พิมพ์หน้านี้ - ตลุยยุทธภพ

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => กลอนตลกๆ ฮาเฮ => ข้อความที่เริ่มโดย: ดอกกระเจียว ที่ 27 ธันวาคม 2010, 06:24:PM



หัวข้อ: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 27 ธันวาคม 2010, 06:24:PM


ตอนที่หนึ่ง  ชายแปลกหน้า

รัตติกาลคลืบคลานเข้าเยือนหล้า
ในโรงเตี้ยมเพียงบุปผาสว่างไสว
โคมประดับเรียงรายประกายไกล
ดุจแสงไฟล่อแมลงแห่งราตรี

ชายผูัลึกลับเข้านั่งทอดกาย
ยืดผ่อนคลายพลางเรียกแม่นางยี่
จงจัดหาสุราเลิศชั้นดี
วางที่โต๊ะข้านี้เสียเร็วไว

จางฟงยี่จึงจัดแจงแต่งสำรับ
มีสุราแกล้มกับเข้าปราศัย
โถน้ำชาให้ตามประสงค์ใจ
แลทั้งร้านไม่มีใครนอกจากนาง

จนอาโก๋คนงานผ่านมาเห็น
ไม่ลำเค็ญเคืองจิตคิดหมองหมาง
ชายแปลกหน้ามาดหรูดูท่าทาง
สุดไว้วางอย่างสนิทเฝ้าคิดไป

พลางว่า

"รับไมตรีเถิดท่านชายเพื่อคลายเศร้า
ทั้งเรือนเหย้าหย่อมย่านบ้านอาศัย
ยังว่างอยู่ห้องหับไมคับไป
ตามแต่ใจจะเลือกเฟ้นที่เห็นควร

นี่เหล้าโรงใครดื่มแล้วลืมรัก
ข้ายินดียิ่งนักรสเลิศล้วน
เชิญลิ้มรสก่อนไปหลับในจวน
อีกทั้งมวลกับแกล้มโถน้ำชา"

ชายแปลกหน้าว่า

"นี่แม่นางข้าเศร้าและเหงานัก
เพราะข้าเพิ่งอกหักเจ็บหนักหนา
หากแม่นางเห็นใจได้เมตตา
ช่วยนั้งเป็นเพื่อนข้าตลอดคืน"


แม่นางยี่

"แต่ว่าท่านชายข้าแสนง่วง
สุดฝืนล่วงเลยไปให้ดึกดี่น
เห็นจะขอตัวลาด้วยสุดฝืน
แล้วต้องตื่นแต่เช้าจงเข้าใจ

โปรดติดตามตอนต่อไป emo_26



หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 27 ธันวาคม 2010, 07:49:PM
ภาระข้ามากมายแต่แรกรุ่ง
เหลือยากยุ่งยิ่งแท้ท่านเชื่อไหม
ต้องเลี้ยงหมู-หุงข้าวและก่อไฟ
อีกทั้งไก่ในเล้าล้วนหน้าที่

เชิญท่านชายสำราญคนเดียวเถิด
ใช่ข้าเกิดแหนงหน่ายคิดหายหนี"
ครั้นพูดจบนางโค้งลาอย่างไมตรี
จรรีขึ้นห้องในทันใด

ความโดดเดี่ยวลามรอบกายชายแปลกหน้า
ซ้ำเหว่ว้ายิ่งนักเกินผลักไส
ยกสุราพลางบ่นพร่ำอยู่ร่ำไป
"คนอย่างข้ามันเหงาใจเสียสิ้นดี

เคยมีรักคนรักก้หักอก
สตรีไร้ยอยกตัวข้านี้
แม้สาวงามเพียงบุปผาไม่ปรานี
คงเห็นทีจะเดียวดายเสียแล้วเรา

เขาพลางดื่มพลางพร่ำมิขาดปาก
อยู่โผงเผงยุ่งยากอย่างหงอยเหงา
ก่อนตะโกนก้องว่า"ข้าต้องเมา
จงเติมเหล้าอีกไหไวไวโว้ย"


โปรดติดตามตอนต่อไป emo_09


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 29 ธันวาคม 2010, 05:55:PM
อาโก๋ยืนซึมเซาทั้งเหงาง่วง
สะดุ้งทรวงรับคำพลางหาวโหย
ไปถึงยังห้องเสบียงยินเสียงโวย
พร่ำโอดโอยไล่หลังเฝ้าสั่งสั่งการ

ไหสุราใบใหญ่คว้าไว้มั่น
ก็เร่งรุดเร็วพลันโรงอาหาร
ถึงโต๊ะตั้งวางลงมิลนลาน
แล้วถอยกลับไปเบิกบานอยู่แต่ไกล

ฝ่านท่ายชายได้รับแล้วกลับเศร้า
"นี่จะปล่อยให้เราหรือเปิดไห
มา-มา-มาจัดการโดยเร็วไว
เดี๋ยวติ๊บมีข้าให้อย่าได้กลัว"

อาโก๋จึงเปิดไวอย่างใช้คล่อง
ตามเรียกร้องดั่งใจไม่ปวดหัว
พลางคิดถึงผลดีต้องมีชัวร์
แล้งยืนตัวแข็งยิ้มกระหยิ่มใจ

แล้วถามว่า"ต้องให้ข้าไหมรินเหล้า
อย่าสร้อยเศร้าสั่งมาข้ารับใช้"
เขาสังเกตุหลายอย่างเช่นเมรัย
นั้นหกไหลทั่วพื้นส่งกลิ่นอวน

"เจ้าจงริน"เขาว่าตาปริบปริ่ม
อาโก๋ยิ้มรินสุราพลางยิ้มสรวล
ส่งแก้วให้ใจจิตจึงคิดครวญ
เข้าชักชวนเสวนาว่า"ท่านชาย

อันข้านี้อยู่สถานก็นานเนิ่น
แสนเพลิดเพลินมากมิตรแลสหาย
แต่เห็นท่านบอกได้เลยอย่างสบาย
ยังมิเคยกร้ำกรายมาเยี่ยมเยียน





โปรดติดตามตอนต่อไป emo_09






หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 29 ธันวาคม 2010, 06:43:PM
นามข้าคือโกวตี๋คนล้วนรู้
จอมกระบี่ยังอดสูคิดศึกเสี้ยน
เพียงแต่ท่านข้าเห็นเหมือนเช่นเซียน
แต่วนเวียนเมื่อนึกนามจงปรานี"

เขามองบ๋อยพลอยคิดพินิจนิ่ง
ถึงความจริงตรงหน้ามิแหนงหนี
แต่ข้างในสุดลึกนั้นเห็นที
มีชั่วดีอย่างไรสุดล่วงรู้

"ข้าผ่านพ้นเมืองไพรมาหลายแหล่ง
เคยคิดแบ่งไพร่นายหลายหลากอยู่
มาฟังเจ้าคิดเห็นนึกเอ็นดู
ด้วยชื่นชูที่ต่างไพร่จากหลายเมือง

ข้าอยู่เมืองซุนโหไกลร้อยลี้
หนีมานี่เพราะซึ้งใจโลกลือเลื่อง
อยู่เคหาเปล่าดายใจขุ่นเคือง
จึงจากเมืองท่องเที่ยวมาเดียวดาย

นามข้าคือ อ้อเสี่ยวตุ้ย ชอบคุยฟุ้ง
จะยากยุ่งแก่ใครไม่คิดหมาย
นี่โกวตี่พูดไปก็วุ่นวาย
เจ้าก็ชายข้าก็ชายไม่สู้ดี

ไปเรียกสาวพราวพรรณผู้พึ่งจาก
มาฝีปากกับข้าจะสูสี"
พอพูดจบเขายกเหล้าแล้วพาที
"เจ้าจงรีบไปซี..รีบๆไป"





โปรดติดตามตอนต่อไป




หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 04 มกราคม 2011, 07:23:PM
....................................................................


แสงแห่งเดือนเยือนสู่รัตติกาล
แสงนั้นผ่านหน้าต่างสว่างใส
สาวน้อยผู้เคร่งมารยาทอึดอัดใจ
อ่างน้ำใสชื่นชุ่มอบอุ่นเย็น

เธอไร้รักไร้ชายไร้ความใคร่
ไม่มีในดวงจิตเฝ้าคิดเห็น
เธอร่ำเพลงบทกวีความลำเค็ญ
"ใครจะเป็นคนเฝ้ามาเอาใจ

แสงจันทร์เอยส่องฉายเหมือนไร้ค่า
เจ้าก็คงเหว่ว้าซ่อนความไข
ข้าเช่นเจ้าข้ารู้เอ็นดูใจ
ไม่มีใครเจ้าจึงเปลี่ยวแสงโรยรา

รักข้าเถิดแสงจันทร์ที่ไร้รัก
อย่าห้ามหักหากแม้นเจัารักข้า
ด้วยยินดีข้านี้ยอมบูชา
รักมีค่ากว่าอื่นใดใครใฝ่ปอง"

จงฟางยี่แสนเพลินแม้อ้างว้าง
คิดต่างอ่างไม้กลมเป็นบึงหนอง
ในภวังค์พลันหูยินเสียงร้อง
เคาะประตูดังก้องก็ตกใจ

"หมวยเล็ก..หมวยเล็กจงฟังข้าโกวตี่
"ท่านอยูท่ีไหนนี่ข้านึกสงสัย"
"แล้วเจ้ารู้..ข้าอาบน้ำได้อย่างไร"
"แต่หมวยเล็ก..ท่านชายให้ข้าตาม"




 emo_54 emo_54












หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 04 มกราคม 2011, 08:47:PM
"เจ้าจงรีบไปเถิดนะ..เจ้าโก๋
แล้วอย่ามาคุ้ยโม้แสร้งซักถาม"
นางฉุนเฉียวคิดดูไม่วู่วาม
คำลวนลามจากชายข้าอย่างว่าไว

"เดี๋ยวข้าคงตามไปเจรจาเจ้า
เรื่องลุกล้ำหาเราน่าสงสัย"
นางขวยเขินอัดอั้นทั้งคิดไป
เขาอาจเห็นอะไรใจหวั่นกลัว

อันว่านายชายข้าแม้นคิดหยาบ
ดังตราบาปหญิงร้ายแลชายชั่ว
จึงพันกายผายผันรีบเร่งตัว
อย่างหมองหม่นไปทั่วในหัวใจ

...................................................

ชายผู้ซึ่งตัวสูงสามสอกครึ่ง
หน้าทมรึงบึ้งคิดวินิจฉัย
ตราบชีวิตผ่านมาไร้อาลัย
กลับครวญคิดครวญใคร่คำทบทวน

ฟังเสียงนางหนใดเคยเฉาเลาะ
ความพริ้งเพราะเลศนัยให้คิดหวน
โกวตี่นึกตรองใจที่เรรวน
มาถึงที่ชายเมาครวญร่ำสุรา

"นี่เจ้าโก๋บอกซีอย่าซี้ซั้ว
มาแหย่ยั่วยามเมาเลยเถิดหนา
แม่นางนั้นรับปากว่าจะมา
หรือให้ข้าเศร้าหมองเพราะต้องใจ"



โปรดติดตามอ่านต่อวันหน้า emo_12




หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 05 มกราคม 2011, 09:19:PM
เขาจึงว่า

"นี่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยผู้เที่ยวท่อง
ข้ารับรองนางต้องมาอย่าหวั่นไหว
ข้าขอเล่าบอกกล่าวเพื่อเข้าใจ
นางมิใช่เช่นสาวชาวนางโลม

แต่นางเป็นนายข้าเข้าเกือบสองปี
ทั้งโรงเตี้ยมแห่งนี้นางเฉิดโฉม
เพราะขาดนางดั่งขาดจันทร์ในโพยม
กลางเรือนพังทรุดโทรมแห่งพงไพร"

อ้อเสี่ยวตุ้ยกระแอมไอพลางกับถาม
"นอกจากบ๋อยมาดยามกับหญิงงามพิสมัย
เจ้าอย่าตอบข้านะเรือนนอกใน
มีเพียงสองหรือรับใช้บริการ"

"ไม่ผิดท่านอ้อเสี่วตุ้ยเป็นเช่นนั้น
บ้านข้าเดิมอยู่ริมน้ำลำละหาน
มาเมามายเป็นหนี้ไม่เบิกบาน
จึงอาสาทำงานเพียงสักคราว

ครั้นคิดดูอยู่ดีสุดหนีหาย
อีกทั้งนายคนก่อนกับลูกสาว
เขาการุณเเก่ข้ามายืนยาว
เหมือนเหล่าชาวยุทธภพที่ปรานี"

อ้อเสี่ยวตุ้ยถามว่า

"แล้วนายของเจ้าเขาอยู่ไหน
แล้วจึงปล่อยเจ้าไว้แล้วหลบหนี
อีกหนึ่งบุรุษกับอีกหนึ่งสตรี
เห็นแบบนี้ดูขัดเคืองในเรื่องราว"

"นายของข้าชรานักจึงฝึกพรต
หวังจะปลดทุกข์เปลื้องในหุบเขาขาว
เลิกยุ่งโลกโศกใจในเรื่องราว
มาได้ราวสามปีเหมือนชีพราหมณ์

ส่วนหมวยใหญ่เดินทางไปเมืองไกล
นับก็ได้วันนี้วันที่สาม
กับเจ้สั่ว ซัวโถนั้นติดตาม
ทราบเนื้อความว่าค้าขายกำไรดี

อีกลูกจ้างสองคนลาเยี่ยมบ้าน
ทั้งกิจการก็เงียบเหงาอยู่เช่นนี้
ในโรงเตี้ยมกลางดงแห่งพงพี
นานนานทีถึงครื้นเครงไม่เศร้าสร้อย"





หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ ตอนที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 10 มกราคม 2011, 07:01:PM
"เอาล่ะข้าเข้าใจเจ้าโกวตี่
ในคืนนี้คิดเอาคงเหงาหงอย
ว่าจะนอนกลางดงคิดเลื่อนลอย
ดั้นด้นดอยจนมาถึงที่นี่

ข้านักจรนอนไพรไม่นึกหวั่น
เพียงมีดสั้นคุ้มครองต่างกระบี่
มาเห็นเจ้าทั้งสถานแสนยินดี
นั้นเห็นทีจะอยู่พักดูสักคืน..."

...........................................

ราตรีที่เงียบเหงามิเศร้าสร้อย
เสียงหิ่งห้อยเฝ้าร่ำเสมอเพื่อน
แสงจันทร์ฉายพรายพราวดาวและเดือน
มิรู้เลือนดั่งมืตรผู้ชิดใกล้

กลางสถานลานมีโต๊ะล้วนเก็บตั้ง
เหลือเพียงนั่งตัวกลางเเสงโคมใส
สองหนุ่มเสวนาประสาใจ
ไม่อาลัยทุกข์โศกทั้งโลกมี

จางฟงยี่มาถึงรำพึงถาม
ทุกถ้อยถามความเอ่ยในวิถี
แลชำเลืองมองชายข้าไม่ยินดี
แต่ไม่มีคำใดจะปรักปรำ

"คาราวะท่านชาย อ้อเสียวตุ้ย
อย่าหน้ามุ่ยเลยหนามารินร่ำ
รสสุราข้าจะอยู่ต่อถ้อยคำ
จวบฟ้าสางจึงอำลาก็ยินดี

เจ้าโกวตี่ไปจัดแจงพวกห้องหับ
ให้ท่านชายได้หลับเป็นสุขี
โต๊ะสุราปล่อยไว้เป็นหน้าที่
ของตัวข้านี้..เจ้ารีบไป"

อ้อเสี่ยวตุ้ยว่า..

"นี่แม่นางข้าเมาหรือว่าฝัน
เมื่อท่านนั้นอยู่ต่อหน้าสวยไฉน
เห็นทีข้าจะทนง่วงเหงาเพียงใด
จะฝืนใจจวบสว่างมิห่างไกล"

..............................

ในคืนที่แสงจันทร์สาดฉายรัศมี
สุนทรีย์แห่งเวลานับห่างไร้
ชายผู้หลงรสในเมรัย
จึงซบโต๊ะเพียงเหล้าไหนั้นหมดลง

จางฟงยี่นึกเอือมละอา
ด้วยเวทนาในความไหลหลง
นางสั่งชายข้าเป็นมั่นคง
"โกวตี่..เจ้าจงพาเขาเข้าห้องนอน"



จบตอน... emo_26


แล้วคอยติดตามอ่านตอนต่อไป






หัวข้อ: ตลุยยุทธภพ ตอนที่สอง
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 11 มกราคม 2011, 03:50:PM
(http://www.klonthaiclub.com/pic/happy_011.jpg)


ตลุยยุทธภพ ตอนที่สอง 

ความเข้าใจต่อโลกของจางฟงยี่


งามตะวันรุ่งดั่งทองสาดแสงฉาย
มวลหมอกอายยามเช้าตรู่ใบไม้ว่อน
เมื่อลมพัดกรูกราวไก่ลาคอน
โก่งคอขันปลุกคนนอนให้ตื่นตัว

จางฟงยี่ผลักหน้าต่างออกรับอรุญ
ท่ามกลิ่นกรุ่นกระทะไฟโชยไปทั่ว
“คงโกวตี่เป็นแน่ที่เข้าครัว”
เธอเผลอตัวแอบยิ้มอยากลิ้มลอง

ผัดผักบุ้ง ผัดกวางตุ้งใส่เนื้อหมู
ให้คิดดูพลางเหยียดกายไม่เศร้าหมอง
เป็ดในเล้ามันจะไข่ได้กี่ฟอง
ไอ้หมูอ้วนมันคงร้องเมื่อหิวแย่

เอ..เมื่อคืนมีใครมาเข้าฝัน
หรือเพียงคิดเท่านั้นช่างแปลกแท้
คิดถึงท่านพ่อจัง..เคยขี้แย
คราวย่ำแย่ฝันร้ายได้ท่านช่วย

ทุ่งหญ้ามองไกลไกลเหมือนผืนพรม
จางฟงยี่นึกชื่นชมในความสวย
หยาดน้ำค้างเยียบเย็นกระชุ่มกระชวย
นกน้อยสยายปีกสวยส่งเสียงจอเเจ


“เอาล่ะ..อย่าช้าเปล่าไปได้แล้ว”
เธอเสียงแจ้วอยู่คนเดียวจึงแน่วแน่
สู่โรงเลี้ยงคอกเล้าเฝ้าดูแล
ชะเง้อแง้ฟังขี้เหล้าเอาแต่กรน

คาดว่าสายนายตุ้ยถึงจะตื่น
เพราะดึกดื่นกรอกเหล้าเหมือนน้ำฝน
เมื่อคิดดูตัวเราเองเฝ้าทน
ด้วยอับจนจะแรมร้างห่างบ้านนอน

เคยฟังความถามไถ่คนได้ดี
ไปมั่งมีเด่นดังไม่เดือดร้อน
ไปยิ่งใหญ่จากการที่จากจร
ใช่หมูตอนรอนายถึงได้กิน

...................................................
ตะวันขึ้นสูงโด่งสาดแสงสาย
อ้อเสี่ยวตุ้ยลุกบิดกายพลางถวิล
มันเงียบจังเสียงใครก็ไม่ยิน
เดินโผลเผลเปรี้ยวปากลิ้นหิวสุรา

อยากจะถอนสักเป๊กจึงเรียกบ๋อย
“ไวไวหน่อยอยู่ไหนให้รีบหา”
พอสักครู่โกวตี่จึงโผล่หน้า
ดูทีท่าพร้อมฟังคำสั่งนาย

“จัดเบรกฟัสให้ชุดแบบสุดยอด
และอย่าลืมยอดข้าวนะสหาย
เอาไหเล็กเบาๆแบบสบาย
เมื่อคืนแทบตายเพราะไหใหญ่ไม่สู้ดี”

“รอสักครู่นครับท่านชาย” โกวตี่ว่า
ก่อนบ่ายหน้าสู่ห้องครัวโดยเร็วรี่
อ้อเสี่ยวตุ้ยคิดเปลี่ยวใจกระไรดี
แม่นางยี่ไปไหนหนอไม่รอเรา

จนอาหารคำสุดท้ายจึงถามว่า
“นี่โกวตี่บอกหน่อยหนาว่านายเจ้า
เธอไปไหนจึงไร้แม้แต่เงา
ปล่อยให้เจ้าเฝ้าร้านทิ้งการเรือน”

โกวตี่ตอบว่า
“นางคงไปเดินเล่นแถวฝั่งน้ำ
เป็นประจำครับท่านชายนางไร้เพื่อน
นี่ก็สายให้เฝ้าอยู่แต่เรือน
คงแชเชือนจิตใจกระไรดี

ถ้านางอยู่ข้าคงไปหาไก่ป่า
หากระต่ายมากนักหนาในเขตุนี้”
“เอ” อ้อเสี่ยวตุ้ยคิด”งั้นเห็นที”
ข้าจะเดินดูพงพีแก้กลุ้มใจ

เมื่ออ้อเสี่ยวตุ้ยลับหายเมื่อสายโด่ง
แลทั้งโรงเตี้ยมแสนเปลี่ยวไฉน
โกวตี่นั่งเลื่อนลอยมองป่าไพร
ถึงแสนไกลหุบเขาดำทมึน

.........................................................
ใบไม้แห้งแต้มแผ่นดินเป็นสีน้ำตาล
เมื่อลมผ่านล่วงกรูกราวทั่วแผ่นพื้น
บางจังหวะเสียงลมฟังดั่งเสียงสะอื้น
กระต่ายป่าแตกตื่นกระโจนไหว

จางฟงยี่รักความสงบเช่นนี้
รักแห่งพงพีอันชิดใกล้
เหมือนพรมแห่งรักคลี่ห่มคลุมดวงใจ
มิให้นางสั่นไหวต่อโลกทั้งมวล

แม่น้ำหยางสงบนิ่งเป็นสีคราม
ยังงดงามเฉกเช่นรักอันหอมหวน
คลื่นเบาเบาไหลคืนฝั่งเหมือนใครครวญ
ว่ารักมิสิ้นอบอวลในหัวใจ


 emo_09


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 12 มกราคม 2011, 06:06:PM

ภาพอดีตฉายชัดมิลบเลือน
เพราะความเถื่อนของพวกถ่อยกิเลศใคร่
หวังนางเป็นที่คลายระบายใจ
เยี่ยงสัตว์ป่าผู้อาศัยในคราบคน

นางยื้อยุดหลีกหนีจากพวกคลั่ง
อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำหยางทั้งมืดหม่น
จะเสียทีพวกชาติชั่วทรชน
ประจวบจนเขามาเข้าคว้าชีวิต

ออกจากการลุกล้ำของพวกบ้า
ก่อนที่จะเสียท่ามีราคีผิด
เพลงกระบี่อันเร็วไวกว่าใครคิด
เขาพิชิตสามยอดชั่วเพียงกระบวนเดียว

............................................................
อ้อเสี่ยวตุ้ยล่วงทางถึงฝั่งน้ำ
ปากก็พร่ำว่าต้นไม้ชักแห้งเหี่ยว
แถมวังเวงจิตใจกระไรเชียว
หักไม่ได้ก็เที่ยวไล่ตีตั๊กแตน

ครั้นเมื่อพบแม่นางยี่จึงทักถาม
“โอ้คนงามดูเจ้าช่างเศร้าแสน
คงคิดถึงชายใดในดินแดน
หรือเคืองแค้นคนใดใคร่อยากรู้”

นางครุ่นคิดสักครู่พลางค้อนขวับ
ส่งสายตาจ้องจับอย่างรับรู้
“ฟื้นแล้วรึท่านตุ้ยมาด้อมดู
คนหดหู่โศกาเทียวว่าไป”

“เจ้าอย่าหลอกข้าเลยแม่นางยี่
ข้าอายุจะหลักสี่แล้วรู้ไหม
ข้าประมาณเจ้าสิบเจ็ดยังเยาว์วัย
จะปกปิดข้าอย่างไรคงไม่มิด”

“เรื่องของข้าท่านรู้ก็หนักหัว
ไยไม่เมามัวแต่สุราเป็นบ้าติด”
“เอ้า..ข้าแค่ทายว่าจะคล้ายอย่างที่คิด
ไม่ได้จ้องจับผิดนะแม่นาง”

“เชอะ..” จางฟงยี่เชิดหน้ามิว่ากล่าว
อยู่เหนืออ่าวสีครามแม่น้ำหยาง
ทอดกายนั่งเหนือผาศิลาพลาง
ส่งสายตาไปสุดกว้างแห่งนที






หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 12 มกราคม 2011, 06:40:PM
แจ้งเพื่อนๆที่ตามอ่านตลุยยุทภพ ผมว่าจะเลิกเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่สิบบทแรกแล้ว เพราะเขียนยากมาก คือผมจะเข้ามาเขียนแบบสดๆ โดยอ่านบทก่อนๆตั้งแต่เริ่มต้นและเขียนต่อจากนั้นให้ต่อเนื่อง พล๊อตเรื่องก็สดๆ  เวลากลับมาอ่านรู้สึกว่าเรื่องสนุกดีเหมือนกัน  ทำให้อยากเขียนต่อ บอกตามตรงว่าผู้เขียนไม่มีความรู้ทางภาษาจีนเลย ชื่อตัวละคร-สถานที่ ทุกอย่างล้วนแต่มั่ว emo_19 emo_26 เชื่อไหมว่าถ้าผุ้เขียนคิดจะเขียนนิยายสักเรื่อง สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้เขียนคือการตั้งชื่อตัวละคร emo_40 มันยากมาก  ถ้าจะให้ซ้ำกับตัวละครที่มีอยู่ก่อนแล้วเช่นตัวละครในหนังสือ ในภาพยนตร์  ผู้เขียนก็กลัวว่าจะเขียนให้ตัวละครนั้นเสื่อมเสียได้(แบบว่าละเมิดลิขสิทธิ์) emo_54 หรืออาจโดนฟ้อง(ฟ้องยับ-ด่า)  เพื่อนๆที่อ่านหนังสือประเพทนิยายเป็นประจำอาจสังเกตุเห็นได้ว่า  ชื่อของตัวละครของแต่ละเล่มจะไม่ค่อยซ้ำกัน หรือไม่มีเลย ซึ่งมันก็เป็นเพราะเหตุนี้ แม้แต่ผีบางชนิดก็ยังถูกจดลิขสิทธิ์ ห้ามมิให้เผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติ  ผู้เขียนเองก้รักการอ่าน  แม้จะเขียนไม่ค่อยเป็นไม่ค่อยเก่ง  แต่ก็หวังว่าจะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แด่ทุกท่าน.. emo_85

ผมว่าจะไม่แจ้งเรื่องนี้ แต่คิดอีกที ผมเองก็ไม่ใช่มืออาชีพ แบบว่าไม่มีผลประโยชน์ใดๆเลย..ครับผม emo_54

แจ้งมาเพื่อทราบ             
                           
ดอกกระเจียว


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 18 มกราคม 2011, 06:54:PM
ภาพสาวน้อยคอยรักตระหนักคิด
อ้อเสี่ยวตุ้ยนึกแหนงจิตเกินคิดหนี
"เจ้าคอยใครกันหนาบอกข้าที
ในวารีแสนไกลก็ไร้เรือ

ที่ออกเปลี่ยวเที่ยวเล่นเจ้าเป็นสาว
งดงามราวเทพธดาทั้งหน้าเนื้อ
ทั้งขุนเขาป่าปกแสนรกเรื้อ
ไม่กลัวเสือซ่อนขบเจ้าหรือไร"

จางฟงยี่ลุกเดินแสร้งเมินหน้า
เข้าร่มไม้รุกขาเงาอาศัย
จึงตอบความข้องขัดอึดอัดใจ
ถึงท้องถิ่นอำไพมิขัดเคือง

"นี่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยข้าจะเล่า
เเต่เดิมบ้านร้านเรานั้นสืบเนื่อง
เป็นป่าปกรกหนาไม่รุ่งเรือง
ไร้คนเยื้องย่างกรายก็ไม่มี

พ่อข้าหนึ่งชาวยุทธผู้ฉกาจ
ทั้งเปรื่องปราดวิทยาหนีมานี่
เพราะเบื่อหน่ายในโลกเมืองคีรี
หมายพงพีเป็นเหย้าเป็นเรือนนอน

จึงก่อตั้งเคหาตากอากาศ
ใกล้ริมหาดตั้งอยู่บนสิงขร
หวังชาวยุทธร่อนเร่พเนจร
มาพักผ่อนหย่อนใจคงได้คลาย

พ่อของข้ามากมีเพื่อนชาวยุทธ
จึงเหมือนจุดหลักแหล่งแห่งสหาย
หลายสิบปีที่นี่จึงวุ่นวาย
หลังจากแม่ข้าตายท่านแสนเศร้า

แล้วท่านว่าไม่นานถึงท่านแน่
ก็เลยหาทางแก้ไปอยู่เขา
หมายปลดปลงชีวิตเหมือนคิดเอา
ปล่อยพวกเราอยู่เคว้งคว้างกลางป่าดง

พ่อของข้าเป็นเพื่อนกับจอมกระบี่
นามถังไป่อี้มิลืมหลง
ถังไป่อี้ได้ให้สัจจ์เป็นมั่นคง
ด้วยซื่อตรงด้วยท่านนั้นสัญญา

จะดูแลพวกเราทั้งขุนเขา
ประกาศเหล่าชาวยุทธผู้ใฝ่หา
ยุทธศาสตร์ปารดเปรื่องอย่าได้มา
ล่วงชายคายาวไกลถึงสิบลี้"

อ้อเสี้ยวตุ้ยฟังแล้วคิดก่อนถามว่า
"พวกกเสือป่าสิงห์โตในเขตุนี้
มันคงไม่เกรงกลัวบารมี
ของท่านถังเพื่อนซี้ของพ่อเจ้า"

จางฟงยี่ตอบว่า

"อ๋อนี่แน่..ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย
ตระกูลข้าล้วนนักลุยแห่งขุนเขา
พวกกวางป่าพวกเสือรึเหลือเงา
เพราะพวกเราเคยรุกล่ามานานนัก






หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: Lจ้าVojกaoนบทนี้* ที่ 18 มกราคม 2011, 11:38:PM

ผมว่าเลิกไปก็น่าเสียดายนะ  เพราะนานๆทีจะได้เห็นงานเขียนที่มีคุณภาพแบบนี้
คือผมว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวดี มากกว่าที่จะแค่เขียนว่าเรารักใครรู้สึกยังไง แค่นั้นน่ะ
เวลาอ่านแล้วมันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอ่านนิยายกำลังภายอยู่จริงๆที่ไม่ใช่แค่บทกวีธรรมดา(ผมว่ายังงั้นนะ)
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะครับ


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 19 มกราคม 2011, 12:13:PM
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)


อย่าพี่งเลิกเลยพ่ออ้อเสียวตุ้ย
เชิญตลุยยุทธภพให้จบสิ้น
มีผู้อ่านเป็นแฟนทั้งแดนดิน
อย่าถวิลชื่อใด มั่วได้เลย ...

รออ่านอยู่นะครับ อิ อิ



(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 19 มกราคม 2011, 06:41:PM
ท่านต่างหากอาจพลั้งอย่าเพลิดเพลิน
ไปเที่ยวเดินเดื๋ยวเจอดีมีกับดัก
ทั้งหลุมพรางสร้างไว้มากมายนัก
ในสุมทุมพุ่มพักชำนาญพราน"

อ้อเสี่ยวตุ้ยได้ฟังก็ขนลุก
ที่เคยน่าสนุกทั่วสถาน
ตั้งระวังชั่งใจถึงภัยพาล
สิ้นสำราญมองไพรด้วยหวาดกลัว

"อ้าวเรอะ..หากเจ้าไม่เล่าแจ้ง
ข้าอาจนอนตะแคงหรือทิ่มหัว
อยู่ในบ่อดักช้างมิรู้ตัว
เพราะเมามัวเพลินไพรเช่นใจหมาย

แต่ว่า.."เขาคิด"เรื่องที่ข้าอยากรู้
เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็จนสาย
คล้ายอดีตฝ้งเจ้าจึงงมงาย
ขออย่าอายเล่ามาข้าจะฟัง"

จางฟงยี่ว่า..

"โอ้..นี่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยฟังข้า
เพียงข้ามคืนที่คบหาไร้ฝากฝัง
มีหลายเรื่องที่ข้าต้องปิดบัง
ด้วยต่างยังห่างมิตรหากคิดไป"

อ้อเสี่ยวตุ้ยครุ่นคิดจึงตอบโต้
"ข้าเองก็จอมโม้โวไฉน
เรื่องอื่นๆข้าให้เจ้าปิดไว้
แต่เรื่องนี้ขอได้ไหมรีบเล่ามา"

จางฟงยี่ใคร่ครวญทบทวนเรื่อง
ด้วยแค้นเคืองความหลังจึงอาสา
จะเล่าความตามใจแต่ก่อนมา
ถูกสามชายชั่วช้าเข้าลวนลาม

จอมกระบี่ผู้เร็วไวได้ช่วยไว้
พร้อมขับไล่ชายชั่วไปทั้งสาม
เมื่อเขาจากฝากไว้แต่เพียงนาม
เขาผู้ไม่ครั่นคร้ามกระบี่ใด

นามกระบี่"ฝากฟ้า"ดั่งพายุ
เพียงระบุเท่านี้ที่รู้ได้
ดุรูปร่างแคล่วคล่องแสนว่องไว
แต่เขาใช้ผ้าปิดไว้มิดชิด

นานหลายปีนางอยากเห็นเหมือนเช่นรัก
ก็ไม่อาจพบรู้จักตระหนักคิด
จึงมองสายธาราคราเหงาจิต
จมฝังกับอดีตตลอดมา..
















หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: สายใย ที่ 19 มกราคม 2011, 09:20:PM
(http://www.suramoutai.com/zhou%20en%20lai.jpg)
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)
 
ท่านจอมยุทธ อ้อ...
โปรดรับคารวะจากข้าพเจ้าผู้น้อยหนึ่่งจอก

ค่ำคืนนี้ มิเมามิเลิกลา ฮา ฮา
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_020.gif)


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 21 มกราคม 2011, 06:32:PM
....................................................


พฤกไพรเขียวดุจจะซ่อนความบ้าคลั่ง
แล้วอีกความพลาดพลั้งของผู้กล้า
อ้อเสี่ยวตุ้ยคิดครวญนางพรรณา
"แล้วพวกบ้านั่นพวกไหนที่อาจหาญ"

จางฟงยี่ตอบว่า

"พวกโจรถ่อยศิษย์จอมมารชั่ว
มันกำแหงไปทั่วทุกสถาน
นี่หลายปีที่มันไม่รุกราน
หนีโทษฐานล่วงล้ำคำท่านถังฯ

ข่าวว่ามันอาละวาดดักปล้นจี้
ซุ่มป่าดงพงพีควรจับขัง
แต่ทางการก็เฉยชาเรื่องปิดบัง
ขาดกำลังทั้งกันดารยากปราบปราม"

อ้อเสี่ยวตุ้ยว่า

"แล้วกระบี่ฝากฟ้าผู้กล้าเก่ง
ในแวดวงนักเลงข้าอยากถาม
เขาอยู่แห่งหนใดใคร่ทราบความ
แล้วชื่อนามจอมกระบี่มีใครรู้"

จางฟงยี่ครวญคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จึงเล่าถึงจอมกระบี่เคยกอบกู้
ยุทธจักรจากจอมมารเหลียงหมิงจู
จอมชั่วช้าที่ภูผาเขาเหลียงฟาน

มีไม่ถึงสิบกระบี่ที่อาจเทียม
เทียบเพลงยุทธที่ยอดเยี่ยมคนเล่าขาน
ทั้งแผ่นดินเขาเป็นหนึ่งอย่างเทียมทาน
แต่เรือนชานบ้านช่องนั้นไม่รู้

ทั้งโฉมหน้าล้วนไร้คนเคยพบ
เขาเร้นหลบดำดินได้หรือไรอยู่
แต่ทุกครั้งที่มารกำแหงในผาภู
เขาคือผู้กำราบโจรบาปหนา

จางฟงยี่อ้อยอิ่งสำเนียงเล่า
ซบเซาแน่วนึกถึงกระบี่กล้า
"ข้าแน่ใจจอมกระบี่ผู้ปรีชา
ยังหนุ่มแน่นหนักหนาในน้ำเสียง

ข้ายังจำได้มั่นในวันนั้น
แม้แสนสั้นแคล้วคลาดมิพลาดเเพลี่ยง
ข้ามิลีมถ้อยคำในสำเนียง"
จางฟงยี่เล่าเรียงความเป็นจริง

จวบตะวันเบี่ยงบ่ายสาดแสงกล้า
อ้อเสี่ยวตุ้ยจึงชวนลาทั้งร้อนยิ่ง
สู่สถานบ้านมีที่พักพิง
เมื่อทุกสิ่งทราบถ้วนกระบวนความ

แม่น้ำหยางสะท้อนแสงอยู่วาบวับ
เงาระยับแสนไกลไหวไหวหวาม
จางฟงยี่จ้องมองความงดงาม
ทิ้งคำถามการใฝ่ฝ่หารักอาลัย

มันยังคงเป็นความหลังที่ฝังอยู่
ในจิตใจอย่างมิรู้นานแค่ไหน
ถึงจะเลือนร้างลามิจำไว้
ในพงไพรในสายน้ำในความหลัง


........................................


จบตอน..ขอบคุณที่ติดตามอ่าน โปรดติดตามตอนต่อไป emo_54 emo_09 emo_26






หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:03:PM
เรียนเพื่อทราบ  ผม(ผู้เขียน)ได้ทบทวนแล้วว่า จะอย่างไรก็แล้วแต่ ตลุยยุทธภพที่ผู้เขียนได้เริ่มเขียนผ่านไปแล้วสองตอนนั้น หากจะหยุดอยู่แค่นี้ ผู้เขียนเห็นว่า อาจจะเสียอารมย์แก่ผู้อ่าน ทั้งที่ผมผู้เขียน ได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเขียน แต่เนื่องจาก การเล่าเรื่องแบบเดิม โดยใช้กลอนแปด ผู้เขียนเห็นว่าขาดอรรถรสในการอ่านของผู้อ่าน อีกทั้งผู้เขียนก็ยากเย็นแสนเข็ญที่จะถ่ายจินตนาการถึงท่าน

จึงพิจารณาเห็นควรแล้วว่า ผู้เขียนจะปรับรูปแบบการเล่าเรื่องมาเป็นร้อยแก้วธรรมดา ซึ่งจะเป็นการง่ายกว่า  นวนิยายเรื่องนี้นั้น ผู้เขียนใคร่ครวญถึงความยาวแล้วว่า อย่างน้อยๆ คงไม่ต่ำกว่ายี่สิบตอนเป็นอย่างต่ำ ถึงจะจบได้อย่างบริบูรณ์

และเหนืออื่นใด หากเนื้อหาและเรื่องราวที่ผู้เขียนนำเสนอ หากเห็นไม่สมควรประการใด ก็สุดแท้แต่กองบรรณาธิการผู้ดูแลระบบจะพิจารณา ข้าน้อย ข้าพเจ้าหรือตัวผู้เขียนเอง พร้อมที่จะโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่ายในที่สุด


ดอกกระเจียว


โปรดติดตามอ่านเร็วๆนี้  





 
ตลุยยุทธภพ
(http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRhX5UeHiEvfyWYBRhhRhoAk6d61jSS1YKCL3aYcg5M-bGCmMJRItUeYP6SCw)(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTE1qZuIGz5uVTYnSxvhtkFxxrmF0K2-Ds6z3b_f7NumbmPQX4SIQ)


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: Lจ้าVojกaoนบทนี้* ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2011, 07:14:PM


เข้าใจดีครับว่ายาก  และที่ผ่านมานั้นก็ถือว่าทำได้ดีครับ  ยอมรับในฝีมือในการถ่ายทอดเรื่องราวมาเป็นกลอน
อ่านเข้าใจง่าย  เนื้อหาชัดเจนดี  ได้บรรยากาศของการอ่านนิยายกำลังภายใน  ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่ใครสักคนจะทำได้ง่ายๆ
ผมเองก็ยอมรับว่าไม่มีความสามารถมากพอจะทำได้ขนาดนั้น  งานเขียนของคุณนั้นถ้าทำดีๆให้เสร็จสมบูรณ์
ถือเป็นงานเขียนลิขสิทธิ์ที่มีคุณค่า(ขายได้)เลยทีเดียว(พูดตามความรู้สึกของคนที่ชอบการอ่าน)
ไหนๆก็เปลี่ยนมาเป็นร้อยแก้วแล้ว  เอาให้บู๊ดุเดือดเลยนะ   emo_45(ปกติชอบอ่านนิยายกำลังภายในอยู่แล้ว)
ได้อ่านแถมได้คุยกับคนเขียนอีก อะไรมันจะดีเลิศปานนั้น  emo_45

                      Mayawin


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 09:21:PM
                      ตอนที่สาม  มารคืนชีพ

ป่าเขาอันสลับซับซ้อนของหุบเขาเหลียงฟาน  แวดล้อมไปด้วยพฤกไพรอันขจีปกคลุมกินอาณาบริเวรกว้างใหญ่ไพศาล  นั้นไร้ที่เบิกบานให้สัตว์สองเท้าไร้ปีกได้หฤหรรษ์ ความกว้างไกลและทึบหนาของป่าเขา ดุจที่คุมขังมนุษย์ผู้เปล่าเปลี่ยวให้ไร้อิสรภาพ ปล่องถ้ำที่อยู่สูงขึ้นไปบนผาสูง ประดุจหนึ่งหน้าต่างของคฤหาสน์ที่เปิดอยู่ ทำให้เขามองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามที่รายรอบอยู่ได้ถนัดตา
แต่ไม่มีความรู้สึกใดบนใบหน้านั้น นอกจากความเฉยชา ในแววตา..ที่ไร้ซึ่งความสุข
ร่างกายอันผ่ายผอมแต่ซ่อนไว้ซึ่งพลังอันแข็งแกร่งนั้น เอกเขนกอยู่เหนือแผ่นศิลาบนลานกว้างของถ้ำขนาดใหญ่ เขาอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว..ไม่มีใครให้คำตอบได้
เสื้อผ้าที่มอซอสกปรกผมเผ้าหนวดเคราที่ยาวรุงรังดูน่าเกลียด บ่งบอกว่าเขามิได้สนใจตัวเองมาโดยตลอด
เขาสปริงตัวด้วยฝ่ามือดีดตัวขึ้นลอยละล่องด้วยวิชาตัวเบาอันเยี่ยมยอดและว่องไว ไต่ไปตามผนังถ้ำอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว เขาพุ่งตัวเข้าหาตุ๊กแกเคราะห์ร้ายตัวหนึ่ง และคว้ามันติดมือแน่นหนับ ก่อนโรยตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา ดุจปุยนุ่นล่วงลงดิน เขามองตุ๊กแกในมือพลางแสยะยิ้ม มันพยายามดิ้นจนเขาต้องกำมันให้แน่น..
ฉับพลันนั้นเอง เขาอ้าปากออกสุดกว้างก่อนขบกัดเจ้าตุ๊กแกตัวนั้นอย่างแรงและเคี้ยวพรวดๆอย่างอร่อยปาก ส่วนตัวของตุ๊กแกยังกระตุกยึกๆอยู่ เขากัดมันอีกหนึ่งครั้งพลางหัวเราะให้กับชีวิตอันน่าสยดสยอง
 
 “แหะๆๆๆๆ...แหะๆๆๆๆ”  เลือดตุ๊กแกแดงฉานไปทั่วปากของเขา

...................................................................................
เรือถูกหุบใบและเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งอย่างเชื่องช้า เป็นไปตามความต้องการของคนคุมหางเสือ ลมพัดเฉื่อยฉิวชื่นเย็นไปทั่วบริเวร
     “ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย บัดนี้เราได้เดินทางมาถึงดินแดนแห่งหยางซัน ดินแดนอันอัศจรรย์พันลึก “ชายผู้หนวดเครายาวเฟื้อยพูดเสียงดัง
    “เรือถึงฝั่งแล้ว ทิ้งสมอได้” เขาออกคำสั่งเสียงฉะฉาน
ชายสองคนที่นั่งอยู่บนเรือมองหน้ากัน เพราะเรือทั้งลำนั้นมีแค่สามคน ชายชุดแดงพกกระบี่ท่าทางขึงขังจึงหันมาพูดแกเขา
    “อารมณ์ดีจังนะลุง”
    “ถึงหยางซันแล้วขอรับคุณชายทั้งสอง” คนขับเรือพูดอย่างอารมณ์ดี
    “ขอบใจลุงมากที่มาส่ง..เอ้านี่ค่าเรือ” ชายอ้วนเตี้ยมีไฝยื่นเงินให้แกเขา
    “ขอบคุณครับ..เที่ยวให้สนุกนะ “
ชายทั้งสองเมื่อขึ้นมาบนฝั่งแล้วชายชุดแดงก็ถามเพื่อนของเขาว่า
    “เจ้าให้ค่าจ้างแก่เขาเท่าไหร่”
   “หนึ่งตำลึง”  เพื่อนเขาตอบ
   “โอ้โห..ตั้งตำลึงเชียวเหรอ”
  “ก็ข้ารับปากกับเขาว่าจะให้หนึ่งตำลึง”
ชายทั้งสองหันไปโบกมือให้แก่คนพายเรือ เรือของเขาลอยไกลออกไป
   “โชคดีนะลุง..โชคดี”
   “เช่นกันครับท่านชายทั้งสอง” ชายผู้นั้นโบกมือและตะโกนเสียงดัง
   “เขาบอกว่าเงินหนึ่งตำลึงทำให้เขาอยู่ได้อย่างสบายเป็นเดือน” ชายอ้วนเตี้ยบอกเพื่อนของเขา

..............................................................
ทั้งสองมาถึงโรงเตี้ยมเล็กๆใกล้ๆท่าเรือ พวกเขาไม่พูดกันเลยเพราะหิวจนตาลาย
สิ่งที่พวกทำหลังจากนั้นคือกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
   “ท่านทั้งสองเดินทางมาแต่หนใดหรือ” ชายที่นั่งโต๊ะข้างๆถาม
คำถามนั้นทำให้ความสามารถในการกินอาหารอย่างรวดเร็วของพวกเขาลดลง ชายชุดแดงเปลี่ยนท่าทีตัวเองให้ดูมีมารยาทที่ดีขึ้น พลางมองเพื่อนผู้หิวโหย
ครู่หนึ่ง....
เขาหันมามองเจ้าเสียงขณะเพื่อนเขาก้มหน้าก้มตาอยู่กับโต๊ะอาหาร
   “พวกข้ามาจากต่งไห่” เขาตอบชายผู้นั้น
   “ท่านอย่าระแวงข้าเลยท่านชายทั้งสอง” ชายผู้นั้นว่า “ ข้าชื่อเปาเปียวบ้านข้าอยู่ใกล้ๆนี่เอง..ว่าแต่ท่านทั้งสอง..เอ่อ...
   “ ข้าชื่ออ๋องอุ้น..และนั่น” เขาผายมือไปที่ชายอ้วนเตี้ย
   “ หลูอัน”  ชายอ้วนเตี้ยเงยหน้าขึ้นมาบอกแก่เขา
   “พวกท่านคงมาเที่ยว”
  “ใช่” ชายอ้วนนามหลูอันว่า “ พวกข้าเคยได้ยินแต่คำเล่าลือถึงที่นี่..ต่อแต่นี้จะไม่มีใครโกหกพวกข้าได้อีก..ที่นีทิวทัศน์สวยจริงๆ”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
   “นี่ท่านเปาเปียวข้าถามหน่อย..แล้วโรงเตี้ยมเพียงบุปผาที่ลือชื่อนั้นอยู่หนใด ข้าชักอยากจะสัมผัสเสียจริง เขาว่ากันว่า ไม่ว่าจะคนดีคนชั่ว กวีหรือคนถ่อย เมื่อได้พักที่นั่น จะบันดาลพวกเขาให้พบโลกอันแท้จริงที่เขาใฝ่หาและแรงบันดาลใจมากมาย ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า ที่นั่นจะเศษสักแค่ไหนกัน “

เปาเปียวชี้มือไปทิศเหนือ
   “พวกท่านเดินข้ามเขาสองลูกนั้นก็จะถึง” 


โปรดอ่านต่อพรุ่งนี้ emo_09

       


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2011, 08:35:PM
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/493/40493/images/V1/V9/V10/V11/V12/V12-1/V13/Arbang1/Arbang2/Arbang3/Arbang3-1/Arbang4/Arbang5/Arbang6/Arbang7/Arbang8/Arbang8-1/Arbang9/Arbang10/Arbang11/14Feb/Arbang12/Arbang13/sh2/ml3.jpg)


ชายทั้งสองมองเงาลางๆของหุบเขาที่แสนไกลอย่างท้อแท้ใจ พลางคำนวนระยะทางที่จะต้องดั้นด้น
    “ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือท่านเปียว” หลูอันถามเขา
     “พวกท่านต้องลงไปที่ท่าเรือ “เขาบอก” แล้วลงเรืออ้อมวนไปตามสายน้ำที่ไหล้ออมหุบเขาเหลียงฟานแต่ข้าคิดว่าคงไม่มีเรือลำใดพาพวกท่านไปแน่”
     “ทำไมหรือ”
     “เพราะระยะทางนั้นไกลมาก..อีกอย่างน้ำบางระยะนั้นเชี่ยวกรากเป็นวังน้ำวนเพราะมีทางน้ำไหลรอดภูเขา การที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยนับว่าเป็นไปได้ยาก..สู้เดินเท้าไปจะดีกว่า”
หลูอันได้ฟังก็เป่าลมออกปากฟู่ๆ
     “ทำไมมันจะยากเย็นแสนเข็ญจริงหนอ เพียงบุปผาอันไกลโพ้น”
     “พวกท่านไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้าของสถานที่แห่งนั้นก็เคยเป็นชาวยุทธเยี่ยงพวกท่าน” เปาเปียวถามคนทั้งสอง
     “ข้ารู้” อ๋องอุ้นตอบ “เมื่อสี่สิบปีที่แล้วไม่มีใครไม่รู้จักจอมกระบี่เดียวดายแห่งเหลียงฟาน จางหลงอี้”
     “ใช่” เปาเปียวเล่าต่อ “ท่านจอมยุทธจางสร้างที่นั่นเพื่อหลบหนีความวุ่นวายของยุทธภพ และเลือกสร้างในที่ที่แสนไกลและกันดารก็เพื่อมิให้ใครย่ำกรายโดยง่าย ใครที่จะเดินทางไปถึงที่นั่นได้จะต้องมีใจที่เด็ดเดี่ยวจริงๆ และที่สำคัญคนที่เดินทางไปที่นั่นจะต้องรักและศรัทธาในตัวท่านโดยแท้จริงเท่านั้น..เหมือนดั่งท่านทั้งสอง”
อ๋องอุ้นมองจุดหมายอันแสนไกลด้วยท่าทีมุ่งมั่น ขณะที่เพื่อนของเขาเปลือกตาเริ่มหย่อนงัวเงียคอพับอยู่กับโต๊ะ
     “ข้าว่าเราพักที่นี่สักคืนเถอะเจ้าอุ้น” เขาพูดพลางหาวโหวกเหวก
     “ถ้าพวกท่านออกเดินทางแต่เดี๋ยวนี้จะถึงที่นั่นราวพลบค่ำ” เปาเปียวบอกแก่คนทั้งสอง
อ๋องอุ้นเขย่าไหล่หลูอันให้คลายง่วงและกล่าวขอบคุณเปาเปียวที่บอกทางแก่เขาก่อนที่จะสาวเท้าออกจากที่แห่งนั้น
     “ ไปเจ้าหมูอ้วนเราออกเดินทางกันได้แล้ว”

..........................................................
ตะวันเลยเที่ยงหัวไปได้นิดหนึ่ง คนทั้งสองก็เดินทางมาถึงเนินเขาที่รายรอบไปด้วยป่าข้าวโพดอันเขียวขจีและกำลังติดฝัก หมู่บ้านหยางซันและท่าเรือมองเห็นอยู่ไกลลิบเหมือนภาพจิตรกรรม มีแม่น้ำหยางสีครามทอดยาวอยู่ข้างซ้ายภุผาสีเขียวและขาวอยู่ด้านขวาแลดูสวยงาม หลูอันอิดโรยลงเป็นอันมากเพราะความเหนื่อยล้าและสภาพเส้นทางอันขลุขละกันดาร กอรปกับท้องอันอิ่มแปล้นั้นชวนให้เขารู้สึกซึมกะทืออ่อนล้ากับการเดินทางต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ที่แต่ละระยะยิ่งเพิ่มความหนักอึ้งขึ้นแก่เขาเข้าทุกที ถึงแท่นศิลาอันเรียบงามแห่งหนึ่งเขาจึงปลดกระเป่าหวายอันหนักออกจากเบื้องหลังแล้วแผ่หราอวดพุงพลุ้ยอยู่บนแผ่นศิลานั้น
    “เราหยุดพักก่อนเถอะอ๋องอุ้น” เขาพูดพลางหอบแฮ่กๆ
    “ข้าง่วงอยากจะหลับสักงีบ...ถ้าเจ้ารีบก็ล่วงทางไปก่อนข้าเถิดเดี๋ยวข้าจะตามไป..ทิวทัศน์แถวนี้สวยจริงๆ..เจ้าว่าไม๊”
    “โธ่เจ้าอ้วนตุ้ย..” อ๋องอุ้นว่า “เจ้านี่ขี้เซาจริงๆเลย..ดูข้าสิยังฟิตปั๋งอยู่เลย”
    “ทำเป็นเก่งไปหน่อยเลย..คนที่เก่งน่ะไม่มีความสุขหรอกเจ้าเชื่อข้าไหม ดูข้าสิแย่ชะมัดเลย”
    “ใครบอกข้าเก่งเจ้างั่ง” เขาว่า “เพียงแต่ข้าฟิตปั๋งและก็ไม่ขี้เซาเหมือนเจ้าต่างหาก..ลุกๆๆ..ไปต่อได้แล้ว..เราข้ามเขามาได้ครึ่งลูกแล้วเหลืออีกลูกครึ่ง”

อ๋องอุ้นมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขณะที่หลูอันเดินต้อยๆอย่างจำทน คล้อยลงภูเขาลูกนั้นเป็นพื้นที่ลาดต่ำมีป่าทึบหนาทั่วสองฝั่งทาง มาไกลพอสมควรคนทั้งสองจึงพบลำคลองแห่งหนึ่งไหลผ่านระหว่างภูเขาสองลูก มีสะพานที่โค่นต้นไม้เป็นๆสามต้นเรียงกันและผูกพาดด้วยท่อนไม้เล็กๆ อ๋องอุ้นยืนคอยหลูอันอยู่ที่สะพานนั้น เขามองลงไปยังสายน้ำเบื้องล่างที่ไหลระเรื่อยเซาะแก่งหิน น้ำนั้นใสสะอาด มีปลาตัวเล็กๆแหวกว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เหมือนพวกเขาที่กำลังดั้นด้นไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
พ้นชายป่าเป็นไร่ฝ้ายขนาดใหญ่ ดอกฝ้ายกำลังแตกดอกรอการเก็บเกี่ยวออกปุยขาวๆไปทั่วทั้งไร่แลดูอร่าม ถึงสำนักชาวไร่ด้วยความเหนื่อยล้ากับการเดินทาง ทั้งสองจึงแวะถามทางใต้ร่มเรือนแห่งนั้น เจ้าของสถานที่เป็นหญิงชราผมหงอกขาวรูปร่างออกจะอ้วนๆอัฒยาสัยดี นามผู้เฒ่าจู่หมง นางหาน้ำให้ทั้งสองดื่มแก้กระหายและมันต้ม  หลูอันชอบมันต้มเคี้ยวตุ้ยๆหมือนหมูตะกละและไม่สนใจทั้งสองสนทนากัน นางผู้เฒ่าทราบเรื่องของคนทั้งสองถึงที่มาและที่ไปจากคำบอกเล่าของอ๋องอุ้น นางรู้สึกเอ็นดุคนทั้งสองประหนึ่งลูกหลาน

    “เมื่อสามสี่วันก่อนก็มีหนุ่มคนหนึ่งผ่านทางมาทางนี้ ”นางเล่า” เขาแวะมาที่บ้านช้านี่แหละ ท่าทางขี้โม้หน่อยๆ เขาบอกข้าว่าเขาชื่ออ้อเสี่ยวตุ้ย..”
    “อ้อเสี่ยวตุ้ย” อ๋องอุ้นทวนคำ “คนตัวท้วมๆหน่อยนึงใช่ไหม”
   “ใช่..หน้าเหมือนนกเค้าแมว..เจ้ารู้จักเขารึ”
    “ไม่รู้จัก” อ๋องอุ้นตอบ “ข้าเพียงแต่เห็นเขาที่โรงเตี้ยมเมืองตงไห่ ตอนนั้นเขากำลังเมาเหล้าหนักคุยโฉงเฉงอยู่กับเหล่าจอมยุทธขี้เหล้าด้วยกัน เขาบอกว่าเขาจะมาที่นี่แหละ แต่ข้าไม่สนใจคิดว่าเขาโม้เหมือนท่าน”
    “แต่ดูท่าทางเขาไม่เหมือนคนธรรมดาเลยนะ..ข้าว่า”
   “ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดาอย่างไรหรือท่านผุ้เฒ่า” อ๋องอุ้นสงสัย
   “เขาออกจะแปลก..ในท่าทีที่มุ่งมั่นกว่าคนปกติ..ไม่เหมือนชาวยุทธทั่วไป” นางให้เหตุผล “ข้ากับจอมยุทธจางก็คุ้นเคยกัน..หมวยใหญ่ลูกสาวคนโตของท่านก็แวะมาที่นี่บ่อยๆ..นางชอบค้าขาย..ผ้าฝ้ายที่ข้าทอนางจะเหมาซื้อขนใส่รถม้าไปขายเมืองหลวงทั้งหมด..ข้ามเขาลูกนี้ไปก็จะเป้นหมู่บ้านเล็กๆ”
นางชี้มือไปที่ภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
    “พวกเจ้าจะเห็นหมู่บ้านของชาวนา...ต่อไปอีกไมไกลก็จะถึงสำนักเพียงบุปผา” นางบอก
    “ถ้างั้นข้าเห็นทีจะลาท่านแม่เฒ่าแล้วล่ะ”  อ่องอุ้นยกมือแสดงคาราวะต่อนางจูหมงพลางมองดวงตะวันที่อ่อนคล้อยใกล้ลับขอบฟ้า หลูอันหลับอุตุอยู่มุมโรงนาโทรมๆอย่างเป็นสุข

   



แต่ละช่วงอาจจะช้าสักนิดต้องขออภัยเพราะทั้งเขียนและทั้งเกลาครับ



หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2011, 06:21:PM
มาอ่านนิยายต่อครับ..



หลูอันได้หลับงีบหนึ่งก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิม มีรอยยิ้มแต้มที่มุมปากของเขาพร้อมเรื่องเล่าขานของการกำเนิดโลก ต้นไม้ยืนอวดต้นอยู่รายทาง ต้องแดดยามคล้อยค่ำแลดูเศร้าสร้อย ให้อารมณ์ว้าเหว่และเงียบเหงา หลูอันมีเรื่องเล่ามิขาดปากเหมือนสรรพสิ่งที่รายรอบอยู่ รอการมาเยือนของเขาและเขาเป็นคนมอบคุณค่าอันงดงามให้พวกมัน อ่องอุ้นมองหลูอันประหนึ่งโรงงิ้วหลังตลาดที่บางครั้งก็ทำให้เขาเกิดอารมณ์ขัน แต่ไม่ถึงกับเศร้าโศกเสียใจคล้อยตามไปเสียทุกอย่าง เหมือนเหล่าคุณยายที่นั่งอยู่หน้าเวที จนต้องคอยซับน้ำตาตัวเองเวลาตัวแสดงแสดงบทโศกเศร้า

ชาวไร่เก็บดอกฝ้ายเห็นอยู่ไกลๆในไร่ ชายแก่ๆคนหนึ่งในกลุ่มนั้นคือท่านผู้เฒ่าเยี่ยกุ้ยสามีของนางจูหมง ชาวไร่แต่ละคนมีตะกร้าใบเขื่องคล้องไหล่อยู่ด้านหลัง พวกเขาเก็บดอกฝ้ายหย่อนลงในนั้นจนเต็มตะกร้าแล้วจึงนำไปเทใส่กระทอเกวียนที่เทียมด้วยวัวสองตัว จนเต็มกระทอเกวียนจึงลากเข้าโรงปั่นฝ้ายที่ๆเขาทั้งสองเพิ่งจากมา

เส้นทางที่เริ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆทำให้หลูอันเลิกเล่าเรื่องสนุกสนานมาเป็นเรื่องยากลำบากของชีวิตที่เผชิญอยู่ บางครั้งเขาก็หุบปากลงได้ เมื่อความเงียบเข้าแทนที่อ่องอุ้นรู้สึกโหวงเหวงอย่างแปลกประหลาดจนต้องส่ายตามองมาที่เพื่อนของเขา และแน่ใจว่าเขาไม่ได้เผลอกลิ้งตกผา หากแต่ความเหนื่อยล้าจึงเงียบ

สองหนุ่มเดินตามถนนที่เลี้ยวเลาะไปตามสันเขาท่ามสายลมพัดไหวอ่อนโยนในยามเย็น หลูอันก็เผลอปากพูดออกมาท่างกลางบรรยากาศนั้น

“เจ้ากลัวโจรดักปล้นไหมอ๋องอุ้น” เขาถาม

“เจ้านี่ปากเสียจริง..กลางป่ากลางดงยังถามหาเสืออีก” อ่องอุ้นจ้องหน้าเขา

“งั้นข้าไม่พูดก็ได้” หลูอันตอบ

“แต่” หลูอันพูดอีกจนได้ “ถ้ามันมาหลายๆคนแล้วรุมเราสองคนล่ะ..เราจะทำยังไงอ๋องอุ้น”

“หุบปากเจ้าเถอะ..ดีที่สุด” อ่องอุ้นพูดเท่านั้นแล้วเงียบ

คล้อยลงจากสันเขาที่ที่สามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามของหุบเขาเหลียงฟานได้ถนัดตา แต่ในเวลาจวนค่ำเช่นนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะเริงรมณ์ของคนทั้งสอง พวกเขาเดินมาจนถึงพื้นราบมีต้นไม้ขึ้นรายทางทั้งสองฝั่ง กิ่งก้านของมันแผ่ปกคลุมเหนือพื้นทรายอันราบเรียบสองหนุ่มก้าวเท้าฉับๆอย่างเร่งรีบ..
ฉับพลันนั้นเอง เมื่อฝูงนกแตกตื่นและบินจากไปอย่างผิดปกติ ทำให้ทั้งสองหยุดกึกอยู่กับที่ส่งสายตาจับสังเกตุเยี่ยงสัตว์ระวังภัย หลูอันกำลังจะอ้าปากพล่ามอะไรบางอย่างออกมาแต่ถูกอ๋องอุ้นส่งสัญาญมือปรามเขาไว้

“ชู่วว..” เขาชี้มือนิ้วชี้ที่ริมฝีปากบอกให้เงียบ

นกที่กำลังจับคอนแตกตื่นและบินจากไปอีกครั้งฝูงใหญ่ หลูอันใจคอไม่สู้ดีสีหน้าปรากฏแววหวาดกลัว อ่องอุ้นอยู่ในภาวะเงียบนิ่งจับการเคลื่อนไหวที่อยูรายรอบ เขารู้สึกได้แม้กระทั่งใบไม้ที่ล่วงจากต้นใบหนึ่ง

ไม่มีสิ่งใด..นอกจากความหวาดระแวงของคนทั้งสอง 

พวกเขาสาวเท้าออกจากที่แห่งนั้นจนถึงลานโล่ง มีต้นต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆรายรอบอยู่ ทั้งสองต้องตกตลึงเบิ่งตากว้างต่อภาพเบื้องหน้า เมื่อมีร่างสองชายปลิวละลิ่วตีลังกาออกจากชายป่าด้วยวิชาตัวเบา และจรดฝ่าเท้าลงพื้นดินห่างออกไปจากพวกเขาไม่ไกลนัก อ้ายหนึ่งผอมสูงอ้ายหนึ่งตัวอ้วนอยู่ในชุดสีไข่มอซอรุ่งริ่ง ท่าทางอดโซ ในมือของพวกมันกุมดาบคมวาวข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งประคองเก้าอี้หวายตัวงาม มันปล่อยเก้าอี้ที่จับไว้คนละข้างของพวกมันลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล แล้วถอยไปข้างหลังคนละก้าว อ้ายตัวผอมสะแหยะยิ้มมาที่อ๋องอุ้นละหลูอัน ประหนึ่งราชสีห์พบเหยื่ออันโอชะ ปากมันตะโกนก้องในทันใด

“ ลูกพี่..” 

ชายหัวเลี่ยนเตียนลอยละลิ่วตามมาอีกจากชายป่าและกระแทกก้นของมันลงบนเก้าอี้หวาย ยกขาขึ้นไกว่ห้าง ดูดบุหรี่ควันโขมงส่งสายตาดุดันมาจับจ้องมาที่สองหนุ่ม

“พวกเจ้าต้องการอะไร” อ๋องอุ้นถามพร้อมกระชับกระบี่คู่ชีพ

พวกมันพร้อมใจกันหัวเราะ อ้ายตัวผอมสืบเท้ามาเบื้องหน้า พร้อมประกาศกร้าว

“ปล้น”

พวกมันส่งเสียงหัวเราะข่มขวัญคนทั้งสองอีกครั้ง

 “สมบัติในตัวของพวกเจ้าทุกอย่าง จะต้องตกเป็นของพวกข้าโดยไร้ข้อแม้ใดทั้งสิ้น...ฮ่าๆๆ แม้แต่ชีวิตของพวกเจ้า ถ้ากลัวตายก็ไสหัวไป ทิ้งสมบัติของพวกเจ้าไว้ แม้แต่ผ้าชิ้นเดียวก็จงอย่านำติดตัวไป”

พวกมันสามหนังพร้อมใจกันหัวเราะอีกครั้ง
อ่องอุ้นสีบเท้าอย่างระมัดระวัง ถอยหลังมาที่หลูอัน เขาสั่งให้หลูอันหลบไปหลังต้นไม้ หลุอันรีบวิ่งไปที่นั่น

“นับว่าพวกเจ้าเป็นโจรที่กระจอกมาก..ถ้าพวกเจ้ามั่นใจก็เข้ามาเอาเลย”

ใบหน้าอ้ายตัวผอมกับอ้ายตัวอ้วนเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นฉุนเฉียวและเดือดดานพวกมันกระชับกระบี่แน่นและพุ่งตัวมาที่อ่องอุ้น

“งั้นก็เตรียมตัวเป็นผีเฝ้าป่าได้แล้ว..ย๊ากกกก”

อ๋องอุ้นสับเท้าจับจังหวะการโจมตีอย่างว่องไว ถอยพอได้ระยะจึงชักกระบี่ออกจากฝักและถีบตัวลอยขึ้นกลางอากาศตวัดกระบี่ดักการโจมตีอย่างเร็วไว ร่างของเขาหมุนเกลียวอยู่กลางอากาศสามรอบ ปลายกระบี่ของเขาปะทะการโจมตีของโจรอ้วนผองเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขาจรดฝ่าเท้าลงบนพื้นดินอีกครั้ง ส่งสายตาอันดุดันมาที่โจรอ้วนผอม จับจ้องอย่างแน่วนิ่ง

โจรอ้วนผอมนั้นรุกเข้าโจมตีอย่างประมาทในชั้นแรก จังหวะที่อ๋องอุ้นกระโดดถอยรับ ได้เตะเอาทรายจำนวนมากพุ่งมาที่พวกเขาทั้งสอง และทรายเหล่านั้นก็กระเด็นเข้าเต็มเบ้าตาของพวกมัน ทำให้จังหวะการถอยรับของโจรอ้วนผอมดูไร้กระบวน พวกมันกวัดแกว่งกระบี่อยู่ชั่วครู่ จนแน่ใจว่าไร้การรุกตีจากอีกฝ่าย จึงป้ายมือสีตาอย่างเคืองแค้น

“มันเล่นทราย..เต็มเบ้าตากูเลย” อ้ายคนหนึ่งว่า
 

emo_09 emo_09 emo_26



ปล: มีอะไรขาดตกบกพร่องก็เชฺยชี้แนะได้นะครับ..แบบว่าหัดเขียน..เพื่อที่จะเล่าเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด..คือจุดมุ่งหมาย

ดอกกระเจียว



(http://www.positioningmag.com/vaf/pictures/254/25435n_%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87L.jpg)(http://www.kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/images/stories/article/630-43.jpg)

 











       


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2011, 06:45:PM
(http://www.siamzone.com/movie/pic/2008/kungfupanda/16.jpg)

อ่านนิยายต่อครับ emo_09


หลูอันจับตาดูการตอสู้อันดุเดือดบนลานกว้างอย่างระทึกใจ เขาอยู่หลบอยู่หลังต้นไม้เลยกรอบนาฬิกาจากทิศตะวันตกมาตรงที่เขาอยู่ในจุดหกโมงสิบนาทีพอดี โจรหัวเลี่ยนเตียนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หวายไกลออกไปตรงสิบสองนาฬิกา การประจันหน้าของคนทั้งสามอยู่ในกรอบนาฬิกา อ๋องอุ้นอยู่ปลายเข็มชั่วโมงตรงแปดนาฬิกา โจรตัวผอมอยู่ตรงสามนาฬิกา และโจรตัวอ้วนอยู่ปลายเข็มนาทีที่หนึ่งนาฬิกา ทั้งสามค่อยๆเยื้องย่างตามเข็มนาฬิกาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ทุกย่างก้าวของอ๋องอุ้นเขาพยายามสอดเท้าลงใต้ทรายในทุกย่างก้าว โจรอ้วนผอมจ้องจับสังเกตอย่างระแวงมิกล้าเข้าโจมตีอย่างผลีผลาม...แม้แต่นกในรังเพิ่งฟักยังระทึกต่อการต่อสู้นั้น

การต่อสู้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งโจรตัวผอมกระโดดพุ่งปลายดาบแทงเข้าที่ตัวอ๋องอุ้นหมายปลิดชีพเขา อ๋องอุ้นใช้ปลายกระบี่ตวัดปัดปลายดาบเจ้าตัวผอมไปพ้นตัวพร้อมเอียงตัวหลบการโจมตีจากเจ้าตัวอ้วนจากด้านหลัง ฉับพลันเขาเห็นโอกาสที่โจรตัวอ้วนเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าจึงหมายโจมตี โดยตวัดกระบี่ไปที่คอหอยถึงสองครั้งแต่ถูกโจรตัวอ้วนใช้ดาบของมันปัดป้องอย่างว่องไว อีกฝ่ายหนึ่งโจรตัวผอมยังคงรุกไล่เขาตลอดเวลา อ๋องอุ้นตั้งรับอย่างเหนียวแน่น เคลื่อนไหวตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีโดยง่าย สบโอกาสงามๆก็ตอบโต้ทันควัน การถูกรุกทั้งสองด้านโดยโจรอ้วนผอมทำให้อ๋องอุ้นต้องสร้างจังหวะหลบหลีกอยู่ตลอดเวลา ขณะที่โจรอ้วนผอมรุกตามไล่เขาอย่างดุดันไม่ลดละ แต่ก็มิได้สัมผัสผิวกายตัวเขาแม้แต่นิด แต่เป็นอ๋องอุ้นต่างหากที่สามารถเฉือนปลายผมไอ้ตัวผอมได้ในจังหวะหนึ่ง สองโจรหยุดการโจมตีชั่วครู่ อ๋องอุ้นส่งยิ้มมาที่ไอ้ตัวผอมแว๊บหนึ่งแล้วบอกแก่มันว่า

“ต่อไปจะเป็นคอหอยของเจ้า”

“งั้นดีล่ะ...” อ้ายตัวผอมพูดอย่างเดือดดาล “ข้าจะตัดจมูกโด่งๆของเจ้าเสียไอ้หน้าอ่อน”

ขณะที่อ๋องอุ้นเผลอตัวอยู่นั้นอ้ายตัวอ้วนกระโดดเข้าโจมตีเขาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่มิทันความรวดเร็วของอ๋องอุ้น เขากระโดดลอยตัวตวัดปลายกระบี่ตอบโต้การรุกของอ้ายตัวอ้วนอย่างรวดเร็วและสะบัดอีกหนหนึ่งสกัดการรุกของอ้ายตัวผอม ก่อนแทงกระบี่ลงพื้นเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับพื้น จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างรวดเร็ดสะบัดเม็ดทรายโดยปลากระบี่ใส่มันทั้งสอง ในจังหวะถอยรับของพวกมันนั้นเอง เขาได้กระโดดลอยตัวรุกเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วติดต่อกันถึงยี่สิบกระบี่ด้วยความรุนแรงและหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง ด้วยเห็นว่าอ้ายสองโจรนั้นแรงล้าลงยิ่งนัก การโจมตีอันรุนแรงนี้ทำให้สองโจรตั้งตัวแทบไม่ติด การต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกครู่หนึ่ง โดยการโจมตีมิหยุดหย่อนของอ๋องอุ้น พละกำลังของเขาเยี่ยงม้าพยศ เสียงกระบี่ปะทะกันดังสะท้านสะเทือนไปทั้งหุบเขาเหลียงฟาน ในที่สุดอ๋องอุ้นก็มีชัยเหนือสองโจรอย่างราบคาบ

ผลจากการต่อสู้ อ้ายตัวผอมหูหายไปข้างหนึ่งกับรอยกระบี่กลางหลังยาวกว่าสองคืบ อีกอ้ายหนึ่งโดนปลายกระบี่ของอ๋องอุ้นเข้าที่แขนทำให้เส้นเอ็นขาดในทันที ไร้ความสามารถที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไป พวกมันร้องโอดโอยอยู่เบื้องหน้าเข้านี้เอง

ฉับพลันนั้นเอง อ้ายหัวหน้าหัวเลี่ยนเตียนที่นั่งดูการต่อสู้อย่างสำราญใจ ได้กระโดดลอยตัวจรดฝ่าเท้าประจันหน้ากับอ๋องอุ้น ยืนอยู่เหนือคนทั้งสอง

“ช่วยด้วยลูกพี่...”  อ้ายตัวผอมพยายามไขว่คว้ามาที่ลุกพี่ของมัน แต่ก้ถูกฝ่าเท้านั้นกระแทกเข้าหนหนึ่ง

“เลี้ยงเสียข้าวสุก”
อ้ายหัวเลี่ยนโล่งมองลูกน้องของมันอย่างนึกสมเพช สายตาที่ไม่เคยอยู่นิ่งของมันมองปราดมาที่อ๋องอุ้น หน้าของมันเอียงซ้ายทีขาวทีอยู่ตลอดเวลา มันมองไปที่ลูกน้องของมันอีกครั้ง และกล่าวเชยชมแก่อ๋องอุ้นอย่างจริงใจ

“ฝีมือเจ้านับว่าไม่ธรรมดานะไอ้หนุ่มน้อย..” เขาบอก “ปกติข้ากับลูกน้องก็ออกตระเวนปล้นแต่พอมีพอกินเท่านั้น ไม่เคยทำร้ายใครปางตายเช่นนี้ อย่างมากก้แค่เบาะๆ”


มันมองไปที่ลูกน้องของมันอย่างเศร้าโศกเสียใจและกล่าวทั้งสะอื้นไห้

“แต่ครั้งนี้เจ้าทำร้ายลูกน้องข้าต่อหน้าต่อตา มิเกรงอกเกรงใจข้าเลยและวันนี้ข้าจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน....”

มันหยุดป้ายน้ำตานิดหนึ่งก่อนเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความคับแค้นมาที่อ๋องอุ้น เขากระชับกระบี่ระมัดมั่น จ้องมองฝ่าความหวาดกลัวไปที่มัน

“ข้าจะควักลูกตาเจ้า..และทำให้เจ้าทุกข์ทรมานกว่านี้เป้นสิบเท่า” มันตะโกนร้องอย่างเดือดดาล

"ย๊ากกกกก...."





(http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/hero/hero_02.jpg)



 










หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 18 มีนาคม 2011, 08:25:AM
ต่ออีกช่วงครับ...



โจรหัวเลี่ยนพุ่งตัวเข้าหาอ๋องอุ้นด้วยมือเปล่าๆ หากแต่รุนแรงอย่างเสือตะปบเหยื่อ อ๋องอ้นหมุนตัวหลบและตวัดกระบี่ตอบโต้การบุก แต่ปลายกระบี่ของเขาไม่อาจทำอะไรมันได้ ด้วยจังหวะหลบหลีกอันรวดเร็ว อ๋องอุ้นรู้ตัวดีว่า วิทยายุทธโจรหัวเกลี้ยงเกลานั้นเหนือกว่าเขายิ่งนัก การเคลื่อนตัวของมันดุจกังหันต้องลมเมื่อยามถูกโจมตี ลมยิ่งแรงกงหันนั้นยิ่งหมุนคว้าง ซ้ำการโจมตียังรวดเร็วต่อเนื่องและรุนแรง เขาตั้งรับอย่างเต็มความสามารถแต่ก็มิอาจต้านทานวรยุทธอันเก่งกาจของมันได้ จนในที่สุดมันก็สามารถปลดอาวุธออกจากมือเขาได้และฟาดฝ่ามือเข้าที่หัวไหล่อ๋องอุ้นอย่างจัง ร่างของอ๋องอุ้นกระเด็นตามแรงฟาดลอยละลิ่วตกลงกระแทกผืนทรายอย่างหมดท่า เขารู้สึกเจ็บปวดและหนักอึ้งที่หัวไหล่ สายตาจ้องจับการเคลื่อนไหวของของคู่ต่อสู้ ซึ่งตอนนี้มันคือเพชฌฆาตผู้กำลังเยื้องย่างเข้ามา

“ฮ่าๆๆๆๆ ฝีมือแค่นี้เองเรอะ..ถุย” มันกล่าวเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์ “มีอะไรจะสั่งเสียโลกอันสวยงามนี้ไหม..ว่าที่ไอ้บอด..หา “

“มันถึงทีเจ้าแล้วนี่..จะทำอย่างไรข้าก็สุดแต่เจ้า จงอย่าปรานี..เชิญเลย”

โจรหัวโล้นซ่ายกชูสองนิ้วที่แข็งดังเหล็ก เยื้องย่างเข้าหาอ๋องอุ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมรอยยิ้ม เย้ยหยัน ดุร้าย และเหี้ยมเกรียม

บัดหนึ่งนั้น รอบบริเวณชายป่าบังเกิดลมพัดวูบหนึ่ง อ๋องอุ้นรูสึกฉ่ำเย็น หากแต่โจรร้ายกลับแว่วได้ยินคลื่นเสียงบางอย่างก้องในโสตประสาท ประดุจว่าเสียงนั้นคือเสียงแห่งเทพเจ้าผู้ทรงธรรม

“อ้ายโจรชั่วพวกเจ้าอาจหาญมากที่บังอาจมาก่อการที่นี่อีก จงรีบไสหัวไปเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปรานีพวกถ่อยอย่างพวกเจ้าเหมือนครั้งก่อน”

โจรหัวเลี่ยนเตียนหยุดการเคลื่อนไหวถอยตัวออกจากอ๋องอุ้น พรางส่ายตาหาที่มาของเสียง ซึ่งอาจจะอยู่สูงขึ้นไปบนยอดไม้ หรือรายรอบอยู่

“ใครวะ..ใคร” มันร้องถามส่งเดช “ใคร..จงออกมาสู้กับข้า “

เกิดลมพัดขึ้นอีกวูบหนึ่ง โจรหัวโล้นพยายามแน่วนิ่งโสตประสาทจับคลื่นเสียงบางอย่าง พลันได้ยินเสียงวัตถุพุ่งแหวกอากาศ ดังหวีดหวิวจากการซัดของคนที่มีกำลังภายในสูงส่ง มันกำลังคำณวนถึงที่มาและหาทางหลบหลีก..แต่ช้ากว่าความเร็วของวัตถุนั้น

“ ฟิ้ววว...ตึก..โอ้ย“ ก้อนหินขนาดไข่ห่านลอยละลิ่วเข้ายอดอกจอมโจรหัวเลี่ยน ทำให้มันกระเด็นไปไกลถึงสองวา ก่อนทิ้งร่างล่วงลงแทกพื้นอย่างหมดท่า

“จะไปหรือไม่ไป..อยากตายใช่ไหม” เสียงเทพเจ้าอันเยือกเย็นนั้นดังก้องขึ้นอีก

โจรหัวเลี่ยนตะกายร่างอันบอบช้ำลุกขึ้นเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงการโจมตีรอบสอง มันหันไปสั่งสองสมุน ที่อยู่ในสภาพบอบช้ำไม่ต่างกันอย่างร้อนรน

“พวกเราถอย..” มันสั่งลูกน้องของมันพลางกระโจนวิ่งหางจุกตูด โดยมีสองสมุนร่างบอบช้ำวิ่งโซซัดโซเซติดตามไปเบื้องหลัง

หลูอันเข้าประคองร่างอ๋องอุ้นพยุงให้เขาลุกขึ้น ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่รู้ว่า โจรชั่วนั้นถูกใครหรือสิ่งใดทำให้พวกนั้นเผ่นไปได้ อ๋องอุ้นเข้าใจว่าเป็นฝีมือของหลูอัน จึงกล่าวชมแก่เขา
“เจ้าเก่งมากหลูอันที่ช่วยข้า เจ้าปาได้แรงมาก..เจ้าเก่งกว่าข้าเสียอีก”

“ข้าเปล่า..” หลูอันตอบเขา “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย..ข้าแค่ยืนดูเฉยๆ แล้วพวกนั้นก็วิ่งหนีไปเอง”

“เอ้า..เจ้าไม่ได้ซัดก้อนหินใส่มันหรอกเหรอ” อ๋องอุ้นถามอย่างสงสัย

“ ซัดเซิ๊ดอะไรกัน..ข้าบอกแล้วไงข้าแค่ยืนดู”

อ๋องอุ้นมองลึกเข้าไปในดวงตาของหลูอัน และรู้ดีว่าเขามิได้โกหก มันยิ่งทำให้เขาสงสัยเป็นที่สุด ว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังการโจมทีนั้น เขามองป่าที่แวดล้อมอยู่อย่างสงสัย และคิดเอาว่าอาจมียอดฝีมือหลบอยู่ในนั้น เขาอยากรู้จักคนที่ช่วยชีวิตเขา

(http://content.mthai.com/data/16/1/2008-04-09/22544/detail/images/8)
                       จบตอน............


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 16 เมษายน 2011, 09:26:PM






ทำไมผมต้องขี้เกียจเขียนหนังสือด้วยนะ
ฉงฉัย..เพราะไม่ได้ตังค์

แฮ่.. emo_85


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: Lจ้าVojกaoนบทนี้* ที่ 16 เมษายน 2011, 09:54:PM

ช่วงนี้ข้าน้อยอ่านเงาอสูรอยู่เน้อ..เดี๋ยวไว้ว่างๆจะมาอ่านละกัน 5555+ emo_95


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 02 สิงหาคม 2011, 11:07:PM


                       ตลุยยุทธภพ ตอนที่ 4 ร่ำสุราเริงกวี
   

     บรรยากาศภายในโรงเตี้ยมตอนตะวันสายโด่ง อากาศเย็นสบายดี เก้าอี้ทุกตัวถูกเก็บให้เข้าที่วางเทินไว้บนโต๊ะ พื้นเบื้องล่างปัดกวาดจนสะอาดสะอ้านโดยจางฟงยี่ เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือกวี ปล่อยอารมย์ไปกับจินตนาการในหนังสือนั้น

เมื่อสามวันก่อนที่โรงเตี้ยมของเธอได้มีแขกมาใหม่สองคนในตอนพลบค่ำ คนหนึ่งนั้นหล่อเหลาชื่ออ๋องอุ้น เขาได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายที่หัวไหล่ จากการวิเคราะห์ของอ้อเสี่ยวตุ้ยกับคำบอกเล่าของคนที่ทำร้าย ทุกคนลงความเห้นตรงกันว่า เป็นฝีมือของศิษย์จอมมารชั่ว จางฟงยี่ก็เชื่อเช่นนั้น เพราะเธอเองก็เคยพานพบชายโฉดทั้งสาม ชายอีกคนหนึ่งชื่อหลูอันรูปร่างอ้วนเตี้ยและช่างเจรจา เขาบอกกับจางฟงยี่ว่าเขาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการในหอสมุดในเมือง เขามีหน้าที่อ่านและตรวจสอบจดหมายร้องเรียนของราษฎรที่ส่งมาที่สำนักตรวจการ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่หนักเอาการ เพราะเดือนหนึ่งๆมีจดหมายร้องเรียนเข้ามามากมาย นอกจากเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการเขายังบอกอีกว่า เขามีหน้าที่ดูแลห้องสมุดที่มีหนังสือ ของนักปราชญ์ ราชครูมากมายทั่วทั้งแผ่นดิน เขาพกมาด้วยหลายเล่ม และให้เธอยืมเล่มหนึ่ง คือเล่มที่อยู่ในมือเธอตอนนี้ โดยผู้เขียนใช้นามแฝงว่า”เจ้าแมวเหมียว”
                                   
                                    ‘ยามเมื่อลมพัดผ่าน
                                    นำพากลิ่นหอมหวนแห่งมวลดอกไม้
                                    หอมหวนดุจความรัก
                                    ข้าหรือต้องการสิ่งใด’
 
จางฟงยี่ครุ่นคิดถึงชีวิตก่อนจะยิ้มให้กับตัวเอง เธอไม่ใช่เด็กน้อยแต่เธอเป็นสาวแล้ว เธอคิดไปไกลจนกระทั่งว่า วันหนึ่งเธอจะมีคนรักแต่คนรักเธอจะเป็นใครกัน...เธอคิดว่าคนเขียนหนังสือเล่มนี้มีเจตนาให้คนอ่านที่เป็นสาวอ่านแล้วหน้าแดงแน่ๆ เพราะสำนวนนั้นยั่วยวนดีเสียจริง...แต่เธอก็ชอบที่จะอ่าน

อ้อเสี่ยวตุ้ยมีความสุขท่ามกลางแสงแดดยามใกล้เที่ยง ในมือถือกระต่ายสีน้ำตาลตัวหนึ่ง เขาผิวปากเป็นเสียงเพลงทำนองรื่นรมณ์ ทางที่เขาเดินมาดูคดเคี้ยวเหมือนเส้นเชือกในพรมเขียว เมื่อราวเหนื่อยอ่อนกับการเดิน เขาหยุดป้ายเหงื่อที่ซมไหลบนหน้าผาก มองโรงเตี้ยมตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาไกลออกไปเบื้องหน้า

“อากาศดีจริงๆเลย เจ้าว่าไหมเจ้ากระต่ายน้อย” เขาชูกระต่ายที่ถืออยู่ขึ้นมาพูดด้วยแต่กระต่ายตัวนั้นตัวอ่อนปวกเปียกไม่มีกิริยาใดๆตอบรับ

“สงสัยจะซี้แหงแก๋เลี้ยว” เขาจิ้มมือที่หน้ากระต่ายแล้วเดินต่อไป

เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปในโรงเตี้ยม อ้อเสี่ยวตุ้ยก็พบจางฟงยี่กำลังนั่งอ่าหนังสืออยู่ เขาวางกระต่ายตัวนั้นลงต่อหน้านาง จางฟงยี่พับหนังสือเก็บและหันมามองมันอย่างสนใจ

“แม่นางยี่ช่วยประฐมพยาบาลมันหน่อย”เขาบอก”ตอนที่ข้าพยายามปลดมันออกจากแร้ว ข้าคิดว่ามันจะทำร้ายข้า ข้าตกใจเลยเขวี้ยงมันอัดกับต้นไม้ มันเลยสลบไป” เขาบอก

จางฟงยี่มองกระต่ายที่น่าสงสารและตรวจพิเคราะห์อย่างละเอียด เมื่อแน่ใจจึงหนหน้ามาพูดกับอ้อเสี่ยวตุ้ย

“มันตายแล้วค่ะท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย ตายสนิท” จางฟงยี่พลิกร่างไร้วิญญาญนั้นกลับไปกลับมา

“สงสัยข้าจะมือหนักไป” อ้อเสี่ยวตุ้ยนึกสมเพชกระต่ายตัวนั้น “อโหสิให้ข้าด้วยเถอเจ้ากระต่ายน้อย”

“ข้านึกออกแล้ว”

“อะไรแม่นางยี่”

“ท่านเคยกินผัดเผ็ดกระต่ายไหม”

“ข้าไม่เคย” อ้อเสี่ยวตุ้ยตอบ

“ย่าง”

“ไม่เคย”อ้อเสี่ยวตุ้ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง”อ๋อเคยๆๆ ตอนข้าแรมทางอยู่กลางป่า ข้าเคยย่างกินครั้งหนึ่งรู้สึกว่ามันก็...เอ่อรสชาติไม่เลว”

“เดี๋ยวข้าจะเอากระต่ายไปให้อาโก๋จัดการ” จางฟงยี่บอกเขา

“ข้าก็ชักหิวๆเหมือนกัน” อ้อเสี่ยวตุ้ยตอบ

“โปรดรอสักครู่”

“งั้นข้าขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าซักหน่อย เหนียวตัวไปหมดแล้ว”

“ตามสบายค่ะท่ายตุ้ย”

เมื่อจางฟงยี่หิ้วกระต่ายสีน้ำตาลหายตัวเข้าไปในครัว อ้อเสี่ยวตุ้ยจึงขึ้นไปบนห้องพัก ความเหนียวเหนอะหนะตัวทำให้เขารู้สึกอึดอัด...

ห้องพักของโรงเตี้ยมชั้นบนมีทั้งหมดแปดห้อง มีทางเดินตรงกลาง แบ่งเป็นสองช่วงมีห้องโถงตรงกลางกั้นอยุ่ ด้านทิศเหนือมีระเบียงยื่นออกไปว่างโล่งมีกรงไม้ล้อมรอบด้าน ด้านนอกมีเพิงยื่นออกไปมีกรงนกพิราบอยู่ตรงนั้น หลูอันนอนอวดพุงพลุ้ยอยู่บนม้านั่งที่ทำด้วยหวายอ่านหนังสืออย่างอารมย์ดี นกพิราบกำลังกินเหยื่อที่เขาโรยไว้ในรางให้อาหาร

“ท่านชอบนกพิราบราบหรือ” อ้อเสี่ยวตุ้ยถามเขา

หลูอันไม่ได้ตอบ แต่พับหนังสือวางบนเก้าอี้หาวโหวกเหวกขึ้นทีหนึ่ง

“ไปไหนมาล่ะท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย”

“ไปเดินเล่นข้างนอกมา”เขาตอบ

“สนุกมะ”หลูอันเหยียดกายลุกขึ้นบิดขี้เกียจ

“ข้าไปเจอกระต่ายติดแร้วตัวหนึ่งแน่”

“แล้วไงล่ะ”

“แม่นางยี่กำลัดจัดการผัดเผ็ดอยู่ในครัว”

“กลิ่นหอมดี” หลูอันลูบพุง “น่าจะอร่อยนะ”

“แล้วเพื่อนของท่านเป็นไงมั่ง”

“อยู่ในห้อง”หลูออันตอบ”อีกวันสองวันก็คงบู้ได้อีก”

“ข้าอยากให้เพื่อนท่านหายไวไวจังข้าจะได้มีเพื่อนกินเหล้า” อ้อเสี่ยวัยบอกเขา

หลูอันครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงถามว่า

“ท่านทำอะไรเป็นอีกบ้างนอกจากกินเหล้า”เขาตั้งข้อสังเกต “เมรัยเมื่อไร้นารี”

“ท่านไม่ชอบหรือ”

“ชอบ”หลูอันตอบโดยไม่มองหน้าเขา

“อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ลุ่มหลงหรอกนะ แต่บางครั้งมันก็ทำให้ข้าคิดถึงแต่เรื่องที่ดีๆไม่วุ่นวายใจแค่นี้มันก็ทำให้ข้าเป็นสุขนักแล้ว” อ้อเสี่ยวตุ้ยรำพันแล้วเปรี้ยวปาก “มันคือเพื่อนเสมือนท่านและเพื่อนท่าน”

“ท่านไม่มีเพื่อนหรือ” หลูอันถาม

“ข้ากำลังบอกท่านอยู่นี่ไง เพื่อนข้าคอเมรัยรสเลอล้ำ” อ้อสี่ยวุตุ้ยพูดอย่างยิ้มแย้ม”เอาล่ะข้าเห็นจะขอตัวลาล่ะ”

“ตามสบายท่านอ้อเสี่ยวตุ้ย”

 หลูอันเพิ่งจะรู้สึกว่าหิวเมื่ออ้อเสี่ยวตุ้ยพูดถึงผัดเผ็ดกระต่าย กลิ่นนั้นโชยมาจากครัวหอมฉุย จนท้องเขาร้อง “จอรจ จอร์จ จอร์จ” อ้อเสี่ยวตุ้ยเดินจากไปแล้ว หลูอันคิดว่าชายคนนี้มีลับลมคมในจากการเฝ้าสังเกตุของเขา เขาอาจไม่ใช่คนจรธรรมดาอย่างที่เขาบอก แต่เขาจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ เพราะในความรู้สึกตอนนี้อ้อเสี่ยวตุ้ยคือเพื่อนของเขาคนหนึ่ง หลูอันคิด




กะจะเขียนให้ยาวกว่าเพชรพระอุมาเลยนะนี่ emo_26...พรุ่งนี้มีต่อ


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 03 สิงหาคม 2011, 09:26:PM
ต่อครับ.... emo_54



อาโก๋กำลังเร่งมือหมักเหล้า สูตรพิเศษอยู่ที่สมุนไพรต่างๆ เกสรดอกไม้หลายชนิด มันจะทำให้รสชาดของเหล้านั้นกลมกล่อมเมื่อหเมื่อหมักได้ที่ มันเป็นหน้าที่ของเขาโดยตรงที่ถูกถ่ายทอดมาแต่คนรุ่นก่อนๆทีละนิดละน้อยประกอบรวมกัน รวมทั้งงานอื่นๆภายในครัว จนเมื่อเขาเชี่ยวชาญชำนาญในทุกอย่างแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงได้ลาออกไปประกอบอาชีพตามความรู้ที่ได้รับจากที่นี่  ที่นี่จึงเสมือนเป็นโรงเรียนฝึกสอนวิชาชีพแห่งหนึ่งที่ผู้ผ่านเข้ามาและออกไปจะได้มีความรู้ติดตัวไปด้วย เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของท่านผู้เฒ่าจางหลงอี้ที่ไม่ยึดติดแต่การค้ากำไร ผิดจากที่อื่นๆที่เรื่องเล็กๆน้อยๆรวมทั้งเคล็ดลับต่างๆเหล่านี้จะถูกปิดเป็นความลับ แต่ทุกอย่างจะถูกขับเคลื่อนไปโดยกลไกของธรรมชาติ แม้แต่ตัวของเขาเองก็มิได้รู้ตัวว่าถูกเสี้ยมสอนในเรื่องเหล่านี้เลย แต่พอมารู้ตัวอีกทีเขากลับรู้สึกว่า ท่านผู้เฒ่าจางหลงอี้นี้ลึกล้ำในความคิดเสียจริง การให้ทรัพย์นั้นยังมีวันหมด แต่ การให้ความรู้ในการหาทรัพย์และการรักษาทรัพย์ที่หามาได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าและมีแต่เพิ่มพูลไม่สูญสิ้น

ทุกคนที่พ้นจากที่นี่แล้วจะรู้สึกว่าท่านผู้เฒ่าจางหลงอี้มีพระคุณอย่างล้นพ้นต่อตัวพวกเขากับวิชาการที่ได้เรียนรู้จากที่นี่ บางคนเปลี่ยนตัวเองเป็นเฒ่าแก่น้อยๆ จากวิชาชีพที่ถูกถ่ายทอด โกวตี่เองยังเคยคิดว่าเขาจะออกไปเปิดโรงเตี้ยมเล็กๆซักแห่งหนึ่งและมีความสุขกับกิจการเล็กๆนั้นสักวัน...แต่เขาจะจากที่นี่ไปไม่ได้จนกว่าจะมีผู้มาทำหน้าที่แทนเขา

จางฟงยี่เข้ามาในครัวหลังจากเหล้าไหสุดท้ายถูกหมักแล้วเสร็จและถูกเก็บเข้าที่ในห้องเก็บเสบียง เธอเข้ามาพร้อมกระต่ายป่าตัวหนึ่ง

“ท่านทำอะไรอยู่หหรืออาโก๋” จางฟงยี่ถามพลางวางกระต่ายลง

“หมักเหล้า” เขาตอบ

“อืม!ตั้งแต่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยมาเหล้าในร้านเราคงพร่องไปเยอะเลยล่ะสิ” จางฟงยี่ถามอย่างนึกสงสัย

จางฟงยี่มองไปที่ห้องเสบียง เธอจะได้กลิ่นหอมๆของเหล้าเมื่อเข้าไปในนั้น แต่ตอนนี้มันถูกปิดสนิทอยู่ โกวตี่เห็นกระต่ายป่าทำให้เขานึกถึงแล้วที่เขาดักไว้

“เปล่าหรอก...!ต่อให้คอเหล้าอย่างท่านอ้อเสี่ยตุ้ยสักสิบคนก็คงกินเหล้าที่ข้าหมักไว้ไม่หมด ” โกวตี่ตอบ “ข้าแค่สำรองไว้เท่านั้น”

“ท่านจัดการนี่ให้ห้หน่อยสิ”

“มันติดแร้วหรือ”

“ใช่ท่านอ้อเสี่ยวตุ้ยไปเจอมันติดแร้ว”เธอบอก”แต่ข้าคิดว่าข้าอยากให้มันเป็นๆอยู่มากว่า ข้าอยากเลี้ยงมันไว้ดูเล่น”

“มันเป็นกระต่ายป่าไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหรอก” โกวตี่บอก

“แล้วแบบไหนล่ะที่เหมาะจะเลี้ยง”

“เอาไว้ข้าจะหามาให้สักตัวก็แล้วกันถ้าท่านชอบ”

โกวตี่หันมาพิจารณากระต่ายตัวนั้นและถามจางฟงยี่

“เอายังไงดี”

“ด่วน” จางฟงยี่ตอบเขาก่อนเดินจากไป

“ด่วน” โกวตี่ทวนคำและครุ่นคิด

การเป็นพ่อครัวในความคิดของโกวตี่นั้น ไม่ต่างกับการเป็นนักดนตรี และเขาต้องเล่นดนตรีหลายชนิด มีความหนักเบาแตกต่างกันไป แต่ต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญในทุกด้าน การปรุงอาหารต้องใช้ความละเมียดละไม เปรียบได้เหมือนกับการตีขิมที่ต้องพินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่ยามบรรเลง ความไพเราะอันเกิดจากความชำนาญของผุ้เล่นเปรียบได้กับรสชาติของอาหารที่เขาปรุง

“ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเท่าผัดกระต่ายนี้มาก่อนเลย” หลูอันพูดกับอ้อเสี่ยวตุ้ยขณะที่เขาตาแดงด้วยฤทธิ์ของสุรา ทั้งสองรู้สึกสนิทกันขึ้นกว่าแต่ก่อนเมื่ออาหารมื้อนั้นจบลง

“ดื่มอีกจอกท่านหลูอัน”

“ดื่ม” อีกฝ่ายตอบ

เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้สายตาจับสังเกตุของจางฟงยี่ เธอครุ่นคิดถึงเรื่องร้ายๆที่อาจเกิดขึ้น หลายวันมานี้เธอรู้สึกไม่สบายใจ กอรปกับเรื่องร้ายๆที่เธอได้รับรู้ เธอสังเกตุและตั้งข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับลักษณะของคนทั้งสอง เธอไม่คิดเสมอไปว่าอ้อเสี่ยวตุ้ยและหลูอันนั้นจะเป็นคนดี ยิ่งนิสัยรักเสพสุราด้วยแล้ว คนเหล่านี้หาความไว้ใจได้ยากในความคิดเธอ แต่มันเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีในฐานะแขกผู้มาเยือน โดยตัวเธอเองก็มิได้ถือตัวแต่เพียงว่า เธอเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้เท่านั้น จางฟงยี่เปิด’เจ้าแมวหมียว’และอ่านหน้าต่อไปและพยายามไม่คิดถึงสิ่งใด


 emo_09

 


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 17 ธันวาคม 2012, 08:25:PM

อีกไม่นานผมจะกลับมาตลุยยุทธภพต่อ...โปรดติดตามอ่าน ที่นี่ เร็วๆนี้ emo_54


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: (พระอภัย) ที่ 03 มกราคม 2013, 08:30:PM
สนุกดีครับจิตนการสูงนะครับมื่อก่อนผมก็ชอบเหมือนกันเเต่เป็นไสตส์ยอมยุทธหลงยุคประมาณนี้ได้สี่ห้าตอนนี้ละเเต่เพื่อนมันลงวินโดว์นิยายผมเลยหายไปด้วยเสียดายอิอิเเต่เห็นกระทู้นี้เเล้วมีไฟอยากเเต่งมั้งถ้าเป็นไปได้เดี่ยวจะมามั่วกระทู้นี้บ่อยๆนะ555


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 03 มกราคม 2013, 10:11:PM


ช่วงนี้ผมกำลังอ่านเพชรพระอุมา ของพนมเทียนอยู่ครับ
คาดว่า กว่าจะอ่านจบทั้งสองภาคอาจต้องใช้เวลาถึงสี่เดือน
นี่ขนาดข้ามไปภาคสองเลย อ่านมาเดือนกว่าแล้วยังไม่จบเลย 555


 emo_68




หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: (พระอภัย) ที่ 04 มกราคม 2013, 02:31:PM
ผมก็อ่านนะเพรชพระอุมาอ่ะถึงตอนไปปราบช้างไอ้เเหว่งเเล้วเเต่มันหนีไปได้555


หัวข้อ: Re: ตลุยยุทธภพ
เริ่มหัวข้อโดย: ดอกกระเจียว ที่ 31 มกราคม 2019, 01:47:PM
สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหกจบเรื่องตลุยยุทธภพภาคแรก อิอิ เปล่าโฆษณา


https://www.readawrite.com/a/7d29534b1f71b306237ac1e050059c10?fbclid=IwAR3z4HefTMfR_nuVb5utLqCd0a-FYFC_xNwYLSiONIdh7lJj4apZkj7d2Dc (https://www.readawrite.com/a/7d29534b1f71b306237ac1e050059c10?fbclid=IwAR3z4HefTMfR_nuVb5utLqCd0a-FYFC_xNwYLSiONIdh7lJj4apZkj7d2Dc)