พิมพ์หน้านี้ - คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

จิปาถะ => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: toshare ที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 08:22:AM



หัวข้อ: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 08:22:AM
อยากทราบว่าในกลอนแปดท้ายวรรคทุกวรรคจึงห้ามเสียงวรรณยุกต์ นั้นๆ

หรือให้ใช้วรรณยุกต์นั้นๆ

ห้ามกันมาแต่เมื่อใด ครับ แล้ว ใครเป็นคนห้าม แล้วเคยมีการแก้ไขกันบ้างไหมครับ

ข้อห้ามนี้ แล้วการยอมรับข้อห้าม ทั้งประเทศเป็นแบบแผนเดียวกันมีมาแต่สมัยใด

และเคยมีการคัดค้านข้อห้ามกันบ้างไหม ก่อนที่จะได้เป็นฉันทลักษณ์อย่างนี้

ที่อ่านๆมาก็บอกต่อๆกันมาว่าห้ามนั้่นๆ แต่ยังไม่เคยเห็นการเผยเเพร่ตามที่ถามข้างบนนั้นครับ


หมายเหตุ..ไม่ขอพาดพิงถึงกลอนเปล่าทุกประการครับ

ขอบคุณครับ

เฒ่าริมทาง
http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=webboard (http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=webboard)


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าพเจ้า ที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 09:55:AM
ผมคิดว่า ฉันทลักษณ์ ก็คือข้อกำหนดที่ยอมรับตามๆกันมาเรื่อยๆ
แรกๆอาจพัฒนามาจากการขับร้องเพื่อความไพเราะ
ส่วนเป็นข้อห้ามเมื่อไหร่นั้น คงเป็นการห้ามเพื่อเป็นมาตรฐานในการประกวดกลอน
ถ้าถามหลักฐานที่ชัดเจน ผมก็ไม่ทราบ
 สันนิษฐานว่าเริ่มต้นในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ และเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ
มีการคัดค้านไหม น่าจะมีนะครับ ถึงมีกลอนในรูปแบบฉันทลักษณ์อื่นๆอีก

...อ่านความคิดเห็นผมแก้กลุ้มไปก่อนนะครับ


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 12:59:PM
ไม่รู้เหมือนกันแฮะ  ผมรู้เฉพาะวิธีแต่งเท่านั้นไม่เคยรู้ประวัติความเป็นมาของกลอน
ที่แต่งอยู่ทุกวันนี้ก็อาศัยดูแบบอย่างที่คนรุ่นเก่าๆแต่งไว้ อ่านแล้วสังเกตเอาว่าเขาใช้คำยังไง
วางเสียงสูงเสียงต่ำยังไง ลงสัมผัสตรงไหน  กลอนส่วนมากเขียนยังไงเราก็แต่งไปตามนั้น
หรือจะพูดให้ฟังง่ายเข้าก็เป็นพวกครูพักลักจำนั่นแหละไม่ใช่ผู้รอบรู้อะไรหรอก emo_47

ถ้าจะถามว่าเคยมีการคัดค้านไหม  ก็ใครจะกล้าไปคัดค้านเล่าครับ
ในเมื่อเราต้องเป็นฝ่ายไปเรียนรู้จากเขา  เราคือเด็กครับไปเรียนพูดเรียนเขียนจากผู้ใหญ่
ถ้าไปคัดค้านแล้วเมื่อไหร่จะได้ความรู้กันครับ

การคัดค้านผมจะคัดค้านเฉพาะสิ่งที่ผมเคยรู้มาก่อนแล้ว
อาทิเช่นนักกลอนในรุ่นหลังบอกว่าห้ามลงสัมผัสซ้ำ  ที่จริงเรารู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง
เพราะการแต่งกลอนที่ดีก็ควรเลี่ยงสัมผัสซ้ำ  กลอนที่มีแต่สัมผัสซ้ำไม่ใช่กลอนที่น่าฟัง
แต่เราก็รู้อีกว่าในกรณีที่จำเป็นจะต้องลงจริงๆก็ลงได้แม้ว่านักกลอนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับก็ตาม
เราลงเพื่อความเหมาะสมต่อเรื่องนั้นไม่ใช่การจนภูมิ  แต่ลงเพื่อสื่อความหมายที่ชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่นกลอนบทหนึ่งในนิลาศเกาหลีที่เห็นหลายๆคนชอบหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง


"ช่างกำเริบเสิบสานทหารชั่ว
อย่ากเป็นผัวนางนี่ร้อยตรีสาว
วินัยอ่อนหย่อนดื้อแถมมือกาว
พบนายสาวไม่คำนับเข้าจับตัว"


ในกลอนตัวอย่างนี้มีผู้รู้หลายท่านเคยวิจารณ์ว่าลงไม่ได้  แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อเรื่องแล้วผมมีความเห็นส่วนตัวว่าลงได้
เพราะในเนื่อเรื่องพูดถึงร้อยตรีสาว ถ้าผู้แต่งเขาอยากจะใช้คำอื่นเขาย่อมทำได้แต่เขาไม่ทำเพราะเขาต้องการสื่อความหมายถึงร้อยตรีสาวจริงๆ
ทีนี้สมมุติเกิดไม่ลงด้วยตรีสาวลองเป็นเป็นคำอื่นๆดู



"ช่างกำเริบเสิบสานทหารชั่ว
อย่ากเป็นผัวนางนี่ร้อยตรีสาว
วินัยอ่อนหย่อนดื้อแถมมือกาว
พบนายบ่าวไม่คำนับเข้าจับตัว"


"ช่างกำเริบเสิบสานทหารชั่ว
อย่ากเป็นผัวนางนี่ร้อยตรีสาว
วินัยอ่อนหย่อนดื้อแถมมือกาว
พบนาห้าวไม่คำนับเข้าจับตัว"

"ช่างกำเริบเสิบสานทหารชั่ว
อย่ากเป็นผัวนางนี่ร้อยตรีสาว
วินัยอ่อนหย่อนดื้อแถมมือกาว
พบนายขาวไม่คำนับเข้าจับตัว"

"ช่างกำเริบเสิบสานทหารชั่ว
อย่ากเป็นผัวนางนี่ร้อยตรีสาว
วินัยอ่อนหย่อนดื้อแถมมือกาว
พบนายยาวไม่คำนับเข้าจับตัว"

"ช่างกำเริบเสิบสานทหารชั่ว
อย่ากเป็นผัวนางนี่ร้อยตรีสาว
วินัยอ่อนหย่อนดื้อแถมมือกาว
พบนายคล้าวไม่คำนับเข้าจับตัว"



คือเปลี่ยนมันเปลี่ยนได้ แต่อ่านแล้วมันตลกดี  emo_26  ถึงยังไงลงด้วยพบนายสาวฟังดูดีกว่า  สื่อความได้ชัดเจนกว่า

อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องพยัญชนะเดียวกันสระเดียวกันแต่ต่างวรรณยุกต์ก็ลงไม่ได้อีก
เช่นลงกัน  จะไปลงกั้นอีกไม่ได้  ถือว่าซ้ำ   ขาว ข่าว ข้าว  สัน สั่น สั้น  ไหม  ใหม่ ไหม้  เพราะถือว่าลงซ้ำ
เรื่องนี้ผมเถียงหัวเด็ดทีนขาดครับ ยังไงผมก็เห็นว่าลงได้  เพราะพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตเขาก็ให้ความหมายอยู่แล้วว่า
เป็นคนละคำ  คนละความหมายไม่เกี่ยวกัน  ถ้าเรื่องแค่นี้นักกลอนยังแยกไม่ออกกรุณาอย่ายกตนเป็นผู้รอบรู้เรื่องภาษาเด็ดขาด อายชาวบ้านเขาครับ
ชาวบ้าน ตาสีตาสา หรือเด็กป.4 ก็ยังรู้ว่าเป็นคนละคำคนละความหมาย
โดยมากที่ผมมักจะออกมาเขียนคัดค้าน ก็เฉพาะเรื่องที่ผมรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเรื่องนั้นๆนักกลอนรุ่นเก่า(ที่เก่ากว่าคนที่ชอบออกมาวางกฏเกณฑ์)เขาเคยทำเขาเคยเขียนมาแล้ว
แล้วกฏเกณฑ์บางอย่างมันก็ไม่ได้มีมาแต่เดิม  เป็นสิ่งที่นักกลอนรุ่นใหม่มากำหนดเอาภายหลัง  บางอย่างเราเห็นถูกต้องเราก็ทำตาม
แต่บางอย่างที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือเกินงามไปเราก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตามก็ได้


แต่เรื่องเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคของกลอนแปดที่คุณถามมา  เป็นเรื่องที่เราต้องเคารพและต้องทำตามครับ  ไม่งั้นกลอนที่เราเขียนคงไม่เรียกว่ากลอนแปด
หรืออย่างน้อยที่สุดก็คงไม่ใช่กลอนแปดแบบที่เขานิยมกัน แต่อาจจะเป็นได้แค่กลอนแปลก


 emo_15 emo_45 emo_47


 emo_111 emo_111 emo_111 emo_111





หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: รัตนาวดี ที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 04:39:PM

 emo_50 ขออนุญาต ร่วมด้วยนะคะ

คือรัตน์อยากแต่งกลอนเป็นแต่ยังแต่งไม่เก่งค่ะ

แต่จำได้แม่นยำว่า ลงต่างสระ ก็เป็นข้อห้ามเด็ดขาดเหมือนกันนะคะ

ที่จำได้ เพราะโดนเอ็ดบ่อยแล้วค่ะ  emo_43

เช่นตัวอย่างข้างล่างนี้ อ่านผ่านสายตามา จำไม่ได้ว่าที่ไหนของใคร (ต้องขออภัยท่านผู้แต่งค่ะ) emo_126



๐ ทุกข์ สยามไร้รากจะฝากหมาย
นักการเมืองทำลายจนยากสาง
ที่สัตย์ซื่อไร้สินทุ่มเทวาง
สู้เงินหว่านอัปรีย์ทู่ซี้ทน

จากใจ

รัตนาวดีค่ะ
 emo_126 emo_116


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 07 พฤศจิกายน 2013, 05:31:PM
คิดอยู่นานว่าจะแจมด้วยหรือเปล่า

ถือว่าแชร์กันนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ (ไม่รู้ว่าคุณอภัยเขาจะให้รึเปล่า 555)

ในหนังสือ ประชุมลำนำ ของหลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) ซึ่งแต่งไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 แต่ไม่ได้พิมพ์เผยแพร่ในทันที
กระทั่งท่านเสียชีวิตไปแล้วหลายปี จึงได้นำมาจัดพิมพ์ในปี 2514

(http://i882.photobucket.com/albums/ac25/Kan_ry/1314980109.jpg)

มีการกล่าวถึงเสียงท้ายของกลอนดังนี้ครับ

(หน้าที่ 55)
1. "...คำที่สุดของกลอนสดับ (คือกลอนต้น) จะใ้ช้อักษรใดก็ได้..."

2. "...คำที่สุดของกลอนรับนั้นอย่าให้ใ้ช้อักษรกลางหรืออักษรต่ำที่เปนสุภาพ บังคับให้ใช้แต่อักษรสูง..."

     ถ้าตีความตามความเข้าใจผม ก็น่าจะแปลว่า เสียงท้ายวรรค 2 ห้ามเสียงสามัญ เพราะ อักษรสูงไม่มีเสียงสามัญ

3. "...คำที่สุดของกลอนรองนั้นอย่าให้ใช้อักษรสูงที่เปนสุภาพ ให้ใช้แต่อักษรกลางกับต่ำ..."
    "...ในที่สุดของกลอนส่งนั้น อย่าให้ใช้อักษรสูงที่เปนสุภาพ ให้ใช้แต่อักษรต่ำกับอักษรกลาง"
    
     ส่วนอันนี้ผมก็งง ๆ อยู่ จะว่าต้องการห้ามจัตวา ก็ดูแย้ง ๆ กัน เพราะ แม้อักษรต่ำจะผันจัตวาไม่ได้ แต่อักษรกลางผันได้
แต่ถ้าเทียบ ๆ เคียง ๆ กับข้อหนึ่ง ผมก็เดาเองว่า น่าจะห้ามจัตวานะ (แหะ ๆ แบบตรงกันข้ามกัน อันหนึ่งห้ามเสียงสูงที่สุด อันหนึ่งห้ามเสียงต่ำที่สุด)

(หน้าที่ 54)
3. "เอกหรือโทอยู่ในที่สุดกลอนส่ง เป็น ละลอกทับ"
    "เอกหรือโทอยู่ในที่สุดกลอนรับหรือกลอนรองนั้นเป็น ละลอกฉลอง"

    การกล่าวถึง "ละลอกทับ" และ "ละลอกฉลอง" ในหนังสือ ไม่ได้ระบุว่า เป็นข้อต้องห้ามหรือไม่ (พยายามค้นแล้ว แต่ไม่เจอ)
    แสดงว่าอาจไม่ได้ห้าม วรรณยุกต์เอกหรือโท ที่วรรค 2, 3 และ 4


แต่ เสียงท้ายของกลอนในยุคปัจจุบัน (ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าใครกำหนด และกำหนดเมื่อไหร่)

วรรค 1 ได้ทุกเสียง แต่ไม่นิยมสามัญ
วรรค 2 ห้ามเสียงสามัญ และตรี
วรรค 3 และ 4 ให้ใช้เฉพาะเสียงสามัญ หรือ ตรี

สำหรับการห้ามเสียงตรีในวรรค 2 ผมก็เพิ่งทราบเหตุผลของการห้าม ก็คือ เขากลัวเสียงมันเพี้ยน แล้วทำให้คนฟังสับสนครับ
เช่น "ไว้" หากไปวางเป็นเสียงท้ายวรรค 2 อาจได้ยินเป็น "หวาย"
ดังนั้น ส่วนตัวของผมจึงเห็นว่า ตรี ในวรรค 2 น่าจะใช้ได้ แต่ต้องระมัดระวัง

แล้วทีนี้ ลองฟังการอ่านทำนองเสนาะนี่นะครับ
http://www.youtube.com/watch?v=ZzH4_iEs57E

จะเห็นว่า

วรรค 1 จะอ่านแบบค่อย ๆ ไล่เสียงสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
วรรค 2 ก็จะอ่านแบบเดียวกับวรรค 1 (เสียงท้ายวรรคนี้จึงควรมีระดับเสียงที่สูง และถ้าใช้เสียงสามัญล่ะก็ เอื้อนไม่ได้เลยละครับ)
วรรค 3 จะหลบเสียงลงมา แล้วอ่านในระดับเสียงที่เท่า ๆ กันตลอดวรรค
วรรค 4 ก็จะอ่านในระดับเสียงที่เท่า ๆ กันตลอดวรรค เช่นเดียวกับวรรค 3 (เสียงท้ายวรรค 3 และ 4 จึงไม่ควรมีระดับเสียงที่สูง)

ศรีเปรื่อง

ปล.

แต่ผมก็อยากรู้นะครับว่า ข้อบังคับเสียงท้ายในแบบยุคปัจจุบัน กำหนดขึ้นเมื่อไหร่ และ โดยใครหรือหน่วยงานใด


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 08 พฤศจิกายน 2013, 08:50:AM
แฮะ ๆ ไม่อยากแอบอ้างเอาดีชอบครับ

เป็นคำถามที่ผมไปพบที่ web สมาคมนักกลอน แต่ไม่มีผู้ออกความเห็น จึงเห็นควรนำมาเผยแพร่ (แผ่ = ขยาย, แพร่ = กระจาย)
จะได้เกิดการวัฒนายิ่ง ๆ

====

คุณ share มาถามต่อในเรือนไทยหรือคะ?
คนถามคงหงุดหงิดนิดหน่อยว่า ทำไมวรรคที่สองลงท้ายด้วยเสียงสามัญไม่ได้  วรรคที่สามกับสี่ลงด้วยเสียงจัตวาไม่ได้  ฯลฯ
อยากทราบว่าในกลอนแปดท้ายวรรคทุกวรรคจึงห้ามเสียงวรรณยุกต์ นั้นๆ
หรือให้ใช้วรรณยุกต์นั้นๆ
ทั้งสองอย่างค่ะ  มันเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน
เมื่อห้ามวรรณยุกต์หนึ่งก็เท่ากับอนุญาตวรรณยุกต์ที่เหลือ  เมื่อให้ใช้วรรณยุกต์ตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัว ก็เท่ากับไม่ให้ใช้ตัวที่เหลือ

ห้ามกันมาแต่เมื่อใด ครับ แล้ว ใครเป็นคนห้าม แล้วเคยมีการแก้ไขกันบ้างไหมครับ
ยังไม่เคยเจอกฎระเบียบที่ตราขึ้นมาเป็นทางการ  แต่ถ้าดูวรรณคดีสมัยต้นรัตนโกสินทร์  เคยอ่านกลอนบทละครที่ไม่ได้ตีพิมพ์ เก็บเป็นตัวเขียนอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ   พบว่าเคร่งแต่สัมผัสนอก-ใน และสัมผัสระหว่างบท  แต่เสียงวรรณยุกต์ปล่อยมากกว่ากลอนอย่างที่เราใช้กันปัจจุบันนี้  บาทสุดท้ายลงด้วยเสียงจัตวาก็มี  แต่ขออภัยยกตัวอย่างไม่ได้เพราะไม่มีหนังสือในมือ

ดิฉันเข้าใจว่ากลอนที่กำหนดเสียงวรรณยุกต์อย่างปัจจุบันนี้ เริ่มตั้งแต่กลอนเสภามาก่อน เช่นในขุนช้างขุนแผนตั้งแต่รัชกาลที่ 2   แล้วแพร่หลายในสมัยสุนทรภู่   กลอนที่ท่านเขียนเดิมเรียกว่า"กลอนตลาด"  ต่อมาเราเรียกเสียใหม่ว่า "กลอนสุภาพ" แบบฉบับที่สุนทรภู่นิยมใช้ก็คือใช้วรรณยุกต์แบบเดียวกับกลอนเสภา
กลอนในสมัยก่อน ใช้ขับ ใช้ประกอบเพลง  ใช้อ่านดังๆ  ไม่ได้อ่านในใจอย่างปัจจุบัน    ดังนั้นเสียงวรรณยุกต์จึงมีผลในเชิงออกเสียงมาก  ผู้ที่รู้การขับเพลงไทยเดิมและเสภาบอกว่า การลงคำท้ายมีผลต่อทำให้เพลงหรือเสภานั้นไพเราะหรือไม่ไพเราะ  ออกเสียงง่ายหรือยาก
ดังนั้นก็เป็นได้ว่า การกำหนดวรรณยุกต์ เอื้อต่อการออกเสียงในทำนองต่างๆ    จึงกลายเป็น"กรอบ" การเขียนต่อๆมา

ข้อห้ามนี้ แล้วการยอมรับข้อห้าม ทั้งประเทศเป็นแบบแผนเดียวกันมีมาแต่สมัยใด
และเคยมีการคัดค้านข้อห้ามกันบ้างไหม ก่อนที่จะได้เป็นฉันทลักษณ์อย่างนี้
ที่อ่านๆมาก็บอกต่อๆกันมาว่าห้ามนั้่นๆ แต่ยังไม่เคยเห็นการเผยเเพร่ตามที่ถามข้างบนนั้นครับ
ตอบข้างบนแล้วนะคะ

หมายเหตุ..ไม่ขอพาดพิงถึงกลอนเปล่าทุกประการครับ
กลอนเปล่าไม่มีสัมผัส ไม่กำหนดวรรณยุกต์อยู่แล้วค่ะ

เทาชมพู (ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม)
http://www.reurnthai.com/ (http://www.reurnthai.com/)


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 08 พฤศจิกายน 2013, 08:15:PM
แหะ ๆ ไปเจอบทความดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องเสียงท้ายเพิ่มเติมอีกครับ

http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538774437&Ntype=2 (http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538774437&Ntype=2)


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 10 พฤศจิกายน 2013, 10:35:AM
ตามที่ได้กล่าวอ้างถึง หนังสือ ประชุมลำนำ ฯ ของหลวงธรรมาภิมณฑ์
แล้วตัดข้อความมาบางส่วน...
คิดไปคิดมา...เอาของจริงมาแบ่งปันเลยน่าจะดีกว่า (เพราะผมตีความเอง...อาจมีอคติ  emo_85)

(http://s24.postimg.org/eaon3ue39/IMG_55.jpg) (http://postimage.org/)

(http://s23.postimg.org/6ko8uofcb/IMG_54.jpg) (http://postimage.org/)

ศรีเปรื่อง


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 12 พฤศจิกายน 2013, 10:54:AM
สงสัยว่าคนถามอาจเขียนกลอนส่งประกวด แล้วใช้วรรณยุกต์แตกต่างไปจากที่กำหนดกันมาจนกลายเป็นเกณฑ์  เช่น แทนที่จะเขียนว่า
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์               มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด             ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

ก็อาจจะเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์เป็นว่า

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์               มันแสนสุดลดเลี้ยวทั้งเคี้ยวคด
ถึงเถาวัลย์พันล้ำเหลือกำหนด           ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

แล้วถูกกรรมการปรับตก หรือท้วงติงว่าผิดฉันทลักษณ์     เจ้าตัวก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาว่าที่ผิดนั้นใครกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้แต่ครั้งไหน   ถ้าจะว่าผิดวรรณยุกต์ก็เอาระเบียบที่ตราไว้แต่โบราณมาให้ดูหน่อย

การเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์แบบที่ยกตัวอย่างมาข้างบน  เห็นบ่อยในปัจจุบัน ว่ามีการลงเสียงวรรณยุกต์กันตามใจชอบ   เมื่อไม่มีใครท้วงติง อีกหน่อยก็คงใช้ตามๆกันไปจนกลายเป็นเสียงที่อนุโลมใช้ได้ไปเอง
แต่ส่วนตัวดิฉันไม่เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ตามนี้   ด้วยเหตุผลเดียวคือรู้สึกว่ามันไม่ไพเราะเท่านั้นละค่ะ

เทาชมพู (ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม)
http://www.reurnthai.com/ (http://www.reurnthai.com/)


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 12 พฤศจิกายน 2013, 12:09:PM
ขอบคุณ ท่าน toshare มากครับ ที่เอาเกร็ดดี ๆ มาฝากอย่างต่อเนื่อง

ผมเองก็มี กลอน ที่ใช้เสียงตรีที่ท้ายวรรคสอง มาแชร์กันครับ

"ถึงปวดร้าวปานหทัยถูกใครม้าง
ก็ขอขว้างรักเก่ามิเอาไว้
แล้วออกดั้นเดินป่าพนาไพร
ประจากสาวแก้มใสแต่ใจดำ"

ศรีเปรื่อง

"ไว้" ที่ท้ายวรรค 2 หากอ่านทำนองเสนาะ ก็อาจได้ยินเสียงเป็น "ไหว" หรือ "หวาย"

ปล.

แฮะ ๆ "ทะม้าง" นี่ไม่ทราบจริง ๆ ครับ

ถึงปวดร้าวเจียนจินต์ภินทะม้าง

emo_45 ท่าน toshare เป็นงงกับศัพท์ประหลาดของผม
คือ คำนี้ผมดึงเอาลักษณะของฉันท์มาใช้ในกลอน

ภินทะม้าง = ภินท+ม้าง (ที่ใส่ อะ ไว้ด้วยก็เพราะกลัวคนอื่นไม่อ่านออกเสียงตามที่ผมตั้งใจ)

แนวคิดมาจากคำว่า  "ภินท์พัง"  ซึ่งเป็นการเอาคำสองคำที่มีความหมายในทำนองว่า "ทำลาย" มาวางซ้อนกัน
ผมก็เลยเกิดไอเดียประเจิดเอา "ม้าง" มาแทนที่ "พัง" ซะเลย  emo_19

แต่คิดไปคิดมา...ผมเขียนกลอนอยู่นี่นา ก็เลยแก้ใหม่ตามที่เห็นข้างบนครับ
ขอบคุณท่าน toshare ครับ ที่ทักท้วง ไม่ปล่อยให้ผมเล่นสนุกตามอำเภอใจ  emo_126


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 12 พฤศจิกายน 2013, 01:10:PM
ข้อห้ามในกลอนแปด ท้ายวรรค น่าจะมาจาก ปฐยาวัตตฉันท์ ในคัมภีร์วุตโตทัย นะครับ ขอนำประวัติที่มาของ กลอน มาลงให้อ่าน
และพิจารณาดูว่า เป็นไปได้ไหม

ที่มาของ “กลอน”
          หลวงธรรมาภิมณฑ์ ( ถึก ) เชื่อว่า กลอน มีที่มาจากคำฉันท์ในหมวดวิสมพฤตมีกำหนด
 วรรคละ 8 คำ แต่ไม่กำหนด ครุ – ลหุ แบบฉันท์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา ได้สนับสนุนแนวคิดนี้ โดย สันนิษฐานว่า กลอนแปด
น่าจะมาจาก ปฐยาวัตตฉันท์ ในคัมภีร์วุตโตทัย

กลอน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.กลอนสำหรับอ่าน  เช่น  กลอนเพลงยาว
2.กลอนสำหรับขับร้อง เช่น กลอนบทละคร, กลอนเสภา, กลอนสักวา, กลอนดอกสร้อย

กลอน น่าจะมีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาตอนต้น แต่ยังขาดหลักฐานที่แน่นอน เช่น กลอนเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา,
“กลอนกลบทสิริวิบุลกิติ” ของหลวงศรีปรีชา ( เซ่ง ), กลอนเพลงยาวเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร
กลอน บทหนึ่งมี 2 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคหนึ่งมี 6 – 7 – 8 คำ ( ถ้าเป็นกลอนเสภา วรรคหนึ่งมีได้ถึง 9 คำ ) มีทั้งสัมผัสนอก, สัมผัสใน,
สัมผัสระหว่างบท
 ตัวอย่าง   กลอนเพลงยาว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
         ........................                                                โฉมหอมหอมเหิรเวหาหวล         
         แต่โหยหามิได้เว้นทิวาครวญ                                  ............................................
 กลอนเพลงยาว จะขึ้นต้นด้วย วรรคที่ 2 ของคำกลอน เหมือนกับ กลอนนิราศ

ที่มาของ “โคลง”
                        โคลง มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น พ.ศ. 1893 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
( พระเจ้าอู่ทอง ) ได้พัฒนามาจากร่ายโบราณ ที่มีคำสร้อย ( คำสร้อยนั้นสามารถส่งสัมผัสได้เพียงแต่ส่งกระโดดข้ามไปวรรคหนึ่ง )
เรียกว่า “โคลงมณฑกคติ” หรือกบเต้น เช่น โคลงมณฑกคติ ในลิลิตโองการแช่งน้ำ

                        นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์                      จักร่ำจักรวาฬเมื่อไหม้
                        กล่าวถึงตระวันเจดอันพรุ่ง                 น้ำแล้งไข้ขอดหาย

      พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้นำโคลงบทนี้มาวางแผนผังใหม่ในแบบโคลงโบราณที่เป็นกลบท เรียกว่า
“กลบทเก็บบท” (ซึ่งยังไม่เคร่งครัดเรื่องสัมผัสและคำเอกคำโท)

                                    นานาอเนกน้าว                        เดิมกัลป์
                        จักร่ำจักรวาฬ                                      เมื่อไหม้
                        กล่าวถึงตระวันเจด                               อันพรุ่ง
                        อันพรุ่งน้ำแล้งไข้                                 ขอดหาย

       โคลงที่เก่าที่สุดของเมืองเหนือ คือ โคลงอุสสบารส แต่งเมื่อประมาณ พ.ศ. 1900 หลังจากมีโคลงมณฑกคติ มา 7 ปี
 ( จาก “มหากาพย์ท้าวบาเจือง : การศึกษาเชิงวิเคราะห์” ดร.ประคอง นิมมานเหมินทร์, วิทยานิพนธ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530 )

            ประเภทของโคลง โคลงแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
(1.) โคลงโบราณ มี 8 ชนิด ได้แก่   1. วิชชุมาลี    2. มหาวิชชุมาลี  3. จิตรลดา  4. มหาจิตรลดา
                                      5. สินธุมาลี     6. มหาสินธุมาลี     7. นันททายี     8. มหานันททายี
(2.) โคลงดั้น มี 4 ชนิด ได้แก่  1. โคลงสองดั้นวิวิธมาลี       2. โคลงสามดั้นวิวิธมาลี
                                         3. โคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี           4. โคลงสี่ดั้นบาทกุญชร
(3.) โคลงสุภาพ มี 8 ชนิด ได้แก่   1. โคลงสองสุภาพ       2. โคลงสามสุภาพ 
                                              3. โคลงสี่สุภาพ           4. โคลงห้า      5. โคลงจัตวาทัณฑี   
                                              6. โคลงตรีพิธพรรณ     7. โคลงกระทู้   8. โคลงกลบท
ตัวอย่าง โคลงกลบทเก็บบท
                                    กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาด                  ฟองหาว
                        ฟองหาวดับเดโช                                ฉ่ำหล้า
                        ฉ่ำหล้าปลาดิ้นดาว                              เดือนแอ่น
                        เดือนแอ่นลมกล้าป่วน                          ไปมา    ( จากลิลิตโองการแช่งน้ำ )
ตัวอย่าง  โคลงโบราณมหาวิชชุมาลี   ( ที่มีลักษณะข้อบังคับของโคลงดั้น )
                                    บุญเจ้าจอมโลกเลี้ยง               โลกา
                        ระเรื่อยเกษมสุขพูน                             ใช่น้อย
                        แสนสนุกศรีอโยธยา                            ฤๅร่ำ  ถึงเลย
                        ทุกประเทศชมค้อยค้อย                       กล่าวอ้างเยิรยอ  ( จากลิลิตพระลอ )
(คำโท 2 ที่ เป็นบัญญัติของโคลงดั้น ลักษณะของโคลงดั้นเคร่งครัดในเรื่อง จำนวนคำ, สัมผัส, และเอกโท ทำให้แต่งได้ยาก )
ตัวอย่าง โคลงจัตวาทัณฑี
                                    โคลงหนึ่งนามแจ้งจัต                         วาทัณ  ฑีนา
                        บังคับรับกันแสดง                                           อย่างพร้อง
                        เลบงแบบแยบยลผัน                                        แผกชนิด  อื่นเอย
                        ที่สี่บาทสอดคล้อง                                           ท่อนท้ายบทประถม
ที่มาของ “ ร่าย ”
ร่ายโบราณ ของไทยมีที่มาจาก ร้อยแก้วชนิดพิเศษ ที่มีจังหวะและมีสัมผัส ในศิลาจารึก
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยพัฒนามาเป็น “คัทยกาพย์” คือครึ่งร่ายครึ่งร้อยแก้ว
            ร่าย มี 4 ประเภทคือ    1. ร่ายโบราณ      2. ร่ายสุภาพ      3. ร่ายดั้น      4. ร่ายยาว   
วิธีดูประเภทของร่าย
1.ร่ายโบราณ  ถ้าร่ายบทใด ตอนจบไม่มีการเปลี่ยนสัมผัส ร่ายนั้นคือ ร่ายโบราณ
2.ร่ายดั้น  ถ้าร่ายบทใด ตอนจบไม่มีสัมผัส ( ลงแบบสองบาทท้ายของโคลงดั้นวิวิธมาลี ) ร่ายนั้น คือ ร่ายดั้น
3.ร่ายสุภาพ  ถ้าร่ายบทใด ตอนจบย้ายสัมผัส ( ลงแบบโคลงสองสุภาพและเป็นวรรณยุกต์โท
คือย้ายจากการส่งสัมผัสจากตัวที่ 1 – 2 – 3 ไปเป็นตัวที่ 5 และคำส่งสัมผัสเป็นคำโท
คำรับสัมผัส ก็เป็นคำโท ) ร่ายนั้น เรียกว่า ร่ายสุภาพ
4.ร่ายยาว ถ้าร่ายบทใด มีจำนวนคำในแต่ละวรรค มากกว่า 5 คำ ร่ายนั้นคือ ร่ายยาว
การสัมผัสของร่าย   มีการส่งสัมผัสท้ายวรรค และมีสัมผัสเชื่อมกับต้นวรรคหน้า ต่อไปเช่นนี้จนจบ
การส่งและรับสัมผัส ต้องเป็นคำชนิดเดียวกันเช่น ส่งคำเป็น ก็ต้องรับคำเป็น ส่งคำตาย ก็ต้องรับคำตาย
ส่งคำเอก รับคำเอก, ส่งคำโท รับคำโท ดังนี้เสมอไป ถ้าเป็นร่ายวรรคละ 5 คำ มักจะใช้รับกับคำที่ 1 – 2 – 3 คำใดคำหนึ่ง ของวรรคหน้า
( ที่มา “หลักภาษาไทย” พระยาอุปกิตศิลปสาร, 2514 หน้า 417 )

T.พรสรวง (คนเดิม)  http://www.vcharkarn.com/vcafe/210428 (http://www.vcharkarn.com/vcafe/210428)


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 15 พฤศจิกายน 2013, 02:36:AM
พรุ่งนี้ว่าง...คืนนี้ขอทุ่มสุดตัวเลยครับ  emo_20

http://www.youtube.com/watch?v=x5XiTIhf3CU#noexternalembed&feature=youtu.be (http://www.youtube.com/watch?v=x5XiTIhf3CU#noexternalembed&feature=youtu.be)

ทำไมกลอนวรรค ๒ จึงห้ามเสียงตรีที่คำท้าย

เหตุผลไม่ใช่เรื่องความไพเราะ แต่เพราะกลัวเสียงเพี้ยนครับ

ดังตัวอย่าง

"ไว้" รูปโท แต่ให้เสียงตรี
เมื่อวางไว้ท้ายวรรค ๒ ของกลอน
เวลาอ่านทำนองเสนาะเราอาจได้ยินเป็น "ไหว" หรือ "หวาย" ได้ครับ ( emo_26 ไม่รู้ว่าคนอ่านอ่านเพี้ยน หรือ คนฟังฟังเพี้ยน)

ศรีเปรื่อง
๑๕ พ.ย. ๒๕๕๖


หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: ศรีเปรื่อง ที่ 19 พฤศจิกายน 2013, 06:39:AM
ที่ผมจะวิพากษ์ต่อไปนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว โดยใช้การสังเกต และไม่ได้อ้างอิงตำราเล่มใด
หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยด้วยนะครับ

เป็นที่ยอมรับกันว่า "คำตาย" สามารถนำมาใช้เป็นคำท้ายของกลอนในวรรค ๓ และ ๔ ได้
แม้ว่า เสียงกลอนที่ได้จะไม่ไพเราะสักเท่าใดก็ตาม

จากการสังเกตของผมพบว่า เครื่องไม้เครื่องมือในภาษาไทย ที่ทำให้เสียงสั้นมีดังนี้

๑. ไม้ไต่คู้
    เปน  ใส่ไม้ไต่คู้   >>  เป็น

๒. วรรณยุกต์เอก
    เปิน  ใส่วรรณยุกต์เอก  >> เปิ่น    (ลองอ่านดูนะครับ จะเห็นว่าเสียงสั้นลงอย่างชัดเจน)

๓. คำตาย
    คำที่เวลาทำนองเสนาะ เอื้อนได้ลำบาก ซึ่งก็จะเป็นคำที่สะกดด้วยแม่ กก กบ กด
และก็พวกสระเสียงสั้นที่ไม่มีตัวสะกด

๔. คำลหุ
    คำที่มีเสียงสั้น ซึ่งผสมจากสระเสียงสั้นที่ไม่มีตัวสะกด ( emo_19 ดูเหมือนจะเป็นสับเซต ของคำตายนะ)

ทีนี้ ในโคลง มีการยอมรับให้เอาคำตายและคำลหุ มาแทน คำเอก ได้
ซึ่งในทัศนะของผมเห็นว่า น่าจะเป็นเพราะลักษณะเสียงที่สั้น คล้าย ๆ กันนั่นเอง

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะเอาคำที่ให้ "เสียงเอก" มาเป็นคำท้ายของกลอนในวรรค ๓ หรือ ๔ ได้
โดยเฉพาะหากเราเลือกคำที่เป็นพยางค์ปิด (คำที่มีตัวสะกด) และ ใช้สระที่เสียงสั้นซักหน่อย เช่น ส่ง ก่น จุ่ง ข่ม
ซึ่งเวลาเราออกเสียง ลมส่วนใหญ่ ก็จะถูกกักไว้ที่ปาก คล้าย ๆ กับคำตายบางคำ เช่น (กำ)หนด, ลด

ผมเลยลองทดสอบตรรกะนี้ โดยหาคำที่ให้ "เสียงเอก" ที่มีเสียงกระชับซักหน่อยมาวางที่ท้ายวรรค ๓
ลองพิจารณากันดูนะครับ

ผมเจอะสาวไฉไล...ใกล้นางฟ้า
ทรวดสง่า...ทรงสะอาง...เปรียบนางหงส์
รีบกระทำตาขยิบ...วิบวิบส่ง
หมายอนงค์เจ้าเอี้ยว...มาเหลียวแล

(ต้องขออนุญาตนำกลอนของท่านสุนทรภู่ ที่ลงท้ายด้วยคำตายมาใช้เป็นกรณีศึกษานะครับ)

๑. อ่านแบบกลอนธรรมดา

http://www.youtube.com/watch?v=GgOTbjaKWxU

๒. อ่านแบบเสภา

http://www.youtube.com/watch?v=NvuMCot_C-0

ศรีเปรื่อง
๑๙ พ.ย. ๒๕๕๖

ปล.

 emo_45  emo_45 อ่านไม่เพราะ ได้แค่ ฟิลลิ่ง ยังไงก็ทนฟังกันสักนิดนะครับ



หัวข้อ: Re: คำถามในฉันทลักษณ์กลอนแปด
เริ่มหัวข้อโดย: toshare ที่ 11 มกราคม 2023, 02:02:PM


@ วันเอ๋ยวันคืน
กาลกินกลืน อำนาจ วาสนา
รัฐประหาร เผด็จการ ยากชีวา
ต้องสิ้นท่า ติดหล่ม ตะเกียกตะกาย

@ วันเอ๋ยวันคืน
ปลุกชีพชื่น รื่นรมย์ สมมาดหมาย
ปฏิบัติธรรม นำหน ดลทุกข์คลาย
สงบสบาย พึ่งธรรม์ มั่นมุเอย

กลอนดอกสร้อย