พิมพ์หน้านี้ - กลอนเขา เอามาเล่าใหม่

ชุมชน บ้านกลอนไทย ชุมชนสำหรับคนไทยผู้รักกลอน

บทประพันธ์กลอนและบทกวีเพราะๆ => ห้องรวบรวมบทกลอน,บทกวีจากที่อื่น.. => ข้อความที่เริ่มโดย: ฉันเอง ที่ 23 ธันวาคม 2010, 12:55:AM



หัวข้อ: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 23 ธันวาคม 2010, 12:55:AM
วัตถุประสงค์
เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่มีใจรักบทกลอน บทกวี ได้อ่าน ได้ศึกษา เปรียบเทียบ
เพื่ออนุรักษ์บทกลอนเก่าๆ ที่ยังไม่ได้รวบรวม เป็นแหล่งความรู้
เพื่อแบ่งปันความรู้สึก
ขอบคุณทุกท่าน และบ้านกลอนไทย มาณ.ที่นี้ด้วยครับ

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_197.gif)

(http://add.klonthaiclub.com/images/271176031389.jpg)
ความร้อน..

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

ความเอ๋ยความร้อน
เครื่องบั่นทอนชีวิตให้ปลิดหาย
ร้อนราคะโทสะโมหะกลาย
ทุกทุกรายปัดเป่าให้เบาบาง
อันร้อนแดดแผดเผาพักเงาไม้
อาบไว้น้ำคลายร้อนห่อนหมองหมาง
เกิดร้อนเพลิงภายในให้ระคาง
ต้องมุ่งทางรสพระธรรมฉ่ำเย็นเอยฯ

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

เนิน  จันทรัมพร
แต่งไว้เมื่อ พ.ศ 2497





หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 23 ธันวาคม 2010, 01:33:AM
(http://add.klonthaiclub.com/images/563edhpsi.gif)
แด่ยอดกวี..

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

...สักรวาสิบนิ้วพนมก้มเศียร

ทั้งธูปเทียนดอกไม่อีกบายศรี

น้อมรำลึกคาราวะสดุดี

ยอดกวี"สุนทรภู่"ครูกาพย์กลอน

...สังขารร่วงจากไปไม่เหลือซาก

แต่ฝีปากฝากอยู่เป็นครูสอน

ดั่งฉัตรชัยเคียงคู่อยู่นคร

เป็นนุสรณ์ฝากไว้แก่ไทยเอย

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

ถนอม  คงวิมลสวัสดิ์
จากนิตยสารปี2505



หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 23 ธันวาคม 2010, 01:14:PM
นิราศเดือน..
(http://add.klonthaiclub.com/images/39IMG1764A.jpg)

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

เดือนสิบเอ็ด

มีประเพณีสำคัญเกี่ยวกับทางศาสนาคือ การออกพรรษาและการทอดกฐิน การทอดกฐินนั้นเป็นงานประเพณีที่ขาดไม่ได้ ได้ทำบุญกันด้วย ได้สนุกด้วย
กฐินสมัยนายมีนั้น(นายมีเป็นศิษย์เอกของสุนทรภู่ ผู้แต่งนิราศเดือน)เป็นที่สนุกมากเป็นกฐินทางน้ำ เพราะแห่องค์กฐินไปได้ไกลๆ  สมัยนั้นถนนหนทางยาวๆอย่างเดี๋ยวนี้ไม่มี  นายมีคงได้รับความประทับใจจากเรือแห่กฐินแรงพอใช้ จึงได้เขียนพรรณนาไว้อย่างเข้าที โดยเฉพาะ."จนเปียกชุ่มตุ่มตั้งอลั่งดี" แล้วก็ช่วยให้"เหม เวชกร"พลอยเกิดความจรรโลงใจ วาดภาพให้เห็นติดตา  เชิญชมเอาเอง

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

..เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระพรรษา          ชาวพาราเซ็งแซ่แห่กฐิน
ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน          กระแสสินธุ์สาดปรายกระจายฟอง
..สนุกสนานขานยาวฉาวสนั่น                บ้างแข่งกันต่อสู้เป็นคู่สอง
แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง                      ตามทำนองเล่นกฐินสิ้นทุกปี
..ไปช่วยแห่แลกกันกระสันสวาท            นุชนาถพายเรือใส่เสื้อสี
จนเปียกชุ่มตุ่มตั้งอลั่งดี                      เส้นเกศีโศกสร้อยก็พลอยยับ
..เหมือนตกแสกแหวกโศกไว้สักพ้อม      ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ
ถึงบ้านบอบหอบอ่อนลงนอนพับ          ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย
..บ้างพูดกันวันนี้พี่คนนั้น                      ช่างดูฉันนี่กระไรนึกใจหาย
บ้างแกล้งพูดดังดังว่าชังชาย               เบื่อจะตายไปกฐินเขานินทา
..ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก                        พูดแต่ปากใจรนเที่ยวค้นหา
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา                       ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย
..ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน                       แสนอาวรณ์วิญญานิจจาเอ๋ย
ไม่ว่าเป็นบ้าหลังอย่าหวังเชย               ยิ่งเคยเคยแล้วยิ่งคิดเป็นนิจกาล
..ทุกค่ำรุ่งมุ่งมาดปรารถนา                     จะพรรณนาสุดคิดให้วิตถาร
ในเสน่ห์กลโลกาห้าประการ                 ฉันรำคาญสุดที่จะชี้แจง

นายมี..

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)
ตำรา  ณ.เมืองใต้..เขียน
เหม  เวชกร..ภาพ
จากหนังสือวิทยาสาร 1ม.ค 2507


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 23 ธันวาคม 2010, 03:52:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/56septemberalone.jpg)

ครู..

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)
ครู.................คำนี้เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว
เป็น................ผู้แผ้วถางทางวางรากฐาน
ผู้นำ................ศิษย์ทำกิจผลิตผลงาน
ทางวิญญาณ......มิให้มีราคีครอง

ครู..................ค้ำจุลหนุนนำไร้จำจิต
ช่วยยก.............ศิษย์เด่นดีไม่มีสอง
จิตใจ...............จอดจ่อจำเข้าทำนอง
สูง..................สุดปองก็ยังหวังตั้งตาชู

ครู..................สั่งสอนวอนว่าสารพัด
ไม่ใช่...............ตัดเยื่อใยให้อดสู
ลูกจ้าง.............เจ้านั้นเป็นใช่เช่นครู
รับใช้...............ชูกูลเกื้อเพื่อแลกเงิน

ครู..................คับแค้นแสนยากลำบากแย่
ไม่เห็นแก่..........การใดใจห่างเหิน
สินจ้าง.............จักค่านองกองพะเนิน
รางวัล..............เทินทูลให้ไม่ใยดี

ครู..................ครุ่นคิดจิตมุ่งผดุงศิษย์
เป็น................มิ่งมิตรยามยากมิพรากหนี
ปูชนียบุคคล.......ล้นเลิศประเสริฐดี
สำคัญ..............มีศิษย์ควรมั่นกตัญญู

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)
ตุ๊  ชะนะมา
จากนิตยสารปี2505



หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 24 ธันวาคม 2010, 12:26:AM
(http://add.klonthaiclub.com/images/44imagesCAST44XU.jpg)
ยอดกวี..

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

สรวงสวรรค์ชั้นกวีรุจีรัตน์
ผ่องประภัศร์พลอยหาวพราวเวหา
พริ้งไพเราะเสนาะกรรณวัณณา
สมสมญาแห่งสวรรค์ชั้นกวี

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

น.ม.ส ในสามกรุง



หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 25 ธันวาคม 2010, 12:42:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/6420100805_154535_816778.jpg)
ที่ว่ารัก รักนั้นเป็นฉันใด
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

.........สหายเอ๋ย
เธอนั้นเคยโศกศัลย์เช่นฉันไหม
เธอเคยผิดหวังบ้างหรืออย่างไร
เคยหวนไห้ทุกข์ระทมตรมไหมมิตร

...เมื่อมีรักแรงรึงซาบซึ้งซ่าน
ช่างหอมหวานรสรักจำหลักจิต
ให้อิ่มเอิบอาบฤดีชื่นชีวิต
ภาพโสภิตพิมานรักประจักษ์จินตน์

...แต่พระทรงศรดอกไม้ใจร้ายล้ำ
แกล้งกระหน่ำศรศักดิ์รักถวิล
แล้วทิ้งถอนศรบุปผาให้ราคิน
สร้างมลทินท่วมท้นให้คนกลัว

...ที่เคยหวานหวลชื่นกลับขื่นขม
ที่เคยชมว่างามกลับทรามชั่ว
วิมานรักผุดผ่องกลับหมองมัว
เคยพันพัวกลับพาลร้าวรานไป

...คงแต่รอยชอกช้ำระกำจิต
เกินความคิดควักกอกเอาออกได้
คงสนิมรักเปรอะกรังเกรอะใจ
สุดสลัดให้ลืมอดีตที่กรีดทรวง

...จึงพร่ำวอนมิตรสหายทั้งชายหญิง
ได้เกรงกริ่งอย่ารักหลงหนักหน่วง
ระวังกลัวลิ้นลมคารมลวง
หมั่นแหนหวงกายใจเอาไว้เอย

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)
ประทีบ  พึ่งตน
จากนิตสารปี2505


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 25 ธันวาคม 2010, 01:53:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/9714672241.jpg)
จากเพื่อนใจ..

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)

ลำนำนี้ขอเชลงเป็นเพลงแผ่ว
กังวานแว่วยามคะนึงถึงความหลัง
ว่า"มิตรเอ๋ยอย่าลืมเลือนเพื่อนชาวตรัง"
เป็นเสียงสั่งเพื่อนสาวชาวไชยา

มิตรคงรู้ใช่ไหมใครบ่นถึง
เขาผู้ซึ่งเคยรักมิตรหนักหนา
แม้เวลาล่วงผ่านเนิ่นนานมา
ก็ไม่สิ้นเสน่หาที่ตราตรึง

เพราะความหลังฝังจิตอยู่มิตรเอ๋ย
ไม่ลืมเลยจะบอกมิตรว่า"คิดถึง"
รู้ไหมว่าทุกคำที่รำพึง
คือเสียงซึ่งสั่งเตือนจากเพื่อนใจ

ขอวานโสมโลมดาวที่พราวฟ้า
ถามมิตรว่า"ยังคะนึงถึงบ้างไหม"
โอ้..ถึงคราหน้าหนาวเยือนคราวใด
ยิ่งอาลัยเกินคำจะจำนรรจ์

ด้วยใจซื่อถือสัจจะอยู่นะมิตร
จึงขอสิทธิ์ครองใจเพียงในฝัน
ผิรักเราต้องร้างสวนทางกัน
แต่ใจนั้นยังหยัดด้วยศรัทธา

ขอฝากถ้อยร้อยคำลำนำนี้
เตือนฤดีมิ่งมิตรขนิษฐา
มอบสนองเป็นของขวัญแทนสัญญา
รู้เถิดว่าถึงอย่างไร...ไม่ขอลืม

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)

ประวิทย์  ไชยกุล
จากนิตยสารปี2505


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 25 ธันวาคม 2010, 03:05:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/8440884088.jpg)
จากห้องใจ..
แด่  รัตนกวี
เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ176ปีของท่านสุนทรภู่(26มิ.ย2329-26มิ.ย2505)

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_076.gif)

     แย่งคู่เขาเอาไปยังไม่สา
ยังกรีฑาทัพครองใจน้องสาว
ทุกครั้งอ่านม่านตาฉันพร่าพราว
เป็นเรื่องราวสลดเกินอดทน

...ฉันเคยหลงลงโทษโกรธผู้เขียน
แม้วางแบบแนบเนียนเจียรเหตุผล
เหตุเพราะเยาว์เขลาอยู่มิรู้กล
ว่าเหลือล้นวิปโยคแหล่งโลกมี

...แต่พอโตโง่หดไปหมดสิ้น
รู้ระบิลรอบตนจนถ้วนถี่
ยิ่งรู้ฤทธิพิษรักหนักฤดี
ยิ่งรู้ทีคนทำลำนำกลอน

...เมื่อความรักความหลงดำรงหล้า
เรื่องตันหาหญิงชายยากไถ่ถอน
มีไปนับกัปกัลป์พุทธันดร
และแน่นอน"พระอภัย"จะไม่ตาย

...มิถุนามาถึงอีกหนึ่งรอบ
เดือนฟ้ามอบปราชญ์เกิดเพื่อเฉิดฉาย
ท่านประเทืองเมืองไทยไกลอับอาย
ด้วยการร่ายกานท์แก้วอันแวววรรณ

...มนัสน้อมจอมปราชญ์ประกาศภักดิ์
จากความรักที่ครองห้องใจฉัน
เสียดายท่านผ่านไปตามไม่ทัน
แม้กระนั้น,ทราบเถิดศิษย์เทิดทูน

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_076.gif)

บุญนิตย์  ไชยเศรษฐ
จากนิตยสารปี2505
(ftp://[font=Angsana New)




หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 26 ธันวาคม 2010, 01:43:PM
ส.ค.ส. ๒๕o๗
(http://add.klonthaiclub.com/images/44fw_19.jpg)

     เวียนวันและชันษา        สุภวารมงคล
ปีใหม่ลุมาดล                      รดิน้อมอำนวยพร
     ด้วยลักษณ์ลิขิตฉันท์      อภินันท์กวีวอน
ขอคุณพระไตรรอน              อริพ่ายมลายสูญ
     เทพทั้งพระเจ้ารัก-        ษพิทักษ์ทวีคูณ
ลาภยศธนังพูน                   อุปโภคก็นองเนือง
     ชนมายุยืนพัน                 รุจิวรรณวิไลเรือง
สุขสันติบรรเทือง                 พลเช่นคเชนทร
     สรวมวิทยาสาร               จิรกาลขจายจร
สื่อมิตรประสิทธิ์พร               พุฒิเพิ่มพิพัฒน์สม
     กวีสรรค์ประพันธ์ศัพท์      สุตจับจิตารมณ์
เกียรติ์เด่นอุดมชม                 ปฎิภาณนิรันดร์เทอญ
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)
ร.ต ทองหยด   สุวรรณประกาศ
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)

    ศุภฤกษ์เบิกดิถีขึ้นปีใหม่
อโณทัยไขแสงทองผ่องเวหา
เสียงพลุก้องกลองลั่นเป็นสัญญา
บอกเวลาเริ่มต้นมงคลกาล
    ขอวอนไหว้ไท้เทวาศักดาฤทธิ์
สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั่วไตรภพจบสถาน
ทั้งไตรรัตน์ฉัตรหล้านราบาล
โปรดได้ดลบันดาลประทานพร
    ให้ไทยชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
พูนพิพัฒน์ภิญโญสโมสร
ประกอบวัฒนาสถาพร
ประชากรจงสุขสันต์ทั่วกันเทอญ
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)
กัณหา  โทศรีแก้ว
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_076.gif)

(อุเปนทรวิเชียร๑๑)
     ลุวันดิถีเลิศ                   มนเทิดมุนีธรรม
ลิขิตสุพรนำ                         อธิบายขยายความ
     ก็กาลนะผ่านผัน              จะหิมันมิหวลยาม
มนุษย์และสัตว์หลาม             ประลุแปรปะแก่ตาย
     อนิจจาเอนกสิ่ง                จะละทิ้งกรัชกาย
สุวรรณหิรัญหลาย                  กลหินและดินผอง
     กุศลและผลบาป               วรลาภวิเลปน์จอง
จะสุขจะเศร้าหมอง                ก็เพราะกรรมกระทำมา
     มนัสประหวัดด้วย              สรช่วยสุจิตตา
ละทิ้งทุกิจกล้า                      กลหลีกอสรพิษ
     ประกอบกุศลกรรม              สตินำเสมอจิต
ประโยชน์ประยุกต์คิด              หิตมิตรหิตาชน
     กระทำกระนี้แล้ว                สุขแน่วณชีพตน
ระรื่นระเริงล้น                         ภยผองมิปองเบียน
     อเนกอนรรฆคุณ                กิตติหนุนมิพาเหียร
ประสงค์ประสบเธียร               ก็จะได้ประดุจจินต์
     สุพจน์สุภาพนี้                  มนมีจะมอบสิ้น
สุชนผิยลยิน                         ประพฤติแล้วจะสุขใจ
     ดิถีจุรีเลิศ                        ชนเทิด ณ ปีใหม่
ลิขิตวิสิทธ์ชัย                       ดุจแจ้งแถลงมา
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)
รุ่ง  รำพึง
แห่งชมรมนักกลอนเชียงใหม่-ลำพูน
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_076.gif)

     รุ่งรุ่งสุรีย์โข             นภาลัยสว่างดล
รุ่งวันสุมงคล                  ณดิถีรวีวิไล
     ขอพรประเสริฐศรี       ดลชีวสดใส
ขอสุขณเทพไท              นิรมิตรประสิทธ์สม
     ขอรักจิรังกาล            รสะหวานประสานชม
สมพรและสุขพรม            ปีติรักนิรันดร์เทอญ
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)
อ้อมจิต  สันตินรนนท์
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ♥ กานต์ฑิตา ♥ ที่ 26 ธันวาคม 2010, 02:40:PM
ขอเพียงแค่นี้
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_179.gif)

แม้หัวใจไร้สิทธิ์จะคิดหวัง
แต่ก็ยังมีสิทธิ์จะคิดถึง
แม้เป็นสองของใครไม่คำนึง
ขอเป็นหนึ่งอยู่ในหัวใจเธอ

ไม่เคยคิดไขว่คว้าเพื่อหาสิทธิ์
ฉันเตือนจิตเตรียมใจไว้เสมอ
เราไม่มีวาสนาอย่าพร่ำเพ้อ
รักไม่เก้อเธอยังเกื้อบุญเหลือล้น

ขอให้คิดถึงฉันวันละหนึ่ง
ฉันคิดถึงเธอวันละพันหน
และมีจิตคิดถึงเพียงหนึ่งคน
ไร้กมลที่จะเหลือเผื่อผู้ใด

แม้นมาหาเธอได้จะไม่ยั้ง
นี่ต้องรั้งแม้จะรู้เธออยู่ไหน
ไม่อยากเห็นเธออยู่คู่กับใคร
คงขาดใจถ้าเธออยู่กับผู้นั้น

เมื่อคิดถึงฉันจนทนไม่ไหว
ก็จงไปยังที่ซึ่งมีฉัน
มิได้ชิดชื่นใจไม่สำคัญ
สบตากันสักครั้งก็ยังดี

นภาลัย (ฤกษ์ชนะ) สุวรรณธาดา


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Lจ้าVojกaoนบทนี้* ที่ 26 ธันวาคม 2010, 04:56:PM
ขอเพียงแค่นี้
([url]http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_179.gif[/url])

แม้หัวใจไร้สิทธิ์จะคิดหวัง
แต่ก็ยังมีสิทธิ์จะคิดถึง
แม้เป็นสองของใครไม่คำนึง
ขอเป็นหนึ่งอยู่ในหัวใจเธอ

ไม่เคยคิดไขว่คว้าเพื่อหาสิทธิ์
ฉันเตือนจิตเตรียมใจไว้เสมอ
เราไม่มีวาสนาอย่าพร่ำเพ้อ
รักไม่เก้อเธอยังเกื้อบุญเหลือล้น

ขอให้คิดถึงฉันวันละหนึ่ง
ฉันคิดถึงเธอวันละพันหน
และมีจิตคิดถึงเพียงหนึ่งคน
ไร้กมลที่จะเหลือเผื่อผู้ใด

แม้นมาหาเธอได้จะไม่ยั้ง
นี่ต้องรั้งแม้จะรู้เธออยู่ไหน
ไม่อยากเห็นเธออยู่คู่กับใคร
คงขาดใจถ้าเธออยู่กับผู้นั้น

เมื่อคิดถึงฉันจนทนไม่ไหว
ก็จงไปยังที่ซึ่งมีฉัน
มิได้ชิดชื่นใจไม่สำคัญ
สบตากันสักครั้งก็ยังดี

นภาลัย (ฤกษ์ชนะ) สุวรรณธาดา




VERY GOOD   บทนี้  ดีมากหลาย
กลอนมากมาย  ล้นเหลือ  เคยเบื่อหนี
เพียงแรกอ่าน  ก็ถูกใจ  ในทันที
ยอดกวี  ชั้นครู   ผู้ชำนาญ

ก็อยากต่อ  ก็ยัง  ระวังท่า
กลัวไปว่า เราจะพลาด  สิ้นอาจหาญ
ด้วยฝีมือ เราอ่อน  เรื่องกลอนกานท์
จึงส่งศาส์น เพียงชื่นชม ว่าสมใจ

 emo_28 emo_28 emo_28




หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 27 ธันวาคม 2010, 12:13:AM
(http://add.klonthaiclub.com/images/211243946141.jpg)
ศึกอารมณ์
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)
ไม่เคยมีน้ำค้างกลางกลีบแก้ว
ที่เห็นแววแสงวับกลับไม่ใช่
เสียแรงหลงใฝ่หามาแต่ไกล
เหนื่อยน้ำใจระทดท้อทรมา

หอมดอกแก้วกลางกมลของคนโศก
นิ่งสนิทอยู่บนโลกความหวนหา
กลิ่นอ่อนอ่อนชวนถวิลรินน้ำตา
ไม่รู้ว่าร้องไห้ทำไมกัน

กลีบแก้วเอ๋ยแนบชิดกับกลีบแก้ม
เคยเด็ดแซมผมหอมเจ้าจอมขวัญ
หอมดอกแก้วอวลละไมไปทั้งนั้น
แล้วมิทันหายหอมก็ตรอมใจ

จึงเมื่อแก้วโรยราลงคากิ่ง
เหลือเพียงสิ่งอับเฉาเราร้องไห้
หลายรู้สึกหลายร้อยรอยอาลัย
จมอยู่ในทะเลลึกศึกอารมณ์

เคยเห็นไหมน้ำค้างกลางกลีบแก้ว
ส่องแสงแววเหมือนน้ำที่ฉ่ำฉม
นั่นแหละคือน้ำตาเวลาตรม
รอถูกลมพัดลิ่วปลิวหายไป

โอ้ละหนอน้ำตาเวลาดึก
ทรวงระทึกจะลึกล้นไปหนไหน
ท่วมปัญญาท่วมจนท้นหัวใจ
รอเวลาแห้งเมื่อไหร่ไม่รู้เลย
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_075.gif)
อำไพ   ศรีสงคราม
จากนิตยสารปี2513


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 27 ธันวาคม 2010, 02:10:AM
(http://add.klonthaiclub.com/images/694989691a298ca.jpg)
แรงปรารถนา..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)
บราปา  ติงกี  ปูจุป  ปีสัง
ติงกี  ลากี  อาซับ  อาปี
บราปา  ติงกี  กุหนุงมะเลนตัง
ติงกี  ลากี  ดะรัม  ฮาดี

เพลงมลายูท่วงทำนองร้องเศร้าเศร้า
ใครหนอเฝ้าคร่ำครวญชวนหวั่นไหว
"ต้นกล้วยเอ๋ยถึงเจ้าสูงเท่าไร
แต่ควันไฟเบาฟ่องที่ล่องลอย

สูงกว่าเจ้าเท่าไรรู้ไหมเล่า
สายลมเป่าลอยลิ่วปลิวเป็นฝอย
ถึงเขาสูงเสียดฟ้าแหงนหน้าคอย
เทียบใจน้อยดวงนี้มิมีเลย"

ที่ลอยสูงเพราะจิตนั้นคิดถึง
คนที่ซึ่งฝันใฝ่ใช่ไหมเอ่ย
รักเคยหวังฝังจิตเคยชิดเชย
โอ้อกเอ๋ยกลับอ้างว้างอารมณ์

วิเวกแว่ววังเวงหนอเพลงเศร้า
ระอุเร้ากร่อนใจให้ไหม้ขม
ยิ่งอ้อยสร้อยอ้อยอิ่งเรายิ่งตรม
แทรกสายลมเสียดซ้ำย้ำทรวงใน

ยินเสียงเพลงท่วงทำนองร้องเศร้าสร้อย
แผ่วล่องลอยโชยฟ้ามาจากไหน
ภูเขาเอ๋ยถึงเจ้าสูงเท่าไร
แต่แรงใจปรารถนาสูงกว่าเอย
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_074.gif)
ชำนาญ  อำไพ
จากนิตยสารปี2513


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 27 ธันวาคม 2010, 03:50:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/86lonelypv2.jpg)
ศิลปวิจารณ์
บทกวีนายผี
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_052.gif)
ในฟ้า  บ่มีน้ำ          ในดินซ้ำ  มีแต่ทราย
น้ำตา  ที่ตกราย      ก็รีบซาบ  บ่รอซึม
แดดเปรี้ยง  ปานหัวแตก   แผ่นดินแยก  อยู่ทึมทึม
แผ่นอก  ที่ครางครึม   ขยับแยก  อยู่ตาปี
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_052.gif)
       นี่คือความรู้สึกของ"นายผี" ที่มีต่อสภาพอันน่าเสียวใจ  และได้สร้างความหวั่นไหว
แก่ผู้อ่านมานับสิบปีแล้ว  สมัยข้าพเจ้ายังเล็กและฝังใจจำมาแต่ครั้งนั้น   ครั้นเมื่อโตแล้ว
ได้พบว่ามีคนอีกมากมายยังจับใจจำมาเช่นเดียวกัน   นานจนกระทั่งบางบรรทัด  ชวนให้
สงสัย แต่ไม่รู้จะไปถาม "นายผี" ได้ที่ใด ข้าพเจ้ากระหายที่จะถามเขาถึงความในใจเล็กๆ
น้อยๆเช่นว่าว่าจะหางานชิ้นอื่นๆของเขาได้ที่ไหน     และทำไมเขาจึงสามารถสะท้อนให้
เห็นแผ่นดินอันเปรียบได้กับแผ่นอก ด้วยขยับจะแยกแตกออกทุกเวลานาทีเช่นนั้น มีห้วย
น้ำล้นอยู่แห่งหนึ่งแห่งเดียว กว้างใหญ่ไพศาลจนเห็นน้ำจรดฟ้า เต็มไปด้วยคลื่นพริ้วระยิบ
ระยับราวกับทะเลของอิสาน  นั่นคือ"มหาห้วย คือหนองหาร" แต่ "ลำมูลผ่าน" นั้นเล่ากลับ
คอยแต่เหือดแห้งว่างเปล่า เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้แทนสายน้ำ  ราวกับเป็นลำน้ำแห่งความ
วิบัติ ลำแห่งความตายหรือคล้ายกับ "คือลำผี และเลี้ยงชีพ เช่นลำชี" ก็มีแต่จะซึมแซกหรือ
"อันชำแรก  บ่รีรอ" ชวนให้ท้อใจ "แลไปสุดป่าน โอ้อีสาน ฉะนี้หนอ คิดไป ในใจคอ ก็บ่ดี
นี้ดังฤา"  หรือไม่รู้สาเหตุที่นำมาซึ่งความหวั่นไหวในหัวใจของเราได้เลย  แต่ภัยธรรมชาติ
ที่น่าพรั่นพรึง    เท่านั้นยังไม่พอ    ยังต้องมาสู้กับภัยมนุษย์ที่เหยียบย่ำทำลายน้ำใจกันอีก
"เขาซื่อ  สิว่าเซ่อ  ผู้ใดเน้อ  นะดีแสน" ก็เมื่อความซื่อกลับเห็นเป็นว่าเซ่อเสียแล้ว  จะมีใคร
เล่าที่วิเศษยิ่งกว่านั้น  ถึง "ฉลาดทัน  เทียมผู้แทน  ก็เห็นท่าที่กล้าโกง" ซึ่งน่าจะต้องมีการ
เปิดโปง หาควรปิดปากเงียบด้วยความกลัวไม่ ใครที่ "กดขี่  บีฑาเฮา  ใครนะ  เจ้าจงเปิดโปง
เที่ยววิ่ง  อยู่โทงโทง  เที่ยวมาแทะให้ทรมาน  รื้อคิด  ยิ่งรื้อแค้น  ละหม้ายแม้น  น่าสังหาร
เสียคน  สิทนทาน" แต่ "ก็บ่ได้  สะดวกดาย"    ขอให้ท่านทั้งหลายได้อ่านทบทวนใหม่
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_052.gif)

ในฟ้าบ่มีน้ำ             ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย          ก็รีบซาบบ่รอซึม
แดดเปรี้ยงปานหัวแตก     แผ่นดินแยกอยู่ทึมทึม
แผ่นอกที่ครางครึม     ขยับแยกอยู่ตาปี
มหาห้วยคือหนองหาร    ลำมูลผ่านคือลำผี
เลี้ยงชีพเช่นลำชี         อันชำแรกบ่รีรอ
แลไปสะดุ้งปาน        โอ้อีสานฉะนี้หนอ
คิดไปในใจคอ          ก็บ่ดีนี้ดังฤา
เขาซื่อสิว่าเซ่อ         ผู้ใดเน้อนะแสนดี
ฉลาดทันเทียมผู้แทน    ก็เห็นท่าที่กล้าโกง
กดขี่บีฑาเฮา            ใครนะเจ้าจงเปิดโปง
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง    เที่ยวมาแทะให้ทรมาน
รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น        ละม้ายแม้น น่าสงสาร
เสียตนสิทนทาน      ก็บ่ได้สะดวกดาย

ในฟ้าบ่มีน้ำ             ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย         คือเลือดหลั่งลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง      คำเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีสารสิ้น       อย่าซุดสู้ด้วยสองแขน
พายุยิ่งพัดอื้อ         ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อีสานนับแสนแสน     สิจะพ่ายผู้ใดหนอ
นายผี..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_052.gif)
       เป็นกลอนที่งดงามด้วยถ้อยคำสามัญและแสนง่าย  ไม่มีถ้อยคำหรูหราแบบอลังการ
ดังกวีทั้งหลาย  แต่ก็ยังให้เกิดความซาบซึ้งใจให้เรา   ดูไปคล้ายรำพึงรำพันด้วยการบรร
ยายความท้อแท้  แต่ก็แทรกพลังปลุกเร้าให้ลุกเข้าฟันฝ่าอุปสรรค  อันเกิดแต่ธรรมชาติ
ความอยุติธรรม  ความกดขี่บีฑากัน  และการเหยียดหยามทำลายน้ำใจกัน  สมเป็นเลือด
ของบรรพบุรุษไทย  ผู้ไม่เคยจำนนต่ออุปสรรคใดๆโดยแท้

เทพศิริ  สุขโสภา.....เขียน
จากหนังสือวิทยสารปี2513


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ♥ กานต์ฑิตา ♥ ที่ 27 ธันวาคม 2010, 04:23:PM
กังวานชีวิต
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_191.gif)
๏ มาลัยรักสลักเสลาเราแนบหมอน
ในยามนอนมนัสนันท์ด้วยฝันหวาน
มาลัยพจน์บทกวีมีวิญญาณ
คือกังวานชีวิตสถิตทรวง

ถ่ายทอดสุขทุกข์โศกในโลกนี้
เสียงดีดสีธารเสนาะเซาะผาหลวง
เมฆกล่อมดาวพราววิภาแต้มฟ้าปวง
ซึ้งแดดวงสมุทรพร่ำรำพันรัก

บัลลังก์ม่วงช่วงโชติโรจน์ลิบฟ้า
สุริยายิ่งยงสูงส่งศักดิ์
ชีวิตใหม่ไขแสงแจ่มแจ้งพักตร์
สมานสมัครเสมอจิตเถิดมิตรมวล

สืบสายธารกาลสมัยห่างไกลพ้น
ชีพผจญเศิกสรรพ์สุดผันผวน
คำกังวานขานกวีที่ขับครวญ
คงอบอวลอมรรตัยไปนิรันดร์

ยามมืดมนพ้นเนตรสังเกตเห็น
แสงงามเด่นสว่างแดนแสนเฉิดฉัน
คือดวงไฟใสสว่างดังกลางวัน
เป็นมิ่งขวัญฉัตรชัยให้ชีวิต

ยามภพงามอร่ามตาประชาชื่น
กังวานรื่นลำนำคำลิขิต
ดุจบัณเฑาะว์เสนาะโสตปราโมทย์มิตร
ภาพโสภิตความฝันอันเป็นจริง

มาลัยร้อยรอยช้ำย้ำให้ซึ้ง
บุปผาพึงเผือดเฉาเศร้าโศกสิง
มาลัยพจน์บทกวีที่อ้างอิง
ยืนยงยิ่งยิ่งมาลัยใดจะปาน

ขอให้เป็นเช่นอุษาฟ้ารุ่งสาง
ลบเลือนรางผืนไผทผ่องไพศาล
ขอให้เป็นเช่นพิณรินกังวาน
ยามชีพผ่านมหันตภัยใดใดเทอญ.

ทวีปวร , ๒๕๐๖

***หมายเหตุ***

ทวีปวร เป็นนามปากกาของทวีป วรดิลกศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์(กวีนิพนธ์)
อดีตนักศึกษากฎหมายธรรมศาสตร์ แต่ถูกลบชื่อออกด้วยเหตุผลทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ทั้งที่เหลืออีกเพียงวิชาเดียวจะได้เป็นบัณฑิต แต่ต่อมาท่านก็สอบได้เนติบัณฑิตจากเนติบัณฑิตยสภา ในขณะถูกคุมขังตัวในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรและกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ.๒๕๐๓

ทวีปวร เริ่มสนใจเขียนบทกวีตั้งแต่เป็นเด็กเริ่มมีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสารขณะที่เรียนเตรียมปริญญาธรรมศาสตร์


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 28 ธันวาคม 2010, 02:09:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/201310.jpg)
คติสอนใจ.
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_079.gif)
สักวาเกิดมาเป็นมนุษย์
ไม่สิ้นสุดแน่นอนลงตอนไหน
ส่วนชั่วดีมีจนปนกันไป
ตามวิสัยมีอยู่ทุกผู้คน
โลภโกรธหลงบ่งชัดตัดไม่ขาด
เป็นบ่วงบาศกองกิเลสตามเหตุผล
เหมือนเสน่ห์ยั่วยุปุถุชน
หลีกไม่พ้นห้วงตันหาพาทุกข์เอย
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_079.gif)
รุ่งโรจน์   โพธิ์ศรี
จากนิตยสารปี2505


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 28 ธันวาคม 2010, 02:41:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/34original_miss_you.jpg)
เพื่อนใจ..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_079.gif)
ยามวิโยคโศกกำสรวลถึงครวญคร่ำ
เฝ้ากลืนกล้ำกลบเก็บที่เจ็บแสน
เขาตำหนิติฉินทั้งหมิ่นแคลน
ให้เคืองแค้นครุ่นคุสุมอุรา

เพียงใจรักกวีวรอักษรศิลป์
ด้วยใจจินต์จอดถ้อยร้อยภาษา
ที่เคียดขึ้งจึ่งเพียรพจน์รจนา
ผ่อนโกรธาที่ขุ่นแค้นให้แคลนคลาย

ยามเจ็บจิตด้วยพิษรักที่หักหัน
สุดรำพันให้รักเยือนมาเหมือนหาย
เพียงกวีที่ผ่อนผันพร่ำบรรยาย
ให้จิตกลายขมขื่นเป็นรื่นรมย์

ยามแรงรักปักจิตหวังชิดชื่น
ทุกค่ำคืนใฝ่ฝันวันสุขสม
เพียงกวีที่เฝ้าพร่ำนิยม
สรรคำชมโฉมเจ้าเยาวมาลย์

เพราะกวีชี้ชอบคอยปลอบปลุก
ให้คลายทุกข์ให้สุขภักดิ์สมัครสมาน
เป็น"เพื่อนใจ"ไร้พิษชั่วนิจกาล
กล่อมดวงมาลย์ให้สุขสันต์นิรันดร

ชวนเพื่อนพร้องพร่ำเพลงเชลงลักษณ์
ด้วยจิตภักดิ์กวีเพื่อเอื้ออักษร
ฝากพจน์พร่ำนำชัยมาให้พร
ด้วยกานท์กลอนกวีวากย์นี้จากใจ
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_079.gif)
สุนทร  คำวังจันทร์
จากนิตยสารปี2505


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 29 ธันวาคม 2010, 02:30:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/4512871781.jpg)
สาปรัก..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_092.gif)
เสียดายรักผ่องผุดพิสุทธิ์ใส
เสียดายใจใฝ่ภักดิ์มั่นหนักหนา
เสียดายพจน์พรอดพร่ำคำสัญญา
เสียดายค่าแห่งมิตรครองศักดิ์สองเรา

เพียงพลัดพรากจากกันไม่นานเนิ่น
ก็หมางเมินกลายกลับให้อับเฉา
เริงรักใหม่ใจชั่วนั้นมัวเมา
คิดยิ่งเศร้าแสบแสนแค้นขุ่นมาน

โอ้เพื่อนเอ๋ยหญิงอื่นออกดื่นดาษ
ใยมิอาจเอื้อรักสมัครสมาน
มาเผาเรือนเหมือนหมายให้วายปราณ
คำโบราณท่านว่านั้นน่าฟัง

"ถึงมีเพื่อนเหมือนใจเพียงใดนั้น
ยังมีวันเปลี่ยนจิตคิดหักหลัง
ถึงมีรักรักก็หน่ายกลายเป็นชัง
ไม่จีรังแค่ไหนน้ำใจคน"

คิดยิ่งแค้นแสนแสบปวดแปลบจิต
รักเป็นพิษมิตรกลายกลับดูสับสน
อุระร้อนร้าวรานสุดทานทน
โอ้ใจคนช่างหันเหี่ยนเปลี่ยนง่ายดาย

สาปแล้วรักกลับกลอกรักหลอกหลอน
จักง้องอนอ่อนหานั้นอย่าหมาย
ยิ่งโศกศัลย์ยังมั่นรักในศักดิ์ชาย
สาปจนตายรักร้อยเล่ห์รักเรรวน
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_092.gif)
โกศัย   สุนทราพันธุ์
จากนิตยสารปี2505


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 29 ธันวาคม 2010, 11:47:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/93original_lonely.jpg)
รักเธอจนชีพวาย..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_057.gif)
            ที่รักจ๋า..
ทุกทิวาราตรีพี่ใฝ่ฝัน
ถึงน้องนุชสุดห่วงดวงชีวัน
แม้ไกลกันรักพี่ไม่มีคลาย

ค่ำคืนนี้พี่มีแต่โศรกเศร้า
พี่ไร้โชคปะเคราะห์พอเหมาะหมาย
พี่ช้ำจิตเจ็บแท้เหมือนแซ่นาย
โบยด้วยหวายกลางหลังเลือดหลั่งริน

ราตรีนี้มีใครเล่าเฝ้าฟูมฟัก
ใครอื่นรักฤาเท่าพี่ที่ถวิล
รักของพี่แน่นหนาอยู่อาจิณ
ขอยุพินจงสะดับศัพท์สุนทร

พี่รักรักปักจิตและคิดมั่น
เกลียวสัมพันธ์แนบสนิทมิคิดถอน
พี่รักแท้มิคิดจะคลายคลอน
นิรันดรรักพี่ทวีคูณ

รักเธอจนใจสิ้นแผ่นดินดับ
ถึงจันทร์ลับอาทิตย์ฤทธิ์สิ้นสูญ
จะรักเธอแม้ตัวพี่มีอาดูร
ขอเทิดทูนด้วยใจภักดิ์รักอย่าคลาย

รักเธอจนใจสิ้นแผ่นดินดับ
แม้ตายลับขอรักอย่าหักสลาย
จะรักเธอจนดวงใจไหม้มลาย
"รักเธอจนชีพวายวิญญาณครวญ"
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_057.gif)
ชลอ  ผลพงษ์
จากนิตสารปี2505


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 30 ธันวาคม 2010, 11:30:AM
emo_79(http://add.klonthaiclub.com/images/242221121111.jpg)

สรวงสวรรค์ชั้นกวี..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_181.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
ข้าเทอดงานกานท์กลอนอักษรสวรรค์
เป็นสายขวัญชีวิตสนิทสนม
เป็นธารธั่งหลั่งมาจากอารมณ์
เป็นอาคมเสน่ห์รึงตรึงหทัย

ทุ่มดวงจิตคิดถ้อยร้อยภาษา
สิบปีกว่า..ผลหรือคือไฉน?
เกิดกลอนซ้ำสัมฤทธิ์จากจิตใจ
ที่หมองไหม้ไร้ค่าคิดอาวรณ์

เคยใฝ่ฝันบรรเจิดสุดเพริศพริ้ง
หวังส่อสิงแดนกวีศรีอักษร
ชั่วสังขารจารจดแต่บทกลอน
ผลสะท้อนนิดหนึ่งไม่พึงมี

กว่ารู้สึกหมึกงวดจากขวดแล้ว
ร่างนอนแซ่วจวนตายดูคล้ายผี
แข็งใจเพียรเขียนลักษณ์อีกสักที
ทั้งรู้ดีขื่นขมไม่สมจินต์

โอย!..ตัวมันสั่นกระตุกขนลุกหนาว
หัวแทบร้าววุ่นวายเป็นสายสินธุ์
ดวงจิตหวิวปริวว่อนเหมือนร่อนบิน
น้ำตารินโลมเจือด้วยเหงื่อกาฬ

สะดุ้งโดดโสตรับเสียงสับสน
ทุกแห่งหนยินคำพร่ำสงสาร
ในอ้อมแขนแทนองค์นิ่มนงคราญ
มีผลงานจากชีวาคือค่ามัน

เป็นกลอนช้ำกำสรดบทสุดท้าย
สิ้นใจกายสร้างถ้อยร้อยความฝัน
อนิจจา!..ลาก่อน...สุนทรวรรณ
ต้องซี้อกันด้วยค่าราคาแพง

ปากกาสะดุดหยุดกึกเพราะหมึกสิ้น
พร้อมชีวีสิ้นกวีคงมีแสง
ชีพจรอ่อนระโหยเริ่มโรยแรง
เหมือนเลือดแห้งแอ่งใจที่ไหม้เกรียม
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_181.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
อักนิษฐ์  อนรรฆธีรพันธ์
จากนิตยสารปี2506


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Lจ้าVojกaoนบทนี้* ที่ 31 ธันวาคม 2010, 11:54:PM

   สวัสดี ปีใหม่ ๒๕๑๔
(กลอนนี้พิมพ์เมื่อ  ๒๕๑๔)


สวัสดี  ปีเก่า  เศร้าอนาถ
ใจจะขาด  ปีใหม่มา  นิจจาเอ๋ย
เพราะหนี้เก่า  ไม่ทันหมด  ใหม่ชดเชย
กระไรเลย  หนี้ใหม่เสริม มาเพิ่มพูน

ยังถูกพวก ไถขูด  รัฐดูดรีด
จนแห้งซีด  รันทด  เงินหมดสูญ
เศรษฐกิจ  ตกต่ำ  ซ้ำอากูล
แสนอาดูรย์  ค่าครองชีพ  มันถีบตัว

ทั้งโรงเรียน  ขาดแคลน แร้นแค้นขัด
อัตตคัด    ครูอาจารย์  พาลเวียนหัว
อุตสาหกรรม  ตกต้อย-ต่ำด้อยมัว
เกษตรทั่ว  กสิกรรม  มันค่อนทราม

ดุลย์การค้า  เสียเปรียบ   ถูกเหยียบไว้
มิสาใจ  อวดเบ่ง  ไม่เกรงขาม
ธุรกิจ   การค้า  พยายาม
มันคุกคาม  แย่งไทย  เอาไปทำ

ทั้งการเลี้ยง   ไก่โค  พุทโธ่เอ๋ย
กระไรเลย  ทำได้  มันไม่ขำ
เอามันเทศ  มาเป็นนาย  อ้ายระยำ
มันช่างทำ  อุบาทว์  ชาตทมิฬ

นโยบาย  ระหว่าง  ต่างประเทศ
น่าสังเวช   สลดใจ   ทั่วไปสิ้น
ดำเนินการ  ผิดพลาด  อนาถจินต์
ดีแต่กิน   ไม่เอาไหน  จนไทยโซ

หนี้สามหมื่น  ล้านเศษ  เหตุพันผูก
ไปถึงลูก  หลานไทย  น่าใจโบ๋
รับใช้หนี้  แทนเขา  เศร้าหัวโต
ลูกไทยโซ   เศร้าหมอง  คงร้องโอย

จึงเกิดโจร   ผู้ร้าย   ทั้งหลายมาก
ด้วยอดอยาก  หน้านิ่ว  มันหิวโหย
เพราะปากท้อง  มันเตือน  มาเยือนโชย
จึงขโมย  ปล้นจี้  แย่งตีชิง

ทั้งความยุติธรรม  นั้นล้ำเหลื่อม
คนจึงเสื่อม  ศรัทธา  กว่าทุกสิ่ง
ประชาชาติ  ขาดหลัก  พึ่งพักพิง
เหมือนถูกทิ้ง  โดดเดี่ยว  อยู่เดียวดาย

ด้วยเหตุนี้  บ้านเมือง  มีเรื่องยุ่ง
ส่วนมากมุ่ง  หวังผล  ที่ตนหมาย
จนลืมนึก  ส่วนรวม  ร่วมใจกาย
ยังไม่สาย  แก้ทัน  ช่วยกันเอย.


ไม่ทราบนามผู้แต่ง  ลงในหนังสือชื่อ ความหลัง
พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔  เหตุที่ไม่ทราบ  เนื่องจาก
หนังสือนั้นไม่อยู่แล้ว  กลอนนี้ เขียนขึ้นจากความทรงจำ
แต่สันนิษฐานว่า  ผู้แต่งอาจเป็น ศรีตราด  ก็ได้
เพราะในหนังสือรวมงานเขียนของท่านก็มีงานเขียน
ที่ชื่อความหลัง เนื้อหาภายในก็ดุจเดียวกัน
ทั้งสำนวนกลอน ก็มีลักษณะคล้ายกันเป็นอย่างมาก

นำมาโพสต์ไว้ เพราะบรรดาบทกลอน ในหนังสือเล่มนี้
เป็นแม่แบบในการฝึกหัดแต่งกลอนของเรานั่นเอง
หรืออาจกล่าวว่าผู้ที่แต่งกลอนในหนังสือเล่มนี้ ก็คือครูกวี
คนแรกของเรา  ครูกับลูกศิษย์ที่ไม่เคยรู้จักหรือพบกันมาก่อน




หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 02 มกราคม 2011, 06:04:PM
นิราศเดือน
(http://add.klonthaiclub.com/images/42IMG1758A.jpg)
เดือนแปด
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_148.gif)

   เดือนแปดเป็นเดือนเข้าพรรษา  เป็นการบำเพ็ญกุศลสำคัญอย่างหนึ่งของไทย  ภาพที่ท่านเห็นที่ปกหลังนั้น
"เหม  เวชกร"  ได้เขียนตอนอุบาสิกาค่อนข้างสาวไปถวาย "พนมพรรษา" คือพุ่มดอกไม้ถวามยพระนั่นเอง  แต่
สมัยนายมีนั้น(ศิษเอกสุนทรภู่) "พุ่มพรรษา" นี้  เขาดัดแปลงทำเป็นรูปต่างๆ    อย่างที่นายมีว่าไว้ในกลอนนั่น
แหละ  ครั้งรัชกาลที่๔นิยมกันอยู่พักหนึ่ง   บัดนี้พนมแบบที่ว่านี้หาดูไม่ได้เสียแล้ว   ในตอนเข้าพรรษานี้ นายมี
ยังได้พรรณาอาการของผู้ถวายพุ่ม  และของพระภิกษุด้วยอยู่ข้างจะล้อๆสักหน่อย
  ในพรรษานี้ก็มีการบวชและการเทศน์ในพรรษากับการเทศน์มหาชาติ  เมื่อพูดเกี่ยวกับเรื่องวัดแล้ว นายมีก็ออก
จะพูดได้จะแจ้งเพราะเป็นชาววัดนั่นเอง  ในกลอนเดือนแปดตอนสุดท้าย  ท่านจะได้อ่านที่นายมีกล่าวถึงผู้หญิงและผู้ชาย  ไปหาหมอดู  ถามเนื้อคู่เป็นเรื่องที่จะ"ต้องทำ"อย่างหนึ่ง
   เดือนนี้นายมีได้แสดงไว้ชัดว่า"ฤดูดลพระพรรษาเข้ามาขวาง  จวนจะบวชเป็นพระสละนาง" นี่นับเป็นประเพณี
ที่เรานับถือกันเคร่งมานาน  ใครไม่ได้บวชก็ถือเป็น"คนดิบ" ไปขอลูกสาวใครไม่ค่อยสำเร็จ  นอกนั้นบิดามารดา
ของผู้ชายก็ไม่ค่อยยินดีให้ลูกชายเบียดก่อนบวช  เพราะเมื่อเบียดเเล้ว ก็มักไม่ได้บวช  ถ้าได้บวช บุญก็ไปตกเป็นของเมียเสียหมด
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_148.gif)

ถึงเดือนแปดแดดอับพยัพฝน            ฤดูดลพระพรรษาเข้ามาขวาง
จวนจะบวชเป็นพระสละนาง             อยู่เหินห่างเห็นกันเมื่อวันบุญ
ประดับพุ่มบุปผาพฤกษากระถาง        รูปแรดช้างโคควายขายกันวุ่น
ตุ๊กตาหน้าพราหมณ์งามละมุน           ต้นพิกุลลิ้นจี่ดูดีจริง
ต้นไม้ทองเสาธงหงส์ขี้ผึ้ง                คู่สลึงเขาขายพวกชายหญิง
อุณรุทยุดกินนรชะอ้อนพริ้ง               มีทุกสิ่งซื้อมาบูชาพระ
ขึ้นกุฎิที่รักรู้จักสนิท                         ดัดจริตพูดจาสาธุสะ
พระหนุ่มหน่มกลุ้มใจทำไมละ            เสียงจ๊ะจ๋าพูดจาพาสบาย
ถ้าญาติโยมจริงจริงแล้วนิ่งเฉย          มิใคร่เงยดูหน้าปัญญาหาย
ไม่พูดมาดพาดพิงให้พริ้งพราย         ดูเราะรายเรียบร้อยกะช้อยชด
พรรษาหนึ่งสองพรรษาไม่ผาสุข        เข้าบ้านขลุกเลยลาสิกขาบท
เหมือนน้ำอ้อยย้อยถูกจมูกมด            ใครจะอดได้เล่าพวกชาวเรา
นึกคะนึงถึงนางกลางพรรษา             แต่คอยหาเช้าเย็นไม่เห็นเขา
เที่ยวฟังเทศน์มิได้ขาดดูลาดเลา      เห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา
นั่งพับเพียบเรียบร้อยน้อยไปหรือ       ประนมมือฟังธรรมเทศนา
ที่ฟังจริงนิ่งตรับจนหลับตา               บ้างก้มหน้าฟังไปมิได้เงย
ที่ฟังเล่นเห็นกันเป็นขวัญเนตร         ไม่ฟังเทศน์เอาบุญแม่คุณเอ๋ย
มานั่งเล่นตากันฉันไม่เคย                ไม่สิ้นเลยเหล่าตะกลามกามคุณ
ที่ท่านแก่แก่ตัวยังชั่วดอก                 หมายจะออกห่างเหจากเมถุน
ท่านอยากบวชสวดมนต์ขนแต่บุญ    ที่แรกร่นนี่แลร่านรำคาญใจ
ด้วยความรักหนักเหลือเหมือนเรือเพียบ   จนน้ำเลียบแคมแล้วแจวไม่ไหว
ถ้าผ่อนของขึ้นเสียบ้างยังชั่วใจ        แจวไปไหนไปได้ไม่หนักแรง
โอ้โอ๋อกชาวเราเหล่าเจ้าหนุ่ม           อยากใคร่สุ่มปลาหนองส่องแสวง
ตัวฉันเล่าเฝ้าคลั่งด้วยยังแคลง        จะพลิกแพลงไปอย่างไรก็ไม่รู้
โอ้ไฉนจะได้สมอารมณ์รัก               ใครช่วงชักฉันจะไหว้ให้หัวหมู
ยิ่งร้อนใจในคอให้หมอดู                 ว่าขัดคู่นักหนายิ่งอาดูร

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_148.gif)
ตำรา  ณ.เมืองใต้   เขียน
เหม     เวชกร   ภาพ
จากนิตสารปี 2506










หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 03 มกราคม 2011, 01:27:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/214007_1257321091Y08J.jpg)
คนไม่แพ้..
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_144.gif)
จะเศร้าโศรกเสียใจทำไมหนอ
ไยทดท้อชีวิตที่ผิดหวัง
ตราบสองแขนยังดีมีพลัง
ไม่ควรนั่งเสียใจสิ้นไยดี

ดูเราซี...ชีวิตเคยผิดพลั้ง
มาหลายครั้งไม่ปลีกคิดหลีกหนี
กัดฟันสู้   สู้ไปด้วยขันตี
จนบัดนี้...มีชัยในบั้นปลาย

การเชื่อว่าพรมหมสร้างทางชีวิต
หรือลิขิตเปลี่ยนกมลคนทั้งหลาย
ให้ประสพชาตากรรมระส่ำกาย
ล้วนงมงายโง่เง่าเขลาพอดู

ตัวเราเองหรอกลิขิตชีวิตได้
หากเราไม่ทดท้อการต่อสู้
เพียรมานะ  สัจจะตั้ง  พลังชู
เปิดประตู...รุ่งโรจน์โชติช่วงไกล

ลืมความหม่นแล้วยิ้มให้พริ้มเพริด
ลุกขึ้นเถิดต่อสู้ลองดูใหม่
ปลุกพลังให้เข้มแข็งด้วยแรงใจ
ก้าวขึ้นไปบนเวที.....เกมชีวิต
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_144.gif)
ธรรมฤทธิ์   สุวัตถิกุล
จากนิยสารปี2506


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 03 มกราคม 2011, 02:47:PM
แหล่เทศน์และแหล่เครื่องเล่น
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_049.gif)
    สมัยก่อน  เมื่อหนังสือพิมพ์ยังไม่แพร่หลาย  วิทยุยังไม่มี  ยังร้องแต่เพลงไทย  แหล่เทศน์มีคนนิยมกันมาก
คู่ๆกับลำตัดก็ว่าได้  แหล่เทศน์มักจะมีเวลาเทศน์มหาชาติ  แต่อาจจะว่ากันเฉยๆเวลามีการทำบุญที่วัดก็ได้
ผู้ว่าจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้  พระภิกษุก็ได้  แหล่เทศน์บางทีก็เป็นเรื่องประกอบข่าวไปเลย เช่น แหล่เรือพระร่วง
(รูปจะสรรกลั่นเนื้อความ ถึงเรือสยามที่เข้ามาใหม่ เป็นเรือรบที่ออกเรี่ยไร กับชนหญิงชายข้าราชการ......)
แหล่ย่ามแดง (เรื่องผู้ร้ายฆ่าคนสะพายย่ามแดง  เที่ยวลอบฆ่าผู้หญิง...)  แหล่บ้านพานถม  (เรื่องไฟไหม้-
บ้านหลวงโภคา บ้านพานถม..) เหล่านี้  พวกนักแหล่แต่งขึ้นทันเหตุการณ์  มีคนชอบฟัง  ถึงกับพิมพ์เป็นเล่ม
เพื่อให้พวกนักเทศน์เอาไปว่าแหล่กัน
    ส่วนแหล่เครื่องเล่นนั้น  ไม่ใช่เรื่องเหตุการณ์  แต่เป็นการแกะบายศรี เป็นแหล่ที่นิยมเทศน์ประกอบในกัฌฑ์
มหาราช  เช่นแหล่บายศรีแก้วบายศรีทอง  แหล่บายศรีหิมพานต์  แหล่บายศรีเจ็ดชั้น  ผู้แต่งเป็นกวีฝีปากสูง
สำนวนจึงเรียบร้อยไพเราะกว่า  ที่พวกราษฎรสามัญแต่ง
    แหล่นี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเทศน์ มหาเวสสันดรชาดก จึงขอยกมาให้ท่านเห็นเป็นตัวอย่าง
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_049.gif)
สูงโดดทรงดี                   คีรีเขาเรียง
งอกกลมเงื้อมเกลี้ยง         แทรงเคียงแซงข้าง
เอิ้งเวิ้งอ้างว้าง                 กรวยทางโกรกธาร
โดดพุดุพล่าน                  ฟุ้งซ่านฝอยเซ็น
ดูเปี่ยมดังเป็น                  แลเห็นลายหิน
ดูทะโมนดำทมิฬ              เหมือนนิลม่วงแนม
เขียวกาบคาบแถม           ยอดแซมหลายสี
ข้างริมคีรี                        ดูทีดังทำ
วุ้งแถวเวิ้งถ้ำ                   แกะว้ำก้อนเวียน
สีทองแสงเทียน              แลเตียนเลี่ยนตา
โขดหินคูหา                   เงื้อมผางอกภู
สยามพุ่มสยุมภู               กระจัดฟูกระจายฟอง
สีเทียนแสงทอง              หินปล่องเห็นเปลว
ชันห้วยช่องเหว              หินเลวหินลาย
ม่วงแซมมึกสาย              ดูคล้ายดำคลับ
แกะสลอนก้อนสลับ         งอกทับเงื้อมธาร
ดูสะอาดดาษสะอ้าน        แลตระหง่านลอยตระง้ำ
มีแท่นแม้นทำ                 แลขำลายเขียน
เขาวงโคกเวียน              ดูเลี่ยนดังลาน
หลืบถ้ำลำธาร                ริมชานร่มชัด
บุษบงใบสะบัด               บ้างกลัดบานกลีบ
ภุมรินผินรีบ                   แทรกกลีบไซ้กลาง
ผักแขงแฝงข้าง             ใบล่างบัวหลวง
กลีบโรยกลับล่วง           ลอยช่วงหลังชล
ปลาว่ายปลายวน           พุ่งด้นพ้นดิน 
หางกิ่วหากิน                  กัดหินกะโห้     
ช่อนดุกชะโด                 เทโพเทพา
ปลาสร้อยปลอมซ่า         เค้าบ้าคางเบือน
ตะเพียรตอดเพื่อน          ว่ายเชือนวิ่งโชน
ไอ้ด้องออกโดน             เผ่นโจนโผนจร
หมู่สลิดมาสลอน           เนื้ออ่อนนวลอ่อง
ปลอมแถวปลาทอง        ลอยท่องลำธาร
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_049.gif)
เปลื้อง    ณ นคร    เขียน
จากนิตสารปี 2506





หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 04 มกราคม 2011, 02:32:PM
นิราศเดือน
(http://add.klonthaiclub.com/images/16IMG1763A.jpg)
เดือนสาม
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_082.gif)

   ภาพนิราศเดือนที่หลังปกฉบับนี้"เหม  เวชกร" เขียนตามเค้ากลอนที่ว่า "พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม
ดูแวววาวเวหาล้วนดาเรศ  เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอางโฉม"  เมื่อนายมีแต่งนิราศเดือนนี้  เข้าใจว่ายัง
บวชอยู่  แต่จะเขียนรูปนายมีเป็นพระนั่งมองดวงหน้าผู้หญิงลอยอยู่บนฟ้าก็ดูไม่เข้าที  การที่คนหนุ่มๆนั่งดู
เดือนดูดาวแล้วเห็นเป็นภาพนางที่รักลอยอยู่นั้น เขาว่าเป็นได้ ถ้าใครไม่เชื่อ ก็แปลว่า คนนั้นยังไม่มีความ
รักอย่างแรงกล้า
   ในเดือนสามนี้มีพิธีที่สำคัญคือ  มาฆบูชาเป็นทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฏร์  แต่นายมีไม่ได้กล่าวถึง เอาแต่
คร่ำครวญเรื่องผู้หญิง  ถ้าบวชอยู่จริง  ก็คงใกล้จะสึกเต็มที
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_082.gif)

ถึงเดือนสามความโศกไม่เสื่อมสูญ      จันทร์จำรูญแสงงามยามปฐม
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างพรม          พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม
ดูแวววาวเวหาล้วนดาเรศ                  เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอางโฉม
ดูกะพริบลิบแดงดังแสงโคม               ลอยพโยมล้อมจันทร์พรรณราย
พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด                     น้ำค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย
บุปผาเผยกลีบก้านบานกระจาย          ต้องพระพายหอมกระถินดังกลิ่นนาง
พี่เคลิ้มคลั่งนั่งอยู่ดูมะลิ                     ลืมสติหลงพลอดกอดกระถาง
ฟังเป็นเสียงสายสมรวอนให้วาง          จึงปลอบนางทางว่าอย่าอาลัย
พี่นั่งคอยนอนคอยน้อยไปหรือ            ขอถูกมือยอดรักอย่าผลักไส
พอรู้สึกนึกเขินเดินออกไป                 ถ้าแม้นใครเห็นฉันแล้วขันจริง
ราวกับถูกยาแฝดสักแปดโถ                จนซูบโซเสียศรีดังผีสิง
พระอภัยหลงรูปวาดหวาดประวิง         เรากลับยิ่งกว่าพระอภัยไป
ถ้ามิได้นวลหงฉันคงม้วย                   ใครจะช่วยดับเข็นเห็นไม่ไหว
หรือจะเหมือนมดแดงน่าแคลงใจ         ให้สงสัยวิญญาเป็นอาจิณ
ดูตำราว่าพฤหัสเป็นปัตนิ                   ตามลัทธิว่าคู่อยู่ทักษิณ
ช่างพูดจาตาดำดังน้ำนิล                   ก็สมสิ้นเหมือนตำราสารพัน
เออก็ขัดด้วยกระไรไฉนหนอ               แต่รีรอรักนุชสุดกระสัน
เห็นที่อื่นดื่นดาษไม่ขาดวัน                จะรักกันก็ประเดี๋ยวเมื่อเกี้ยวพาล
เหมือนแสบท้องต้องขืนกลืนข้าวตาก   ระคายปากไม่ละมุนเหมือนวุ้นหวาน
เหมือนอดข้าวกินมันยามกันดาร          กว่าจะพานพบของที่ต้องใจ
กระแจะจันทร์คันธาบุปผาสด              ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรพิสมัย
ประเวณีมีจบภพไตร                          ไม่ว่าใครทุกตัวทั่วโลกา

(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_082.gif)
ตำรา  ณ เมืองใต้     เขียน
เหม   เวชกร            ภาพ
จากนิตสารปี2507


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 16 มกราคม 2011, 04:52:AM
(http://add.klonthaiclub.com/images/83hair.jpg)
คารมนักบิน
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_175.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
นักบินหนุ่มสองนายผู้ไร้รัก
ตกค่ำมักเที่ยวเตร่เร่สุขสันต์
ดื่มสุราโลมนารีมิเว้นวัน
สนุกกันตามประสาคนอาภัพ

ในคืนหนึ่งภายหลังต่างนัดหมาย
เขาจึงกรายเข้าไปในไนท์คลับ
บริกรสตรีรี่ต้อนรับ
จัดพร้อมสรรพอาหารตามบัญชา

ขณะเธอวางสุราอาหารให้
เขาก็หากำไรในทีท่า
ลูบไล้เธอทั่วร่างทางสายตา
ตามประสาคนสนุกชอบซุกซน

บังเอิญเหลือบเห็นสร้อยห้อยคอหล่อน
ที่ยานหย่อนหยอกเอินเนินถันถลน
เกี่ยวรูปเครื่องบินทองสองเครื่องยนต์
ส่ายลำวนเวียนหวงทรวงนงเยาว์

นักบินหนึ่งจึงเอ่ยเปรยเปรยว่า
"ตั้งแต่ได้เห็นมาหาใดเท่า
คงเป็นเครื่องรุ่นใหม่สวยไม่เบา
กองทัพเราไม่มีแบบนี้ใช้"

อีกคนเสริมพลัน"ฉันเห็นด้วย
เครื่องบินสวยอย่างนี้หาที่ไหน
แต่ลองดูให้ดีที่ไฉไล
ฉันว่าไม่สวยสะคราญเท่าลานบิน"
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_175.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
ประมูล  อุทัยพันธ์
จากนิตยสารปี2507


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 19 มกราคม 2011, 04:00:PM
(http://add.klonthaiclub.com/images/981_original.jpg)
สักวันหนึ่ง
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_154.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
อันวิถีชีวิตลิขิตนั้น
ปวงเทวัญกั้นไว้ไม่เหมือนหมาย
บ้างยากจนค่นแค้นบ้างแสนสบาย
อย่าระคายข้องจิตคิดอาลัย

เกิดเป็นคนยากจนทนเอาเถิด
เป็นมนุษย์สุดประเสริฐเลิศกว่าไหน
จึงมีทุกข์มีสุขคลุกเคล้าไป
เพราะเทพไท้ท่านลิขิตชีวิตมา

อยากรูปสวยรวยทรัพท์นับหมื่นแสน
ไม่ขาดแคลนไร้ทุกข์รื่นสุขา
ทุกคนอยากดีเด่นเป็นธรรมดา
ปรารถนาแต่สิ่งชื่นรื่นกมล

แต่ชีวิตคิดหมายคล้ายฝ่าขวาก
ต้องลำบากกลิ้งเกือกกระเสือกกระสน
เหมือนบุญทำกรรมแต่งแกล้งมาดล
ชีวิตคนจึงจำสู้กล้ำกลืน

อย่าคิดท้อรอใครพึ่งใบบุญ
อย่าไปขุ่นเคืองแค้นแค่นขัดขืน
อันชีวิตไม่จีรังและยั่งยืน
ควรหน้าชื่นฝืนสู้อย่ารู้คลาย

สักวันหนึ่งคงชื่นระรื่นจิต
ทางชีวิตสดใสสมใจหมาย
ยึดธัมมะมั่นไว้ไม่เว้นวาย
คงสบายวันหนึ่งพึงหวังเอย
(http://www.klonthaiclub.com/pic/bar_154.gif) (http://www.klonthaiclub.com)
สุรศักดิ์  ศรีประพันธ์
จากนิตสารปี 2505


หัวข้อ: Re: **สุสานรัก**
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011, 02:30:PM
(http://upic.me/i/7z/200703261351141815864036.gif) (http://upic.me/show/93747)
ณ ลานนี้มีมนตร์เคยดลจิต
ให้ประดิษฐ์สร้อยรักด้วยอักษร
แทนใจตนล้นค่ายิ่งอาภรณ์
มอบนักกลอนสาวสวรรค์ชั้นกวี

เคยชื่นชอบตอบคำช่างล้ำหวาน
ว่าขอลานนี้ประจักษ์เป็นสักขี
ขอรับสร้อยร้อยร่วมสวมฤดี
เหมือนหนึ่งมีมนตร์สวรรค์พันธนา

เราร่วมท่องล่องแคว้นแดนไพจิตร
ร่วมสนิทสนองเลห์เสน่หา
ร่วมเก็บเดือนเกลื่อนดาวพราวนภา
ร่วมลีลาลอยสวรรค์ชั้นดางดึงส์

เวลาน้อยคอยผ่านไม่นานนัก
เธอรานรักลับไปไม่นึกถึง
ภาพพิมานม่านฟ้ายังตราตรึง
กระสันรึงรัดกมลอยู่คนเดียว

ณ บัดนี้ที่ลานวิมานร้าง
สร้อยรักวางขาดหล่นไร้คนเหลียว
ถูกเหยียบย่ำช้ำแหลกเพราะแตกเกลียว
ทรวงแปลบเสียวหวิวหวาดแทบขาดใจ

สร้อยรักป่นคนขว้างมาร้างรัก
เหมือนมีดสักแสนเชือดเลือดรินไหล
ขอรวมสร้อยร้อยซากก่อนจากไกล
ฝังไว้ในสุสานลานกวี

สุชัย  ประเสริฐวรรณกิจ

จากนิตสารปี 2507




หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 22 กันยายน 2011, 10:17:AM
(http://upic.me/i/we/248635_129346897146269_100002128788342_242459_508523_n.jpg) (http://upic.me/show/25005193)

ใครว่างาม

ครั้งก่อน
ชื่อบังอรขจรไปไกลนักหนา
เป็นเทพีที่โก้แสนโสภา
เป็นขวัญตาขวัญใจได้พบนวล
ช่างงามจริงหญิงใดไม่เทียมเท่า
เสน่ห์เร้ารึงใจให้ผันหวล
เคยเป็นที่มั่นหมายชายทั้งมวล
เจ้าหอมหวลชวนจิตคิดใฝ่ปอง
ทั้งเลิศหรูอยู่อย่างหว่านคำหวาน
แต่ไม่นานมานเจ้าก็เศร้าหมอง
เพราะหลงเล่ห์เสน่ห์ชายหมายเคียงครอง
เป็นที่สองของเขาเจ้าเสียที

ต่อมา
ในอุราเจ้าทุกข์ความสุขหนี
มารหัวขนป่นเกียรติเสียดราคี
จนเป็นที่เหยียดหยามว่าทรามใจ
ไม่นานนักรักร้ายชายเขาทิ้ง
หัวอกหญิงยิ่งครองทุกข์หมองไหม้
พิษรักหลอนกร่อนจิตมิคิดไกล
ปลิดชีพล่องท่องไปในสายลม

บัดนี้
มโหรีปี่พาทย์ระนาดขรม
ญาติพี่น้องร้องไห้ใจระทม
เคล้าผสมพระสวดกรวดน้ำลง
เชิงตะกรอนร้อนแรงไฟแดงจ้า
เผากายาคราก่อนเด่นเป็นผุยผง
สิ้นทุกอย่างร่างอะเคื้อไม่เหลือคง
ยามอนงค์ชีพไร้..ใครว่างาม

(http://www.qzub.com/bar_053.gif) (http://www.qzub.com)

สมหวัง  คุณประดิษฐ์
จากนิตยสาร ปี2506


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ฉันเอง ที่ 28 กันยายน 2011, 01:26:PM
(http://www.qzub.com/happy_023.jpg) (http://www.qzub.com)

รัก

รัก..อรุณรุ่งสางสว่างฟ้า
รัก..นภากว้างใหญ่แผ่ไพศาล
รัก..สายลมแสงแดดแผดส่องมาน
รัก..เสียงหวานเรไรในดงดอน

รัก..มวลหมู่สกุณาเรียกหาคู่
รัก..รักผึ้งภู่ภุมรินทร์บินสลอน
รัก..มัจฉาแหวกว่ายสายสาคร
รัก..โขดขอนเขาเขินเนินวนา

รัก..พฤกษาคราออกดอกสล้าง
รัก..น้ำค้างรักดาวพราวเวหา
รัก..จันทร์ฉายแสงส่องต้องสุธา
รัก..ธาราเย็นฉ่ำดื่มด่ำใจ

รัก..กองฟางผืนนาพาใจสุข
รัก..สนุกทุกข์ร้างราคราคราดไถ
รัก..ศรัทธา  ความหวัง  พลังใจ
รัก..มอบให้ผืนดินถิ่นแหลมทอง

รัก..ชาติศาสนามหากษัตริย์
รัก..ปฐพีใหญ่ไทยทั้งผอง
รัก..ชีพสละได้ดังใจปอง

พี่รักน้องไม่น้อยกว่า..ค่าแผ่นดิน

(http://www.qzub.com/bar_107.gif) (http://www.qzub.com)

สุรศักดิ์  เนาว์นิเวศน์
จากนิตยสาร ปี2506


หัวข้อ: Re: กลอนเขา เอามาเล่าใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: พยัญเสมอ ที่ 11 ตุลาคม 2012, 04:32:PM

     emo_100โวววว ๆๆๆ  ของชอบ    emo_87

ช่ายยยย เลยยยย  โดนนน จายยย ฉันเลยยยย
ที่จายยยยต้องการรรร  ประมาณนี้...เลยยยยยย

 emo_70