พิมพ์หน้านี้ - อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

จิปาถะ => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 เมษายน 2014, 01:19:PM



หัวข้อ: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 08 เมษายน 2014, 01:19:PM

ถาม   บนบานสารเจ้าแบบไหนถึงจะสมหวัง


คือว่าพี่จะคัดเลือกทหารแต่กลัวติดทหาร. แม่หนูเลยจะไปบนศาลเจ้าพ่อ
แต่ไม่รู้จะบนยังไงจพเอาอะไรไปถวายถึงสมหวัง



ตอบ  โดย นอร์ตัน


เรื่องพวกนี้เป็นแค่ความเชื่อเพื่อให้เกิดกำลังใจเท่านั้น  จะไปหวังจริงกับมันมากไม่ได้หรอกครับ
จะบนก็บนไปเถอะ  แต่อย่าไปตั้งความหวังไว้มาก จะผิดหวังเปล่าๆ
ถ้าการติดสินบนเจ้ามีผลจริง  ทำไมถึงไม่ลองเปลี่ยนจากการบนเพื่อไม่ให้ติดทหารมาเป็น
บนเพื่อให้ติดทหาร แล้วมียศพลเอกเลยละครับ  จะได้เป็นหน้าเป็นตาเป็นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลด้วย
มีพี่ชายเป็นถึงพลเอก คงเท่ดีไม่หยอก..



 emo_68 emo_86  emo_100





หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: panthong.kh ที่ 08 เมษายน 2014, 09:09:PM
(http://image.ohozaa.com/i/146/hlWaS.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/enm)
เออนั่นซิ..

แทนที่จะขอไม่ให้โดนทหาร...

ทำไมไม่ขอให้โดน..แล้วเป็นนายพลไปเลย...

คิดได้ไง..พี่มือขวานี้..สุดยอด

วันหน้าจะลองไปบนดูบ้าง...

ส่งฝาอิชิตันไปหนึ่งฝา

บนให้ได้รถกับเขาบ้าง

ดูซิว่าจะได้จริงหรือเปล่า emo_32

พันทอง
(http://image.ohozaa.com/i/146/hlWaS.gif) (http://image.ohozaa.com/view2/enm)


หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 19 เมษายน 2014, 02:00:AM

ถาม  หลักการและเหตุผล  ขนมหวานลอดช่อง

ตอบ  คือมีคนเขาถามเกี่ยวกับหลักการและเหตุผล ของขนมลอดช่อง....



ผมอ่านคำถามแล้วก็งงๆ  ของแบบนี้มันต้องมีหลักการและเหตุผลด้วยหรือ ?
เคยเห็นเขาทำลอดช่องมาก็เยอะ  เคยกินลอดช่องมาก็แยะ....แต่ไม่เห็นมีใครเคยพูดถึงหลักการและเหตุผล
คนทำเขาทำเพื่อให้คนกินเป็นขนมหวาน....
เหมือนการสั่งส้มตำสักครก  ก๋วยเตี๋ยวสักชามนี่ต้องมีหลักการและเหตุผลด้วยหรือ   งงกับชีวิตจริงๆ...เฮ่อ...   emo_20









หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: รัตนาวดี ที่ 19 เมษายน 2014, 05:17:AM

ถาม  หลักการและเหตุผล  ขนมหวานลอดช่อง

ตอบ  คือมีคนเขาถามเกี่ยวกับหลักการและเหตุผล ของขนมลอดช่อง....



ผมอ่านคำถามแล้วก็งงๆ  ของแบบนี้มันต้องมีหลักการและเหตุผลด้วยหรือ ?
เคยเห็นเขาทำลอดช่องมาก็เยอะ  เคยกินลอดช่องมาก็แยะ....แต่ไม่เห็นมีใครเคยพูดถึงหลักการและเหตุผล
คนทำเขาทำเพื่อให้คนกินเป็นขนมหวาน....
เหมือนการสั่งส้มตำสักครก  ก๋วยเตี๋ยวสักชามนี่ต้องมีหลักการและเหตุผลด้วยหรือ   งงกับชีวิตจริงๆ...เฮ่อ...   emo_20




เกี่ยวกับหลักการและเหตุผล ของขนมลอดช่องจ้า

หลักการคือต้องกวนแป้งจนแป้งร่อนจากกะทะ เหตุผลคือ ตัวลอดช่องเมื่อเวลาเสร็จแล้วจะได้มีเนื้อตัวเป็นเงาเนื่องจากแป้งที่กวนนั้นสุกมาก

และหลักการแช่น้ำเย็นต้องอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมง เหตุผลคือ ตัวลอดช่องจะสวย ไม่หักหรือขาดท่อน



ที่รัตนาวดีนำมาเสนอหวังว่า หลักการและเหตุผลใช้ได้นะคะ  emo_116 emo_85 emo_126







http://www.youtube.com/watch?v=y8L0ltl6eQ0


หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: panthong.kh ที่ 19 เมษายน 2014, 09:29:AM

ถาม  หลักการและเหตุผล  ขนมหวานลอดช่อง

ตอบ  คือมีคนเขาถามเกี่ยวกับหลักการและเหตุผล ของขนมลอดช่อง....



ผมอ่านคำถามแล้วก็งงๆ  ของแบบนี้มันต้องมีหลักการและเหตุผลด้วยหรือ ?
เคยเห็นเขาทำลอดช่องมาก็เยอะ  เคยกินลอดช่องมาก็แยะ....แต่ไม่เห็นมีใครเคยพูดถึงหลักการและเหตุผล
คนทำเขาทำเพื่อให้คนกินเป็นขนมหวาน....
เหมือนการสั่งส้มตำสักครก  ก๋วยเตี๋ยวสักชามนี่ต้องมีหลักการและเหตุผลด้วยหรือ   งงกับชีวิตจริงๆ...เฮ่อ...   emo_20




 emo_116 emo_126


หลักการไม่รู้จัก  รู้จักแต่หลักกิโล  emo_45

และก็หลีกสี่ จ้า emo_45

พันทอง


หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: ดาว อาชาไนย ที่ 19 เมษายน 2014, 12:01:PM



เดี๋ยวนี้เขาไม่ถือหลักการกันแล้ว  เขาถือหลักกู

คำว่า กู ไม่ใช่คำหยาบนะครับ
ศิลาจารึกชองพ่อขุนรามคำแหงยังจารึกว่า
พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบาลเมือง


หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 19 เมษายน 2014, 09:50:PM



หลวงพ่อกวย  วัดโฆสิตาราม เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองชัยนาท
ตามประวัติบอกว่า ท่านชอบพูดจาตรงๆ  มรึงๆกูๆ  คล้ายกับหลวงพ่อคูณ(ลพ.กวยมรณภาพไปนานแล้ว)
จนวันหนึง มีโยมไปนิมนต์ท่านเพื่อไปสวดมนต์ฉันเพลที่บ้านว่า  เฮ้ย  ไอ้กวย  กูจะมานิมนต์มรึงไปกินข้าวที่บ้าน มรึงจะไปได้ไหมวะ ?
(นี่ขนาดโยมพูดกับพระนะเนี่ยะ.. emo_20)  ผมจำไม่ได้แล้วว่าหลวงพ่อกวยท่านตอบว่าอะไร
แตไจำได้ในประวัติบอกว่าท่านไม่ได้ถือสาโยมคนนั้น..... emo_52 (ก็ตัวเองเป็นคนชอบพูดจากูๆมึงๆเองขืนโกรธก็แปลกละนะ)






หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: ไพร พนาวัลย์ ที่ 19 เมษายน 2014, 10:35:PM


ไอ้หมอนี่ ถ้ายังไม่ตาย น่าจะให้ไปนิมนต์หลวงพ่อคูณมั่งเนาะ

คงจะได้รู้เห็นกันจะ จะ ว่าผลจะออกมาเป็นประการใด

ปล.ถ้าเขาตายไปแล้ว ให้ลูกๆหลานๆหรือเหลนไปแทนก็ได้

เพราะเทือกเถาเหล่ากอเดียวกัน เนาะ


 emo_86 emo_86


หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: panthong.kh ที่ 20 เมษายน 2014, 09:04:AM
 
emo_116 emo_126

ถึงจะเป็นเทือกเขาเหล่ากอเดียวกัน

ก็ใช่ว่าจะนิสัยเหมือนกันดอก

ขนาดลูกพ่อ-แม่เดียวกันแท้ๆ

ยังนิสัยไม่เหมือนกันเลย

------------------------

จะพูดไป ใคร่ควร อย่าด่วนพูด
จะเหม็นบูด ที่เรา นะเจ้าเอ๋ย
ส่อเสียดสี หยามหยัน หวั่นจริงเเอย
จะโดนเสย ปลายคาง นวลนางเตือน

ดูตาม้า ตาเรือ ให้ถี่ถ้วน
เห็นสมควร ด่วนคิด สนิทเหมือน
ขืนพรวดพราด อาจจบ ติดลบเลือน
พูดกลบเกลื่อน ไม่ทัน มันน่าอาย

ไม่รู้จัก มักจี่ ริอาจพูด
ต้องเจอสูตร ปากแตก กระแทกหงาย
พูดจาดี มีชัย ไม่เสื่อมคลาย
ท่านทั้งหลาย ก็คงชอบ มอบการุณ
พันทอง
๒๐/๔/๕๗
 emo_116 emo_126


หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าโย ที่ 21 เมษายน 2014, 02:08:AM


หลักการ หลักกู อันนี้มีจริงค่ะ

กะเทยมีเพื่อนหลายนางค่ะ ทีนี้มีนางหนึ่งเป็นช่างแต่งหน้ากับทำผม นางเก่งมาก
ปีนั้นนางครบอายุบวชพอดี นางจึงตั้งใจจะบวชให้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ
พอนางโกนผม บวช ห่มผ้าเหลืองแล้ว นางก็จะตั้งใจถือศีล ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

พอดิบพอดีกับการประกวดนางฟ้าจำแลง กะเทยพากันแห่ไปวัด ให้นางแต่งหน้าทำผมให้
นางก็ถามหลวงตาพระอุปัชฌาย์ ว่าจะทำได้ไหม หลวงพ่อว่าทำไปเถอะไม่ผิดศีล
แต่ถ้าไม่ทำ โยม ๆ จะโกรธ ตกนรกอเวจี นางจึงตัดสินใจแต่งหน้าทำผมให้เหล่ากะเทยต่าง ๆ

"หลวงเจ้ค่ะ หนูนิมนต์เกล้ากล้วยเจ้าค่ะ"
"หลวงเจ้ค่ะ หนูนิมนต์ ยีผมเจ้าค่ะ"
"หลวงเจ้ค่ะ หนูนิมนต์ กรีดอาย เจ้าค่ะ"

กะเทยเต็มวัด หลวงตาหัวเราะ

ชาวบ้านก็พากันแห่มาดู วิจารณ์ต่าง ๆ คิดว่าวัดมีงานอะไรกะเทยเต็มวัด แต่งตัวสวยงาม
บ้างก็ลือกันไปว่าพระวัดนี้จับต้องเนื้อกายสตรี ไม่เหมาะไม่ควร อะไรกันบวชได้วันเดียวไม่ปล่อยไม่วาง

เรื่องราวจบลงตรงการแถลงเจตนาค่ะ กะเทยไม่ได้มีเจตนาทำร้ายพระศาสนา หรือทำให้เสื่อมเสีย
พากันทำบุญขอสุมาลาโทษพระธรรมพระเจ้า กลายเป็นชาวบ้านเห็นดีเห็นงาม พากันมาแห่แหนจัดงาน
ทุกปี เดือนนี้จะต้องเอากะเทยมาเต้นที่วัด กลายเป็นหลักการประกวดนางฟ้าจำแลงกะเทยทำบุญเข้าวัด
พากันแห่แหน ทั้งชายจริงหญิงแท้กะเทยอะไรรื่นเริงเฮฮากันไป

อยากบอกว่าเสียงไดร์เป่าผม รวมกันสี่ร้อยอัน เปิดพร้อมกัน ดังกว่าเสียงรถสิบล้อเร่งเครื่องนะคะ



หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 02 พฤษภาคม 2014, 05:02:PM
ถาม   เวทมนต์ คาถาต์ มีจริงมั้ย ได้โปรดบอกด้วยหนูอยากรู้จริงๆ

ตอบ   เวท  หมายถึงความรู้  รากศัพท์เดียวกับคำว่า วิทยา
มนตร์  เป็นบทสวด
คาถา   ชื่อบทประพันธ์ประเภทฉันท์ชนิดหนึ่ง
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง100%
แต่ว่า จะมีผลเป็นอภินิหารที่ชวนประหลาดใจเหมือนในหนังที่ใช้เอฟเฟคสร้างเอาหรือไม่ อันนี้ไม่รับรองครับ..

พูดถึงเทมนตร์คาถาแล้ว ก็เหมือนกับคำถามที่ว่าผีมีจริงหรือไม่
ถ้าผีที่ว่าหมายถึงซากศพละก็มีแน่นอน100%
แต่ผีคนที่ตายแล้วลุกขึ้นมาหลอกหรือมาหักคอผู้คนอย่างในหนังที่ใช้เทคนิคถ่ายทำนี่จะมีจริงหรือไม่ ก็รับรองไม่ได้

บางที ทั้งเวทมนตร์คาถาทั้งผี อาจมีอยู่จริงและแสดงผลให้เราเห็นอยู่ทุกเมื่อ
เพียงแต่ผลไม่ได้หวือหวาอลังการอย่างในหนังที่ใช้เทคนิคถ่ายทำและเอฟเฟคช่วย

เรื่องความจริงกับในหนังนั้นมันช่างต่างกันลิบลับ  อย่าว่าแต่เรื่องผีเรื่องไสยศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้เลยครับ
แม้แต่เรื่องวิทยาศาสตร์ ความเป็นจริงกับในหนังก็ยังห่างกันลิบ
ในความเป็นจริงมนุษย์ยังแค่เดินทางด้วยเครื่องบิน และส่งคนไปลงแค่ดวงจันทร์เท่านั้น
ยังไปไม่ถึงดาวอังคารด้วยซ้ำ   แต่ในหนังมันมียานอวกาศที่บินด้วยความเร็วเหนือกว่าแสงเดินทางได้ทั่วจักรวาลไปแล้ว
นั่นคือ ความต่างกันระหว่างความเป็นจริง กับเรื่องราวในหนังที่เป็นแค่เรื่องโกหก


เพราะฉะนั้นแม้ของจริงจะมีอยู่แต่ถ้ามองด้วยภาพจินตนาการที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เราก็จะไม่มีทางมอง
เห็นความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า

ผมจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายเช่น
มีคนๆหนึ่งนัดนาย ก. ให้ไปพบกันที่สวนสาธารณะ  แต่คนๆนี้ไม่เคยเห็นนายก.มาก่อน
เคยได้ยินแต่เสียงพูด เขาจึงวาดภาพว่า นายก.คงจะเป็นคนผิวขาว สูง หน้าตาหล่อ
แต่เมื่อไปจริงๆเขาไปรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นนาย ก.มาตามนัด  เห็นแต่ผู้ชายตัวเตี้ยๆดำๆ หน้าตาขี้เหร่คนหนึ่ง
ซึ่งก็ไม่ทราบว่ามายืนรอใครด้วยเหมือนกัน  ทั้งสองต่างไม่สนทนากัน  จึงได้แต่รออยู่อย่างนั้น
แต่รอเท่าไหร่ นายก.คนที่นัดก็ไม่มาตามนัดสักที  ที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนๆนั้นวาดภาพนายก.ไว้อีกอย่าง
แต่ความจริงกลับเป็นอีกอย่าง  ความจริงนายก.ก็คือชายเตี้ยตัวดำนั่นเอง  เขาก็ได้มาตามนัดแล้ว
และยืนอยู่ต่อหน้าคนๆนั้น   แต่คนๆนั้นแม้เห็น แต่ก็เท่ากับไม่เห็น

คนเราหากเอาจินตนาการของตนมาตัดสินความเป็นจริง โดยคิดว่าความเป็นจริงจะต้องเป็นเหมือนกับที่ตนคิดไว้
ดังนั้นต่อให้ความเป็นจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า  ต่อให้เห็นก็เท่ากับไม่เห็น
การไม่ยอมสนทนากัน ก็เท่ากับไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ที่ผิดจากสิ่งที่ตนคาดหวังเอาไว้...

แม้ในเรื่องผี หรือเรื่องเวทมนตร์คาถา หรืออภินิหารต่างๆในโลกจะมีอยู่จริงก็ตาม


แต่ถ้าคนเราเอาเรื่องที่เป็นจินตนาการในหนังมาเป็นบรรทัดฐาน แล้วคิดว่าความจริงจะต้องเป็นแบบนั้น
ต่อให้ความจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้า เราก็จะไม่มีทางมองเห็นความจริงได้
ดังนี้ ถึงเห็นก็เท่ากับไม่เห็น หรือที่เรียกันว่า โมหะบดบังปัญญานั่นเอง...








หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 02 พฤษภาคม 2014, 05:29:PM

เหตุใด ผมจึงต้องหยิบยกเอาเรื่องคนที่นัดนายก.ที่สวนสาธารณะมาพูดเสียเป็นคุ้งเป็แคว
ทั้งนี้ก็เพราะหลายคนที่ปล่อยให้เรื่องสมมุติมาบดบังความจริงที่อยู่หน้า...จึงทำให้มองไม่เห็นความจริงแม้สักที
ยกตัวอย่างเช่น คำถามเกี่ยวกับเทพในความเชื่อต่างๆ เช่น สุริยะเทพ(พระอาทิตย์)  แม่พระธรณี(แผ่นดิน)
หลายคนตั้งคำถามว่าแม่พระธรณีที่โผล่ขึ้นมาบีบมวยผมช่วยพระพุทธเจ้าตอนผจญพญามารนั้นมันมีอยู่จริงเหรอ

ก็ควรต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า แม่พระธรณีนั้น แท้จริงแล้วก็หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง
แผ่นดินย่อมเป็นแผ่นดิน  หาใช่จะกลายเป็นหญิงสาวไปได้ไม่
ถ้าแม่พระธรณีหมายถึงแผ่นดิน  เราย่อมดินเหยียบย่ำ ขับถ่าย หลับนอนอยู่บนแผ่นดินทุกวี่วัน
ได้เห็นแม่พระธรณีอยู่วี่วัน   บางวันยังเอาเท้ากระทืบเสียด้วยซ้ำ
แต่แม้จะได้เห็นแม่พระธรณีอยู่ตรงหน้าทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ แต่เมื่อถูกจินตนาการที่ว่าแม่พระธรณี
ต้องเป็นหญิงสาวมาบีบมวยผมมาบดบังไว้เสียแล้ว แม้ความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจึงเท่ากับ
แม้เห็นแต่ก็เท่ากับไม่ได้เห็น  ดังเช่นตัวอย่างเรื่องของคนที่นัดนาย ก.ไปพบกันที่สวนสาธารณะ
แม้แต่ได้พบนาย ก.แล้ว แต่ก็ยังกลับคิดว่า นาย ก.ไม่ได้มาตามนัด
เพราะไม่ได้มองที่ความเป็นจริงของสิ่งนั้น แต่กลับไปยึดถือเอาจินตนาการว่าคือความเป็นจริง

แม้ในเรื่องเทพเจ้าต่าง เช่นพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระเพลิง พระพาย ก็เช่นเดียวกัน..

เราลองมานึกจินตนาการดูว่า หากสุริยะเทพ(พระอาทิตย์) ลงมาพบเรา จะมีรูปร่างอย่างไร ?
เป็นมนุษย์ผู้ชายอย่างนั้นหรือ ?....
แล้วสุริยะเทพพูดกับเราล่ะ ?   จะพูดด้วยภาษาอะไร ?   คงเป็นภาษาไทยที่เราฟังดีใช่ไหม ?
ถ้าคำตอบคือใช่ ! แล้วอย่างนี้เราจะมีวันได้เห็นสุริยะเทพ(พระอาทิย?)ได้อย่างไร ?
ทั้งๆที่ความเป็น เราได้มองเห็นสุริยเทพ(พระอาทิตย์)อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...แต่...เห็นก็เท่ากับไม่ได้เห็น
เพราะจินตนาการที่มันบดบังความจริง....ซึ่งก็คือ โมหะบดบังปัญญา
ต่อเมื่อเราเปิดใจยอมรับความจริง  เราจึงจะมองเห็นความจริงที่มาปรากฏอยู่หน้า.....
เมื่อมองเห็นความเป็นจริงแล้ว...เราจะไม่ข้องใจหรือมีคำถามอีกต่อไปว่าสิ่งนี้....มีจริงไหม...
เพราะเราย่อมรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่า...มีจริง....เพียงแต่ไม่ใช่ในแบบที่เคยคิด...






หัวข้อ: Re: อีกหนึ่งข้อคิดดีๆจากกูรูนอร์ตัน(ผมเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 07 พฤษภาคม 2014, 12:26:PM


ถาม   สัตว์อะไร น่าสงสารที่สุด ?

ตอบ โดย นอร์ตัน

พวกเป็ดไก่ กุ้งหอย ปูปลา  วัวควาย  ที่ถูกมนุษยเพาะเลี้ยงขึ้นมาเพื่อฆ่าเป็นอาหาร
โดยเฉพาะพวกเป็ดไก่นั้น ชะตาชีวิตถูกกำนดไว้แน่นอนตายตัวแล้วว่า โตขึ้นจะต้องถูกฆ่าเป็นอาหาร
สัตว์พวกนนี้ไม่ต้องให้พรหมหรือกรรมมาลิขิตหรอก มนุษย์นี่แหละทีเป็นผู้ขีดเส้นชะตาให้...



เพิ่มเติม   สัตว์เหล่านี้เกิดมามีชีวิตน่าสงสาร  เพราะเป็นสัตว์ที่ถูกเพาะเลี้ยงมาเพื่อฆ่า
ชะตาชีวิตตั้งแต่เป็นไข่ ก็ต้องอยู่ในโรงงานฆ่าสัตว์ พอโตจะถูกเลี้ยงในคอกที่จำกัดเนื้อที่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนหรือเดินเหินไปไหนได้
จะมีผู้คอยป้อยนข้าวป้อนน้ำ  พอโตก็ต้องถูกนำไปฆ่า
ไม่มีเทพหรือพระองค์องค์ใดที่จะไปโปรดให้พ้นกรรมได้ เพราะตัวพระเองก็ยังยินดีพอใจในการบริโภคเนื้อของสัตว์เหล่านี้
ฉะนั้นเรื่องที่จะไปเทศน์ให้คนเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ หรือเทศน์สอนให้เจ้าของโรงงานกลับใจคิดถึงบาปบุญคุณโทษก็เป็นอันเลิกคิดไปได้เลย...
ชีวิตของสัตว์เหล่านี้จึงไม่ต่างกับสัตว์ที่ตกนรกในเมืองมนุษย์....