พ่อส่งฉันที่หน้าโรงเรียนแล้วอวยพรให้โชคดี ฉันเดินเข้าไปในโรงเรียนอย่างมั่นใจ ด้วยว่าคุ้นชินกับสถานที่ต่างๆเป็นอันดีแล้ว จึงไม่ค่อยลำบากในการเดินทาง ฉันเดินไปที่หน้าเสาธงเพื่อเตรียมตัวเข้าแถว แต่ปัญหาคือ ไม่รู้ว่าแถวของนักเรียนชั้นม. ๔ อยู่ตรงไหน ยินเสียงคนรอบข้างมากมายเต็มไปหมด ‘ถามสิ ต้องถาม’ ‘แต่เราไม่กล้านี่นา’ ‘ถ้าแค่นี้ยังไม่กล้า แล้วต่อไปจะทำอะไรได้’ ยืนเถียงกับตัวเองอยู่ครู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ ‘เอาวะ เป็นไงเป็นกัน’ ฉันเดินเข้าไปหาคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“โทษนะคะ แถวของนักเรียนชั้นมอสี่ไปทางไหนคะ” เสียงคนกลุ่มนั้นที่กำลังคุยกันอยู่เงียบลงทันที สัมผัสได้ว่าพวกเขากำลังมองมา ก่อนหนึ่งในนั้นจะเอ่ยขึ้น
“ทางโน้นครับ” เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย ถ้าให้เดานะ เขาหน้าจะอยู่มอต้น เพราะเสียงยังไม่แตกหนุ่มมากนัก การฟังเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตานั้นสามารถบอกได้ว่าใครอยู่ในวัยไหน แม้แต่การสัมผัสมือหรือแขนก็สามารถบอกถึงรูปร่างของคนๆนั้นได้ แต่ถ้าจะให้อธิบายถึงขั้นหน้าตานี้คงต้องพิจารณาเป็นรายบุกคลไป คาดว่าเด็กผู้ชายคนนั้นหน้าจะชี้ไปยังทิศทางดังกล่าว ฉันยิ้ม ก่อนอธิบายให้เขาเข้าใจ
“พี่มองไม่เห็นค่ะ น้องช่วยพาไปทีนะคะ” เขานิ่งไปครู่
“คะครับๆ” เด็กผู้ชายคนนั้นเอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาทำท่าจะจับปลายไม้เท้าแล้วพาเดินไป จนฉันต้องรีบเอ่ยขึ้นซะก่อน
“ขอพี่จับข้อศอกน้องได้มั๊ยคะ” ลองนึกภาพตามดูสิว่า ถ้าเด็กคนนั้นจับปลายไม้เท้า ในขณะที่ฉันถือด้ามจับอยู่ หากเดินกันไปแบบนั้นมันคงเป็นภาพที่ตลกพิลึก เด็กน้อยยื่นแขนมาให้ก่อนพาเดินไปที่แถวอย่างเกร็งๆ
“ถึงแล้วครับ”
“ขอบใจมากจ้า” ฉันเอ่ยพรางยิ้มให้ เด็กน้อยบอกลาแล้วเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนตามเดิม
...
วันแรกของการเปิดเทอมไม่ต่างอะไรกับมอหนึ่งมากนัก อาจารย์ประจำชั้นท่านใหม่แนะนำตัว จากนั้นจึงเปิดโอกาศให้ทุกคนทำความรู้จักกัน เพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้พิการทางสายตามาก่อนต่างเข้ามาพูดคุย และถามเรื่องราวสารพัด ซึ่งไม่พ้นคำถามเดิมๆ ฉันตอบคำถามเหล่านั้นไปเรื่อยๆ ไม่สงสัยกับอาการแปลกใจของเพื่อนๆอีก เพราะชินเสียแล้ว ที่ผ่านมาต้องตอบคำถามของผู้ไม่รู้วันละหลายร้อยครั้ง และคงเป็นเช่นนี้เรื่อยไป จึงไม่อยากคิดอะไรให้มากความ วิชาแรกที่พวกเราได้เรียนในวันนี้คือ ภาษาจีน อาจารย์เขียนอธิบายตามเคย จนเวลาผ่านไปครู่ เริ่มรู้สึกว่า ขืนเรียนกันไปแบบนี้ เราคงไม่เข้าใจเป็นแน่ ฉันลุกยืนแล้วยกมือขึ้น
“ขอโทษนะคะครูหลิว คือหนูมองไม่เห็นค่ะ เวลาสอนครูช่วยอธิบายทุกประโยคได้มั๊ยคะ หนูจะได้เข้าใจด้วย”
“อ้อ! ขอโทษทีค่ะ ครูลืมไป ครูจะอธิบายให้ฟังอีกครั้งนะคะ” อาจารย์ตอบกลับมา ฉันยิ้มให้ประมาณว่าไม่เป็นไร อาจารย์เริ่มอธิบายให้ฟังอีกครั้ง จนเข้าใจและเรียนรู้เรื่อง นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงเลือกที่จะนิ่ง และไม่อธิบายอะไร เพราะคิดเพียงว่าคนอื่นหน้าจะเข้าใจ ซึ่งความจริงนั้นผิดถนัด มุมมองความคิดของคนเราแตกต่างกัน ถ้าไม่อธิบาย ไม่ยอมเปิดใจ ใครเลยจะทราบถึงความต้องการของเรา วิชาแรกผ่านไปอย่างไม่มีปัญหา คำถามที่ว่า”ครูจะสอนหนูได้ยังไง”ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต่างตรงที่ว่า คราวนี้ ฉันอธิบายให้อาจารย์แต่ละท่านฟังโดยละเอียด
“คนมองไม่เห็น มักต้องอาศัยการฟังเป็นหลัก เพียงครูอธิบายในสิ่งที่สอน หนูจะสามารถเข้าใจ และเรียนรู้ได้เองค่ะ” ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านต่างเข้าใจ และปฏิบัติตามโดยดี แต่วิชาบางอย่างเช่นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่มีความซับซ้อน อาจต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ ในส่วนนี้ทำให้ฉันเรียนตามเพื่อนๆไม่ทัน จึงอาศัยเวลาว่างไปหาอาจารย์เพื่อทบทวน ตกเย็นก็ไปหาพี่ๆนักศึกษาตามปกติที่เคยทำมา บางครั้งอาจส่งงานล้าช้าไปบ้าง เพราะพี่ๆนักศึกษาใช่ว่าจะมาได้ตลอด ซึ่งอาจารย์หลายท่านต่างเข้าใจในปัญหานี้ และไม่ว่าอะไร กระทั่งวันหนึ่ง ในวิชาภาษาไทย อาจารย์ให้ทุกคนเขียนกลอนสุภาพเกี่ยวกับการให้กำลังใจมาอย่างน้อยสี่บท แล้วเอามาส่งพรุ่งนี้ อาจารย์เดินมาหยุดหน้าโต๊ะฉัน ก่อนถามว่า
“หนู หนูเขียนมาให้ครูได้มั๊ยคะ”
“หนูขออนุญาตพิมพ์แล้วปริ้นส่งได้ไม๊คะ” การพิมพ์คอมพิวเตอร์สำหรับฉันนั้นไม่ยากเลย การบ้านบางอย่างที่ไม่ต้องเขียนลงในใบงาน ฉันมักใช้วิธีการพิมพ์แล้วปริ้นส่งเสมอ เพื่อช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด และเป็นการลดภาระของพี่ๆนักศึกษาไปในตัว เพราะที่พวกเขามีจิตอาสามาช่วยนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
“พิมพ์!! หนูทำยังไงคะ เอ๊ะหรือว่ามันมีคอมพิวเตอร์สำหรับคนมองไม่เห็น” อาจารย์ถามด้วยความสงสัย
“มันก็เป็นคอมพิวเตอร์แบบปกตินี่แหละค่ะ เพียงแค่ลงโปรแกรมบางอย่างเพิ่มเข้าไป มันคือโปรแกรมที่พวกเราเรียกกันว่า จอว์และตาทิพย์ ซึ่งจะมีเสียงออกมาเวลาที่เรากฎลงบนแป้นคีย์บอร์ด ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ในการใช้งานต่างๆบนเครื่องเราจะใช้แป้นคีย์บอร์ดเป็นหลักค่ะ เพราะไม่สามารถคริคเมาส์ได้” ฉันอธิบายยืดยาว
“โอ้ว! เยี่ยมไปเลย มันอ่านทุกอย่างเลยเหรอคะ” อาจารย์ถามขึ้นอีก สีหน้าประหลาดใจขีดสุด
“ใช่ค่ะ เพราะเหตุนี้หนูจึงสามารถเล่น อินเทอร์เน็ต facebook ส่ง email หรืออ่านข้อมูลตามเว็บต่างๆได้” อาจารย์ท่านนั้นอุทานออกมาอย่างอัศจรรย์ใจเป็นที่ยิ่ง มีอีกหลายเรื่องนักที่คนสายตาปกติยังไม่รู้เกี่ยวกับคนตาบอด บางคนถึงขนาดเข้าใจว่า เมื่ออยู่ในโลกมืดแล้วไม่สามารถทำอะไรได้เลย ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนส่วนมาก มักมองผู้อื่นจากมุมมองความคิดของตัวเอง การปรับเปลี่ยนมุมมองความเข้าใจของคนนั้นเป็นเรื่องยาก เชื่อแน่ว่า คนตาบอด จะต้องคอยตอบคำถามเหล่านี้จากสังคมอย่างไม่รู้จบ แต่นั่นก็เป็นทางเดียวที่จะสื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจ  ฉันส่งงานทันตามเวลาที่กำหนด บทกลอนของฉันได้รับคำชมจากอาจารย์อย่างท่วมท้น อาจารย์ให้มาอ่านบทกลอนที่หน้าชั้นเรียน เกิดความประทับใจในเสียงและสำเนียงของลูกศิษย์คนนี้เป็นอันมาก จึงเสนอให้ไปจัดรายการ และเป็นประชาสัมพันธ์ของโรงเรียน วันหนึ่งอาจารย์เกียรติศักดิ์ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็เรียกพบ
“ไหนหนูลองบอกครูมาซิครับว่าจะจัดรายการยังไง ในเมื่อมองไม่เห็น” เฮ่อ...จนแล้วจนรอดความคิดนี้ก็ยังไม่หายไปจากคนในสังคม ‘แค่ตาบอดถึงกับต้องทำอะไรไม่ได้เลยเชียวหรือ ใช้เสียงจัดนะคะ ไม่ใช่ตา’
“ทำได้ค่ะ หนูจะพิสูจน์ให้ครูเห็นเอง ครูให้โอกาสหนูนะคะ” อาจารย์เกียรติศักดิ์นิ่งไปครู่ ก่อนตอบตกลง
“แล้วครูจะคอยดู” นั่นเพียงพอแล้วสำหรับฉัน ฉันจะทำให้ทุกคนเห็นว่า เรานั้นมิได้ด้อยศักยภาพไปกว่าผู้อื่นเลย
...
มีต่อค่ะ


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ต่อตอนที่ห้าค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 30 พฤษภาคม 2014, 02:34:PM
        ตอนที่ 5 กล้าเผชิญ(ต่อ)
การจัดรายการของฉันเป็นที่หน้าประทับใจของเหล่าอาจารย์เป็นอันมาก ฉันเริ่มเป็นที่รู้จักในโรงเรียนมากขึ้น แรกๆจัดเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป แต่พอคล่องตัวมากขึ้นจึงหันมาจัดรายการธรรมะยามเช้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนถนัด จนย่างเข้าสู่ปีที่สองของการเรียนในระดับมอปลายฉันได้พิสูจน์ให้ใครหลายคนเชื่อมั่นในศักยภาพของฉันมากขึ้น จึงทำให้มีโอกาสไปแข่งขันทักษะวิชาการในหลายๆด้าน ครั้งหนึ่ง อาจารย์ส่งให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันพูดสุนทรพจน์ภาษาจีน
“โรงเรียนให้โอกาสหนูแล้วนะคะ ช่วงนี้ต้องหมั่นฝึกซ้อมทุกวัน ความหวังของโรงเรียนอยู่ในมือของหนู” อาจารย์ประจำวิชาภาษาจีนพูดขึ้นหลังจากแจ้งให้ทราบเรื่องการแข่งขัน
“หนูจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ” ตอบไปอย่างนั้นทั้งที่ใจยังกังวล อาจารย์พูดกับฉันอีกสองสามประโยคก่อนเดินจากไป หลังเลิกเรียน ฉันไม่ได้เดินไปทำการบ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่กลับเดินเลี้ยวไปทางห้องพักครูเพื่อหาอาจารย์สุคล เล่าเรื่องการแข่งขันให้ฟัง อาจารย์สุคลร่วมแสดงความยินดีเช่นทุกครั้ง
“นับว่าเป็นข่าวดีมากเลย ครูดีใจด้วยจริงๆ”
“จะ จะไหวเหรอคะครู มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลย แล้วหนูก็เป็นผู้พิการทางสายตาคนเดียวที่แข่งขันด้วย” ฉันอดหวั่นใจนิดๆไม่ได้ ถ้าแพ้หละจะทำยังไง โอกาสที่โรงเรียนมอบให้จะถูกลดทอนไปรึเปล่า อาจารย์สุคลมองลูกศิษย์อยู่ครู่ก่อนเลื่อนมือมาจับมือทั้งสองข้างของเด็กสาวเอาไว้ ถ่ายทอดกำลังใจและความเชื่อมั่นเต็มที่
“เราอย่ากลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสิคะ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ถือว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว ยังมีคนอีกมากที่ไม่ได้รับโอกาสดีๆอย่างหนู ครูเชื่อค่ะว่าคนอย่างหนูมีศักยภาพพอ” สัมผัสถึงกำลังใจและความเชื่อมั่นจากอาจารย์ที่ส่งผ่านมาอย่างเต็มเปี่ยม ความกังวลที่มีมาหายไปจนสิ้น
“ขอบคุณมากค่ะครู หนูเข้าใจแล้ว หนูจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” อาจารย์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“งั้น หนูไปก่อนนะคะ วันนี้มีการบ้านเพียบเลย เดี๋ยวไปแย่งพี่นักศึกษาไม่ทัน” ฉันพูดติดตลกก่อนยกมือไหว้ อาจารย์เดินมาส่งที่หน้าห้องแล้วเอ่ยลาเช่นกัน
“เดินดีๆนะจ๊ะ”
“สบายมากค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง หนูเก่งอยู่แล้ววว” ฉันเอ่ยยิ้มๆก่อนเดินออกไปด้วยใจปลอดโปร่ง
...
ทุกเย็นหลังเลิกเรียน ก่อนเดินไปทำการบ้าน ฉันใช้เวลาในการฝึกพูดภาษาจีนกับอาจารย์หลิว ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนจนสามารถพูดได้คร่องลิ้น และพร้อมสำหรับการแข่งขัน วันรุ่งขึ้น อาจารย์หลิวพามาที่สนามแข่งขัน อาจารย์ให้นั่งรอตรงเก้าอี้จนกว่าพิธีกรจะเรียกชื่อ ซึ่งในระหว่างนั้นห้ามมิให้อาจารย์อยู่กับผู้แข่งขันเป็นอันขาด
“ไม่ต้องกลัวนะคะ ทำให้ดีที่สุด ครูเชื่อว่าหนูทำได้” อาจารย์หลิวพูดกับฉันก่อนเดินออกไป ตอนนี้มีเพียงผู้เข้าแข่งขันเท่านั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงสภาพกดดันที่แผ่กระจายอยู่รอบตัว ในใจตื่นเต้นมาก ซึ่งทุกคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เสียงพิธีกรกล่าวสวัสดี แล้วเรียกชื่อผู้เข้าแข่งขันตามลำดับ มีผู้ร่วมแข่งขันประมาณ ๒๐ กว่าคน ฉันอยู่ในลำดับต้นๆ คนที่หนึ่ง สอง สาม ผ่านไปอย่างไม่มีปัญหา และ...
“ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไป นางสาว สุวีรยา งามยิ่งครับ” เมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง ฉันลุกขึ้นช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความตื่นเต้น ‘จากนี้ เป็นไงเป็นกัน’ เอ๊ะ! ไม่เห็นมีใครพาฉันไปที่หน้าเวทีเลยหละหรือว่า...
“ขอโทษค่ะ พอดีหนูมองไม่เห็น เลยไม่รู้ว่าต้องยืนพูดตรงไหน ใครก็ได้ช่วยพาไปทีนะคะ” สิ้นประโยค แว่วเสียงกระซิบดังมาให้ได้ยินเบาๆจากทุกทิศทุกทาง ประสาทหูของผู้ไม่มีดวงตานั้น ดีเสียยิ่งกว่าคนสายตาปกติซะอีก นั่นไง! ทุกคนไม่รู้จริงๆด้วยว่าเราตาบอด
“นั่นเค้าตาบอดเหรอ บอดแล้วมาแข่งขันได้ไง โอ๊ยไม่อยากเชื่อเลย” คำพูดทำนองนี้เสมือนแผ่นเพลงที่เปิดซ้ำไปซ้ำมา ‘ว้า! เป็นซะอย่างนี้ เห็นคนตาบอดเป็นของแปลกไปได้ หึๆ เดี๋ยวแม่จะพ่นภาษาจีนให้กระจายไปเลย คอยดูสิ’ ความคิดดังกล่าวทำให้อาการตื่นเต้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง ใครคนหนึ่งซึ่งคาดว่าหน้าจะเป็นพิธีกรพาฉันมาหยุดยืนอยู่หน้าเวทีก่อนส่งไมโครโฟนให้
“เริ่มได้ครับ” ฉันพูดตามที่ได้ซ้อมมาเป็นแรมเดือนโดยไม่ผิดเลยสักคำ สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอันมาก เมื่อพูดจบอาจารย์หลิวเดินมารับลงจากเวธี
“เก่งมากค่ะ รู้มั๊ยคณะกรรมการมองหนูด้วยความชื่นชมมาก ไม่เสียแรงเลยที่เลือกหนูมาเป็นตัวแทน” ฉันยิ้มให้ก่อนเอ่ยว่า
“ผลยังไม่ออกเลยค่ะครู อาจจะแพ้ก็ได้ แต่ถ้าแพ้จริงๆหนูก็ไม่เสียใจหรอก เพราะหนูทำดีที่สุดแล้ว” ฉันเอ่ยจากใจจริง ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญสำหรับฉันอีกต่อไป เพราะวันนี้ ฉันได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ การได้พิสูจน์ความสามารถของคนตาบอดให้ผู้อื่นรับรู้ ไม่ใช่ทำเพราะต้องการอวดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ แต่ทำเพราะต้องการให้คนผู้มีในตาปกติรับรู้ว่า แท้ที่จริงนั้น ผู้พิการทางสายตาก็มิได้ด้อยศักยภาพไปกว่าผู้อื่นเลย
...
มีอะไรติชมกันได้ค่ะ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 31 พฤษภาคม 2014, 08:24:PM

ได้เห็นความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง มีจิตใจที่แข็งแกร่งที่จะเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และเห็นอัจฉริยะในตัวของหนูแล้วขอชื่นชมมาก จ้า emo_28

ลุงไพร

 emo_95


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ตอนที่ ๖ ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 10 มิถุนายน 2014, 09:37:AM
     ตอนที่ 6 สอบผ่านพานพบ
    ในที่สุด ฉันก็มิได้ทำให้อาจารย์ผิดหวังเลย ผลการแข่งขันเป็นที่หน้าพอใจ ฉันนำชื่อเสียงมาสู่โรงเรียน สร้างความภูมิใจให้กับอาจารย์ที่สอนเป็นอันมาก นอกจากนี้แล้ว ยังได้แข่งขันการเล่านิทานระดับประเทศ ตอบปัญหาธรรมะระดับประเทศ ได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแต่ละครั้งสร้างชื่อเสียงให้แก่โรงเรียนไม่แพ้กัน กระทั่งเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ในช่วงเวลานั้นฉันเลิกทำกิจกรรมทุกชนิด หันมาทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการติวสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ช่วงเวลานั้นทุกคนต่างเร่งติวหนังสือ ไม่มีใครสนใจใคร เพราะต่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ความใฝ่ฝันที่อยากศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย แม้ฉันจะอ่านหนังสือหนักมากเพียงใด แต่ยังคงรักษาเกรดไว้ในระดับดีเยี่ยมเช่นเดิม ฉันต้องผ่านการสอบมากมาย ซึ่งแต่ละครั้งนั้นยากลำบากยิ่ง คนตาดีที่บ่นว่าเหนื่อยๆๆ ขอจงรู้ไว้เถอะว่า ผู้พิการทางสายตานั้นหนักหนากว่าพวกเขาหลายเท่านัก เมื่อการสอบเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยผ่านไป ตอนนี้ ทุกคนอยู่ในช่วงรอลุ้นผลอย่างเดียว เชื่อว่าใครหลายคนคงตกอยู่ในสภาวะกดดันไม่ต่างกัน เป็นเวลาที่ทรมานที่สุดในความรู้สึกของนักเรียนม. ๖ และเมื่อวันนั้นมาถึง ทุกคนต่างเฝ้าดูผลการสอบด้วยใจจดจ่อ หลายคนเปิดคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค และโทรศัพท์ดูผลทางเว็บกันให้วุ่น ฉันคว้าโน๊ตบุ๊คที่ผ่านการลงโปรแกรมเสียงมาเรียบร้อยออกมาจากกระเป๋า จัดการเปิดอย่างเร่งด่วน ใจระทึกไปกับผลสอบที่จะออกมา ถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คิด แน่นอน เราต้องเสียใจเป็นที่สุด แต่หากเวลานั้นมาถึงเราก็ต้องยอมรับความจริง แม้มันจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม ความหวังเล็กๆที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจพลันส่องประกายกล้าขึ้นมาอีกครั้ง ฉันตะลึงไปชั่วขณะกับสิ่งที่รับรู้ พอได้สติ ฉันปิดโน๊ตบุ๊คยัดใส่กระเป๋าแล้วพรวดพราดออกไปจากห้องเรียนทันที
 “ครูสุคลขาครูสุคล” ฉันเดินเร็วจนแทบจะเป็นวิ่งพรางส่งเสียงมาแต่ไกลเมื่อใกล้ถึงห้องพักครู ความยินดีอัดแน่นเต็มหัวใจ
“ช้าๆลูก ระวังจะชนเก้าอี้” อาจารย์สุคลพูดขึ้นเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามา ไม่ทันขาดคำ เท้าของฉันก็เตะเก้าอี้เข้าอย่างจัง
“โอย!!” ฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“เป็นไงบ้างลูก บอกแล้วไงว่าให้เดินช้าๆ” อาจารย์สุคลพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง ฉันยิ้มหน้าเป็นให้อาจารย์ พรางหัวเราะแหะๆ
“แหม ก็หนูอยากมาหาครูเร็วๆนี่คะ แล้วเรื่องที่หนูเดินชนมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ครูไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ หนูไม่เป็นไรจริงๆ”
“แต่หนูก็ต้องระวังตัวให้ดีกว่านี้นะลูก เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาเราจะแย่” อาจารย์สุคลยังมิวายสัมทับ
“ค่ะ” ฉันรับคำเสียงอ่อย อาจารย์สุคลประคองฉันมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ฉันค่อยๆพับไม้เท้าเก็บใส่กระเป๋า
“แล้วที่รีบมาหาครูเนี่ย มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
“หนูสอบติดแล้วค่ะครู หนูได้เรียนต่อในคณะและมหาวิทยาลัยที่หนูต้องการแล้วค่ะ” น้ำเสียงของฉันเปลี่ยนเป็นเริงร่าขึ้นมาทันที
“จริงเหรอลูก ครูดีใจด้วยนะ ครูเชื่อว่าหนูต้องทำได้ แล้วหนูก็ทำได้จริงๆ” อาจารย์สุคลมองลูกศิษย์ด้วยความภูมิใจเป็นที่ยิ่ง ในที่สุด ลูกศิษย์ตัวน้อยก็ทำได้ ไม่เสียแรงเลยที่เฝ้าสั่งสอนเป็นอย่างดี
“เพราะคำสอนของครูนั่นแหละค่ะที่ทำให้หนูมีกำลังใจก้าวเดินต่อ ไม่มีอะไรที่ยากเกินความพยายาม ขอบคุณจริงๆค่ะ” ฉันเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง หากไม่มีอาจารย์ในวันนั้น คงไม่มีฉันในวันนี้
“เพราะความพยายามของหนูด้วยจ่ะ ถึงทำให้หนูมีวันนี้ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นนะลูก หนูยังต้องพบเจออะไรอีกมากมาย ครูจะคอยเป็นกำลังใจให้หนูต่อไปนะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากค่ะครู หนูก็จะสู้ต่อไปค่ะ”
“ทางมหาลัยเค้านัดสัมภาษณ์เมื่อไร แล้วครอบครัวเรารู้เรื่องนี้รึยังจ๊ะ”
“ยังค่ะ พอหนูรู้ก็วิ่งมาบอกครูเป็นคนแรกเลย ส่วนเรื่องนัดสัมภาษณ์อีกสามวันค่ะ ตื่นเต้น”
“ไม่ต้องกลัวนะ ลูกศิษย์ครูเก่งอยู่แล้ว” อาจารย์สุคลยกมือขึ้นดูนาฬิกา
“แล้วหนูไม่ขึ้นไปที่หอประชุมเหรอจ๊ะ ตอนนี้เค้ากำลังจะเลี้ยงฉลองให้นักเรียนมอ ๖ กัน”
“ไปค่ะ แต่หนูอยากมาหาครูก่อน ช้านิดช้าหน่อยคงไม่เป็นไรมั้งคะ”
“งั้นรีบไปเถอะ ครูเครียงานอีกครู่แล้วจะตามไป เดี๋ยวไม่ทันกินของอร่อยๆน้า” อาจารย์สุคลเอ่ยยิ้มๆ
“ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ” ฉันยกมือไหว้อย่างสวยงาม มือควานหาไม้เท้าในกระเป๋า ก่อนกลางออกพลึ่บ แล้วเดินกะเผลกเล็กน้อยไปที่หน้าประตู เนื่องจากเท้ายังไม่หายเจ็บดี แต่ก่อนที่ฉันจะผลักประตูออกไป ใครคนหนึ่งก็ผลักประตูเข้ามาซะก่อน แรงปะทะทำให้ฉันล้มหงายหลังทันที
“ว้าย!” อาจารย์สุคลร้องขึ้นด้วยความตกใจ ใครคนนั้นก็ไม่ต่างกัน เขายืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก อาจารย์สุคลได้สติเป็นคนแรก อาจารย์เดินเข้ามาหาฉันแล้วเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“หนู! หนูเป็นอะไรรึเปล่าลูก” ฉันค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นช้าๆ เดชะบุญที่เคยเรียนยูโดมาบ้างในวิชาพละ จึงรู้วิธีการเซฟตัวเองเวลาล้ม และกระเป๋านักเรียนรองรับแผ่นหลังของฉันได้เป็นอย่างดี ไม่งั้นก็คงจะแย่กว่านี้เป็นแน่ อาจารย์สุคลเข้ามาประคองไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง ได้ยินเสียงประตูปิด แล้วใครคนหนึ่งก็ก้าวมาหยุดยืนอยู่หลังเก้าอี้ที่ฉันนั่ง แต่เขาไม่เอ่ยอะไร “หนูไม่เป็นไรค่ะครู เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย กระเป๋านักเรียนกับหนังสือหลายเล่มนี่มีประโยชน์มากเลยนะคะ” ฉันพูดยิ้มๆเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อาจารย์สุคลถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พรางหันไปมองทางผู้มาใหม่ แล้วเอ่ยเสียงตำหนิ
“จะขึ้นมาทำไมไม่บอกป้า แล้วนี่อะไร เปิดประตูเข้ามาทำไมไม่รู้จักเคาะซะก่อน” สิทธิศักดิ์มองไปยังผู้เป็นป้า ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม
“แหม ก็ผมอยากมาเซอร์ไพป้านี่ครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง” ฉันได้ยินเสียงของเขาก็รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย ‘เสียงหล่อซะด้วยแฮะ เค้าจะหน้าตาเป็นยังไงน้า’ แต่ความคิดของฉันต้องหยุดชะงักลงเพียงเท่านั้นเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“แล้วใยนี่ก็เซ่อซ่ายืนอยู่หน้าประตู กระจกใสขนาดนั้น มองไม่เห็นเลยรึไงว่ามีคนมา ตาบอดรึเปล่าเนี่ย” ท้ายเสียงเจือแววขุ่นมัวนิดๆ รู้ตัวอยู่หรอกว่าผิด แต่ก็อดไม่ได้ ก็ใยนี่ดันไม่ดูตาม้าตาเรือเองนี่หว่า
“ตาสิทธิ์!” อาจารย์สุคลพูดขึ้นอย่างตกใจ เธอเป็นห่วงความรู้สึกของตะวัน เด็กน้อยจะเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินคำพูดของหลานชายเธอ อาจารย์เดินเข้ามาจับมือฉัน
“ตะวัน” ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอาจารย์ผ่านทางน้ำเสียง นั่นทำให้ฉันซึ้งใจมาก ฉันยิ้มให้อาจารย์อย่างอ่อนโยน ประมานว่าไม่เป็นไร แวบแรกที่ได้ยินประโยคนี้ก็สะเทือนใจนิดๆ แต่พอวินาทีต่อมาก็สามารถทำใจให้เป็นปกติได้ หกปีที่เลยผ่านทำให้คุ้นชินกับคำว่า ’ตาบอด’ มากขึ้น ฉันลุกขึ้นหันไปทางเสียงของเขาที่ได้ยินเมื่อครู่ แล้วเอ่ยอย่างชัดท่อยชัดคำ
“ใช่ค่ะ ฉันตาบอด” ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจ เด็กสาวคนนี้นะหรือตาบอด เขาไม่อยากจะเชื่อ เธอดูไม่เหมือนคนตาบอดเลย ใบหน้ารูปไข่ ล้อมกรอบด้วยผมยาวดำสลวยที่รวบไว้ด้านหลัง ดวงตาสีนิลกลมโต เหนือขึ้นไปคือคิ้วเรียงเส้นสวย รับกันได้กับจมูกที่แม้ไม่โด่งนักแต่ก็งามสมตัว ริมฝีปากสีชมพูได้รูป แต่พอเขาเพ่งมองเธอชัดๆก็เห็นจะจริงดังว่า ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาในใจ เขาอยากจะขอโทษเธอ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ทุกครั้งเวลาทำอะไรผิด เขามักจะแสดงความขอโทษด้วยการกระทำเสมอ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเอ่ยคำว่า ’ขอโทษ’ กับใคร เขาจึงเลือกที่จะนิ่งเสีย ‘เอาเป็นว่า ฉันขอโทษเธอในใจก็แล้วกันนะ ใยตาบอดหน้าสวย’
มีต่อค่ะ


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ (ต่อตอนที่ ๖ ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 10 มิถุนายน 2014, 09:42:AM
ฉันยืนนิ่ง รอฟังว่าเขาจะเอ่ยอะไร แต่แล้วก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา แค่คำขอโทษนี่มันพูดยากมากนักหรือไง ฉันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘ครูสุคลขา งานนี้หนูขอละกันนะคะ’ ฉันยื่นมือทั้งสองข้างออกไป
“ขอมือหน่อยค่ะ” ชายหนุ่มมีท่าทีงงๆ แต่ก็ยอมยื่นมือให้เด็กสาวตรงหน้าโดยดี นี่เธอจะมาไม้ไหนกันแน่ เธอจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ แล้วเขยิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้น มือของเธอค่อยๆไล้ไปตามต้นแขน หัวไหล่ แล้วก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้า นั่นทำให้เขายิ่งงงหนัก จึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้
“นั่นเธอจะทำอะไร” ฉันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่กวนประสาทสุดๆ
“ก็สัมผัสใบหน้าคุณไงคะ ต่อไป เวลาที่ฉันพบใคร จะได้บอกเค้าได้ว่า คิ้ว ตา จมูก แก้ม คาง แล้วก็ปากแบบนี้” ฉันใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากของเขา
“ไม่ควรคบอย่างยิ่ง” พูดจบฉันก็ถอยห่างเขาทันที รอยยิ้มแห่งความสมหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูซิว่าคราวนี้ ตานี่จะว่ายังไง
“นี่เธอ!” ชายหนุ่มโมโห ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนึกขำเด็กสาวตรงหน้า ดูเอาเถอะ ในที่สุดเธอก็หาทางเอาคืนเขาจนได้  คุณป้านี่ก็ช่างกระไร นั่งดูเฉย ไม่คิดจะช่วยอะไรเลย ‘เรื่องทั้งหมด ถือว่าหายกัน’
เขาคงโกรธมาก ฉันคิดว่าจะได้ยินคำพูดอะไรแรงๆออกมาจากปากของชายผู้นี้ ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ‘นี่เราทำเกินไปรึเปล่านะ ช่างสิ ก็เค้าอยากปากเสียก่อนเองทำไมหละ ทำผิดแล้วไม่รู้จักขอโทษ เจอแบบนี้แหละสมควรแล้ว’ ฉันหันไปทางครูสุคลอีกครั้ง
“หนูไปก่อนนะคะครู เดี๋ยวขึ้นหอประชุมไม่ทัน แล้วจะพลาดของอร่อยๆอย่างครูว่า งานเลี้ยงรอหนูอยู่ค่ะ”
“อ้าว! จะไม่ทำความรู้จักหลานชายครูก่อนเหรอจ๊ะ คนที่ครูเคยเล่าให้ฟังไง” อาจารย์สุคลเอ่ยยิ้มๆ ในใจนึกทึ่งกับสิ่งที่ลูกสิษย์ตัวน้อยทำ ตะวันแข็งแกร่งขึ้นมาก นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ลูกสิษย์ตัวน้อยของเธอคงจะนั่งร้องไห้ไปแล้ว นึกแล้วก็ขำนะ คนอย่างตาสิทธิ์ มันต้องเจอแบบนี้แหละถึงจะดี
“เอาไว้วันหลังละกันนะคะครู วันนี้หนูรู้จักเค้ามามากพอแล้ว หนูไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้ครูอีกครั้ง พรางลุกขยับร่างกายไปมาเพื่อให้ทุเลาจากการเคร็ดขัดยอก อาจารย์ส่งไม้เท้าคืนให้ ฉันรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณ ก่อนเดินออกจากประตูห้องไปช้าๆ และยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตลอดทาง
...
ต้องขออภัยจริงๆค่ะที่หล้าช้า ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาเสียหลายวัน เอาบุญมาฝากทุกท่านค่ะ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 10 มิถุนายน 2014, 12:34:PM
อิอิ...มาแล้ว...พระเอกมาแล้ว

พระเอกต้องเก๊กก่อน...พ่อสอนไว้
ทำสิ่งใดผิดพลั้ง...ก็ยังแถ
โทษโน่นนั่น...นู่นนี่...ไม่มีแล-
ปัญหาแท้...เพราะเขา...น่ะเขลาเอง

พี่เปรื่อง

มาเชียร์จ้า


 emo_116




หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: สุวรรณ ที่ 11 มิถุนายน 2014, 10:35:PM
นิยายอิงชีวิตจริงของน้องเขียนได้เนียนละเอียดน่าอ่านมาก ชื่นชม
จากใจค่ะ  และขอบคุณประสบการณ์ดีๆที่น้องนำมาถ่ายทอดลงใน
นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ นะคะ (^_^)


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 12 มิถุนายน 2014, 07:31:PM
อยากเขียนในมุมมองของคนสายตาปกติบ้างไงคะ นี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้นค่ะ มันยังมีอีกเยอะ ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม^^
อิอิ...มาแล้ว...พระเอกมาแล้ว

พระเอกต้องเก๊กก่อน...พ่อสอนไว้
ทำสิ่งใดผิดพลั้ง...ก็ยังแถ
โทษโน่นนั่น...นู่นนี่...ไม่มีแล-
ปัญหาแท้...เพราะเขา...น่ะเขลาเอง

พี่เปรื่อง

มาเชียร์จ้า


 emo_116





หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 12 มิถุนายน 2014, 07:33:PM
ขอบคุณพี่สุวรรณมากค่ะที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้ ดีใจมากที่มีคนชอบ มันเป็นแรงใจอย่างดีเลยละค่ะ^^
นิยายอิงชีวิตจริงของน้องเขียนได้เนียนละเอียดน่าอ่านมาก ชื่นชม
จากใจค่ะ  และขอบคุณประสบการณ์ดีๆที่น้องนำมาถ่ายทอดลงใน
นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ นะคะ (^_^)


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ(ตอนที่๗ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 15 มิถุนายน 2014, 01:23:PM
        ตอนที่ 7 ร้านอาหารกับการพาเที่ยว
เมื่อขึ้นมาถึงหอประชุม ครูกิตติพาฉันไปนั่งเก้าอี้แถวหน้าสุด หลังจากนั้นไม่นานท่านผู้อำนวยการก็มากล่าวแสดงความยินดีกับนักเรียน และกล่าวเปิดงานเลี้ยงฉลองตามลำดับ เพื่อนๆหลายคนยิ้มแย้มทักทายเป็นอันดี ฉันยิ้มตอบพวกเขาไปเช่นกัน ยังไม่ลืมหรอกว่า พวกเขาทำกับฉันไว้ยังไงบ้าง แต่เปล่าประโยชน์จะคิด หลายปีที่เลยผ่านทำให้ใจแข็งแกร่งขึ้นมาก ฉันสามารถทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากขึ้นโดยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้น้อยลง รู้สึกเหมือนมีคนมานั่งข้างๆ พอหันไป ใครคนนั้นก็พูดขึ้นเบาๆ
“ตะวัน นี่ครูเองนะคะ จำได้รึเปล่าคะว่าใคร” ฉันยิ้มนิดๆ
“ครูนิชาภาค่ะ” อาจารย์ไม่ตอบ แต่กลับจับมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ แล้วบีบเบาๆ พรางว่า
“ที่ผ่านมาครูเคยคิดว่า ผู้พิการทางสายตายังไงก็เป็นผู้พิการอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่จะเรียนร่วมกับคนปกติได้ แต่เพราะหนู หนูเป็นคนลบอคติที่มีอยู่ในใจครูให้หมดไป วันนี้ครูได้รู้แล้วว่า สิ่งที่ครูคิดนั้นผิดมาตลอด ในที่สุดหนูก็ทำได้ และดีกว่าใครหลายคนที่มีสายตาปกติซะอีก” ฉันตื้นตันในคำพูดของอาจารย์เป็นอันมาก ไม่ใช่ดีใจที่สามารถเอาชนะคนตาดีได้ แต่ดีใจที่อย่างน้อย ก็มีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของผู้พิการ ว่ามิได้น้อยหน้าไปกว่าผู้ใดเลย ฉันยิ้มให้ครูนิชาภาอย่างเปิดเผย
“ขอบคุณจริงๆนะคะ ขอบคุณ” ครูนิชาภาคลายมือออกช้าๆ แล้วนั่งข้างๆฉันอยู่ตรงนั้น
...
ช่วงท้ายของงานเลี้ยงใกล้เข้ามาถึง ครูเกียรติศักดิ์ผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนเดินขึ้นไปบนเวที แล้วประกาศใส่ไมโครโฟนเสียงดังก้องไปทั่วหอประชุม
“นักเรียนทุกคน เงียบก่อนครับ” หลายเสียงที่กำลังคุยกันค่อยๆเงียบลงช้าๆ แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ
เสียงครูเกียรติศักดิ์พูดต่อมาว่า
“หลังจากที่นักเรียนทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมามากแล้ว ในที่สุดก็มีวันนี้ วันที่นักเรียนทุกคนจะได้ก้าวต่อไปสู่อนาคต
ณ โอกาสนี้ ครูอยากให้ใครคนนึง ได้ขึ้นมาพูดอะไรซักเล็กน้อย เชื่อว่านักเรียนหลายคนหน้าจะรู้จักดี เธอเป็นเด็กพิเศษซึ่งมากด้วยความสามารถ ขอเชิญนางสาวสุวีรยา งามยิ่งครับ” ‘อะไรกันนี่! เป็นฉันเหรอ แย่ละสิ จะพูดอะไรดีหละ’
“ไม่ต้องกังวลนะคะ พูดอะไรก็ได้ที่หนูอยากจะพูด เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจ” ครูนิชาภาที่เห็นสีหน้ากังวลของฉันกระซิบอย่างอ่อนโยน ครูพาฉันขึ้นไปบนเวธี จากนั้นครูเกียรติศักดิ์ก็ยื่นไมโครโฟนให้ ฉันสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความตื่นเต้น ‘เอาวะ เป็นไงเป็นกัน’
“ดิฉันไม่เคยเข้าใจความหมายของคำว่าตาบอดมาก่อนเลยในชีวิต เพราะสังคมที่จากมา ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่างระหว่างกัน จนก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นสังคมที่เราไม่เคยรู้จัก ช่องว่างระหว่างผู้พิการจึงเห็นชัดเจนมากขึ้น ถึงกระนั้น ก็มิได้สิ้นหวังแต่อย่างใด กลับเป็นพลังอันแรงกล้าที่จะนำพาตัวเองไปถึงฝันที่รอคอย แม้ดวงตามิอาจมองเห็นได้ก็ตาม ทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ดิฉันก็เช่นเดียวกัน วันนี้ ดิฉันได้มาถึงจุดหมายในระดับนึงแล้ว ก้าวต่อไปในชีวิต ไม่ว่าต้องพบเจออะไร ยากเย็นแค่ไหน ดิฉันจะข้ามผ่านมันไปให้ได้ ด้วยแรงกายและแรงใจทั้งหมดที่มี
ณ โอกาสนี้ ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านและเพื่อนๆทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด และคนนึงที่ดิฉันจะลืมไม่ได้เลยคือ อาจารย์สุคลค่ะ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉันแย้มยิ้มด้วยความสุข
“ขอบคุณอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำดีๆ อาจารย์เคยบอกว่า ‘คนทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง’ ดิฉันใช้คำพูดนี้เป็นแรงบรรดาลใจ และอยากบอกอาจารย์เช่นกันว่า แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่หนูจะใช้หัวใจและศักยภาพของตัวเองที่มีอยู่นี้ก้าวไปสู่ความสำเร็จให้ได้ค่ะ” เมื่อสิ้นประโยค เสียงปรบมือดังไปทั่วหอประชุม ช่างภาพประจำโรงเรียนกฎถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก ฉันยิ้ม ยิ้ม และยิ้มให้กับทุกคน อาจารย์และเพื่อนๆต่างพากันมาถ่ายรูปกับฉันมากมาย ฉันอยากไปหาอาจารย์สุคล แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์อยู่ตรงไหน ครูกิตติเป็นคนพาฉันลงจากเวที จึงมีโอกาสทำในสิ่งที่ต้องการ และฉันก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้มีพระคุณยิ่งอีกครั้ง ฉันคุกเข่าประนมมือก้มลงกราบที่ตัก พรางเอ่ยเสียงเคลือ
“ขอบคุณมากนะคะที่ทำให้หนูมีวันนี้” อาจารย์สุคลยกมือลูบศีรษะฉันแผ่วเบา ความตื้นตันอัดแน่นเต็มหัวใจ ฉันเงยหน้าแล้วลุกขึ้นช้าๆ ยิ้มให้อาจารย์อย่างสดใสที่สุด สัมผัสได้ถึงความยินดีและความตื้นตันที่มีอยู่เต็มหัวใจ โดยอาจารย์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร อีกผู้หนึ่งที่มองมายังเด็กสาวด้วยความชื่นชมนั่นก็คือ สิทธิศักดิ์ ชายหนุ่มแอบตามผู้เป็นป้ามาเงียบๆ โดยหวังจะได้พบเด็กสาวอีกครั้ง และมาทันได้ยินในสิ่งที่สาวน้อยเอ่ยเมื่อครู่พอดี เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว หากเขาเป็นแบบเธอ ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้อย่างเธอรึเปล่า บางทีเขาอาจจะท้อแท้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตไปเลยก็เป็นได้ เชื่อว่ากว่าเธอจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้น มิใช่เรื่องง่ายเลย ชายหนุ่มเคยช่วยเหลือผู้พิการทางสายตามาอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครที่เหมือนเธอ มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นป้าเอ่ยกับผู้ที่อยู่ในความคิดคำนึง
“วันนี้อย่าเพิ่งรีบกลับบ้านเลยนะ ไปกินข้าวด้วยกัน ครูอยากเลี้ยงฉลองว่าที่นักศึกษาคนใหม่” ฉันลังเล เกรงจะสร้างภาระต่ออาจารย์ แม้สามารถไปไหนมาไหนเองได้แล้วก็จริง แต่เรื่องการออกนอกสถานที่ยังต้องอาศัยผู้อื่นอยู่
“แล้วมันจะไม่ลำบากครูเหรอคะ”
“โอ๊ย ลำบ่งลำบากอะไรกัน ครูจะยินดีด้วยซ้ำ ไปด้วยกันนะจ๊ะ เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้วครูไปส่งที่บ้านเอง” อาจารย์สุคลรีบเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นแววลังเลในดวงตาเด็กสาว ฉันไม่อยากให้อาจารย์เสียน้ำใจ จึงเอ่ยรับคำอย่างเกรงๆ
“ค่ะ” อาจารย์สุคลยิ้มยินดี พรางยื่นแขนให้ฉันแตะข้อสอก กวักมือให้ผู้เป็นหลานเดินตามมา แล้วพาเดินออกไปจากตรงนั้น โดยมีสิทธิศักดิ์เดินตามหลังไปยิ้มๆ
...
มีต่อค่ะ


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ(ต่อตอนที่๗ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 15 มิถุนายน 2014, 01:26:PM
        ตอนที่ 7 ร้านอาหารกับการพาเที่ยว(ต่อ)
พวกเรามาถึงร้านอาหารใจกลางเมืองเชียงใหม่ โดยมีนายปากเสีย เอ้อย! นายสิทธิศักดิ์ หลานชายอาจารย์สุคลเป็นสารถี ซึ่งตอนนั้นฉันยังไม่รู้หรอกว่า เขาชื่ออะไร ได้ยินอาจารย์สุคลเรียกตาสิทธิ์ตาสิทธิ์ ก็เลยเหมาเอาว่าเขาหน้าจะชื่อสิทธิ์ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อฉันได้ทราบชื่อของเขาในเวลาต่อมา เมื่อจองโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย อาจารย์สุคลและนายสิทธิ์ก็จัดแจงสั่งอาหารกันเป็นการใหญ่ ในระหว่างที่รออาหารมาเสริฟ อาจารย์สุคลแนะนำฉันให้รู้จักเขา
“ตะวัน นี่ตาสิทธิ์ หลานชายครูเอง นายสิทธิศักดิ์ อภิชนากุล”
“ต้องบอกเค้าด้วยมั๊ยครับป้า ว่าผมเกิดวัน เดือน ปีอะไร” เสียงกวนๆของนายสิทธิ์ดังมาเข้าโสตประสาท ทำให้รู้สึกไม่ชอบหน้าตานี่หนักขึ้นไปอีก แต่ก็เอาเถอะ นานๆจะเจอคนอย่างนี้ซักที
“เรานี่จริงๆเลย ไม่พูดกวนประสาทซักวันจะได้ไม๊ฮะ” อาจารย์สุคลเอ็ดหลานชายอย่างไม่จริงจังนัก พอดีกับที่บริกรนำอาหารมาเสริฟ จึงไม่มีใครพูดอะไรในเรื่องนี้อีก ฉันไม่รู้ว่าอาหารต่างๆวางอยู่ตรงตำแหน่งไหนบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น อาจารย์สุคลก็ไม่เคยพาลูกสิทธิ์ตัวน้อยมาทานอาหารแบบนี้เช่นกัน กำลังคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไร ทว่าได้ยินเสียงผู้เป็นหลานชายเอ่ยกับเด็กสาวขึ้นซะก่อน
“ข้าวเปล่าวางอยู่ตรงด้านหน้าของเธอ ถัดไปทางซ้ายมือเป็นผัดผัก ขวามือเป็นต้มฟัก ด้านหน้าถัดจากจานข้าวเป็นกุ้งชุบแป้งทอด เยื้องไปทางขวามือจะเป็นแก้วน้ำ” ฉันอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจและใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดนี้
“ไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรือ สุวีรยา” ความแปลกใจทำให้ฉันนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเขาถามเป็นครั้งที่สอง
“คะ? อ๋อ! เข้าใจค่ะ ขอบคุณมาก” ฉันพูดตะกุกตะกักออกมาจนได้ ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารอย่างเกร็งๆ ทุกอย่างวางอยู่ตรงตำแหน่งที่เขาบอกไว้ทุกประการ ฉันจึงไม่ค่อยลำบากในการตักอาหาร แต่ก็ยังขัดเขินอยู่ดี สิทธิศักดิ์นั่งมองเด็กสาวรับประทานอาหารอย่างเพลินตา เขามองตั้งแต่การตักอาหาร ตลอดจนการกิน อากัปกิริยาต่างๆดูไม่ต่างกับคนสายตาปกติฉะนั้น กำลังคิดอะไรเพลินๆ เมื่อเห็นเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมา
“คุณคะ คุณอย่ามองฉันกินสิคะ มันรู้สึกยังไงไม่รู้” สิทธิศักดิ์ชะงักมือที่ตักอาหารลง
“เธอมองไม่เห็นแล้วรู้ได้ยังไง”
“อืม...จะอธิบายยังไงดีละคะ เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน แล้วมันจริงรึเปล่าหละ” ประโยคท้ายเธอกลับถามเขาซะอย่างนั้น
“มันเป็นความรู้สึกที่หนูสัมผัสได้ใช่ไม๊จ๊ะ” อาจารย์สุคลถามอย่างแปลกใจเช่นกัน
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะครู เวลาที่มีใครมองหนู หรือแสดงปฏิกิริยาอะไร หนูมักจะสัมผัสได้ ถึงแม้คนๆนั้นจะไม่พูดออกมาก็ตาม” ฉันอธิบายยืดยาว พยายามให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจมากที่สุด
“คนที่มองไม่เห็นทุกคนเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดรึเปล่า” สิทธิศักดิ์ถามขึ้นด้วยความกังขา
“ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นนะคะ แต่ทฤษฎีของฉันอาจใช้ไม่ได้กับคนตาบอดทุกคนหรอกค่ะ ฉันแค่บอกในมุมมองของฉัน และสิ่งที่สัมผัสได้เท่านั้นเอง” สิทธิศักดิ์พยักหน้าเข้าใจ ลืมไปว่าเด็กสาวตรงหน้ามองไม่เห็น เขาจึงพูดขึ้นเบาๆ
“เข้าใจแล้ว” ฉันเพียงยิ้ม ไม่ว่าอะไร รู้สึกดีต่อชายหนุ่มมากขึ้น อาจารย์สุคลชวนฉันคุยในเรื่องทั่วๆไป โดยมีสิทธิศักดิ์นั่งฟังซะเป็นส่วนใหญ่ จะพูดขัดหรือกวนขึ้นมาบ้างในบางครั้งบางคราว ซึ่งสร้างสีสันให้แก่วงสนทนามิใช่น้อย พวกเรานั่งรับประทานอาหารไปพราง พูดคุยไปพรางอย่างสนุกสนานเพลิศเพลิน
...
ก่อนกลับบ้าน อาจารย์สุคลพาฉันไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อลงจากรถ อาจารย์สุคลก็พยักพเยิดให้หลานชายเป็นคนนำเด็กสาว เขาไม่พูดอะไร เดินมาหยุดอยู่ข้างๆสาวน้อยแล้วใช้หลังมือแตะที่มือเรียวของเด็กสาวแผ่วเบา ฉันสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอทราบความหมายฉันก็ยกมือขึ้นจับข้อศอกเขาทันที เพิ่งรู้ตอนนี้เอง เขาสูงกว่าฉันมากพอสมควร เขาก้าวเดินนำไปโดยมีฉันเดินตามไปไม่ห่าง ในระหว่างที่เดินดูสินค้าต่างๆอยู่นั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น
“เธอรู้รึเปล่า ว่ารอบข้างของเธอมีอะไรบ้าง”
“ไม่รู้หรอกค่ะ ฉันหันไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงต่างๆมากมายเต็มไปหมด”
“ไหนว่าสัมผัสสิ่งต่างๆได้ไงหละ” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นเชิงเย้า อดไม่ได้ที่จะพูดจากวนประสาทตามเคย
 “ไม่เหมือนกันซะหน่อย นั่นมันเป็นกิริยาที่ผู้อื่นแสดงต่อเรา แต่นี่มันเป็นที่สาธารณะ ฉันมองไม่เห็นจะไปรู้ได้ไง ไม่ได้มีตาทิพย์หนิ” ฉันอดไม่ได้ที่จะโต้กลับไป ตานี่ถามอะไรแปลกๆ ยิ่งได้ยินเสียงเขาหัวเราะด้วยความขบขัน ทำให้ความโกรธของฉันพุ่งขึ้นไปอีก จึงเผลอบีบแขนเขาโดยไม่รู้ตัว
“โอ๊ะ!” เขาผ่อนฝีเท้าลงมานิดทำให้ฉันต้องผ่อนตาม
“ใจเย็นสิสาวน้อย พูดแค่นี้โกรธด้วยเหรอ เอาหละ ฉันจะอธิบายให้ฟังว่ารอบข้างมีอะไรบ้าง” นั่นทำให้ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาในทันที
“ฉัน! ขอโทษค่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ก่อนจะเริ่มอธิบายสิ่งต่างๆรอบข้างให้เด็กสาวฟัง เขาอธิบายสิ่งต่างๆรอบข้างอย่างละเอียด จนฉันนึกภาพตามได้ไม่ยาก เพลิศเพลินกับสิ่งที่ได้ฟัง ความขุ่นข้องที่มีอยู่ในใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง อาจารย์สุคลมองหลานชายอธิบายโน่นนั่นนี่ และใบหน้าเปื้อนยิ้มของลูกศิษย์ ทำให้สบายใจตามไปด้วยอีกคน
...
    อาจารย์สุคลและสิทธิศักดิ์มาส่งฉันที่บ้านตามสัญญา ก่อนลงจากรถ อาจารย์เอ่ยกับลูกศิษย์คนเก่งของเธออีกครั้ง
 “ตะวัน พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับครูนะ” อาจารย์สุคลรู้ดีว่าเด็กสาวไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวที่ใดนัก จึงอยากพาไปเปิดหูเปิดตา
“เอ่อ!  จะไม่รบกวนครูมากเกินไปเหรอคะ” แม้จะอยากเที่ยวมากเพียงใด แต่ความเกรงใจก็ทำให้พูดออกไปอย่างนั้น
“หนูไม่อยากไปเที่ยวกับครูเหรอจ๊ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะครู แต่หนู คือหนูเกรงใจนะค่ะ วันนี้ก็รบกวนมามากแล้ว หนูไม่อยากทำให้ครูหรือใครต้องเป็นภาระเพราะหนูค่ะ” ฉันพูดอย่างใจคิด แม้จะช่วยเหลือตัวเองได้มากแล้วแต่ในเรื่องการเดินทางก็ยังต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ดี
“โธ่ อย่าคิดมากสิจ๊ะ ครูไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย ตกลงพรุ่งนี้ไปด้วยกันนะ” ฉันยิ้มรับด้วยความยินดี แม่เดินมารับที่หน้าบ้าน ขอบอกขอบใจอาจารย์เป็นการใหญ่ จากนั้นอาจารย์สุคลก็แนะนำหลานชายตามระเบียบ สิทธิศักดิ์ยกมือไหว้โดยไม่ต้องรอให้ผู้เป็นป้าเอ่ยเตือน
“หน้าตาดีหนิเรา อยู่ปีอะไรแล้วจ๊ะ”
“ผมเรียนจบแล้วครับ” เขาตอบยิ้มๆ
“อ้าว จบแล้วเหรอ หน้ายังละอ่อนอยู่เลย นึกว่าเพิ่งขึ้นปีหนึ่งนะเนี่ย อย่างนี้ก็มาติวให้น้องได้นะสิ” แม่ของฉันเอ่ยเป็นชุด แต่คนที่ตอบกลับเป็นอาจารย์สุคล
“ไม่มีปัญหาค่ะคุณแม่ ช่วงนี้เค้าว่าง ครูกะจะให้เค้ามาติวให้ลูกศิษย์คนนี้อยู่แล้วค่ะ” สิทธิศักดิ์มองผู้เป็นป้างงๆ ‘นี่ป้าถามผมแล้วหรือยัง’ เขาทำได้เพียงคิดอยู่ในใจ
“โอ๊ย เป็นพระคุณอย่างสูงค่ะอาจารย์ บุญของลูกฉันจริงๆที่มีอาจารย์แบบนี้ เชิญเข้าบ้านก่อนคะ” แม่ของฉันเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ ยืนคุยกันอยู่ตรงนี้เสียตั้งนาน
“เห็นทีคงต้องขอตัวละค่ะ นี่ก็เย็นมากแล้ว ไว้ค่อยพบกันดีกว่าค่ะ ครูบอกหนูตะวันว่าพรุ่งนี้จะพาไปเที่ยว ตั้งใจฉลองให้กับว่าที่นักศึกษาคนใหม่ด้วย หนูตะวันสอบติดแล้วนะคะ” อาจารย์สุคลยิ้มปลื้มในความสำเร็จของลูกศิษย์ แต่คนที่ยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าเห็นจะไม่พ้นแม่ของฉัน
“จริงเหรอลูก ว้าย! แม่ดีใจที่สุดเลย ลูกสาวของแม่เก่งที่สุด” ฉันยิ้มกว้างตามผู้เป็นมารดาไปอีกคน ก้าวหนึ่งของชีวิต สำเร็จลงแล้วในวันนี้
...
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้างคะทุกท่าน ตอนต่อไปอาจมีลงไม้ลงมือบ้างนะคะ แต่มันคือความจริงที่พบเจอ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 16 มิถุนายน 2014, 09:29:AM
เคลิ้มจ้า...กำลังจินตนาการว่าตัวเองเป็น นายสิทธิศักดิ์...

"ปากหมา แต่น่ารัก"...อิอิ   emo_54

พี่เปรื่อง


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ(ตอนที่๘ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 22 มิถุนายน 2014, 03:12:PM
        ตอนที่ 8 ปลอบโยนและเข้าใจ
    ฉันเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการตื่นมารับประทานอาหารตามปกติ ก่อนจะเตรียมตัวไปเที่ยว ฉันเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดที่ต้องการออกมา การช่วยเหลือตัวเองในด้านนี้เป็นเรื่องที่คนตาบอดอย่างฉันทำได้สบาย เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมานั่งรอที่ห้องรับแขกพร้อมกับมารดา ไม่นาน ฉันก็ได้ยินเสียงรถเก๋งมาจอดหน้าบ้านตามมาด้วยเสียงปิดประตู แม่เดินออกไปต้อนรับแล้วเชื้อเชิญแขกให้เข้ามาในบ้านพร้อมกับที่ฉันเดินไปรินน้ำให้ผู้มาเยือน ยินเสียงสนทนาอยู่ไม่ห่าง
“สวัสดีครับคุณป้า” สิทธิศักดิ์ประนมมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีจ้าหลานชาย เข้ามานั่งก่อนลูก อ้าว! วันนี้ป้าเราไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ”
“พอดีมีธุระด่วนเข้ามา คุณป้าเลยต้องเร่งไปจัดการ แต่ได้รับปากกับสุวีรยาไว้แล้วว่าจะพาไปเที่ยว เลยให้ผมมาคนเดียวครับ” สิทธิศักดิ์พูดหลังจากนั่งลงเรียบร้อย ฉันเดินถือแก้วน้ำเข้ามาวางลงบนโต๊ะกระจกใสตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะถอยไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม แล้วยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ เอ่อ ความจริงคุณไม่หน้าลำบากเลยนะคะ ไว้รอให้อาจารย์สุคลว่างค่อยไปวันหลังก็ได้” สิทธิศักดิ์มองเด็กสาวตรงหน้า เขาบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร โกรธ ไม่พอใจ น้อยใจ มันสับสนไปหมด ใจจริงนั้นอยากพาเธอไปเที่ยว อยากให้เธอได้สัมผัสสิ่งต่างๆบ้าง เธอกลับแสดงอาการประหนึ่งว่าไม่เต็มใจไปกับเขาซะอย่างนั้น แต่คนปากแข็งอย่างเขานะหรือจะพูดความจริง
“ป้าฉันรับปากเธอไว้แล้ว ฉันไม่อยากให้ป้าต้องเสียคำพูด เพราะฉะนั้นวันนี้เธอต้องไปกับฉัน”ฉันอึ้งไปกับคำพูดนั้น ใช่ว่าฉันไม่อยากไปเที่ยว แต่ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นภาระเพราะเราต่างหาก ที่เขามาวันนี้ไม่ได้อยากพาเราไปเที่ยวหรอก เขามาเพราะคำพูดของอาจารย์สุคลเท่านั้น ใจคิดไปสารพัด แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร มารดาของฉันก็เอ่ยขึ้น
“ไหนๆพี่เค้าก็มาแล้ว อย่าให้เสียน้ำใจกันเลยนะ ไปเถอะลูก” ฉันนิ่งคิดก่อนตัดสินใจ หากอาจารย์สุคลรู้เข้าคงไม่สบายใจเป็นแน่
“ค่ะ ฉันจะไป” กล่าวจบฉันก็ลุกขึ้นช้าๆ หันยกมือไหว้มารดา แล้วเดินไปรอที่หน้าบ้าน สิทธิศักดิ์ยกมือไหว้มารดาของเด็กสาว พรางว่า
“คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด”
“ฝากด้วยนะลูก” ชายหนุ่มรับคำก่อนเดินไปคว้าข้อมือเด็กสาวแล้วพาขึ้นรถขับออกไป
...
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ” ฉันถามเมื่อนั่งมาได้ซักพัก เงียบ! ไม่มีคำตอบใดจากชายหนุ่ม นั่นทำให้ฉันอึดอัด
“คุณคะ ฉันถามว่า...”
“ถึงแล้วจะบอก” เขาเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ออกว่าหงุดหงิดหรือปกติ นั่งมาอีกครู่ ฉันก็อดถามไม่ได้
“คุณมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ” คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ฉันจึงเลิกเซ้าซี้ และนั่งเงียบไปตลอดทางเช่นกัน
“ถึงแล้ว” เขาพูดหลังจากจอดรถยังสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อเขาเปิดประตูรถด้านคนขับ ฉันก็ตามลงไปโดยไม่ต้องให้เขามาเปิดให้ เมื่อเขามายืนข้างฉัน และให้จับข้อศอกเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินนำเข้าไป
“ที่นี่ที่ไหนคะ” ฉันถามหลังจากนิ่งเงียบไปนาน
“สวนสัตว์” ฉันพยักหน้ารับรู้  คิดว่าเขาจะอธิบายสิ่งต่างๆให้ฉันฟังเช่นเมื่อวาน แต่เดินไปอีกครู่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาเลย ‘ถ้าเขาไม่เต็มใจ แล้วพาฉันมาที่นี่ทำไมกัน’
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ รอตรงนี้สักครู่นะ” กล่าวจบ เขาก็พาฉันมานั่งม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง
“ค่ะ” ฉันตอบรับสั้นๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าเขาค่อยๆเดินห่างออกไป เสียใจกับสิ่งที่เขาแสดงออก ทำไม? เราทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองมาได้ซักพัก ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินเข้ามา ก่อนหนึ่งในนั้นจะพูดขึ้น
“น้อง ที่ตรงนี้เราจะนั่งกัน ไปที่อื่นได้ไม๊” ฉันไม่แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันรึเปล่า
“เอ่อ คุณพูดกับฉันเหรอคะ”
“ใช่สิยะ ไม่พูดกับหล่อนแล้วจะพูดกับใคร ตาบอดรึไงนะ เห็นอยู่ว่าตรงนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากหล่อน” ผู้หญิงคนนึงในกลุ่มแหวขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ ฉันไม่พอใจ แต่ไม่อยากมีเรื่อง มือควานหาไม้เท้าในกระเป๋าสะพายใบย่อมที่นำติดตัวมา ก่อนลุกขึ้นหลีกทางให้พวกเขาโดยดี
“ต๊าย! ตาบอดเหรอนั่น ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับขอทานนะยะ” ผู้หญิงคนเดิมเอ่ยขึ้นอีก
“ไม่เอาหน้าแก” ผู้หญิงอีกคนที่มาด้วยปรามเพื่อนสาวเบาๆ เธอสงสารแต่ด้วยเกรงบารมีเพื่อนจึงไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ ทว่าหญิงสาวอีกคนไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนเลย หล่อนมองหญิงสาวตาบอดด้วยสายตาเยาะหยันปนสมเพช
“ไปขอทานที่อื่นปั๊ย” ความโกรธของฉันพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขามีสิทธิ์อะไรมาว่าให้กันแบบนี้
“ดิฉันไม่ใช่ขอทานค่ะ” ฉันพยายามบังคับน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด
“ไม่ใช่แล้วเป็นอะไรยะ ตาบอดจะทำอะไรได้มาก อย่างเก่งก็นวด ขายหวย หรือไม่ก็ร้องเพลงตามถนน”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ ดิฉัน...” ยังพูดไม่ทันจบ ผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นเงินใส่มือฉัน
“ได้เงินแล้วก็รีบๆไปสิ ยืนเกะกะอยู่นั่นแหละ”
 “อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ขอข้าวใครกิน แล้วไอ้การที่คุณดดูถูกคนอื่นเค้าแบบนี้ ตัวเองดีนักหรือไง คนที่ดูถูกคนอื่นได้มันแย่เสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานซะอีก” ฉันพูดอย่างเหลืออด ไม่คิดเก็บอารมณ์อีกต่อไป ความโกรธพุ่งขึ้นจนขีดสุด เขามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกกันแบบนี้
 “แก! แกกล้าด่าฉันเหรอ” เพียะ! ผู้หญิงคนนั้นฟาดฝ่ามือมาที่แก้มอย่างแรง รู้สึกถึงความแสบร้อนบนใบหน้า ความโกรธ ความน้อยใจในโชคชะตาพุ่งเข้าปะทะจนรู้สึกทรมานไปทั้งหัวใจ สายตาของคนปกติมองคนตาบอดเพียงเท่านี้เองหรือ จะมีสักคนไหมที่มองว่าคนตาบอดก็เป็นคนปกติเช่นเดียวกับพวกเขา ก่อนที่ใครจะได้ทำอะไร เสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา
“พวกคุณทำอะไรกัน” สิทธิศักดิ์เดินเร็วๆมายังจุดที่เด็กสาวยืนอยู่ เขามาทันได้เห็นสาวน้อยถูกทำร้ายพอดี ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเด็กสาว ก่อนถามขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงกร้าว
“ผมถามว่าพวกคุณทำอะไรกัน” ทั้งกลุ่มอยู่ในอาการตลึงไปชั่วขณะ ก่อนผู้หญิงคนเดิมจะเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนลงมานิด ด้วยเกรงในรัศมีของอีกฝ่าย และทึ่งในความหล่อ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เราแค่ไล่ขอทานออกไปจากที่นี่เท่านั้น”
“เธอไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณคิด เธอมากับผม” สิทธิศักดิ์จ้องทั้งกลุ่มอย่างไม่พอใจ ยิ่งเห็นรอยช้ำบนดวงหน้าของเด็กสาว กับน้ำใสที่คลอหน่วยตาทั้งสองแล้ว นั่นทำให้เขาเดือดดานมากขึ้นไปอีก
“แหม เราไม่รู้นี่คะ เห็นนั่งอยู่คนเดียวเลยนึกว่าเป็น...อุ๊บ” หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบ เพื่อนของหล่อนก็เอามือตะครุบปากเข้าให้ซะก่อน
“เราต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจผิด เราไม่ได้ตั้งใจ” ชายหนุ่มชำเลืองมองเด็กสาวแวบหนึ่ง เห็นรอยเจ็บปวดฉายชัดบนสีหน้า ‘นี่หรือเรียกว่าไม่ตั้งใจ คนพวกนี้ทำเกินไปจริงๆ’ ชายหนุ่มขยับเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ ทว่าเด็กสาวก็รั้งแขนเขาเอาไว้ พรางเอ่ยเสียงเคลือ
“พอเถอะค่ะ ฉันไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ช่วยพาออกไปจากที่นี่ทีได้มั๊ยคะ” ชายหนุ่มทำท่าจะไม่ยอม แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเด็กสาว ทำให้เขาต้องหยุดความคิดที่จะเอาเรื่องคนพวกนั้นลง เขาทิ้งสายตาไม่พอใจไปที่คนกลุ่มนั้นอีกครั้ง ก่อนพาเด็กสาวเดินออกไปจากตรงนั้น
...


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ(ต่อตอนที่๘ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 22 มิถุนายน 2014, 03:16:PM
        ตอนที่ 8 ปลอบโยนและเข้าใจ(ต่อ)
    เขาพาฉันมายังม้านั่งอีกแห่ง จัดการให้ฉันนั่งลงแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน
“เจ็บมากไหม” ชายหนุ่มใช้นิ้วแตะบริเวณรอยช้ำนั้นแผ่วเบา ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนพยายามฝืนยิ้ม
“ไม่มากหรอกค่ะ อีกไม่นานก็หาย” ใช่ แผลกายอีกไม่นานมันก็หาย แต่แผลใจเนี่ยสิ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด เขาละมือจากใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นจับมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้
“ตอนนี้เธออยากทำอะไรมากที่สุด” ‘ร้องไห้’ คำตอบผุดขึ้นในใจ ใช่ เวลานี้ สิ่งที่ฉันอยากทำมากที่สุดคือร้องไห้ ร้องให้กับความโกรธ และความอัดอั้นที่ถูกคนอื่นดูถูก ความเจ็บทางกายที่ได้รับเทียบไม่ได้กับความทรมานทางใจเลย
“อยากร้องไห้ไหมสุวีรยา” คำพูดนั้นกระแทกใจเข้าอย่างจัง แต่ฉันไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาหรือใครเห็น ตั้งแต่เริ่มปรับตัวในการใช้ชีวิตที่โรงเรียนได้ก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย
“การร้องไห้ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แต่มันคือการระบายความรู้สึก ถ้าเธออยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” เขาพูดเสมือนมานั่งในใจฉัน
“อย่าเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวเลย ให้ฉันมีส่วนร่วมรับรู้ความรู้สึกของเธอ จะได้ไหม? สุวีรยา” ความพยายามที่จะไม่ให้น้ำตารินไหลถูกทำลายไปด้วยคำพูดอันแสนอ่อนโยนนี้ ฉันปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมา โดยไม่คิดกักเก็บอีกต่อไป
“ฉัน ฉันพยายามอธิบาย พยายามไม่โกรธ ไม่เสียใจแล้ว แต่...มันไม่ไหวจริงๆคะ” ฉันเอ่ยปนสะอื้น ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกระบายผ่านม่านน้ำตา ชายหนุ่มรวบร่างเด็กสาวเข้ามาในวงแขน สัมผัสได้ถึงแรงสะอื้นถี่ๆจนร่างเด็กสาวสั่นสะท้าน เธอกอดเขาเอาไว้จนแน่นเสมือนต้องการหลักยึด เขาเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้ ถ้าเขาไม่ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง ถ้าเขาไม่มัวเอาแต่น้อยใจ เธอคงไม่ต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นวันนี้ เขาปล่อยให้ฉันร้องไห้จนพอใจ ครู่ต่อมาฉันก็สงบใจลงได้ เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้กอดเขาเอาไว้แน่น จึงปล่อยมือจากเขาอย่างรวดเร็วก่อนเงยหน้าขึ้นมา พลันใบหน้าก็ร้อนวูบขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เกิดจากความโกรธเหมือนเมื่อครู่ สัมผัสถึงลมหายใจที่อยู่ไม่ห่าง ชายหนุ่มเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว เขาค่อยๆคลายวงแขนช้าๆ แล้วก้าวถอยไปนิด ตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยน
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั๊ย”
“ค่ะ” ฉันตอบเหมือนเพิ่งหาเสียงตัวเองพบ จากนั้นชายหนุ่มจึงถามเรื่องราวจากฉัน ซึ่งฉันก็เล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบัง ชายหนุ่มฟังแล้วแทบอยากลุกกลับไปเอาเรื่องพวกนั้นให้สาสม แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไร จึงสงบใจลง แล้วเอ่ยกับเด็กสาวด้วยอารมณ์ที่มั่นคงกว่าเดิม
“ช่างเถอะ คนแบบนี้ไม่ควรไปคิดถึงให้เปลืองสมอง อย่าให้ความคิดและคำพูดของคนบางคนมาทำให้เราต้องเสียใจเลย”
“ฉันก็คิดงั้นค่ะ คนที่ดูถูกคนอื่นได้แสดงว่าเขาดูถูกตัวเองด้วยเช่นกัน” กับบางคนที่ไม่พร้อมเปิดใจ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาเข้าใจ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ'วาง' และคิดซะว่ามันเป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของชีวิต ที่จะทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น เท่านั้นเอง นิ่งกันไปครู่ ฉันก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะค่ะ วันนี้คุณพาฉันมาเที่ยวไม่ใช่เหรอ รู้สึกว่าเรายังไม่ได้เที่ยวกันเลยนะ” ชายหนุ่มมีท่าทีสงใส
“ฉันนึกว่าเธอไม่อยากมาเที่ยวซะอีก”
“อ้าว! ทำไมคิดงั้นละคะ” ฉันมีท่าทีแปลกใจขึ้นมาบ้าง
“ก็เมื่อเช้า เธอพูดเหมือนไม่อยากมา”
“โธ่ ใครว่าฉันไม่อยาก เรื่องเที่ยวหนะฉันชอบจะตาย แต่ที่พูดออกไปอย่างนั้นเพราะกลัวจะสร้างภาระให้คุณต่างหาก แล้วคุณก็ทำให้ฉันกลัวจริงๆซะด้วยสิ” ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจ นี่เขาหลงคิดไปไกลจนถึงกับแสดงท่ามึนตึงใส่เธอ เด็กสาวคงอึดอัดไม่น้อยกับการกระทำของเขา
“ฉันไม่ได้คิดว่าเธอเป็นภาระเลยนะตะวัน” ฉันชะงัดไปกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ”
“ฉันบอกว่า ไม่ได้คิดว่าเธอเป็นภาระ”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่ เมื่อกี้คุณเรียกฉันว่าอะไร” ชายหนุ่มมีท่าทีงงๆในคำพูดของเด็กสาว ก่อนนึกขึ้นได้ เขาเพิ่งเรียกชื่อเล่นของเธอเป็นครั้งแรก
“ ขอบคุณมากนะคะคุณสิทธิ์” ฉันยิ้มหเขาอย่างจริงใจและสดใสที่สุด
“เธอมาขอบคุณฉันเรื่องอะไร”
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ” ถึงแม้ว่าในตอนแรก ฉันจะไม่ค่อยชอบหน้าคุณสักเท่าไหร่ก็ตาม ประโยคท้ายฉันเลือกที่จะไม่เอ่ยให้เขาฟัง
“ต่อไปนี้ คุณเรียกฉันว่าตะวันนะคะ ดีกว่าชื่อยาวๆของฉันตั้งเยอะ เอาละค่ะ ไปกันเถอะ ฉันอยากเที่ยวเต็มแก่แล้ว” ฉันจับมือเขาเขย่า แล้วกระโดดไปมาเหมือนเด็กๆ ชายหนุ่มหัวเราะในท่าทางของสาวน้อย ก่อนจับจูงมือน้อยแล้วพาเดินไปด้วยกันอีกครั้ง
...


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ(ตอนที่9ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 29 มิถุนายน 2014, 05:26:PM
        ตอนที่ 9 คนที่ไม่อยากเจอ
เขาพาฉันเดินเที่ยวชมสวนสัตว์อย่างเพลิศเพลิน พร้อมทั้งอธิบายสิ่งต่างๆให้ฟังเป็นระยะๆ จนรู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นได้โดยไม่ต้องใช้สายตา ภาพต่างๆฉายชัดในมโนโดยมีเขาเป็นผู้นำ กระทั่งเวลาผ่านไปจนแสงแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงชวนไปรับประทานกลางวันที่ห้างสรรพสินค้า
“ไปหาอะไรกินในที่เย็นๆดีกว่า อยู่ตรงนี้อาจกลายเป็นคนแดดเดียวในไม่ช้า” เขาพูดติดตลก จากนั้นจึงพาขึ้นรถแล้วขับออกไปยังจุดหมายที่ต้องการ เรามาถึงที่หมายในเวลาไม่นานต่อมา เขาพาฉันเดินเข้าไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นก่อนจัดแจงหาร้านอาหารเป็นการด่วน
“เธอจะเอาอะไรบ้างสุ...เอ่อ ตะวัน” ในที่สุด เขาก็เรียกชื่อเล่นออกมาจนได้ ฉันยิ้มนิดๆ ก่อนตอบ
“อะไรก็ได้ทั้งนั้นค่ะ ตอนนี้ฉันหิวมาก กินได้ทุกอย่างแหละ”
“งั้นยำคางคกละเป็นไง” ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้า
“ถ้าคุณกินได้ฉันก็โอเคค่ะ” เจอไม้นี้เข้าไป สิทธิศักดิ์ถึงกับหน้าเหวอไปเลย
“เอาหละ ถ้างั้น...” เขาเกือบจะให้เด็กสาวนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดโดยพลัน
“ไปเดินเลือกอาหารด้วยกัน แล้วค่อยกลับมานั่งกินพร้อมกัน” ฉันรับคำโดยไม่เกี่ยงงอน เมื่อได้อาหารเป็นที่เรียบร้อยเราก็นั่งกินกันอย่างไม่รีบเร่ง คุยกันด้วยเรื่องทั่วๆไป
“เวลาเรียนหนังสือในห้องเธอทำยังไง”
“ฉันอาศัยการฟังเป็นหลักค่ะ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการบันทึกเสียง หรือไม่ก็จดหัวข้อสำคัญๆ”
“จดเป็นอักษรเบลล์นะเหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณรู้ได้ไงคะ”
“ฉันเคยติวหนังสือให้กับ...ผู้พิการทางสายตามาอยู่บ้าง เลยรู้หนะ” จริงสิ อาจารย์สุคลเคยเล่าให้เราฟังครั้งนึงแล้วนี่นา
 “แล้วถ้าต้องทำการบ้านหละ ส่งเป็นอักษรเบลล์เลยรึเปล่า” คำถามนั้นทำให้ฉันถึงกับยิ้มออกมา
“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ อาจารย์คงงงแย่ ฉันต้องขอให้คนสายตาปกติช่วยเขียนเป็นตัวหนังสือตาดีให้ก่อนถึงจะส่งได้ค่ะ” เด็กสาวคงต้องใช้ความพยายามมากเลยสินะ กว่าจะมาถึงวันนี้ ขนาดตอนที่เขาเรียนยังทำการบ้านส่งแทบไม่ทัน ทั้งๆที่เขาสามารถเขียนหนังสือเองได้แท้ๆ นี่ถ้าเขาเป็นเธอ จะทำได้ดีอย่างนี้รึเปล่าหนอ สิทธิศักดิ์มองเด็กสาวอย่างชื่นชม
“แล้วคุณละคะ”
“ฉัน? ฉันทำไม”
“อ้าว! ตั้งแต่รู้จักกันมา คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าคุณจบอะไร ทำงานที่ไหน? แต่คุณสิ กลับรู้จักฉันหมดแล้ว”
“ฉันจบบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ ปัจจุบันยังไม่มีงานทำ ครับผม” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ รู้สาเหตุที่ไม่มีงานทำดีว่าเป็นเพราะอะไร บิดาและมารดาต้องการให้เขาสืบทอดงานที่บริษัท แต่เขายังไม่อยากละทิ้งชีวิตอิสระของตัวเอง จึงหลบมาอยู่กับคุณป้าสักระยะ ซึ่งทั่นทั้งสองไม่ขัดค่องแต่อย่างใด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านทั้งสองห้ามเขาไม่ได้ ถ้าจะมาซะอย่าง แล้วใครจะทำไม ฉันคิดว่าจะถามอะไรเขาต่อไปดี ทว่า...
“อ้าว! นั่นคุณสิทธิศักดิ์ใช่ไม๊คะ แหม มาไกลถึงนี่เชียวนะคะ” คำพูดดังกล่าวทำให้เราต้องหยุดการสนทนาโดยลำพังไว้เพียงเท่านั้น
...
    ณลินีเดินมายังโต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ เธอเป็นหญิงไวกลางคนร่างท้วม ใบหน้าสวยด้วยเครื่องสำอางที่แต่งแต้มไว้อย่างดี สิทธิศักดิ์จำต้องยกมือไหว้เมื่อหญิงไวกลางคนผู้นั้นเดินมาถึง
“สวัสดีครับคุณอาหญิง”
“สวัสดีจ้า วันนี้มาเที่ยวเหรอ”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ พยายามคิดหาทางเลี่ยง พบหน้ากันทีไรเธอมักพูดถึงลูกสาวของเธอทุกครั้งไป แล้วก็ผิดซะที่ไหน
“แหมดีจริง วันนี้ลูกสาวอาก็มาด้วยนะจ๊ะ เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จัก อ้าว! แล้วนั่นพาใครมาด้วยจ๊ะ” ณลินีถามเมื่อเหลือบเห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามชายหนุ่ม
“รุ่นน้องผมเองครับ” เขาพูดน้อยตามเดิม ช่างดูแตกต่างกับเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังโดยสิ้นเชิง
“เหรอ ชื่ออะไรหละ” ชายหนุ่มเงียบรอให้เด็กสาวเป็นผู้ตอบ ฉันหันไปทางผู้ถามแล้วยกมือไหว้
“สุวีรยาค่ะ” ณลินีพยักหน้าแบบขอไปที ก่อนนั่งลงโดยไม่ต้องมีใครเชิญ แล้วไม่ได้ให้ความสนใจกับเด็กสาวอีก
“เราพักบ้านคุณพี่สุคลเหรอจ๊ะ แล้วจะอยู่ที่นี่นานไหม”
“ คงสักระยะครับ” เธอทำสีหน้าเข้าใจ ก่อนบ่นเบาๆกับตัวเอง
“ใยสา ไม่รู้ว่าไปเข้าห้องน้ำถึงไหน ชักช้าซะจริงลูกคนนี้” ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นผู้เป็นลูกสาวเดินมาแต่ไกล เธอจึงกวักมือเรียก
“ทางนี้จ้า ทางนี้”
มีต่อค่ะ


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ(ต่อตอนที่9ค่ะ)
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 29 มิถุนายน 2014, 05:38:PM
        ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ ตอนที่ 9 คนที่ไม่อยากเจอ(ต่อ)
ณลิสาเดินเข้ามาหามารดาสีหน้าหงุดหงิด ด้วยหล่อนต้องการไปสังสันต์กับเพื่อนฝูงมากกว่าเดินช็อปปิ้งกับมารดา แต่หล่อนต้องชะงักค้างไปกับภาพที่เห็น หนุ่มหล่อที่ถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกพบบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว สีหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นยิ้มขึ้นมาในบัดดล คำพูดที่เตรียมเหวี่ยงใส่มารดาเปลี่ยนเป็นหวานใสทันใด
“อ้าว คุณแม่ ลิซ่านึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาอยู่ตรงนี้เอง” ณลิสาเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง แต่งตัวตามสมัยนิยม สวยแบบสาวเซ็กส์ซี่
“ลิซ่าจ๊ะ นี่คุณสิทธิศักด์ ลูกชายเจ้าของบริษัทส่งออกสินค้าชั้นนำระดับประเทศ คนที่แม่เคยเล่าให้ฟังไง” ณลิสายิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะพี่สิทธิ์ ได้ยินคุณแม่พูดถึงบ่อยๆ เพิ่งได้เจอตัวจริงวันนี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ที่แท้ก็เป็นเขานี่เองที่หล่อนเจอเมื่อเช้า หญิงสาวยื่นมือให้ชายหนุ่ม เตรียมทอดสะพานเต็มที่ หากชายหนุ่มทำแค่เพียงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนตอบรับสั้นๆน้ำเสียงสุภาพ
“ครับ” หญิงสาวชักมือกลับ สีหน้าเก้อไปเล็กน้อย ก่อนนั่งลงโดยไม่ต้องมีใครเชื้อเชิญตามผู้เป็นมารดาไปอีกคน
“ลิซ่าเพิ่งเรียนจบการโรงแรมและการท่องเที่ยว ตอนนี้ยังไม่มีงานทำเลย ไงฝากสิทธิ์ช่วยดูน้องด้วยนะจ๊ะ” ณลินีเอ่ยอย่างภาคภูมิ เรื่องอะไรจะบอกความจริงละว่า กว่าลูกสาวของเธอจะเรียนจบมาได้นั้นต้องเสียเงินไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพราะณลิสาเรียนหนังสือแบบไม่เอาไหนสุดๆ แถมยังเที่ยวไปวันๆ ฉันนั่งฟังการสนทนาไปเงียบๆ น้ำเสียงของณลิสาฟังดูคุ้นหู เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ฉันพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออก ช่างเถอะ ตอนนี้รู้สึกกระหายน้ำเต็มกำลังจึงเอื้อมมือไปหมายคว้าแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะตรงตำแหน่งที่ชายหนุ่มเคยบอกไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความซวยหรือใครอุตริย้ายแก้วน้ำมาวางขอบโต๊ะด้านขวา ทำให้มือปัดแก้วน้ำหกรดเสื้อณลิสาโดยไม่ตั้งใจ
“อุ๊ย!!” สายตาทุกคู่บนโต๊ะหันมาจ้องฉันเป็นตาเดียว ฉันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ รู้สึกอายต่อสายตาทุกคู่ที่มองมา
“เอ่อ! ขอโทษค่ะ” ฉันหลุดคำพูดออกมาจนได้ ณลิสาขยับจะวีนเต็มที่ ‘นังนี่มันกล้าดียังไงมาทำกับฉันแบบนี้’ แต่พอเห็นสายตาชายหนุ่มที่จ้องมองมาทำให้หญิงสาวรีบยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนเปลี่ยนท่าที แล้วเอ่ยอย่างหมายให้ผู้ที่จ้องมายังหล่อนเกิดความประทับใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แหม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง พี่ไม่ถือสาคนมองไม่เห็นหรอกค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานทั้งที่ในใจอยากอาละวาดเต็มที่ เมื่อได้ฟังเสียงหญิงสาวผู้นี้อีกครั้งทำให้นึกออกในทันทีว่าเคยได้ยินเสียงหล่อนที่ไหนมาก่อน ใช่แล้ว! ผู้หญิงคนนี้แหละที่ดูถูกเรา ไม่คิดเลยว่าภายในเวลาไม่นานเราจะต้องมาพบเจอกับคนประเพทนี้อีก ส่วนชายหนุ่มนั้นไม่ต้องพูดถึง เขามองณลิสาด้วยสายตาเรียบเฉย ซ่อนประกายความสะใจไว้อย่างเร้นลึก โดนแค่นี้มันยังน้อยไป เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่หล่อนทำ
“ไม่เป็นไรนะตะวัน เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่” ชายหนุ่มหันมาเอ่ยกับสาวน้อย ฉันเลยได้แต่ยิ้มๆ ส่วนณลินีอดแปลกใจในคำพูดของลูกสาวไม่ได้ หมายความว่า เด็กสาวตาบอดอย่างนั้นเหรอ
“โถ หน้าสงสารจัง ไม่เป็นไรนะจ๊ะ มองไม่เห็นอย่างนี้คงไม่ได้เรียนหนังสือสินะ” เธอก็มีความคิดไม่ต่างไปจากคนในสังคม ส่วนใหญ่มักคิดว่าคนตาบอดนั้นทำอะไรไม่ได้ แม้แต่การเรียนหนังสือ เพราะคนสายตาปกติขนาดเวลาไฟดับ ยังต้องวิ่งหาไฟฉายหรือเทียนกันให้วุ่น ยิ่งอยู่ในโลกมืดแบบนี้คงทำอะไรไม่ได้เลย สิทธิศักดิ์รู้สึกไม่พอใจในคำพูดของคุณณลินี เขาเกรงว่าเด็กสาวจะไม่สบายใจ แต่ฉันชินเสียแล้วกับคำพูดทำนองนี้ ประสบการที่แต่ละคนเจอมานั้นไม่เหมือนกัน หากคิดในมุมกลับ ถ้าเราเป็นเขา บางที เราอาจจะคิดหรือถามอะไรที่มากกว่านี้ก็ได้ ในบางครั้ง เราต้องหัดมองตัวเองจากมุมมองของผู้อื่น จะทำให้เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น หรือเรียกง่ายๆก็คือ การเอาใจเขามาใส่ใจเรานั่นเอง ขยับจะอธิบายให้คุณณลินีฟัง ทว่ายังไม่ทันเอ่ยอะไร ชายหญิงชาวจีนสองคนเดินมาที่โต๊ะ ก่อนฝ่ายชายจะถามออกมาเป็นภาษาจีนรัวเร็ว
对比起!你们认识那个地方吗?我和妻子约我¬的朋友在那里。但是我不知道在那里怎么走?¬请你告诉我怎么走?
(“ขอโทษนะครับ พวกคุณพอจะรู้จักสถานที่นี้มั๊ยครับ ผมกับภรรยานัดเจอเพื่อนๆที่นั่น แต่ไม่ทราบว่ามันไปทางไหน พวกคุณช่วยชี้ทางให้ผมหน่อยได้มั๊ยครับ”) กล่าวจบเขาก็วางกระดาษแผนที่ลงบนโต๊ะ ทั้งหมดต่างมีสีหน้างุนงงไปตามกัน ยกเว้นฉันที่ฟังรู้เรื่อง เพราะมอปลายฉันเรียนเอกภาษาจีนโดยตรง
 “เขาถามว่า พวกเรามีใครรู้ทางไปที่นี่บ้างค่ะ” ฉันแปลให้ทุกคนฟังพรางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา พลันสายตาทุกคู่ก็จับจ้องมายังฉันอีกครั้ง
“เธอฟังเขารู้เรื่องด้วยเหรอ” สิทธิศักดิ์ถามอย่างทึ่งๆ
“พอทราบค่ะ ฉันเคยเรียนตอนอยู่มอปลาย” เขาคว้ากระดาษแผ่นนั้นมาจากมือฉันแล้วบอกทางให้ชายหญิงชาวจีนอย่างละเอียด โดยมีฉันเป็นล่าม ชายหนุ่มมองการสนทนาโต้ตอบระหว่างเด็กสาวกับคู่สามีภรรยาชาวจีนด้วยความทึ่งจัด สาวน้อยพูดได้คร่องลิ้นราวกับเป็นเจ้าของภาษาเลยทีเดียว แต่คนที่ดูตกตะลึงกว่าใครเพื่อนเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสองแม่ลูก ณลินีไม่คิดว่าคนตาบอดจะสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ อย่าว่าแต่ภาษาเลย แค่เรียนหนังสือทั่วๆไปยังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะสามารถทำได้เหมือนเช่นคนปกติ ฝ่ายณลิสารู้สึกหมั่นไส้เด็กสาวเต็มกำลัง หนอยทำเป็นเก่ง ไว้รอให้ถึงทีของฉันบ้างก็แล้วกัน สองสามีภรรยากล่าวขอบคุณเป็นภาษาไทยเสียงแปล่งๆก่อนเดินจากไป ทุกคนมองเด็กสาวด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน สิทธิศักดิ์มองด้วยความชื่นชมอย่างเห็นได้ชัด ณลินีนั้นก็มองด้วยอาการทึ่งปนงง ส่วนณลิสาจิกตามองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเลยทีเดียว ไม่นานสุภาพบุรุษเพียงคนเดียวในโต๊ะก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“นี่ก็ได้เวลาพอสมควรแล้ว เห็นทีผมกับตะวันคงต้องขอตัวก่อนละครับ”
“อ้าว! จะไปแล้วเหรอคะ” สองแม่ลูกเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ครับ ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่ง
“แหม กำลังคุยกันสนุกเชียว หน้าเสียดายจัง เอาไว้อากับลิซ่าจะหาโอกาสไปคุยที่บ้านคุณพี่สุคลนะคะ” สิทธิศักดิ์แทบซ่อนความรำคาญไว้ไม่อยู่ เขาเดินอ้อมมาหาเด็กสาวแล้วคว้าข้อมือให้ลุกขึ้นก่อนยกมือไหว้คุณณลินี
“ลานะครับ สวัสดีครับ” เขาขยับเตรียมพาเดินออกไป
“เดี๋ยวค่ะ” ฉันหยิบเงินจำนวนนั้นที่ณลิสายื่นให้เมื่อเช้าออกมาวางบนโต๊ะ
“นี่ของคุณค่ะ ขอบคุณสำหรับความเอื้อเฟื้อ แต่ดิฉันขอใช้ปัญญาและความสามารถของตัวเองหามันมาดีกว่านะคะ ไม่อยากให้ใครมาดูถูกว่าเป็นขอทาน และดิฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยว่า การร้องเพลง นวด หรือขายหวยนั้นไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นอาชีพสุจริตที่คนทุกคนสามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตาบอดเพียงอย่างเดียว” กล่าวจบ ฉันยกมือแตะข้อศอกเตรียมขยับเดิน แต่พอนึกถึงมารยาทที่พึงกระทำจึงรีบยกมือไหว้ผู้อาวุโสโดยที่แขนของคุณสิทธิ์ยังคล้องอยู่กับแขนของฉัน
“สวัสดีค่ะ” ฉันไม่เห็นหรอกว่าเขาหันมายิ้มให้ก่อนพาเดินออกไป แต่คนที่มองการกระทำของชายหนุ่มไม่คลาดสายตาคือณลิสา หล่อนมองเด็กสาวที่ควงแขนชายหนุ่มเดินออกไปช้าๆอย่างไม่พอใจ หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการทำแบบนั้นมันคือการนำทางผู้พิการทางสายตาที่ถูกวิธี มัวแต่ปล่อยให้ความหึงหวงและริษยาในตัวเด็กสาวบดบังความจริง ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันมันต้องเป็นของฉัน’ หญิงสาวคิดอย่างหมายมาด ก่อนสะบัดหน้าเดินออกไป ทิ้งให้มารดาเดินตามหลังต้อยๆ
“อ้าว! ลิซ่า รอแม่ด้วยซิลูก”
...
ช่วงนี้มหาวิทยาลัยใกล้เปิดแล้ว ต้องเตรียมตัวปรับสภาพในหลายๆด้าน อาจไม่ค่อยมีเวลามาโพสนิยายนะคะ ขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามมาโดยตลอด และทุกๆกำลังใจมีความหมายสำหรับดิฉันมากค่ะ^^


หัวข้อ: Re: นิยาย ดวงตาของฉันดวงตะวันของเธอ
เริ่มหัวข้อโดย: มนัสศิยา ที่ 18 สิงหาคม 2014, 12:05:AM
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ เนื่องจากช่วงนี้กำลังรับน้องเลยไม่มีเวลาเขียนนิยายเลย และเรื่องราวทั้งหมดเขียนออกมาจากชีวิตจริงซะเป็นส่วนมาก เลยต้องใช้เวลาค่ะ วันนี้จึงนำคริปที่ผู้เขียนเคยประสบพบเจอมาให้ได้ดูกันค่ะ เป็นเรื่องราวชีวิตของดิฉันบางส่วนที่น้องๆจากโรงเรียนมงฟอร์ตมาสัมภาษณ์ค่ะ^^
http://www.youtube.com/watch?v=Br2K8gdCMUk#noexternalembed (http://www.youtube.com/watch?v=Br2K8gdCMUk#noexternalembed)