พิมพ์หน้านี้ - เทพผู้รับฟัง : เรื่องสั้นๆ

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => แต่งนิยายและไดอารี (ห้องใหม่) => ข้อความที่เริ่มโดย: พิมพ์วาส ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014, 09:51:PM



หัวข้อ: เทพผู้รับฟัง : เรื่องสั้นๆ
เริ่มหัวข้อโดย: พิมพ์วาส ที่ 07 กุมภาพันธ์ 2014, 09:51:PM
#เทพผู้รับฟัง

          ผมเห็นเขาประกาศตนเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นเป็นครั้งที่เก้าสิบเจ็ดแล้วตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อน นี่ก็ใกล้จะปีที่หกร้อยแล้วก็ยังคงมีผู้อยากเป็นใหญ่ของแต่ละฝ่ายกันอยู่ วันนี้ผมก็ยังคงเห็นเป็นเช่นเดิมเหมือนเคย ทุกๆครั้งที่ผู้นำที่คิดว่าดีที่สุดของแต่ละฝ่ายขึ้นมาพูดและโต้เถียงกันอย่างหนักเรื่องความดีความชอบของฝ่ายตนโดยไม่มีผู้ใดเลยจะยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมายอมรับความดีความชอบและกล่าวเตือนอีกฝ่ายว่าผิดตรงไหน
          ขณะนี้แตรสังข์ลงมติความเห็นชอบของคณะบริหารจัดการฝ่ายไม้ม้วนดังขึ้นพร้อมตั้งเหตุผลโจมตีอย่างหนัก ประชาชนทางฝ่ายไม้มลายหน้าขึ้นสีแดงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพราะแย่งเป่าแตรสังข์ไม่ทัน
          ผมไม่เคยเห็นประโยชน์อันใดจากการประชุมนี้เลย แต่ผมรู้อยู่สามประการคือ แต่ละฝ่ายต่างคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก แต่ละฝ่ายมีเหตุผลของตัวเอง และแต่ละฝ่ายยังยอมรับเหตุผลของอีกฝ่ายไม่ได้
          ผมเห็นเพียงภาพเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันช่างน่าขันยิ่งนัก โดยเฉพาะวันนี้ ผมเห็นผู้เป่าแตรสังข์ของฝ่ายไม้ม้วนขยับหนวดที่ขึ้นรำไรของเขาแล้วลงความเห็นโจมตีอีกฝ่ายทันทีที่หนวดอีกข้างกระตุก
          "ฝ่ายท่านคงหาสาวใภ้ไม่ได้หากไม่มีเรา" ผู้ลงความเห็นคนแรกร้องบอกผ่านหอยกาบที่เชื่อมต่อท่อไปยังดินแดนอีกฝั่งเมื่อสัญญานแตรสังข์จบลงทันที
          เสียงฮือฮาลั่นของฝ่ายไม้มลายทำให้ผู้นำฝ่ายไม้ม้วนยิ้มกริ่มแล้วยกนิ้วโป้งให้เป็นการชมเชย
          ผมเห็นท่าทางดีอกดีใจเช่นนั้นแล้ว ก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงการหาสะใภ้ครองเรือน ตั้งแต่สมัยก่อนที่ผมเคยได้ยินมา การออกความคิดเห็นทางฝ่ายไม้ม้วนจะพูดถึง จิตใจ และการฝักใฝ่สิ่งต่างๆมากกว่าเป็นส่วนใหญ่ นี่เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ใจสำหรับผมยิ่งนักในขณะนี้
          ฝ่ายไม้มลายเป่าแตรสังข์บ้าง ทำให้ผมรีบหันหน้าจากอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งทันที
          "หากพวกท่านไม่มีข้า พวกท่านก็ไปหาสาวใภ้ไม่ได้เช่นกัน เพราะพวกท่านไม่มีที่ไป"
          เมื่อเสียงของฝ่ายมลายจบลง ผมก็เห็นฝ่ายนั้นปรบมือเป็นกำลังใจกันใหญ่เพราะประโยคเด็ดอันร้อนแรงส่งเข้าแผดเผากันทางหอยกาบสื่อสาร ผมเองก็นึกสนุกจึงปรบมือตามไปด้วย
          "ฮ่าๆ พวกเจ้าช่างน่าขันยิ่งนัก ฮ่าๆ" ผมร้องบอกไปอย่างถูกใจวลีในประโยคเด็ดของแต่ละฝ่าย ทันทีที่เสียงของผมเปล่งออกไป ทั้งสองฝ่ายก็เงียบลงทันที แต่ทันทีที่ลมพัดผ่านมา สายลมที่พัดมานั้นเหมือนจะพัดเข้าเรียกสติของทั้งสองฝ่าย เสียงแตรของทั้งสองฝ่ายพลันเป่าชนกันอลหม่าน ผมสะบัดหัวช้าๆด้วยความลืมตัว
          "ท่านเทพเจ้าพิโรธแล้ว เพราะท่านนั่นล่ะพูดถึงการไม่มีที่ไป" เสียงฝ่ายไม้ม้วนดังขึ้น ขณะที่ผมพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์
          "ทางฝ่ายเราไม่ผิดสักหน่อย ฝ่ายท่านนั้นล่ะที่ผิด ฝ่ายท่านเป็นคนเริ่มประเด็นเรื่องสาวใภ้ก่อน" เมื่อเสียงไม้มลายจบลง เสียงดังอื้ออึงก็ก้องที่ประชุมโขดผาหิน
          ณ ตอนนี้ ผมได้รู้ถึงลางหายนะแล้วล่ะว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อไป หากผมไม่ทำอะไรสักอย่างทั้งสองฝ่ายคงมีการปีนจากหน้าผาลงหน้าผามาเพื่อสู้กันเป็นแน่แท้
          "หยุด" เสียงดังกังวานของผมสะท้อนไปทั่วทิศ แม้ท้องทะเลที่เรียบนิ่งยังวาดลูกคลื่นยักษ์เป็นการเคารพอย่างบ้าคลั่ง
          ทั้งหมดนิ่งเงียบ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆแล้ว เผยร่างขึ้นยืนบนต้นไม้ใหญ่บนหน้าผาสูง เผยให้เห็นร่างอันบึกบึนด้วยราศีจับ ผมยาวสีดำของผมทอดทอลงมา แล้วพลิ้วไปกับสายลมผ่าน ทำให้เป็นที่น่าเกรงขามยิ่ง
          "พวกเจ้ารู้ไหม ข้าได้ฟังพวกเจ้าถกเถียงมาเกือบหกสตวรรษแล้ว ข้าไม่เห็นเหตุอันใดที่เป็นการดีต่อแต่ละฝ่ายเลย" เสียงก้องกังวานของผมสะกดใจทุกคนให้นิ่งฟัง แม้แต่คลื่นทะเลที่แปรปรวนอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่ก็นิ่งเงียบเผยแต่ลำน้ำที่เป็นผิวน้ำนิ่งสนิท
          "เจ้าบอกเหตุผลของพวกเจ้ามาแต่ละข้อซะ" คนทั้งสองฝั่งนิ่งเงียบทำให้ผมกล่าวต่อไปอย่างองอาจ
          "หากไม่มี...ข้าผู้นี้ขอเสนอตนเป็นที่ปรึกษาให้แก่พวกเขาเอง การลงมติคือการเป่าแตรสังข์ครั้งสุดท้ายนี้ เมื่อเสียงสกุณาโผกลับเข้าสู่คอนรังเมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่ลงมติกัน" เมื่อเสียงของผมจบลง ร่างของผมก็เร้นวับเข้าใต้เงาไม้ทันที ถึงแม้ผมยังคงหนุ่มอยู่สำหรับท่านพ่อเทพท่านแม่นางฟ้า แต่ผมมั่นใจว่าความเป็นกลางตลอดเกือบหกร้อยศตวรรษที่ผมได้เห็นได้นั่งฟังได้วิเคราะห์มากับตาแล้วจะเป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
          เมื่อเหล่านกน้อยขับขานเพลงกลับคอนรัง ผมซึ่งนั่งทบทวนเหตุการณ์นั่งเงียบอยู่คนเดียวก็กลับมายืนอยู่บนยอดหน้าผาใต้ต้นไม้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
          เสียงทั้งสองฝ่ายปรึกษากันดังอึงอลทันทีที่สกุณาตัวสุดท้ายโผเข้ารัง การลงมติของประชาชนของแต่ละฝ่ายก็เริมขึ้นหอยสังข์ที่อยู่ในมือเพียงชิ้นเดียวกับโต๊ะกะลามะพร้าวตัวยาวและบ่อน้ำแต้มสีสองสีสองชุดใต้เงากะลาใหญ่เป็นสีน้ำเงินกับสีแดง
...สีน้ำเงินไม่เห็นด้วย
...สีแดงเห็นด้วย
          "เอาล่ะ บัดนี้การลงคะแนนเสียงจบแล้ว เราขอให้ทุกท่านเทหีบหอยแครงลงในอ่างปลาทองยักษ์กลางถ้ำ ณ บัดนี้" เสียงของผมดังขึ้น ทั้งสองฝ่ายยกหีบลงแล้วค่อยๆเท
          น้ำในอ่างปลาทองสีขาวบริสุทธิ์พลันผุดสีน้ำเงินขึ้นปกคลุมทุกอณูของอ่างของสระ ขอบสระที่ปริ่มน้ำทะลักล้นออกมาเป็นสีน้ำเงินขาบสุกใส
          รอยยิ้มผมผุดออกมาพร้อมกับสีหน้าของทุกผู้ที่ตกอกตกใจ
          "ทำไมละ ทั้งๆที่เราจุ่มสีแดง!" เสียงของฝั่งไม้ม้วนร้องขึ้นอย่างตกใจ
          "เราด้วย" เสียงหนึ่งของฝ่ายไม้มลายร้องตาม ทำให้คนทั้งหมดร้องตามเช่นกันว่าตนลงสีอะไร
          "พวกเจ้าหยุด!" คำประกาศิตอันเด็ดขาดของผมทำให้ทั้งหมดในถ้ำเงียบลง
          "หอยสังข์ที่อยู่ในบ่อนี้บ่งบอกถึงความคลาดแคลงใจของพวกเจ้าที่มีต่อข้า พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมสิ่งที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายออกความเห็นกันมีเรื่องใดบ้างที่ตรงกันแล้วมีประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย" ทั้งหมดนิ่งเงียบตั้งใจผมพูดเป็นอย่างมาก
          "เรื่องนี้..." หัวหน้าทางฝ่ายไม้ม้วนเอ่ยขึ้น แล้วหัวหน้าทางฝ่ายไม้มลายก็พยักหน้าตามเพื่อเป็นการเห็นด้วย
          "ความเห็นของพวกเจ้าออกมาเป็นเอกฉันท์ต่อข้ากันแล้ว คราวนี้ก็แล้วแต่พวกเจ้าแล้วล่ะที่คิดจะตัดสินใจกันอย่างไรต่อไป ลาก่อนดินแดนอันแสนวุ่นวาย และหกศตวรรษอันแสนสั้น" ผมพูดจบก็ทะยานตัวออกจากถ้ำทันที ในถ้ำเหลือเพียงสองฝ่ายที่ยืนปรึกษากันเพียงเท่านั้น
          สิ่งที่ผมเหลือไว้ให้ ผมก็คงจะทำได้แต่เพียงเท่านี้ ผมไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาจะเลือกทางลิขิตการก้าวต่อไปของฝ่ายตนอย่างไร สิ่งนั้นก็อยู่ในกำมือของทุกผู้ที่พร้อมกันพร้องใจกันแล้ว
          เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินแว่วมาดังในหูคือ 'ท่านเทพขอบคุณมากครับ/ค่ะ' ผมขออมยิ้มแล้วเดินทางไปนั่งดูดินแดนอื่นดีกว่า